eBook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 87
เนื้อหา
• สุมาเจียวเลื่อนเป็นจีนอ๋อง• สุมาเอี๋ยนเป็นจีนอ๋องแทนบิดา
• สุมาเอี๋ยนให้ไปตีเมืองกังตั๋ง
• สามก๊กรวมเป็นหนึ่ง
แล ขณะเมื่อจงโฮยแลเกียงอุยตายแล้วนั้น ชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงหาผู้ใดจะบังคับมิได้ ก็เกิดการจลาจลฆ่าฟันกันขึ้นเอง เตียวเอ๊กนายทหารใหญ่กับบุตรกวนอูผู้หนึ่งก็ถึงแก่ความตายด้วย ครั้นอยู่ประมาณสองวันพอกาอุ้นยกกองทัพมาถึง ก็ปราบปรามอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้สงบเปนปรกติแล้ว ก็ตั้งให้อุยก๋วนเปนใหญ่รักษาเมืองเสฉวนอยู่ จึงเอาตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนกับฮวนเกี๋ยนเตียวเสียวเจียวจิ๋วขับเจ้งห้าคนนี้ ไปเมืองวุยก๊ก
ฝ่ายเตงฮองคุมกองทัพเมืองกังตั๋ง ซึ่งยกมาช่วยจูกัดเจี๋ยม ครั้นยกมาถึงกลางทางรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแล้ว ก็ยกกลับไปแจ้งแก่ซุนฮิว ๆ จึงว่าเมืองเสฉวนกับเมืองเราก็เหมือนฟันกับปาก เมื่อแลเมืองเสฉวนเสียแก่สุมาเจียวฉนี้แล้ว เห็นว่าสุมาเจียวจะมิหยุดจะยกมาทำร้ายแก่เมืองเราเปนมั่นคง จึงให้ลกค่องผู้เปนบุตรลกซุนซึ่งไปกินเมืองเกงจิ๋วนั้น คุมทหารออกเที่ยวตรวจตรารักษาด่านทุกตำบล ให้ซุนฮีไปรักษาเมืองลำซี เกณฑ์ทหารออกเที่ยวสอดแนมกิจการทั้งปวง แล้วเกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายรายอยู่ตามริมแม่นํ้าเมืองกังตั๋งสามร้อยลูก หวังจะป้องกันกองทัพเมืองวุยก๊ก ให้เตงฮองเปนนายด่านตรวจตรากำชับทหารทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋นแล้ว ก็เข้าไปคำนับสุมาเจียว ๆ ก็พาทหารแลพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกทหารกลับมาเมืองวุยก๊ก ครั้นถึงเมืองแล้วสุมาเจียวจึงว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ท่านนี้เปนคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพย์แต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสีย จนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังสุมาเจียวว่า มีความกลัวเปนกำลังหน้าเสร้าสลดลงในทั้นใดก็หมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาตให้ จึงตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนที่อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนให้ร้อยหนึ่งกับแพรอย่างดีหมื่นพับแลเงินทองเปนอันมาก แล้วตั้งทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นเปนที่ขุนนางตามสมควร จึงจัดถิ่นฐานบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณีทุกประการ พระเจ้าเล่าเสี้ยนคำนับสุมาเจียวแล้วก็พากันลาออกมาที่อยู่
ขณะนั้นสุมาเจียวจึงให้ปรึกษาโทษฮุยโฮว่า เปนคนชักชวนเจ้าทำให้เสียประเพณีแผ่นดินจะเลี้ยงไว้มิได้ ก็ให้ทหารเอาตัวไปทำโทษตัดตีนมือตะเวนรอบเมืองแล้วก็ฆ่าเสีย ครั้นอยู่มาวันหนึ่งสุมาเจียวจึงให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามากินโต๊ะ แล้วให้มีงานเต้นรำต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงซึ่งมาด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้น ชวนกันนั่งก้มหน้าทำเปนทุกข์ร้อนอยู่หาเปนที่จะดูเต้นรำไม่ แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเพ่งพระเนตรดูการเล่นยิ้มพรายรื่นเริงเปนปรกติ
สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงแสร้งถามว่า ทุกวันนี้ท่านระลึกถึงเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่านก็เปนสุขอยู่หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะเสพย์สุราเสร็จแล้ว ก็คำนับลาสุมาเจียวมา
ขณะนั้นขับเจ้งจึงตามไปว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เหตุใดพระองค์จึงเจรจาแก่สุมาเจียวฉนั้นหาควรไม่ ถ้าทีหลังจะไปกินโต๊ะแม้สุมาเจียวจะถามใหม่ พระองค์จงแกล้งทำร้องไห้บอกว่าระลึกถึงเมืองเสฉวน สุมาเจียวจะมีใจกรุณาเห็นสงสาร ก็จะให้เรากลับคืนไปเมืองเสฉวน ตั้งแต่นั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็จำถ้อยคำของขับเจ้งไว้
ครั้นอยู่สามสี่วันสุมาเจียวให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปกินโต๊ะอีก จึงถามว่าทุกวันนี้ท่านคิดจะใคร่กลับไปเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงทำเอามือปิดหน้าเข้าร้องไห้แต่ว่านํ้าตาหาออกไม่ สุมาเจียวจึงว่า เหตุใดพูดกันโดยดีท่านมาร้องไห้ฉนี้เล่า แล้วเอามือชักเอาพระหัตถ์พระเจ้าเล่าเสี้ยนออกเสียจากพระพักตร์ มิได้เห็นมีนํ้าพระเนตร เปนปรกติอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนอดสูแก่ใจจึงว่า ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับไปเมืองเสฉวนก็จะได้ไป แม้ไม่เอ็นดูแล้วก็จนอยู่
สุมาเจียวแลทหารทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าดังนั้นกลั้นยิ้มมิได้ ก็ชวนกันหัวเราะสิ้นทุกคน สุมาเจียวจึงคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้เปนคนโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ตั้งแต่นั้นมาสุมาเจียวก็มิได้มีความรังเกียจเลย ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะแล้วก็คำนับสุมาเจียวลาออกมา
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า สุมาเจียวมหาอุปราช ครั้งนี้ทำการได้เมืองเสฉวนมีความชอบมาก ควรจะเปนที่จีนอ๋อง ชอบเราทั้งปวงจะกราบทูลความชอบของมหาอุปราช ครั้นปรึกษากันแล้วก็พากันเข้าไปทูลพระเจ้าโจฮวน ๆ ก็เห็นชอบด้วย จึงตั้งให้สุมาเจียวเปนที่จีนอ๋องตามขุนนางปรึกษา สุมาเจียวมีใจกำเริบคิดว่าแผ่นดินนี้เปนของสุมาสูผู้พี่เราทำไว้ให้ราบคาบ สืบกันมา แลบัดนี้สุมาเอี๋ยนสุมาฮิวบุตรของเราสองคนนี้ก็จำเริญวัยอยู่แล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เปนใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักขณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวถึงตีนมือก็ยาวฟันขาวปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าไม่ชอบใจเรา ครั้นจะตั้งให้เปนใหญ่บัดนี้ก็มิได้ แต่สุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูพี่เรารักใคร่เอาไปเลี้ยงดูแต่น้อยนั้นมีใจ สัตย์ซื่อมั่นคงดี ควรที่จะตั้งให้เปนใหญ่ คิดฉนั้นแล้วก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวงที่จะตั้งสุมาฮิวเปนเจ้าชีจู้ ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเปนชีจู้นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้นก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เปน ผู้น้อยมิได้ทำตามขนบธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะมาตั้งน้องให้เปนใหญ่กว่าพี่นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย สุมาเจียวได้ฟังขุนนางทั้งปวงว่าดังนั้นก็เห็นชอบจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเปน เจ้าชีจู้
