'โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก' หนังสือสารคดีอิงประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ที่จะช่วยเปิดมุมมองผู้เหี้ยมหาญแห่งยุคสมัย เรื่องราวของยอดคนอันดับหนึ่งแห่งสามก๊ก “โจโฉ” ของ Siam Inter Book เริ่มวางจำหน่ายแล้ว !
'โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก' หนังสือสารคดีอิงประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก ที่จะช่วยเปิดมุมมองผู้เหี้ยมหาญแห่งยุคสมัย เรื่องราวของยอดคนอันดับหนึ่งแห่งสามก๊ก 'โจโฉ' ของ Siam Inter Book เริ่มวางจำหน่ายแล้ว !
'โจโฉ' นับเป็นบุคคลที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ทำให้ฉายา “ผู้เหี้ยมหาญคดโกงในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย” กลายเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวของเขาไปแล้ว
หากแต่ถ้าลองสืบค้นเอกสารประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง ก็จะพบว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์เฉกเช่นคนเราทุกวันนี้
ตลอดชีวิตโจโฉใช้ทั้งความคิดและการทุ่มเทของตนเองในการต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่
โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก เล่มนี้จะเล่าถึงชีวิตที่แสนมหัศจรรย์ของชายผู้นี้อย่างทะลุปรุโปร่ง อาจจะทำให้พวกเรารู้จัก และได้ประโยชน์จากการใช้ชีวิตและความเป็นคนของเขามากขึ้น
โจโฉเป็นผู้เหี้ยมหาญ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ เขามีเส้นทางชีวิตที่แสนยากลำบากอย่างไร และฝ่าฟันอุปสรรคจนยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
ในหนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงที่มาที่ไปต่าง ๆ เพื่อให้เรารู้และทำความเข้าใจกับยอดคนอันดับหนึ่งแห่งสามก๊กผู้นี้
เพื่อให้เราได้เห็นอีกหนึ่งมุมมอง ที่เราไม่เคยคิดและไม่เคยเห็นมาก่อน
โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก เป็นผลงานการประพันธ์ของ อู้หม่านหลานเจียง และแปลโดย จตุวิทย์ แก้วสุวรรณ์ ราคาเล่มละ 480 บาท
นักอ่านท่านใดสนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ siamintershop.com และจะเริ่มวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป ใน 10 พฤษภาคม 2563 นี้
ทดลองอ่าน >>> โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก
โจโฉ วีรบุรุษแห่งสามก๊ก
- [accordion]
- จับฮ่องเต้บัญชาอำมาตย์
