"ปลาหมอตายเพราะปาก"
-ภาษิตเก่า-
ข้าพเจ้าขอนำยีเอ๋งมาพบท่านเป็นคนเรก แม้ยีเอ๋งจะไม่ใช่ตัวสําคัญในเรื่องสามก๊กก็จริง แต่เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับภาษิต "ปลาหมอตายเพราะปาก" หรือ "คนตายเพราะลิ้น" ถ้าลิ้นของเราจะตัดคอคนอื่น ก็ไม่สู้ประหลาดและเดือดร้อนอะไร แต่ลิ้นเรากลับตัดคอเราเองนี่ซิประหลาดนัก แผ่นเนื้อเท่ากระแบะมือเดียวในปากมนุษย์ มีอานุภาพยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ ผู้ไม่รู้จักใช้ลิ้นของตน ก็เหมือนอมไฟเข้าไว้ ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใด นอกจากเผาผลาญตนเอง
ตามค่าพรรณนาของขงหยง ยีเอ๋งเป็นคนมีสติปัญญามาก เมื่อจะเข้ามาทําการด้วยโจโฉนั้นอายุ 20 ปี โดยเหตุที่ยีเอ๋งมีความรู้เกินอายุนี้เอง ทําให้ยีเอ๋งเป็นคนมีโวหารกล้าและใช้ปัญญาของตนดูหมิ่นคนอื่น เป็นต้นว่า กล่าวปรามาสที่ปรึกษาโจโฉเสียจนหาชิ้นดีไม่ได้ เช่นว่า
"ซุนฮิวนั้น ชอบแต่ให้เป็นสัปเหร่อรักษาศพ หมันทองนั้น ชอบแต่ให้เสพย์สุรากับกระดูกสุกร" และในที่สุดก็บริภาษเอาโจโฉ ซึ่งในขณะนั้นอาจจะตัดหัวใครเสียได้โดยง่ายว่า "เป็นคนบ้า มิได้รู้ภาษาคน"
คนหนุ่มที่มีความรู้มาก มักจะเคราะห์ร้าย ที่มีลักษณะเหมือนยีเอ๋ง มีความทะนงตนและเห็นคนอื่นเป็นคนบัดซบไปหมด ถ้าคนหนุ่มจะโง่ ก็โง่เพราะเหตุ ไม่ใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์แก่ตนนั้นเอง ลูกจ้างหนุ่มที่ตําหนินาย นักเรียนที่หมิ่นภูมิครู เพราะทะนงตนว่ามีปัญญากว่า ในที่สุดก็มักกลายเป็นกรรมกรไร้งาน และเป็นนักเรียนที่ไม่มีภูมิรู้อะไรเลย
โจโฉควรจะฆ่ายีเอ๋งเสียในขณะที่คำบริภาษคำแรก หลุดออกมาจากปากยีเอ๋งแล้ว แต่โจโฉคิดเสียดายความรู้ ซึ่งบรรจุอยู่ในหัวสมองอันเย่อหยิ่งนั้นว่า จะพลอยศูนย์ไปเสียด้วย จึงเพียงแต่ให้ยีเอ๋งเป็นคนตีกลอง
ยีเอ๋งควรจะสํานึกตน และควรพยายามใช้ความรู้เลื่อนตนขึ้น แต่ยีเอ๋งกลับดูหมิ่นว่า หน้าที่ไม่สมกับความรู้ ความสามารถของตน ซึ่งความจริงตนก็ยังไม่แสดงความอะไรให้ประจักษ์ แม้แต่การตีกลอง ก็เลยพาลแหกคอกไปใหญ่ แกล้งเปลือยกายต้อนรับบรรดาขุนนางที่โจโฉ เชิญมากินโต๊ะ การทำทำนองนี้ คนโง่เห็นว่าเป็นการกระทำ แดกดันผู้เป็นนายได้อย่างสะใจ ในที่สุดยีเอ๋งก็เลยพาลหาเหตุว่า โจโฉไม่รู้จักคนดีคนชั่ว ไม่นับถือยีเอ๋ง ซึ่งมี อายุ 20 ปี และแสดงความดีด้วยอาการอันบ้าบินต่าง ๆ
ยีเอ๋งเปลือยกายตีกลองกลางที่ประชุม |
โจโฉรำคาญหนักเข้า ๆ ก็ออกอุบายให้ยีเอ๋งไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว และให้ขุนนางไปจุดธูปเทียนเซ่นยีเอ๋งที่ประตูเมือง เช่นกับไล่ผีกาลีอะไรตัวหนึ่งออกไปเสียจากเมือง แต่ปัญญาของยีเอ๋งสูงเกินกว่าที่จะรู้ว่า เขาประชดให้อย่างงาม กลับแสดงความภาคภูมิ กล่าววาจาดูหมิ่นใครต่อใคร จนหัวเกือบหลุดจากบ่าอยู่ที่ประตูเมืองนั่นเอง
ยีเอ๋งมาถึงเล่าเปียวก็คงไม่ยุติการโอ้อวด แต่ชะตายังไม่ถึงฆาต จึงถูกเล่าเปียวแกล้งให้ไปเกลี้ยกล่อมหองจออีก อนิจจา ผู้มีปัญญากลับโง่เง่าให้เขาจูงจมูกใช้ดังวัวควาย เพราะความทะนงตนจนตามืดมัวไปหมด
หองจอปฏิสันถารต้อนรับยีเอ๋งอย่างดี เป็นคนมีโทสะจริตแก่กล้า ฉะนั้นพอยีเอ๋งกล่าวว่า "หองจอนั้นอุปมาเหมือนเตว็ดอยู่บนศาล" ในขณะที่กินโต๊ะกันอยู่ คอยีเอ๋งก็หลุดจากบ่า
น่าเสียดายปัญญาความรู้ที่สะสมอยู่ในตัวยีเอ๋ง ถ้าเขาจะพูดให้ไพเราะขึ้นอีกสักหน่อย คงไม่ตายเร็ว และตายร้ายถึงเพียงนั้น คนโง่ไม่รู้ว่าการพูดไพเราะคืออะไร แลเห็นว่าการพูดอ่อนโยนเป็นการแสดงความต่ำต้อย การพูดถ่อมตนเป็นการแสดงความโง่เขลา การคิดเช่นนี้เป็นการคิดหาภัยใส่ตน
ยีเอ๋งนี้แม้จะมีความรู้ ก็เป็นลักษณะคนโง่แท้เพราะ
- สรรเสริญคุณตนเอง
- ไม่ยอมอ่อนน้อม
กรุณาแสดงความคิดเห็น