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งขุนนางเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเจียวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่าเมืองซงบู๋ก๋วนนั้นมีคนลงมาแต่สวรรค์ สูงได้สี่วา ฝ่าตีนยาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมขาวหนวดขาว ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่าเปนเจ้าแก่มนุษย์ บอกคนทั้งหลายให้รู้ว่าแต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเปนสุข อย่าปรารมภ์เลย ครั้นเที่ยวบอกถ้วนสามวันแล้วคนนั้นก็หายไป
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สำคัญว่าตัวจะได้เปนเจ้าแผ่นดิน ก็กลับเข้ามาข้างในพอลมจับล้มลงอยู่กับที่ ขุนนางทั้งปวงรู้ก็ชวนกันเข้าไปถามว่าท่านป่วยเปนประการใด สุมาเจียวก็พูดมิออก เอาแต่มือชี้เอาสุมาเอี๋ยนเท่านั้น แล้วก็ขาดใจตายในทันใด ขุนนางทั้งปวงแต่งการศพตามประเพณี
ฝ่ายโฮเจ้งจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อันราชการบ้านเมืองแต่ก่อนนั้นสิทธิ์ขาดอยู่แก่เจ้าจีนอ๋อง บัดนี้เจ้าจีนอ๋องก็หาบุญไม่แล้ว ควรที่จะยกเจ้าชีจู้ขึ้นเปนที่จีนอ๋องว่าราชการบ้านเมืองสืบไป ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมด้วย จึงตั้งเจ้าชีจู้เปนที่จีนอ๋องแทนสุมาเจียวผู้บิดา ก็ให้โฮเจ้งเปนที่มหาอุปราช แล้วตั้งแต่งขุนนางทั้งปวงตามฐานาศักดิ์โดยสมควร
ครั้นรุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่งจีนอ๋องจึงให้หากาอุ้นกับหุยสิวเข้ามาถามว่า โจโฉกับบิดาของเราข้างไหนจะดีกว่ากัน กาอุ้นกับหุยสิวจึงว่า อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิธไม่ ถึงมาทว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรนั้นเล่าก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เปนเสี้ยนหนามอยู่ อันพระไอยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเปนอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิธ พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรตยศเปนที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้นเห็นไกลกันนัก
จีนอ๋องจึงว่า แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านทำการกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เปนของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวนเหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ
กาอุ้นหุยสิวจงว่าท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนกับช่วยแก้แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว จีนอ๋องได้ฟังกาอุ้นหุยสิวว่าก็กำเริบนํ้าใจ ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง
ฝ่ายพระเจ้าโจฮวนแต่ไม่สบายพระทัยมาหลายวัน พอวันนั้นเสด็จออกมานั่งอยู่ เห็นจีนอ๋องถือกระบี่เดิรเข้าไปถึงข้างใน ก็คำนับเชิญจีนอ๋องนั่งบนที่สมควร จีนอ๋องจึงถามว่า พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้ พระเจ้าโจฮวนจึงว่า อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเปนปรกติราบคาบเราได้อาศรัยเปนสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่านแลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา
จีนอ๋องจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เปน จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สาระพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กอดพระหัตถ์เข้าซบพระพักตร์นิ่งอยู่
เตียวเจ๊กเปนขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าพระเจ้าโจฮวนอยู่ ได้ยินจีนอ๋องว่าดังนั้นจึงตวาดว่า เหตุไฉนท่านมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบปราศจากเสี้ยน หนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเปนสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อนหาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด
จีนอ๋องได้ฟังก็โกรธจึงว่า ราชสมบัติทั้งนี้เดิมเปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉก็เปนข้าของพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสียแล้วชิงเอาเปนของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำการสงครามปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก็เหมือนกัน แม้ชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ ว่าฉนั้นแล้วก็สั่งให้บูซูจับเอาตัวไปตี พระเจ้าโจฮวนก็คุกเข่าลงคำนับขอโทษเตียวเจ๊ก จีนอ๋องก็มิให้ เร่งให้บูซูเอาไปตีตายเสียในทันใด แล้วก็ลุกออกมา
ขณะนั้นพระเจ้าโจฮวนจึงปรึกษากาอุ้นหุยสิวว่า การเกิดกำเริบฉนี้แล้วท่านจะคิดประการใด กาอุ้นหุยสิวจึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นแผ่นดินก็จะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแขงอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้นก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป พระเจ้าโจฮวนก็เห็นชอบด้วยจึงกำหนดแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเดือนยี่ขึ้นคํ่าหนึ่งให้เข้ามาพร้อมกันในวัง แล้วก็ให้จัดที่ทางทั้งปวง
ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันในที่เฝ้า พระเจ้าโจฮวนก็ยกเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองมอบให้จีนอ๋อง ๆ รับเอาตราหยกแล้วก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งสองแถว จึงร้องเรียกพระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขุนนางแล้วจึงว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติครอบครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เปนไอยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินก็ร่วงโรยถึงกำหนดที่เราจะได้เปนใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย แล้วพระเจ้าจีนอ๋องจึงตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเปนที่ตันลิวอ๋องให้ไปกินเมือง กิมลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่าให้มาเฝ้าเปนอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วก็คำนับลาพระเจ้าจีนอ๋องพาเอาพรรคพวกของตัวไป ณ เมืองกิมลงเสีย
แลขณะเมื่อพระเจ้าจีนอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น (พ.ศ. ๘๐๘) ก็สั่งให้ปล่อยนักโทษทั้งปวงเสียจากเรือนจำสิ้น แล้วจึงให้นามเมืองวุยก๊กชื่อว่าเมืองใต้จิ๋นแต่นั้นมา ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าจีนอ๋องเสด็จออกว่าราชการ จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวแจ้งกิตติศัพท์ว่า สุมาเอี๋ยนชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนตั้งตัวเปนใหญ่ แล้วให้ซ่องสุมทแกล้วทหารทั้งปวงเกณฑ์กองทัพจะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋งฉนั้น ก็มีพระทัยทุกข์ตรอมไปจนทรงพระประชวรหนักลงถึงแก่ความตาย ครั้นขุนนางทั้งปวงแต่งการศพพระเจ้าซุนฮิวเสร็จแล้ว จึงปรึกษาจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นครอบครองราชสมบัติว่าราชการเมือง แทนพระราชบิดาตามประเพณีสืบไป