- เรื่องนี้บอกพวกเราให้รู้ว่า เกิดเป็นมนุษย์ ความสำเร็จและความพ่ายแพ้จำนวนมากไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับคนแวดล้อมทั้งสิ้น โจโฉยึดลกเอี๋ยงจับองค์ฮ่องเต้ เดิมทีสิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ด้วยสถานการณ์ที่แสนสับสนวุ่นวายก็เป็นการสร้างโอกาสให้กับเขาด้วยเหมือน ซึ่งถ้าตัวโจโฉเองไม่ต้องการโอกาสนี้หรือไม่มีการเตรียมพร้อมในการเขายึดลกเอี๋ยงไว้ก่อน แม้ว่าจะมีโอกาสมันก็คงไม่วนเวียนจนตกมาถึงตัวเขาได้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วการแสดงออกของมนุษย์เรานั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการพยายายามทำอะไรอย่างเต็มความสามารถ เพราะถ้าไม่ตั้งใจทำก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเรื่องของปัจจัยแวดล้อมเข้ามาประกอบ เพราะสุดท้ายแล้วความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตฟ้าดินได้กำหนดไว้แล้วเช่นกัน
- ใครทำเรื่องเดือดร้อนให้ฮ่องเต้
- หากพูดถึงบรรพบุรุษ โจเตงปู่ของโจโฉเป็นถึงต้าฉางชิว ภูมิหลังนี้ทำให้โจโฉกลายเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่ง แต่หากจะเทียบกับอ้วนเสี้ยวแล้วถือว่าเขาโชคดีกว่าโจโฉ ดังนั้นเส้นทางความก้าวหน้าของวัยรุ่นทั้งสองคนนี้ แตกต่างกันเพราะความโชคดีของพวกเขาไม่เท่ากัน
เป็นเพราะว่าครอบครัวอ้วนเสี้ยวเป็นกงชิงถึงสี่ชั่วคน จึงได้รับการยอมรับจากขุนนางน้อยใหญ่ แต่ว่าชื่อของโจโฉปรากฏอยู่ในกลุ่มคณะขันที ทำให้ถูกดูถูกจากเหล่าบัณฑิต ดังนั้นเส้นทางของอ้วนเสี้ยวดูราบรื่น ส่วนเส้นทางของโจโฉมักจะตะกุกตะกัก
แต่ความตะกุกตะกักนี้เองที่ทำให้โจโฉเข้าใจตรรกะต่างๆ ได้มากกว่าอ้วนเสี้ยว
เหตุผลก็มีอยู่ว่า...เรื่องราวในโลกมนุษย์ ไม่เคยมีอะไรง่ายดายเอาเสียเลย
แต่อ้วนเสี้ยวกลับทำทุกอย่างให้ง่ายดาย เป็นเพราะในชีวิตนี้เขาไม่เคยพบกับความลำบากใดๆ ดังนั้นเข้าจึงได้คิดอะไรง่ายๆ เช่นเรื่องที่จะผลักดันให้เล่าหงีแห่งอิวจิ๋วขึ้นเป็นฮ่องเต้ ผลคือต้องพบกับคำปฏิเสธ และปัญหาของอ้วนสุดก็คือเขาคิดอะไรง่ายๆ มากกว่าอ้วนเสี้ยว เพราะคิดจะเป็นฮ่องเต้เสียเอง นั่นนำไปสู่การถูกหัวเราเยอะกันไปทั่วในสมัยนั้น
ความจริงก็คือไม่มีอะไรง่ายที่สุด อาจจะแค่ง่ายกว่า หากมองว่าง่ายมากสมองก็ดูจะไร้หลักการ เป็นเพราะโจโฉเคยประสบกับแรงต้านอยู่เรื่อยๆ ทำให้รู้ว่าใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง ซับซ้อนเกินจะวัดได้ หากเห็นเรื่องใดที่ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่เมื่ออยู่ภายใต้มุมมองหรือการตัดสินของมนุษย์ ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย
แต่คนที่พูดไม่เหมือนเขาก็คือตั๋งโต๊ะที่ยืนอยู่เหนือพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ แต่แม้ว่าเขาจะอยู่ตรงจุดนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขามาแบบมั่วๆ หากยึดตามพระบัญชาของพระเจ้าเลนเต้ แต่ปัญหาอยู่ที่คนที่พระเจ้าฮั่นเลนเต้สั่งให้ทำงานก็คือเกียนสิด และเขาก็ได้ฝากเรื่องทั้งหมดไว้กับขันที แต่ว่าเหล่าอำมาตย์กับขันทียืนอยู่คนละฝั่ง ดังนั้นเหล่าอำมาตย์จึงปฏิเสธเพราะเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ นี่คือสิ่งที่ทำให้อ้วนเสี้ยวคิดจะผลักดันเล่าหงีเป็นฮ่องเต้ เพราะหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการถกเถียงกันได้ในกลุ่มเสนาบดี
แต่ว่าโจโฉไม่ได้มองแบบนั้น เขากลับให้ความสนใจกับเรื่องที่กองกำลังภูผาดำเข้าโจมตีเหล่าเสนาบดีก่อนหน้านี้ เพราะกองกำลังเหล่านั้นเป็นเพียงกลุ่มชาวบ้านที่ไม่ได้มีความสามารถทางทหารใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้เลย เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้กำลังจะบอกอะไร
นี่เป็นการอธิบายว่าเหล่าราษฎรไม่ได้สนใจว่าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้กับคณะขันทีมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ราษฎรยอมรับเพียงฮ่องเต้ผู้ที่นั่งบนบังลังก์มังกร โดยไม่ได้สนใจว่าฮ่องเต้องค์นั้นจะขึ้นไปสู่ราชบัลลังก์ด้วยวิธีการใด
ใจของโจโฉนั้นยอมรับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ และนี่คือความแตกต่างระหว่างเขากับอ้วนเสี้ยว ก่อนหน้านี้ช่วงที่เขาพึ่งได้อิวจิ๋วมาครองนั้น ขุนนางนามว่ามอกายที่รับคำสั่งโจโฉให้บริหารบ้านเมืองนั้นได้เคยพูดกับเขาว่าหากมองจากสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ ผู้มีฝีมือทุกคนก็อยากจะมีที่ทางเป็นของตัวเองทั้งสิ้น แต่ละคนก็คิดว่าตนเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่เหนือคนเก่งย่อมมีคนที่เก่งกว่า ดังนั้นพื้นที่ที่มีอยู่ทั้งหมดล้วนไม่มีอะไรมั่นคง อาจรักษาที่มั่นเหล่านี้ไว้ได้ไม่นาน มันเปลี่ยนมือได้ตลอด
มอกายบอกเขาว่า โจโฉท่านจะต้องคิดเพื่อการรักษาที่ทางของตัวไว้ให้มั่นคง นั่นจำเป็นต้องคุมตัวฮ่องเต้ บัญชาบรรดาอำมาตย์ เพาะปลูกให้ข้าวนาสมบูรณ์ ทำได้เช่นนี้ถึงจะถืออำนาจได้มั่นคงดั่งใจหวัง
คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่โจโฉคิดอยู่ในใจพอดี เขาจึงรีบส่งอองปิดไปห้อหลำแล้วมุ่งต่อไปทางทิศตะวันตกสู่เตียงฮัน เพียงหวังจะติดต่อกับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ แต่ว่าขณะที่อองปิดเดินทางเข้าเขตโห้ลาย เขากลับถูกเตียวเอี๋ยนผู้ว่าการเมืองโห้ลายสะกัดเอาไว้
เตียวเอี๋ยนกล่าวว่าเจ้าเป็นใคร จะไปเตียงฮันทำไม เตียงฮันตอนนี้วุ่นวายมาก แม่ทัพของตั๋งโต๊ะลิฉุยกับกุยกีกำลังอาละวาดหนัก เจ้ารีบกลับไปเถอะ
อองปิดพยายามพูดขอเท่าไรเตียวเอี๋ยนก็ไม่ยอม ถึงตอนนี้ได้ปรากฏชายคนหนึ่งที่สามารถพูดให้เตียวเอี๋ยนยอมได้
ชายคนนี้ก็คือตังเจี๋ยว เดิมทีแล้วเขาเป็นผู้ว่าการเมืองวุยกุ๋น แต่เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากอ้วนเสี้ยวจึงได้ถอยออกมาจากอ้วนเสี้ยว และอยากไปเข้าเฝ้าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ที่เตียงฮันเพื่อชี้แจง เมื่อเดินทางมาพบเตียวเอี๋ยนที่โห้ลาย เตียวเอี๋ยนรู้สึกได้ว่าตังเจี๋ยวคนนี้ฉลาดหลักแหลม จึงได้ให้ตังเจี๋ยวอยู่กับเขาเพื่อเป็นผู้วางแผนงานให้กับตัวเอง ถึงตอนนี้เมื่อเห็นเตียวเอี๋ยนขวางทางทูตของโจโฉ ตังเจี๋ยวจึงได้ออกมาและพูดว่า