ขณะนั้นบั้นเฮ็กเตียวเป๋าขุนนางผู้ใหญ่จึงปรึกษาว่า ซึ่งจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นว่าราชการเมืองนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าซุนเปียนนี้มีสติปัญญาน้อยยังเยาว์แก่ความนัก เห็นจะว่าราชการไปมิตลอด ขอให้เอาซุนโฮซึ่งเปนหลานพระเจ้าซุนกวน อันเปนบุตรของซุนเหลียงนั้นครอบครองราชสมบัติเถิด ด้วยมีสติปัญญาหลักแหลมเห็นจะปกป้องอาณาประชาราษฎรได้
ครั้นขุนนางทั้งปวงได้ยินเสนาผู้ใหญ่ทั้งสองปรึกษาฉนั้น ก็เห็นพร้อมด้วยกันสิ้น ครั้นถึงเดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่ง ก็แต่งการพระราชพิธีอภิเษกซุนโฮขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบไป จึงตั้งให้ซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรของพระเจ้าซุนฮิวเปนที่เจ้าเจี๋ยงอ๋อง ให้เตงฮองเปนที่ต้ายสุม้า ครั้นพระเจ้าซุนโฮได้เสวยราชสมบัติแล้วก็มีพระทัยกำเริบ เชื่อฟังถ้อยคำงิมหุนผู้เปนขันที มิได้เอาใจใส่กิจการบ้านเมืองทั้งปวงเสพย์สุราเปนนิจ เอียงเหียงเตียวเป๋าซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เห็นผิดก็เข้าไปทูลทัดทานห้ามปราม เปนหลายครั้ง พระเจ้าซุนโฮมิได้เชื่อฟังโกรธขุนนางทั้งสองคนก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ตั้งแต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงก็กลัวเกรงมิอาจที่จะห้ามปรามทูลทัดทานได้
ครั้นอยู่มาพระเจ้าซุนโฮก็ยกไปตั้งอยู่บู๊เฉียง กะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลอาณาประชาราษฎรไปตัดไม้มาทำวัง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ครั้นทำวังแล้วจึงปรึกษาด้วยหอกหยกว่า ครั้งพระเจ้าซุนฮิวยังมีพระชนม์อยู่ไม่ไว้ใจแก่ราชการ เกณฑ์ให้เตงฮองเปนนายใหญ่ออกไปตั้งค่ายอยู่ตามริมชายทเลนั้น ปราถนาจะกันกองทัพเมืองวุยก๊กไว้ แลทหารทั้งปวงเหล่านี้ก็พรั่งพร้อมกันอยู่ชอบท่วงทีแล้ว เราจะยกไปตีเมืองวุยก๊กทีเดียว หวังจะช่วยแก้แค้นพระเจ้าเล่าเสี้ยน จะยกกองทัพไปทางใดจึงจะสดวก
หอกหยกจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะยกกองทัพไปตีเมืองวุยก๊กนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย บัดนี้เมืองเสฉวนก็เสียแก่สุมาเจียวแล้ว สุมาเจียวมีใจกำเริบนักหมายจะยกมาตีเมืองกังตั๋งอีก ขอให้พระองค์จัดแจงป้องกันรักษาเมืองมั่นไว้ อย่าเพ่อยกไปก่อนเลย แม้พระองค์มิฟังข้าพเจ้าจะขืนยกพลทหารไปบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งเอาฝอยไปทุ่มเข้าที่กองเพลิง
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราคิดอ่านจะยกไปกำจัดสุมาเอี๋ยนจะเอาฤกษ์ชัยชนะ ตัวท่านมาทัดทานเปนอปมงคลฉนี้มิชอบ หากว่าตัวท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน ถ้าหาไม่เราจะประหารชีวิตเสีย ว่าดังนั้นแล้วก็ให้บูซูขับออกไปจากที่เฝ้า หอกหยกมาถึงข้างนอกแล้วก็ทอดใจใหญ่ ว่าสมบัติในเมืองกังตั๋งนานไปก็จะเปนของผู้อื่น ตั้งแต่นั้นมาหอกหยกก็บอกป่วยมิได้เข้าไปทำราชการดังแต่ก่อน
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮก็สั่งให้ลกข้อง ซึ่งไปรักษาเมืองเกงจิ๋วนั้นคิดอ่านจะให้ยกไปตีเมืองซงหยง ม้าใช้รู้กิตติศัพท์จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋นว่า บัดนี้พระเจ้าซุนโฮให้กะเกณฑ์ทหารทั้งปวงจะยกมาตีเมืองซงหยง
ครั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้แจ้งดังนั้น จึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง กาอุ้นจึงทูลว่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าพระเจ้าซุนโฮได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋งนั้นมิได้ ประพฤติตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน ประเพณีแผ่นดินฟั่นเฟือนอยู่หาเปนปรกติไม่ ขอให้พระองค์มีรับสั่งไปถึงเอียวเก๋า ซึ่งเปนนายทหารอยู่ ณ เมืองซงหยงนั้น ซ่องสุมทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคง คอยดูท่วงทีเมืองกังตั๋ง ถ้าเกิดอันตรายจลาจลขึ้นแล้วเมื่อใด เราก็จะยกทัพใหญ่ไปโจมตีเอาเห็นจะได้โดยสดวก พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปถึงเอียวเก๋าตามถ้อยคำกาอุ้นทุกประการ
เอียวเก๋าครั้นแจ้งในข้อรับสั่งแล้ว ก็กะเกณฑ์ทหารออกไปตั้งรักษาด่านทางอยู่ทุกตำบล ครั้นมาวันหนึ่งทหารจึงเข้าไปบอกว่า บัดนี้ลกข้องนายทหารซึ่งยกมาตั้งอยู่ ณ ปลายแดนนั้นก็เรรวนฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ทแกล้วทหารก็มิได้คุมกันเปนหมวดกองโดยกระบวร ขอให้ท่านเร่งยกทหารไปโจมตีเอาเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เอียวเก๋าจึงว่า อันลกข้องนี้มีสติปัญญาเปนสามารถ ทั้งฝีมือก็เข้มแขง เปนนายทหารใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ชำนิชำนาญในการสงครามมาช้านาน ซึ่งท่านจะประมาทดูเบาให้ยกไปตีลกข้องนั้นมิชอบ เราไม่เห็นด้วย ถ้าแลตั้งมั่นรออยู่ฟังกิตติศัพท์เมืองกังตั๋ง เห็นได้ทีแล้วจึงจะยกไปโจมตีเอาอย่าให้รู้ตัวจะมิดีหรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็คำนับเห็นชอบด้วย เอียวเก๋าก็ตั้งมั่นรอฟังกิตติศัพท์อยู่ ณ ปลายแดน
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮจึงให้มีหนังสือไปถึงลกข้องว่า ให้เร่งยกทหารตีล่วงด่านเมืองไต้จิ๋นเข้าไปเอาชัยชนะจงได้ ครั้นลกข้องแจ้งดังนั้นจึงให้หนังสือตอบไปว่า ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าเร่งยกกองทัพตีเข้าไปยังมิได้ท่วงทีก่อน จะขอตั้งมั่นไว้ ถ้าได้ช่องแล้วเมื่อใดจึงจะยกพลทหารทำการเข้าไปเอาชัยชนะ ขออย่าให้พระองค์ทรงพระวิตกเลย อันราชการฝ่ายนี้ข้าพเจ้าจะขอรับเอาเปนพนักงาน พระเจ้าซุนโฮได้แจ้งดังนั้นก็ทรงพระดำริห์ว่า ลกข้องนี้ไปตั้งขัดทัพอยู่เปนช้านาน ชรอยว่าจะเปนมิตร์สันถวะคุ้นเคยกันกับเอียวเก๋า จะกลับเข้าเปนพวกปัจจามิตร มิได้สัตย์ซื่อต่อเรามั่นคง จึงมีหนังสือตอบขัดแขงมาทั้งนี้ก็ทรงพระโกรธ จึงตั้งให้ซุนอี้ออกไปเปนนายใหญ่ควบคุมพลทหารทั้งปวง ก็ให้ถอดลกข้องนั้นออกเสีย
เอียวเก๋ารู้ว่าพระเจ้าซุนโฮประพฤติผิดขนบธรรมเนียมแต่ก่อน อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความชิงชังเปนอันมาก แล้วก็ให้ถอดลกข้องออกเสีย เห็นอาการฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ก็บอกหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น ขอกองทัพเร่งยกมาตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็เร่งกะเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพจะยกมา กาอุ้นกับขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลห้ามว่าให้งดกองทัพไว้ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเห็นชอบ จึงให้งดกองทัพอยู่ ครั้นเอียวเก๋าแจ้งว่า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนมิได้ยกกองทัพมากระทำแก่เมืองกังตั๋งดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ว่าเมืองกังตั๋งนี้เสียถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนหนึ่งจะได้โดยง่ายแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพมา คิดเสียดายนักมิรู้แล้วเลย ครั้นถึงปลายปีเอียวเก๋าป่วยลงก็ตาย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้เตาอี้เบนที่ตินหลำจงกุ๋น มาเปนนายทหารรักษาเมืองเกงจิ๋วแทน