พวกท่านยังมองโจโฉไม่ออก มองผ่านๆ เหมือนเขากับอ้วนเสี้ยวเป็นพี่น้องกัน แต่จริงๆ พวกเขาไม่ลงรอยกันและตามที่ข้ามอง ต่อไปอ้วนเสี้ยวอาจจะไม่ใช่คู่ปรับที่จะสู้โจโฉได้ แล้วท่านจะผิดใจกับเขาทำไม ไม่ควรสร้างศัตรูที่ไม่จำเป็น
นักประวัติศาสตร์เคยวิจารณ์ไว้ว่าตังเจี๋ยวผู้นี้ ความแปลกของเขาอยู่ที่เขามองอนาคตได้อย่างแม่นยำ ตอนนั้นโจโฉถูกอ้วนเสี้ยวข่มเหงจนแทบตาย กลับไม่มีใครมองออกแต่ตังเจี๋ยวผู้นี้ไม่เพียงมองออกว่าโจโฉขัดแย้งกันกับอ้วนเสี้ยว ยังสามารถวิเคราะห์ได้ว่าต่อไปคนที่จะเป็นฝ่ายชนะจะต้องเป็นโจโฉ นี่นับเป็นความสามารถที่โดดเด่นจริงๆ
ลองคิดดูถ้าตันก๋งหรือว่าเตียวเมามีสายตาที่เฉียบแหลมอย่างตังเจี๋ยว จะเกิดความเดือดร้อนถึงขนาดนี้หรือไม่
แต่ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมชื่อของเตียวเมาและตันก๋งกลับถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ แต่คนอย่างตังเจี๋ยวกลับไร้ชื่อไร้นามใดๆ
เหตุผลก็คือไม่ว่ายุคใดสมัยใดคนโง่มักจะชอบหาเรื่อง ก่อความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน สร้างโศกนาฏกรรมนับไม่ถ้วน แต่คนฉลาดกลับไม่ออกหน้าทำอะไร เก็บตัวอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความสุขของตน คนที่ใช้ชีวิตผ่านบทเรียนล้มลุกคลุกคลาน ง่ายต่อการจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนคนที่ฉลาดใช้ชีวิตราบรื่น เขียนลงในหนังสือก็ดูจะไร้รสชาติ ดังนั้นคนฉลาดจึงกลับเป็นผู้ที่ไม่มีใครรู้จัก
จากคำแนะนำของตังเจี๋ยวทำให้เตียวเอี๋ยนเข้าใจมากขึ้น และอนุญาตให้ทูตคนนี้ผ่านแดนของตนไปได้
ในที่สุดผู้ทำหน้าที่ทูตอย่างอองปิดก็มาถึงเตียงฮัน เขาพบว่าผู้ที่มีอำนาจจริงๆ คือลิฉุยกับกุยกี ดังนั้นเขาจึงได้ทำหนังสือขอเข้าพบ
ลิฉุยกับกุยกีทั้งสองคนนี้เป็นบุคคลในยุคเปลี่ยนผ่านของสมัยฮั่น พูดง่ายๆ คือเป็นฐานให้วีรบุรุษอย่างโจโฉและเล่าปี่ พวกเขาเข้ามาในเตียงฮันก็เพียงเพราะว่าอ้องอุ้นผู้ฆ่าตั๋งโต๊ะมีอาการเลอะเลือนอยู่ช่วงหนึ่ง ปฏิเสธการละเว้นโทษให้พวกเขา ลิฉุยกับกุยกีจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงนำทัพเข้าตีเตียงอันแล้วฆ่าอ้องอุ้นเสีย หลังจากที่รบจนลิโป้พ่ายแพ้ถอยทัพ พวกเขาจึงจำต้องยึดสถานที่บอบช้ำแห่งนี้ไว้เป็นที่ตั้ง
เมื่อพูดถึงเรื่องที่ลิฉุยกับกุยกีได้พบทูตอย่างอองปิด พวกเขาเข้ามามองใกล้ๆ แล้วตะโกนว่าโจโฉ โจโฉไหนกัน มันคือโจรกวนตงที่วางแผนต่อต้านใช่หรือไม่ คนพวกนี้แต่ละคนจิตใจโหดร้ายกันทั้งนั้นทุกคนคิดเพียงแต่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้เสียเอง ไม่มีใครเคยเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา โจโฉ ชื่อนี้แม้ว่าพวกเราจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ถ้าหากว่าเป็นพวกเดียวกันกับโจรกวนตงล่ะก็ มันก็คงไม่ใช่คนดีที่ไหนหรอก พวกเจ้าเข้ามาพาเจ้าทูตคนนี้ออกไป