ครั้นตินหลำจงกุ๋นรู้ว่าลกข้องแลเตงฮองถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าซุนโฮก็ประพฤติการฟั่นเฟือนเสพย์แต่สุราเปนนิตย์ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพิททูลห้ามปรามก็ให้ตัดปากจมูกเสีย ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก จึงมีหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจะขอไปตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ตั้งให้เตาอี้เปนที่ไตโต๋ก๊กคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพยกออกมาเมืองกังเหลงแลให้ตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอิต๋ง ให้อองหุยคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอัวกั๋ง ให้อ๋องหยงคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางบูเฉียง ให้ห่อหุนถือพลทหารห้าหมื่นยกไปทางแฮเค้ากำหนดให้อยู่ในบังคับบัญชาเตาอี้ สิ้นทุกหมวดทุกกอง จึงเกณฑ์ให้องโยยกับตงปีนคุมเรือสำหรับจะข้ามส่งทแกล้วทหารทั้งปวง ม้าใช้จึงรีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าซุนโฮ ณ เมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนโฮจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง
เตี๋ยวเค้าจึงทูลว่า ถ้าฉนั้นขอให้พระองค์แต่งกองทัพไปตั้งรับอยู่ ณ เมืองกังเหลงทางหนึ่ง ให้ซุนหลิมยกทหารกองหนึ่งไปตั้งรับทางเมืองแฮเค้า ตัวข้าพเจ้ากับสิมเอ๋งแลจูกัดเจงจะคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพใหญ่ยกไปตั้งอยู่ตำบลเอียวจู๊คอยรับกองทัพเมืองไต้จิ๋น พระเจ้าซุนโฮเห็นชอบด้วย ก็ให้ยกทหารทั้งปวงไป
ครั้นพระเจ้าซุนโฮเสด็จกลับเข้าไปข้างใน ยิมหุนขันทีซึ่งเปนคนสนิธจึงทูลถามว่า ราชการครั้งนี้พระองค์จะคิดประการใด พระเจ้าซุนโฮจึงบอกว่า อันราชการทางบกนี้เรากะเกณฑ์พลทหารไปสกัดอยู่ทุกตำบลแล้ว ยังวิตกอยู่แต่กองทัพเรือซึ่งองโยยเปนแม่กองยกมานั้น ยังหาผู้ใดที่จะออกไปรับต้านทานมิได้ ยิมหุนจึงทูลว่า อันกองทัพเรือนั้นพระองค์จะปรารมภ์ไปไย ไว้พนักงานข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายตีให้แตกไปจงได้ พระเจ้าซุนโฮจึงถามว่าจะคิดเปนประการใด ยินหุนจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอให้เอาเหล็กมาตีเปนสายโซ่สักห้าร้อยสาย ๆ ละห้าสิบวาขึงกั้นแม่น้ำเมืองกังตั๋งเสีย แล้วจะได้ปักขวากเหล็กไว้ใต้นํ้านอกสายโซ่ออกไป ถ้ากองทัพเรือยกมาก็จะโดนขวากเหล็กเข้าติดอยู่ เรือก็จะทลุล่มลงทแกล้วทหารก็จะล้มตายฉิบหายไปเอง พระเจ้าซุนโฮฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ช่างตีสายโซ่แลขวากเหล็กเปนอันมาก แล้วก็ให้ขึงปักไว้ที่ทางเลี้ยวแม่นํ้าเมืองกังตั๋งทุกตำบล
ฝ่ายเตาอี้คุมพลทหารรีบยกไปถึงตำบลเขาปาสันแต่ในเวลากลางคืน ก็ให้ซุ่มพลทหารไว้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ง่อเอี๋ยนซุนหลิม ๆ ก็ให้ยกพลทหารทั้งทางบกทางเรือเข้าโจมตีกองทัพเตาอี้เปนสามารถ แต่เวลาเช้าจนเที่ยงทหารล้มตายลงเปนอันมาก กองทัพเมืองไต้จิ๋นหนุนกันซํ้ามา กองทัพกังตั๋งน้อยตัวอิดโรยลง ง่อเอี๋ยนซุนหลิมเข้ารบตลุมบอนด้วยกองทัพเมืองไต้จิ๋นก็ถึงแก่ความตายในที่ รบ ทหารทั้งปวงสู้มิได้ก็แตกไป เตาอี้ได้ทีดังนี้ก็ยกทหารรีบตีหัวเมืองรายทางรวดขึ้นมา ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันออกมาคำนับสิ้นทุกหัวเมือง เตาอี้จึงกำชับทหารมิให้ทำอันตรายไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาดทีเดียว แล้วก็ให้กะเกณฑ์พลทหารพร้อมไว้ทุกหมวดทุกกอง จะได้ยกเข้าไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายเรือใช้ซึ่งเข้ามาสอดแนมตามลำน้ำ เห็นสายโซ่แลขวากเหล็กก็กลับออกไปบอกองโยย ๆ จึงให้ทหารตัดไม้ทำแพเปนอันมากแล้ว ให้เอาดินถมหลังแพเสียจึงตั้งเตาชักสูบบนหลังแพ แล้วให้ใช้ใบเข้ามาตามลำคลอง แลเรือรบนั้นค่อยตามมาข้างหลัง ครั้นแพใช้ใบเข้ามาติดขวากอยู่คลื่นพัดแพโคลงก็ถอนขวากเหล็กหลุดขึ้นสิ้น แพก็เลื่อนเข้าไปถึงสายโซ่ กองเพลิงบนหลังแพนั้นก็เผาสายโซ่เข้า ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในเรือรบเห็นสายโซ่แดงแล้วก็ชวนกันเข้าตัดในทันใด เรือรบก็เลื่อนเข้าไปตามลำคลองได้ ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งรักษาหน้าที่นั้นก็แตกตื่นหนีไปสิ้น ทหารเมืองไต้จิ๋นได้ทีก็ไล่ฟันเปนอลหม่าน สิมเอ๋งจูกัดเจงเตียวเข้าก็ถึงแก่ความตายสิ้นทั้งสามคน เตาอี้แลองโยยได้ทีก็ให้ยกทหารเข้าล้อมเมืองกังตั๋งไว้
พระเจ้าซุนโฮขึ้นทอดพระเนตรดูบนกำแพง เห็นทหารเมืองไต้จิ๋นเข้าล้อมเมืองไว้เปนสามารถ ทหารทั้งปวงก็พ่ายแพ้หนีไปมิต่อสู้ ก็สลดพระทัยลง ชักกระบี่ออกจะเชือดฅอตาย ขุนนางทั้งปวงจึงมาห้ามยึดเอากระบี่ไว้แล้วทูลว่า พระองค์ประหารชีวิตเสียนั้นหาประโยชน์มิได้ เปนสำหรับประเพณีแผ่นดินแล้ว ขอให้พระองค์นบนอบเหมือนกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามขนบธรรมเนียมเถิด
พระเจ้าซุนโฮก็เห็นชอบด้วย จึงเปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านพาขุนนางทั้งปวงออกไปคำนับองโยย แล้วเอาบาญชีพลเมืองแลบาญชีสิ่งของในท้องพระคลังมอบให้กับองโยยทุกประการ องโยยก็มีความยินดีรับเอาสิ่งของทั้งปวงไว้ ก็ป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้อยู่ตามภูมิลำเนาทุกตำบล ห้ามทหารทั้งปวงมิให้ทำยํ่ายีแก่ไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาด แล้วตั้งให้เตาอี้อยู่ว่าราชการ ณ เมืองกังตั๋ง จึงพาเอาพระเจ้าซุนโฮแลขุนนางทั้งปวงมาเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับแล้วซบพระพักตร์ อยู่ จึงตรัสสัพยอกว่าที่อันนี้เราแต่งไว้ท่าท่านช้านานอยู่แล้ว พระเจ้าซุนโฮจึงทูลว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้นก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์เหมือนหนึ่งฉนี้ก็ ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแลพระเจ้าซุนโฮถ้อยทีตรัสสัพยอกฉนั้นแล้ว ต่างองค์ก็ทรงพระสรวลชื่นชมยินดีด้วยกัน แล้วให้แต่งโต๊ะมาเลี้ยงตามประเพณี
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นกาอุ้นจึงถามพระเจ้าซุนโฮว่า เมื่อท่านอยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น ได้ยินลือมาว่าตัดจมูกตัดปากควักลูกตาขุนนางเสียด้วยเหตุอันใด พระเจ้าซุนโฮจึงตวาดแล้วว่าตัวเราเปนเจ้า ขุนนางทั้งปวงมิได้ตั้งอยู่ในบังคับบัญชา ทำลเมิดจากขนบธรรมเนียมผิดคนจึงทำโทษ เหตุไรท่านมาถามฉนี้จะใคร่แจ้งการอันใด กาอุ้นได้ฟังดังนั้นก็อัปยศแก่ใจก็นิ่งอยู่
ขณะนั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้พระเจ้าซุนโฮเปนที่อุ้ยเบ้งเฮา บันดาขุนนางซึ่งตามมาด้วยนั้นก็ตั้งแต่งให้เปนที่ตามฐานาศักดิ์ จึงพระราชทานรางวัลปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงซึ่งไปทำการได้ชัยชนะมา โดยสมควรตามชอบทุกประการ (พ.ศ. ๘๒๓)
แลเรื่องราวสามก๊กนี้เปนธรรมดาแผ่นดินมีความสุขก็นานแล้ว ก็ได้ความเดือดร้อนแล้วก็ได้ความสุขเล่า แลกระจายกันออกเปนแว่นแคว้นแดนประเทศของตัวแล้วก็กลับรวมเข้า แยกออกเปนสามก๊ก แล้วก็รวมเข้าเปนก๊กเดียวกัน ชื่อว่าเมืองไต้จิ๋น นับมาตามลำดับกษัตริย์ภายหลังนั้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเสวยราชย์ได้สองปี พระเจ้าโจฮวนก็ถึงแก่ความตาย ครั้นถ้วนกำหนดสี่ปีพระเจ้าซุนโฮก็ถึงแก่ความตาย ครั้นเสวยราชย์ได้เจ็ดปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ถึงแก่ความตาย โดยบรรยายเรื่องราวสามก๊กนี้ก็บริบูรณ์
แล ขณะเมื่อจงโฮยแลเกียงอุยตายแล้วนั้น ชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงหาผู้ใดจะบังคับมิได้ ก็เกิดการจลาจลฆ่าฟันกันขึ้นเอง เตียวเอ๊กนายทหารใหญ่กับบุตรกวนอูผู้หนึ่งก็ถึงแก่ความตายด้วย ครั้นอยู่ประมาณสองวันพอกาอุ้นยกกองทัพมาถึง ก็ปราบปรามอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้สงบเปนปรกติแล้ว ก็ตั้งให้อุยก๋วนเปนใหญ่รักษาเมืองเสฉวนอยู่ จึงเอาตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนกับฮวนเกี๋ยนเตียวเสียวเจียวจิ๋วขับเจ้งห้าคนนี้ ไปเมืองวุยก๊ก
ฝ่ายเตงฮองคุมกองทัพเมืองกังตั๋ง ซึ่งยกมาช่วยจูกัดเจี๋ยม ครั้นยกมาถึงกลางทางรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแล้ว ก็ยกกลับไปแจ้งแก่ซุนฮิว ๆ จึงว่าเมืองเสฉวนกับเมืองเราก็เหมือนฟันกับปาก เมื่อแลเมืองเสฉวนเสียแก่สุมาเจียวฉนี้แล้ว เห็นว่าสุมาเจียวจะมิหยุดจะยกมาทำร้ายแก่เมืองเราเปนมั่นคง จึงให้ลกค่องผู้เปนบุตรลกซุนซึ่งไปกินเมืองเกงจิ๋วนั้น คุมทหารออกเที่ยวตรวจตรารักษาด่านทุกตำบล ให้ซุนฮีไปรักษาเมืองลำซี เกณฑ์ทหารออกเที่ยวสอดแนมกิจการทั้งปวง แล้วเกณฑ์ทหารไปตั้งค่ายรายอยู่ตามริมแม่นํ้าเมืองกังตั๋งสามร้อยลูก หวังจะป้องกันกองทัพเมืองวุยก๊ก ให้เตงฮองเปนนายด่านตรวจตรากำชับทหารทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋นแล้ว ก็เข้าไปคำนับสุมาเจียว ๆ ก็พาทหารแลพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกทหารกลับมาเมืองวุยก๊ก ครั้นถึงเมืองแล้วสุมาเจียวจึงว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ท่านนี้เปนคนมิดีหาสติปัญญามิได้ เสพย์แต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสีย จนอาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังสุมาเจียวว่า มีความกลัวเปนกำลังหน้าเสร้าสลดลงในทั้นใดก็หมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวก็อนุญาตให้ จึงตั้งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนที่อ่านลกก๋ง ประทานหญิงคนให้ร้อยหนึ่งกับแพรอย่างดีหมื่นพับแลเงินทองเปนอันมาก แล้วตั้งทหารซึ่งตามมาด้วยนั้นเปนที่ขุนนางตามสมควร จึงจัดถิ่นฐานบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณีทุกประการ พระเจ้าเล่าเสี้ยนคำนับสุมาเจียวแล้วก็พากันลาออกมาที่อยู่
ขณะนั้นสุมาเจียวจึงให้ปรึกษาโทษฮุยโฮว่า เปนคนชักชวนเจ้าทำให้เสียประเพณีแผ่นดินจะเลี้ยงไว้มิได้ ก็ให้ทหารเอาตัวไปทำโทษตัดตีนมือตะเวนรอบเมืองแล้วก็ฆ่าเสีย ครั้นอยู่มาวันหนึ่งสุมาเจียวจึงให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนเข้ามากินโต๊ะ แล้วให้มีงานเต้นรำต่าง ๆ ขุนนางทั้งปวงซึ่งมาด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้น ชวนกันนั่งก้มหน้าทำเปนทุกข์ร้อนอยู่หาเปนที่จะดูเต้นรำไม่ แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเพ่งพระเนตรดูการเล่นยิ้มพรายรื่นเริงเปนปรกติ
สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงแสร้งถามว่า ทุกวันนี้ท่านระลึกถึงเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่านก็เปนสุขอยู่หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะเสพย์สุราเสร็จแล้ว ก็คำนับลาสุมาเจียวมา
ขณะนั้นขับเจ้งจึงตามไปว่าแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า เหตุใดพระองค์จึงเจรจาแก่สุมาเจียวฉนั้นหาควรไม่ ถ้าทีหลังจะไปกินโต๊ะแม้สุมาเจียวจะถามใหม่ พระองค์จงแกล้งทำร้องไห้บอกว่าระลึกถึงเมืองเสฉวน สุมาเจียวจะมีใจกรุณาเห็นสงสาร ก็จะให้เรากลับคืนไปเมืองเสฉวน ตั้งแต่นั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็จำถ้อยคำของขับเจ้งไว้
ครั้นอยู่สามสี่วันสุมาเจียวให้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปกินโต๊ะอีก จึงถามว่าทุกวันนี้ท่านคิดจะใคร่กลับไปเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงทำเอามือปิดหน้าเข้าร้องไห้แต่ว่านํ้าตาหาออกไม่ สุมาเจียวจึงว่า เหตุใดพูดกันโดยดีท่านมาร้องไห้ฉนี้เล่า แล้วเอามือชักเอาพระหัตถ์พระเจ้าเล่าเสี้ยนออกเสียจากพระพักตร์ มิได้เห็นมีนํ้าพระเนตร เปนปรกติอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนอดสูแก่ใจจึงว่า ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับไปเมืองเสฉวนก็จะได้ไป แม้ไม่เอ็นดูแล้วก็จนอยู่
สุมาเจียวแลทหารทั้งปวงได้ฟังพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าดังนั้นกลั้นยิ้มมิได้ ก็ชวนกันหัวเราะสิ้นทุกคน สุมาเจียวจึงคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้เปนคนโฉดเขลาหาปัญญามิได้ ตั้งแต่นั้นมาสุมาเจียวก็มิได้มีความรังเกียจเลย ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนกินโต๊ะแล้วก็คำนับสุมาเจียวลาออกมา
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษากันว่า สุมาเจียวมหาอุปราช ครั้งนี้ทำการได้เมืองเสฉวนมีความชอบมาก ควรจะเปนที่จีนอ๋อง ชอบเราทั้งปวงจะกราบทูลความชอบของมหาอุปราช ครั้นปรึกษากันแล้วก็พากันเข้าไปทูลพระเจ้าโจฮวน ๆ ก็เห็นชอบด้วย จึงตั้งให้สุมาเจียวเปนที่จีนอ๋องตามขุนนางปรึกษา สุมาเจียวมีใจกำเริบคิดว่าแผ่นดินนี้เปนของสุมาสูผู้พี่เราทำไว้ให้ราบคาบ สืบกันมา แลบัดนี้สุมาเอี๋ยนสุมาฮิวบุตรของเราสองคนนี้ก็จำเริญวัยอยู่แล้ว ควรจะตั้งแต่งให้เปนใหญ่ อันสุมาเอี๋ยนผู้พี่นั้นลักขณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวถึงตีนมือก็ยาวฟันขาวปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม แต่ทว่าไม่ชอบใจเรา ครั้นจะตั้งให้เปนใหญ่บัดนี้ก็มิได้ แต่สุมาฮิวผู้น้องซึ่งสุมาสูพี่เรารักใคร่เอาไปเลี้ยงดูแต่น้อยนั้นมีใจ สัตย์ซื่อมั่นคงดี ควรที่จะตั้งให้เปนใหญ่ คิดฉนั้นแล้วก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวงที่จะตั้งสุมาฮิวเปนเจ้าชีจู้ ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งท่านจะตั้งสุมาฮิวเปนชีจู้นั้นมิชอบ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าแผ่นดินแต่ก่อนเกิดจลาจลนั้นก็เพราะกลับเอาผู้ใหญ่เปน ผู้น้อยมิได้ทำตามขนบธรรมเนียมบุราณ ครั้งนี้ท่านจะมาตั้งน้องให้เปนใหญ่กว่าพี่นั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย สุมาเจียวได้ฟังขุนนางทั้งปวงว่าดังนั้นก็เห็นชอบจึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนเปน เจ้าชีจู้
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งขุนนางเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเจียวว่า บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินเขาลือว่าเมืองซงบู๋ก๋วนนั้นมีคนลงมาแต่สวรรค์ สูงได้สี่วา ฝ่าตีนยาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมขาวหนวดขาว ถือไม้เท้าเที่ยวร้องประกาศไปรอบเมืองว่าเปนเจ้าแก่มนุษย์ บอกคนทั้งหลายให้รู้ว่าแต่นี้ไปจะมีเจ้าแผ่นดินมาเปลี่ยนใหม่ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเปนสุข อย่าปรารมภ์เลย ครั้นเที่ยวบอกถ้วนสามวันแล้วคนนั้นก็หายไป