ช้าก่อน ตอนนี้จงฮิวเดินแทรกออกมาแล้วพูดว่าผู้นำทั้งสองท่าน ข้าขอแสดงความเห็น การตัดสินใจของพวกท่านฉลาดมาก ข้าขอสนับสนุนและจะพยายามเรียนรู้และปฏิบัติตามอย่างเต็มที่ แต่ว่าพวกโจรกวนตงนั้นแต่ละคนมีความคิดแตกต่างกัน แต่มีเพียงแค่โจโฉคนเดียวที่ยังเห็นฮ่องเต้ยังเป็นฮ่องเต้อยู่บ้าง ท่าทีแบบนี้ของโจโฉยังถือว่าไม่เลวนะ ราชสำนักควรจะให้กำลังใจและสนับสนุนเขา เพื่อต่อไปคนอื่นจะได้เอาเป็นแบบอย่าง
ลิฉุยกับกุยกีจึงได้กล่าวตอบว่า เจ้าพูดตลกอะไรกัน ฟังไม่เข้าใจ แต่ว่ารวมๆ แล้วยังพอเข้าใจอยู่บ้าง ในเมื่อโจโฉได้ส่งทูตมาแล้ว ก็พูดได้ว่าเขายังจงรักภักดีกับราชสำนักอยู่บ้าง เมื่อกี้ใครพูดว่าจะต้องจับทูตนะ การจับทูตนั้นไม่ถูกต้อง ขอเพียงพวกเราทั้งสองคนยังอยู่ ยังไงก็จะไม่ยอมให้คนพวกนั้นเข้ามาทำอะไรได้หรอก เหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ โจโฉผ่านกระบวนการทดสอบแสนยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดเขาสามารถติดต่อกับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ได้แล้ว - หญิงคนเดียววุ่นวายกันทั้งแผ่นดิน
- หลังจากสามารถติดต่อกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้แล้ว โจโฉก็รู้สึกได้ว่าชีวิตนี้ยังมีความหอมหวานอยู่บ้างปี ค.ศ. 195 โจโฉอายุได้ 41 ปี ปีนี้เป็นปีที่เขาทำสงครามกับลิโป้ที่จี้ว์เหยี่ย เขาได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ให้เป็นผู้ว่าการแคว้นอิวจิ๋วกล่าวได้ว่าโจโฉดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นอิวจิ๋วจากพระราชโองการทองคำที่ออกโดยราชสำนัก แต่อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด และเล่าปี่นั้นแต่งตั้งตัวเอง ซึ่งไม่อาจเปรียบกันได้ จะพูดกันแรงๆ หน่อยก็คือ ตำแหน่งของเขานั้นเป็นไปตามกฎหมาย แต่ตำแหน่งขุนนางของอ้วนเสี้ยว อ้วนสุดและเล่าปี่นั้นล้วนผิดกฎหมายทั้งสิ้นดังนั้นโจโฉจึงเขียนหนังสือรายงานการทำงาน ชื่อว่าลิ่งอิวจิ๋วมู่เปี่ยวถวายพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ว่าในวังหลวงข้าพเจ้าดูแลทหารของฮ่องเต้ นอกวังหลวงข้าพเจ้าเป็นแม่ทัพ เนื่องด้วยบรรพบุรุษหลายชั่วคนได้รับพระเมตตาจะองค์ฮ่องเต้ ทุกคนต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ไม่เคยเสียดายชีวิตของตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้เป็นทหารรับใช้แผ่นดินและออกทำสงครามตามพระประสงค์ ตอนนี้ยังไม่อาจจับคนชั่วและบำบัดทุกข์ให้หมดสิ้น จึงรู้สึกละอายที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ดำรงตำแหน่งและกินเงินหลวงอยู่ทุกวันนี้ เหตุเพราะยังไม่ได้สร้างคุณูปการให้สมดั่งพระทัย ผลงานล้วนยังไม่อาจรายงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ชื่อเสียงของข้าพเจ้าก็ยังไม่สมกับสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ ทุกวันนี้รู้สึกเหมือนถูกหัวเราะเยาะ นั่นทำให้ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีหนังสือฉบับนี้ในมุมมองของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์นั้นรู้สึกว่าเป็นรายงานการทำงานที่ทำให้ต้องร้องออกมาเสียงดัง มันเข้าใจยากมากแต่ว่าความหมายคร่าวๆ น่าจะพอเดาได้รายงานสั้นๆ เช่นนี้ กินความหมายทั้งหมดสามชั้น คือ หนึ่ง แสดงความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ นี่เป็นคำพูดไร้สาระที่สำคัญที่สุด ไม่อาจลืมได้ สอง จากการที่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ทำให้งานที่เขาเคยทำมาในอดีต กลายเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายไปด้วย สาม ข้อความแสดงเจตนารมณ์และแสดงความจงรักภักดีแต่คิดว่าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้น่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นรายงานฉบับนี้ เพราะเตียงฮันได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก ครั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ต้องโกลาหลกันทั้งแผ่นดินกลับเป็นเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวผู้หญิงคนนี้คือเมียของกุยกี นางเห็นว่าแต่ละวันกุยกีเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับลิฉุย ตัวติดกันไม่เคยห่าง นางเกิดความสงสัยจึงได้แอบส่งคนไปสืบ สายข่าวรายงานว่าสาวใช้บ้านลิฉุยหน้าตางดงาม ตอนนั้นเมียของกุยกีจึงโกรธหนักเพราะทุกข์ใจกลัวว่าสามีจะมีคนอื่น เพื่อเอาสามีกลับคืนมา นางจึงแบบใส่ยาพิษลงในผักผลไม้ที่ลิฉุยส่งมา แล้วเอาไปให้ไก่กิน ไก่ก็ตายในทันทีกุยกีตกใจ คิดว่าลิฉุยจะลอบทำร้ายตัวเองนับแต่นี้ลิฉุยกับกุยกีก็แตกสามัคคีกัน และจ้องแต่จะฆ่ากัน พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ทนไม่ไหวจึงส่งคนออกไปหาข้อยุติ อยากให้ทั้งสองฝ่ายประนีประนอมและเข้าใจกัน แต่ว่าการพูดคุยล้มเหลว ลิฉุยและกุยกี คนหนึ่งจับตัวฮ่องเต้เอาไว้ อีกคนจับตัวกงชิงเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่หลายเดือน คนตายเป็นหมื่น เตียงฮันกลายเป็นเมืองร้างในที่สุดทั้งสองคนก็ตีกันจนเหนื่อย ภายใต้คำแนะนำของอดีตแม่ทัพของตั๋งโต๊ะอีกคนคือเตียวเจ สุดท้ายแล้วทั้งสองคนก็เข้าใจกัน แต่นี่หมายความว่าพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้กำลังจะแย่ ทั้งสองคนกลัวเพียงสิ่งเดียวคือการที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงม้าออกจากเตียงฮัน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มออกตามปลงพระชนม์พระเจ้าเหี้ยนเต้ แม้ว่าพระองค์จะหนีรอดมาได้ แต่ว่าเหล่าขุนนางและนางกำนัลทั้งหลายที่ตามขบวนเสด็จต้องตายกันไปเป็นจำนวนมากพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ต้องประสบกับความลำบากในการเดินทางไกล ในที่สุดก็มาถึงอันอิบ ผ่านไปไม่นาน แม่ทัพรองของตั๋งโต๊ะเอียวฮองและแม่ทัพของกบฏโพกผ้าเหลืองหันเซียมร่วมกันนำเสด็จพระองค์กลับสู่ราชธานีฝั่งตะวันออกราชธานีทางตัวตะวันออกอย่างลกเอี๋ยงตอนนี้เหลือแต่ซากปรักหักพัง