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สำคัญว่าตัวจะได้เปนเจ้าแผ่นดิน ก็กลับเข้ามาข้างในพอลมจับล้มลงอยู่กับที่ ขุนนางทั้งปวงรู้ก็ชวนกันเข้าไปถามว่าท่านป่วยเปนประการใด สุมาเจียวก็พูดมิออก เอาแต่มือชี้เอาสุมาเอี๋ยนเท่านั้น แล้วก็ขาดใจตายในทันใด ขุนนางทั้งปวงแต่งการศพตามประเพณี
ฝ่ายโฮเจ้งจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อันราชการบ้านเมืองแต่ก่อนนั้นสิทธิ์ขาดอยู่แก่เจ้าจีนอ๋อง บัดนี้เจ้าจีนอ๋องก็หาบุญไม่แล้ว ควรที่จะยกเจ้าชีจู้ขึ้นเปนที่จีนอ๋องว่าราชการบ้านเมืองสืบไป ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมด้วย จึงตั้งเจ้าชีจู้เปนที่จีนอ๋องแทนสุมาเจียวผู้บิดา ก็ให้โฮเจ้งเปนที่มหาอุปราช แล้วตั้งแต่งขุนนางทั้งปวงตามฐานาศักดิ์โดยสมควร
ครั้นรุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่งจีนอ๋องจึงให้หากาอุ้นกับหุยสิวเข้ามาถามว่า โจโฉกับบิดาของเราข้างไหนจะดีกว่ากัน กาอุ้นกับหุยสิวจึงว่า อันโจโฉนั้นทำการทั้งปวงมีความชอบมากก็จริง แต่ทว่าอาณาประชาราษฎรหารักใคร่สนิธไม่ ถึงมาทว่าทำสมบัติไว้ให้แก่โจผีผู้บุตรนั้นเล่าก็ยังมิราบคาบสิ้น ทิศเหนือทิศใต้ก็เปนเสี้ยนหนามอยู่ อันพระไอยกาของท่านได้ทำการมาก็หนักหนา ปรากฎชื่อเสียงเลื่องลือเปนอันมาก แลอาณาประชาราษฎรก็รักใคร่สนิธ พระบิดาของท่านเล่าก็ซ้ำได้เมืองเสฉวน ครั้งนี้มีเกียรตยศเปนที่ยำเกรงก็มาก ซึ่งจะเอาโจโฉมาเปรียบด้วยนั้นเห็นไกลกันนัก
จีนอ๋องจึงว่า แต่ก่อนแผ่นดินนี้ก็เปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคิดอ่านทำการกำจัดเสีย ชิงเอาราชสมบัติของพระองค์เปนของตัวได้ แม้ว่าเราจะชิงเอาสมบัติของพระเจ้าโจฮวนเหมือนกระนั้นบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ
กาอุ้นหุยสิวจงว่าท่านว่านี้ชอบ ซึ่งจะชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนนั้น ก็เหมือนกับช่วยแก้แค้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านคิดฉนี้ก็ต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว จีนอ๋องได้ฟังกาอุ้นหุยสิวว่าก็กำเริบนํ้าใจ ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่เข้าไปในวัง
ฝ่ายพระเจ้าโจฮวนแต่ไม่สบายพระทัยมาหลายวัน พอวันนั้นเสด็จออกมานั่งอยู่ เห็นจีนอ๋องถือกระบี่เดิรเข้าไปถึงข้างใน ก็คำนับเชิญจีนอ๋องนั่งบนที่สมควร จีนอ๋องจึงถามว่า พระองค์รู้หรือไม่ว่าราชสมบัติบ้านเมืองทั้งปวงนี้ผู้ใดทำไว้ พระเจ้าโจฮวนจึงว่า อันราชสมบัติบ้านเมืองซึ่งเปนปรกติราบคาบเราได้อาศรัยเปนสุขอยู่ทั้งนี้ ก็เพราะกำลังปัญญาความคิดปู่ท่านแลบิดาท่านทำไว้ให้แก่เรา
จีนอ๋องจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เปน จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สาระพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ กอดพระหัตถ์เข้าซบพระพักตร์นิ่งอยู่
เตียวเจ๊กเปนขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าพระเจ้าโจฮวนอยู่ ได้ยินจีนอ๋องว่าดังนั้นจึงตวาดว่า เหตุไฉนท่านมาเจรจาดังนี้ ครั้งเมื่อพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบปราศจากเสี้ยน หนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเปนสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อนหาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุอันใด
จีนอ๋องได้ฟังก็โกรธจึงว่า ราชสมบัติทั้งนี้เดิมเปนของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉก็เปนข้าของพระองค์ คิดอ่านกำจัดพระองค์เสียแล้วชิงเอาเปนของตัวสิได้ ฝ่ายอัยกาบิดาเราก็ได้ทำการสงครามปราบปรามกำจัดศัตรูเสียก็เหมือนกัน แม้ชิงเอาบ้างจะไม่ได้เจียวหรือ ว่าฉนั้นแล้วก็สั่งให้บูซูจับเอาตัวไปตี พระเจ้าโจฮวนก็คุกเข่าลงคำนับขอโทษเตียวเจ๊ก จีนอ๋องก็มิให้ เร่งให้บูซูเอาไปตีตายเสียในทันใด แล้วก็ลุกออกมา
ขณะนั้นพระเจ้าโจฮวนจึงปรึกษากาอุ้นหุยสิวว่า การเกิดกำเริบฉนี้แล้วท่านจะคิดประการใด กาอุ้นหุยสิวจึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นแผ่นดินก็จะร่วงโรยลงแล้ว ซึ่งพระองค์จะขัดแขงอยู่นั้นมิได้ การจวนตัวถึงเพียงนี้ ควรหรือพระองค์จะไม่ผ่อนผันนั้นก็จะมีภัยมาถึงตัว ขอพระองค์จงยกสมบัติให้แก่จีนอ๋องเสียเถิด ก็จะมีความสุขสืบไป พระเจ้าโจฮวนก็เห็นชอบด้วยจึงกำหนดแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเดือนยี่ขึ้นคํ่าหนึ่งให้เข้ามาพร้อมกันในวัง แล้วก็ให้จัดที่ทางทั้งปวง
ครั้นถึงวันกำหนดขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันในที่เฝ้า พระเจ้าโจฮวนก็ยกเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองมอบให้จีนอ๋อง ๆ รับเอาตราหยกแล้วก็ขึ้นนั่งบนที่สูง ชูกระบี่ขึ้นท่ามกลางขุนนางทั้งสองแถว จึงร้องเรียกพระเจ้าโจฮวนเข้ามาคุกเข่าลงคำนับต่อหน้าขุนนางแล้วจึงว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติครอบครองแผ่นดินนี้มาได้ยี่สิบห้าปี โจโฉผู้เปนไอยกาของท่านกำจัดเสีย ขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบแซ่มาถึงสี่สิบห้าปี บัดนี้แผ่นดินก็ร่วงโรยถึงกำหนดที่เราจะได้เปนใหญ่ในราชสมบัติแล้ว ตัวท่านอย่ามีความวิตกไปเลย แล้วพระเจ้าจีนอ๋องจึงตั้งให้พระเจ้าโจฮวนเปนที่ตันลิวอ๋องให้ไปกินเมือง กิมลงเสีย กำหนดว่ามิได้มีข้อรับสั่งให้มา ก็อย่าให้มาเฝ้าเปนอันขาดทีเดียว พระเจ้าโจฮวนซบพักตร์ลงร้องไห้ แล้วก็คำนับลาพระเจ้าจีนอ๋องพาเอาพรรคพวกของตัวไป ณ เมืองกิมลงเสีย
แลขณะเมื่อพระเจ้าจีนอ๋องได้เสวยราชสมบัตินั้น (พ.ศ. ๘๐๘) ก็สั่งให้ปล่อยนักโทษทั้งปวงเสียจากเรือนจำสิ้น แล้วจึงให้นามเมืองวุยก๊กชื่อว่าเมืองใต้จิ๋นแต่นั้นมา ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าจีนอ๋องเสด็จออกว่าราชการ จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงให้เกณฑ์กองทัพจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวแจ้งกิตติศัพท์ว่า สุมาเอี๋ยนชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าโจฮวนตั้งตัวเปนใหญ่ แล้วให้ซ่องสุมทแกล้วทหารทั้งปวงเกณฑ์กองทัพจะยกมาตีเอาเมืองกังตั๋งฉนั้น ก็มีพระทัยทุกข์ตรอมไปจนทรงพระประชวรหนักลงถึงแก่ความตาย ครั้นขุนนางทั้งปวงแต่งการศพพระเจ้าซุนฮิวเสร็จแล้ว จึงปรึกษาจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นครอบครองราชสมบัติว่าราชการเมือง แทนพระราชบิดาตามประเพณีสืบไป
ขณะนั้นบั้นเฮ็กเตียวเป๋าขุนนางผู้ใหญ่จึงปรึกษาว่า ซึ่งจะยกซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรขึ้นว่าราชการเมืองนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าซุนเปียนนี้มีสติปัญญาน้อยยังเยาว์แก่ความนัก เห็นจะว่าราชการไปมิตลอด ขอให้เอาซุนโฮซึ่งเปนหลานพระเจ้าซุนกวน อันเปนบุตรของซุนเหลียงนั้นครอบครองราชสมบัติเถิด ด้วยมีสติปัญญาหลักแหลมเห็นจะปกป้องอาณาประชาราษฎรได้