ในสิบห้องมีเก้าห้องที่รกร้าง ข้าหลวงที่ตามพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ทำได้เพียงแค่เอาตัวรอดไปวันๆ นอนขดอยู่ตามริมกำแพง แย่ที่สุดคือไม่มีอาหาร ข้าหลวงที่ระดับต่ำกว่าซ่างซูหลัง(1) ทั้งหมดทำหน้าที่ขุดผักในป่า หรือไม่ก็หิวตายอยู่ในห้อง หรือไม่ก็ถูกทหารฆ่า สถานการณ์โหดร้ายจนถึงที่สุดพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ในตอนนี้ไร้ทางไปต่อ นำไปสู่การมีพระบัญชาที่เปี่ยมพระปรีชาญาณทรงให้ส่งทูตไปนำตัวลิโป้ อ้วนเสี้ยวและอ้วนสุดกลับมา เพราะในสายตาของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ทุกคนคือวีรบุรุษของแผ่นดิน ดังนั้นจะต้องช่วยพระองค์ให้พ้นจากความยากลำบากนี้ได้อย่างแน่นอนทูตออกเดินทาง กลุ่มแรกไปหาลิโป้ โชคร้ายก็คือระหว่างทางราชโองการที่พกติดตัวไปถูกขโมยไปเสีย นำไปสู่การเสียโอกาสที่ลิโป้จะได้พบกับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้และก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกทูตกลุ่มที่สองถูงส่งไปหาอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวมองพวกเขาด้วยสีหน้าและสายตาถมึงทึงแล้วพูดว่า พวกเจ้าเห็นว่าเราอ้วนเสี้ยวเป็นไอ้โง่หรือไง คิดหรือว่าเรามองไม่ออกว่ามันเป็นแผนร้ายที่ตั้งโต๊ะส่งพวกเจ้ามา พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกเอาทูตพวกนี้ออกไปฆ่าเสียอย่าๆ ทูตรีบอธิบายว่าอ้วนเสี้ยว ทำไมท่านถึงพูดว่าพวกเรามาด้วยแผนร้ายและยังเป็นแผนร้ายของตั๋งโต๊ะ ข้าจะเล่าให้ฟังว่าตั้งโต๊ะตายไปนานแล้ว ต่อมาลิฉุยกับกุยกี...งั้นพวกเจ้าก็มาด้วยแผนร้ายของลิฉุยและกุยกี ลากมันออกไป ฆ่ามัน อ้วนเสี้ยวตัดบทของพวกทูตถึงตอนนี้กุนซืออย่างจอสิวก็รีบออกมาพูดว่ารอก่อนๆ นายท่านฟังข้า นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก สมมติว่าถ้าแม่ทัพเข้ายึดลกเอี๋ยง ใช้ฮ่องเต้เป็นเครื่องมือในการบัญชาการเหล่าขุนนาง ต่อไปใครจะกล้าต่อต้านท่านผิดแล้ว ผิดมากและผิดที่สุด กุนซือกัวเต๋าและอิเขงออกมากันสองคน ร่วมกันต่อต้านคำพูดของจอสิวว่า นายท่านอย่าฟังคำพูดเลอะเลือนของจอสิว ชายผู้มีไร้สติ มันหลอกท่าน นายท่านลองคิดดู ถ้าท่านไปลกเอี๋ยง เพราะเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้จะต้องมีพระราชบัญชา ถ้าท่านฟังนั่นก็ต้องปลดอาวุธทั้งหมดและต้องรับโทษ ส่วนถ้าท่านไม่ฟัง ท่านก็จะกลายเป็นโจรก่อการร้ายแห่งราชสำนัก ใครๆ ก็สามารถฆ่าท่านได้ ดังนั้นการใช้ฮ่องเต้เป็นเครื่องมือในการบัญชาเสนาบดีนั้น ฟังดูรื่นหู แต่ความเป็นไปได้นั้นไม่มีเลย เป็นแต่เพียงคำพูดเพ้อเจ้อจอสิวโกรธมาก ด่ากัวเต๋าและอิเขงว่านายท่าน เจ้าสองคนนี้สมองมันซึมน้ำเสียแล้ว ท่านอย่าไปฟังพวกมัน ขอให้นายท่านลองคิดดู ถ้าท่านไม่ไปลกเอี๋ยง แล้วถ้าคนอื่นไปถึงก่อน ถึงเวลาใช้ฮ่องเต้ให้มาเอาชีวิตท่าน ท่านจะฟังหรือไม่ถึงตอนนี้...