ครั้นขุนนางทั้งปวงได้ยินเสนาผู้ใหญ่ทั้งสองปรึกษาฉนั้น ก็เห็นพร้อมด้วยกันสิ้น ครั้นถึงเดือนเก้าขึ้นค่ำหนึ่ง ก็แต่งการพระราชพิธีอภิเษกซุนโฮขึ้นครอบครองราชสมบัติสืบไป จึงตั้งให้ซุนเปียนผู้เปนพระราชบุตรของพระเจ้าซุนฮิวเปนที่เจ้าเจี๋ยงอ๋อง ให้เตงฮองเปนที่ต้ายสุม้า ครั้นพระเจ้าซุนโฮได้เสวยราชสมบัติแล้วก็มีพระทัยกำเริบ เชื่อฟังถ้อยคำงิมหุนผู้เปนขันที มิได้เอาใจใส่กิจการบ้านเมืองทั้งปวงเสพย์สุราเปนนิจ เอียงเหียงเตียวเป๋าซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เห็นผิดก็เข้าไปทูลทัดทานห้ามปราม เปนหลายครั้ง พระเจ้าซุนโฮมิได้เชื่อฟังโกรธขุนนางทั้งสองคนก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ตั้งแต่นั้นมาขุนนางทั้งปวงก็กลัวเกรงมิอาจที่จะห้ามปรามทูลทัดทานได้
ครั้นอยู่มาพระเจ้าซุนโฮก็ยกไปตั้งอยู่บู๊เฉียง กะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลอาณาประชาราษฎรไปตัดไม้มาทำวัง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก ครั้นทำวังแล้วจึงปรึกษาด้วยหอกหยกว่า ครั้งพระเจ้าซุนฮิวยังมีพระชนม์อยู่ไม่ไว้ใจแก่ราชการ เกณฑ์ให้เตงฮองเปนนายใหญ่ออกไปตั้งค่ายอยู่ตามริมชายทเลนั้น ปราถนาจะกันกองทัพเมืองวุยก๊กไว้ แลทหารทั้งปวงเหล่านี้ก็พรั่งพร้อมกันอยู่ชอบท่วงทีแล้ว เราจะยกไปตีเมืองวุยก๊กทีเดียว หวังจะช่วยแก้แค้นพระเจ้าเล่าเสี้ยน จะยกกองทัพไปทางใดจึงจะสดวก
หอกหยกจึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะยกกองทัพไปตีเมืองวุยก๊กนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย บัดนี้เมืองเสฉวนก็เสียแก่สุมาเจียวแล้ว สุมาเจียวมีใจกำเริบนักหมายจะยกมาตีเมืองกังตั๋งอีก ขอให้พระองค์จัดแจงป้องกันรักษาเมืองมั่นไว้ อย่าเพ่อยกไปก่อนเลย แม้พระองค์มิฟังข้าพเจ้าจะขืนยกพลทหารไปบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งเอาฝอยไปทุ่มเข้าที่กองเพลิง
พระเจ้าซุนโฮได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเราคิดอ่านจะยกไปกำจัดสุมาเอี๋ยนจะเอาฤกษ์ชัยชนะ ตัวท่านมาทัดทานเปนอปมงคลฉนี้มิชอบ หากว่าตัวท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ก่อน ถ้าหาไม่เราจะประหารชีวิตเสีย ว่าดังนั้นแล้วก็ให้บูซูขับออกไปจากที่เฝ้า หอกหยกมาถึงข้างนอกแล้วก็ทอดใจใหญ่ ว่าสมบัติในเมืองกังตั๋งนานไปก็จะเปนของผู้อื่น ตั้งแต่นั้นมาหอกหยกก็บอกป่วยมิได้เข้าไปทำราชการดังแต่ก่อน
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮก็สั่งให้ลกข้อง ซึ่งไปรักษาเมืองเกงจิ๋วนั้นคิดอ่านจะให้ยกไปตีเมืองซงหยง ม้าใช้รู้กิตติศัพท์จึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋นว่า บัดนี้พระเจ้าซุนโฮให้กะเกณฑ์ทหารทั้งปวงจะยกมาตีเมืองซงหยง
ครั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้แจ้งดังนั้น จึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง กาอุ้นจึงทูลว่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าพระเจ้าซุนโฮได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋งนั้นมิได้ ประพฤติตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน ประเพณีแผ่นดินฟั่นเฟือนอยู่หาเปนปรกติไม่ ขอให้พระองค์มีรับสั่งไปถึงเอียวเก๋า ซึ่งเปนนายทหารอยู่ ณ เมืองซงหยงนั้น ซ่องสุมทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคง คอยดูท่วงทีเมืองกังตั๋ง ถ้าเกิดอันตรายจลาจลขึ้นแล้วเมื่อใด เราก็จะยกทัพใหญ่ไปโจมตีเอาเห็นจะได้โดยสดวก พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปถึงเอียวเก๋าตามถ้อยคำกาอุ้นทุกประการ
เอียวเก๋าครั้นแจ้งในข้อรับสั่งแล้ว ก็กะเกณฑ์ทหารออกไปตั้งรักษาด่านทางอยู่ทุกตำบล ครั้นมาวันหนึ่งทหารจึงเข้าไปบอกว่า บัดนี้ลกข้องนายทหารซึ่งยกมาตั้งอยู่ ณ ปลายแดนนั้นก็เรรวนฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ทแกล้วทหารก็มิได้คุมกันเปนหมวดกองโดยกระบวร ขอให้ท่านเร่งยกทหารไปโจมตีเอาเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย เอียวเก๋าจึงว่า อันลกข้องนี้มีสติปัญญาเปนสามารถ ทั้งฝีมือก็เข้มแขง เปนนายทหารใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ชำนิชำนาญในการสงครามมาช้านาน ซึ่งท่านจะประมาทดูเบาให้ยกไปตีลกข้องนั้นมิชอบ เราไม่เห็นด้วย ถ้าแลตั้งมั่นรออยู่ฟังกิตติศัพท์เมืองกังตั๋ง เห็นได้ทีแล้วจึงจะยกไปโจมตีเอาอย่าให้รู้ตัวจะมิดีหรือ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็คำนับเห็นชอบด้วย เอียวเก๋าก็ตั้งมั่นรอฟังกิตติศัพท์อยู่ ณ ปลายแดน
ฝ่ายพระเจ้าซุนโฮจึงให้มีหนังสือไปถึงลกข้องว่า ให้เร่งยกทหารตีล่วงด่านเมืองไต้จิ๋นเข้าไปเอาชัยชนะจงได้ ครั้นลกข้องแจ้งดังนั้นจึงให้หนังสือตอบไปว่า ซึ่งพระองค์จะให้ข้าพเจ้าเร่งยกกองทัพตีเข้าไปยังมิได้ท่วงทีก่อน จะขอตั้งมั่นไว้ ถ้าได้ช่องแล้วเมื่อใดจึงจะยกพลทหารทำการเข้าไปเอาชัยชนะ ขออย่าให้พระองค์ทรงพระวิตกเลย อันราชการฝ่ายนี้ข้าพเจ้าจะขอรับเอาเปนพนักงาน พระเจ้าซุนโฮได้แจ้งดังนั้นก็ทรงพระดำริห์ว่า ลกข้องนี้ไปตั้งขัดทัพอยู่เปนช้านาน ชรอยว่าจะเปนมิตร์สันถวะคุ้นเคยกันกับเอียวเก๋า จะกลับเข้าเปนพวกปัจจามิตร มิได้สัตย์ซื่อต่อเรามั่นคง จึงมีหนังสือตอบขัดแขงมาทั้งนี้ก็ทรงพระโกรธ จึงตั้งให้ซุนอี้ออกไปเปนนายใหญ่ควบคุมพลทหารทั้งปวง ก็ให้ถอดลกข้องนั้นออกเสีย
เอียวเก๋ารู้ว่าพระเจ้าซุนโฮประพฤติผิดขนบธรรมเนียมแต่ก่อน อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็มีความชิงชังเปนอันมาก แล้วก็ให้ถอดลกข้องออกเสีย เห็นอาการฟั่นเฟือนอยู่แล้ว ก็บอกหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น ขอกองทัพเร่งยกมาตีเอาเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็เร่งกะเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพจะยกมา กาอุ้นกับขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลห้ามว่าให้งดกองทัพไว้ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเห็นชอบ จึงให้งดกองทัพอยู่ ครั้นเอียวเก๋าแจ้งว่า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนมิได้ยกกองทัพมากระทำแก่เมืองกังตั๋งดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ว่าเมืองกังตั๋งนี้เสียถึงเก้าส่วนแล้ว ยังแต่ส่วนหนึ่งจะได้โดยง่ายแล้ว พระเจ้าสุมาเอี๋ยนก็มิได้ยกกองทัพมา คิดเสียดายนักมิรู้แล้วเลย ครั้นถึงปลายปีเอียวเก๋าป่วยลงก็ตาย
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้เตาอี้เบนที่ตินหลำจงกุ๋น มาเปนนายทหารรักษาเมืองเกงจิ๋วแทน ครั้นตินหลำจงกุ๋นรู้ว่าลกข้องแลเตงฮองถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าซุนโฮก็ประพฤติการฟั่นเฟือนเสพย์แต่สุราเปนนิตย์ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพิททูลห้ามปรามก็ให้ตัดปากจมูกเสีย ไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรก็ได้ความเดือดร้อนเปนอันมาก จึงมีหนังสือไปแจ้งแก่พระเจ้าสุมาเอี๋ยนจะขอไปตีเมืองกังตั๋ง
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ตั้งให้เตาอี้เปนที่ไตโต๋ก๊กคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพยกออกมาเมืองกังเหลงแลให้ตีเอาเมืองกังตั๋ง แล้วให้สุมาเตี้ยมเจ้าเมืองหลงเสียคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอิต๋ง ให้อองหุยคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางอัวกั๋ง ให้อ๋องหยงคุมทหารห้าหมื่นยกไปทางบูเฉียง ให้ห่อหุนถือพลทหารห้าหมื่นยกไปทางแฮเค้ากำหนดให้อยู่ในบังคับบัญชาเตาอี้ สิ้นทุกหมวดทุกกอง จึงเกณฑ์ให้องโยยกับตงปีนคุมเรือสำหรับจะข้ามส่งทแกล้วทหารทั้งปวง ม้าใช้จึงรีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่พระเจ้าซุนโฮ ณ เมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนโฮจึงปรึกษาแก่ขุนนางทั้งปวง
เตี๋ยวเค้าจึงทูลว่า ถ้าฉนั้นขอให้พระองค์แต่งกองทัพไปตั้งรับอยู่ ณ เมืองกังเหลงทางหนึ่ง ให้ซุนหลิมยกทหารกองหนึ่งไปตั้งรับทางเมืองแฮเค้า ตัวข้าพเจ้ากับสิมเอ๋งแลจูกัดเจงจะคุมทหารสิบหมื่น เปนแม่ทัพใหญ่ยกไปตั้งอยู่ตำบลเอียวจู๊คอยรับกองทัพเมืองไต้จิ๋น พระเจ้าซุนโฮเห็นชอบด้วย ก็ให้ยกทหารทั้งปวงไป
ครั้นพระเจ้าซุนโฮเสด็จกลับเข้าไปข้างใน ยิมหุนขันทีซึ่งเปนคนสนิธจึงทูลถามว่า ราชการครั้งนี้พระองค์จะคิดประการใด พระเจ้าซุนโฮจึงบอกว่า อันราชการทางบกนี้เรากะเกณฑ์พลทหารไปสกัดอยู่ทุกตำบลแล้ว ยังวิตกอยู่แต่กองทัพเรือซึ่งองโยยเปนแม่กองยกมานั้น ยังหาผู้ใดที่จะออกไปรับต้านทานมิได้ ยิมหุนจึงทูลว่า อันกองทัพเรือนั้นพระองค์จะปรารมภ์ไปไย ไว้พนักงานข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายตีให้แตกไปจงได้ พระเจ้าซุนโฮจึงถามว่าจะคิดเปนประการใด ยินหุนจึงทูลว่า ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอให้เอาเหล็กมาตีเปนสายโซ่สักห้าร้อยสาย ๆ ละห้าสิบวาขึงกั้นแม่น้ำเมืองกังตั๋งเสีย แล้วจะได้ปักขวากเหล็กไว้ใต้นํ้านอกสายโซ่ออกไป ถ้ากองทัพเรือยกมาก็จะโดนขวากเหล็กเข้าติดอยู่ เรือก็จะทลุล่มลงทแกล้วทหารก็จะล้มตายฉิบหายไปเอง พระเจ้าซุนโฮฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ช่างตีสายโซ่แลขวากเหล็กเปนอันมาก แล้วก็ให้ขึงปักไว้ที่ทางเลี้ยวแม่นํ้าเมืองกังตั๋งทุกตำบล
ฝ่ายเตาอี้คุมพลทหารรีบยกไปถึงตำบลเขาปาสันแต่ในเวลากลางคืน ก็ให้ซุ่มพลทหารไว้เปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้าม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ง่อเอี๋ยนซุนหลิม ๆ ก็ให้ยกพลทหารทั้งทางบกทางเรือเข้าโจมตีกองทัพเตาอี้เปนสามารถ แต่เวลาเช้าจนเที่ยงทหารล้มตายลงเปนอันมาก กองทัพเมืองไต้จิ๋นหนุนกันซํ้ามา กองทัพกังตั๋งน้อยตัวอิดโรยลง ง่อเอี๋ยนซุนหลิมเข้ารบตลุมบอนด้วยกองทัพเมืองไต้จิ๋นก็ถึงแก่ความตายในที่ รบ ทหารทั้งปวงสู้มิได้ก็แตกไป เตาอี้ได้ทีดังนี้ก็ยกทหารรีบตีหัวเมืองรายทางรวดขึ้นมา ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันออกมาคำนับสิ้นทุกหัวเมือง เตาอี้จึงกำชับทหารมิให้ทำอันตรายไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาดทีเดียว แล้วก็ให้กะเกณฑ์พลทหารพร้อมไว้ทุกหมวดทุกกอง จะได้ยกเข้าไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายเรือใช้ซึ่งเข้ามาสอดแนมตามลำน้ำ เห็นสายโซ่แลขวากเหล็กก็กลับออกไปบอกองโยย ๆ จึงให้ทหารตัดไม้ทำแพเปนอันมากแล้ว ให้เอาดินถมหลังแพเสียจึงตั้งเตาชักสูบบนหลังแพ แล้วให้ใช้ใบเข้ามาตามลำคลอง แลเรือรบนั้นค่อยตามมาข้างหลัง ครั้นแพใช้ใบเข้ามาติดขวากอยู่คลื่นพัดแพโคลงก็ถอนขวากเหล็กหลุดขึ้นสิ้น แพก็เลื่อนเข้าไปถึงสายโซ่ กองเพลิงบนหลังแพนั้นก็เผาสายโซ่เข้า ทหารทั้งปวงซึ่งอยู่ในเรือรบเห็นสายโซ่แดงแล้วก็ชวนกันเข้าตัดในทันใด เรือรบก็เลื่อนเข้าไปตามลำคลองได้ ทหารเมืองกังตั๋งซึ่งรักษาหน้าที่นั้นก็แตกตื่นหนีไปสิ้น ทหารเมืองไต้จิ๋นได้ทีก็ไล่ฟันเปนอลหม่าน สิมเอ๋งจูกัดเจงเตียวเข้าก็ถึงแก่ความตายสิ้นทั้งสามคน เตาอี้แลองโยยได้ทีก็ให้ยกทหารเข้าล้อมเมืองกังตั๋งไว้
พระเจ้าซุนโฮขึ้นทอดพระเนตรดูบนกำแพง เห็นทหารเมืองไต้จิ๋นเข้าล้อมเมืองไว้เปนสามารถ ทหารทั้งปวงก็พ่ายแพ้หนีไปมิต่อสู้ ก็สลดพระทัยลง ชักกระบี่ออกจะเชือดฅอตาย ขุนนางทั้งปวงจึงมาห้ามยึดเอากระบี่ไว้แล้วทูลว่า พระองค์ประหารชีวิตเสียนั้นหาประโยชน์มิได้ เปนสำหรับประเพณีแผ่นดินแล้ว ขอให้พระองค์นบนอบเหมือนกับพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามขนบธรรมเนียมเถิด
พระเจ้าซุนโฮก็เห็นชอบด้วย จึงเปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้านพาขุนนางทั้งปวงออกไปคำนับองโยย แล้วเอาบาญชีพลเมืองแลบาญชีสิ่งของในท้องพระคลังมอบให้กับองโยยทุกประการ องโยยก็มีความยินดีรับเอาสิ่งของทั้งปวงไว้ ก็ป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้อยู่ตามภูมิลำเนาทุกตำบล ห้ามทหารทั้งปวงมิให้ทำยํ่ายีแก่ไพร่บ้านพลเมืองเปนอันขาด แล้วตั้งให้เตาอี้อยู่ว่าราชการ ณ เมืองกังตั๋ง จึงพาเอาพระเจ้าซุนโฮแลขุนนางทั้งปวงมาเฝ้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ณ เมืองไต้จิ๋น
พระเจ้าสุมาเอี๋ยนทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าซุนโฮเข้ามาคำนับแล้วซบพระพักตร์ อยู่ จึงตรัสสัพยอกว่าที่อันนี้เราแต่งไว้ท่าท่านช้านานอยู่แล้ว พระเจ้าซุนโฮจึงทูลว่า ข้าพเจ้าอยู่เมืองกังตั๋งนั้นก็ได้แต่งที่ไว้คำนับพระองค์เหมือนหนึ่งฉนี้ก็ ช้านานหลายปี เหมือนหนึ่งพระองค์แต่งไว้ท่าข้าพเจ้า พระเจ้าสุมาเอี๋ยนแลพระเจ้าซุนโฮถ้อยทีตรัสสัพยอกฉนั้นแล้ว ต่างองค์ก็ทรงพระสรวลชื่นชมยินดีด้วยกัน แล้วให้แต่งโต๊ะมาเลี้ยงตามประเพณี
ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้นกาอุ้นจึงถามพระเจ้าซุนโฮว่า เมื่อท่านอยู่ในเมืองกังตั๋งนั้น ได้ยินลือมาว่าตัดจมูกตัดปากควักลูกตาขุนนางเสียด้วยเหตุอันใด พระเจ้าซุนโฮจึงตวาดแล้วว่าตัวเราเปนเจ้า ขุนนางทั้งปวงมิได้ตั้งอยู่ในบังคับบัญชา ทำลเมิดจากขนบธรรมเนียมผิดคนจึงทำโทษ เหตุไรท่านมาถามฉนี้จะใคร่แจ้งการอันใด กาอุ้นได้ฟังดังนั้นก็อัปยศแก่ใจก็นิ่งอยู่
ขณะนั้นพระเจ้าสุมาเอี๋ยนจึงตั้งให้พระเจ้าซุนโฮเปนที่อุ้ยเบ้งเฮา บันดาขุนนางซึ่งตามมาด้วยนั้นก็ตั้งแต่งให้เปนที่ตามฐานาศักดิ์ จึงพระราชทานรางวัลปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงซึ่งไปทำการได้ชัยชนะมา โดยสมควรตามชอบทุกประการ (พ.ศ. ๘๒๓)
แลเรื่องราวสามก๊กนี้เปนธรรมดาแผ่นดินมีความสุขก็นานแล้ว ก็ได้ความเดือดร้อนแล้วก็ได้ความสุขเล่า แลกระจายกันออกเปนแว่นแคว้นแดนประเทศของตัวแล้วก็กลับรวมเข้า แยกออกเปนสามก๊ก แล้วก็รวมเข้าเปนก๊กเดียวกัน ชื่อว่าเมืองไต้จิ๋น นับมาตามลำดับกษัตริย์ภายหลังนั้น พระเจ้าสุมาเอี๋ยนเสวยราชย์ได้สองปี พระเจ้าโจฮวนก็ถึงแก่ความตาย ครั้นถ้วนกำหนดสี่ปีพระเจ้าซุนโฮก็ถึงแก่ความตาย ครั้นเสวยราชย์ได้เจ็ดปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ถึงแก่ความตาย โดยบรรยายเรื่องราวสามก๊กนี้ก็บริบูรณ์
ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ ขออนุญาต นำไปอ่านออกเสียงเผยแพร่
ตอบลบในช่องยูทูปนะคะ
ด้วยความยินดียิ่งครับ
ลบอ่านครบแล้วค่ะ 87ตอน ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
ลบขอบพระคุณอย่างสูงครับ
ตอบลบ