อ้วนเสี้ยวคิดหนักจอสิวถือคติตีเหล็กตอนร้อน จึงรีบพูดต่อไปว่านายท่าน ถ้ามีใครแย่งโอกาสท่านไป ใช้ฮ่องเต้ให้ออกพระบัญชา ถ้าท่านไม่ยอมก็จะเป็นโจรของราชสำนัก ถ้าท่านยอมก็ต้องรับโทษ นี่สิถึงจะเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงมีเหตุผลๆ อ้วนเสี้ยวแสดงสัญญาณ แล้วกล่าวว่าบัดนี้ข้าขอประกาศ ฝั่งจอสิวมีหนึ่งคะแนน ส่วนกัวเต๋าและอิเขงมีสองคะแนน ดังนั้นพวกนี้จึงชนะ จอสิวแพ้ เอาทูตออกไปฆ่าเสียอ้วนเสี้ยวขาดความมั่นใจในตัวเอง กังวลใจว่าจะควบคุมฮ่องเต้ไม่สำเร็จ กลับจะถูกฮ่องเต้จับกุมเอาเสีย จึงปฏิเสธขอแนะนำของจอสิว แล้วสั่งฆ่าทูตเสียสิ้น ละทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปส่วนทูตกลุ่มที่สาม ไปกันสองคน คือเจ้าหลินและหม่ารื่อ พวกเขาแบกความรับผิดชอบในการนำอ้วนสุดกลับราชสำนัก เพราะรับพระบัญชาที่สำคัญยิ่งของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้แต่ว่าในใจอ้วนสุดก็ยังยึดติดกับคำทำนายที่ว่า “ผู้สยบราชสำนักฮั่นคือถูเกา” คิดเพียงอยากจะเป็นฮ่องเต้ เห็นสองคนนี้มาหา เขาจึงกรอกตาครุ่นคิดและได้อุบายแสนแยบยลออกมาอย่างหนึ่งอ้วนสุดยืมดูตราแห่งราชสำนักจากหม่ารื่อ โดยบอกว่าขอดูแล้วจะคืน แต่หลังจากที่เอาตรานั่นไปกลับไม่ยอมคืนให้หมารื่ออีก ตราอันนี้เป็นหลักฐานแสดงตัวตนเวลาเดินทางออกจากวังหลวง สิ่งสำคัญคือคนอยู่ตราอยู่ คนตายแต่ตราต้องยังอยู่ ในยุคนั้นยังมีอีกเหตุการณ์คือซู่กู่ถูกส่งไปซยงหนูในฐานะทูตเขาถูกปล่อยทิ้งในทุ่งเลี้ยงสัตว์ถึงสิบเก้าปี ลายขนนกบนตรานั้นยังสะท้อนแวววาวอยู่ในมือของเขา ดังนั้นตราประจำตัวของผู้ที่ออกไปติดต่อราชการหรือสัญลักษณ์ของการเป็นทูต ถ้าหากทำมันหายไปหม่ารื่อก็ไม่สามารถกลับไปราชสำนักได้อีกแต่ว่าอ้วนสุดยังไงก็ไม่ยอมคืน หม่ารื่อโกรธและเกิดลมตีขึ้น สุดท้ายเขากระอักเลือดตาย ดังนั้นทูตทั้งสามคณะของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ล้วนล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ดูไปแล้ว ไม่มีใครสนใจเรื่องของการใช้ฮ่องเต้เป็นเครื่องมือในการบัญชาเสนาบดีอีกแล้วนอกจากโจโฉ
1. ซั่งซูหลังเป็นตำแหน่งขุนนางที่ถวายงานฮ่องเต้ในส่วนของการแก้ปัญหาข้อราชการทั้งปวง โดยเป็นปัญญาชนที่คัดเลือกมาจากกลุ่มขุนนางในตำแหน่งเซี่ยวเหลียนซึ่งเซี่ยวเหลียนนี้เป็นระบบการคัดเลือกคนที่พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ทรงมีพระบัญชาให้เลือกคนที่มีความกตัญญูและเป็นคนใจซื่อมือสะอาดมาเข้ารับราชการ และได้เรียกระบบการคัดเลือกนี้เป็นชื่อตำแหน่งขุนนางในเวลาเดียวกัน แต่ภายในระบบนี้ยังมีอีกหลายระดับซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ - สิ่งที่ยากที่สุดของมนุษย์คือการสร้างภาพ
- ปี ค.ศ. 196 พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ขอให้อ้วนเสี้ยวและอ้วนสุดกลับมาใช้อำนาจของพระองค์ในการสั่งเสนาบดี แต่ว่าทูตทุกคนตายหมด ในเดือนแปดปีเดียวกัน โจโฉได้คุยเรื่องความเป็นไปได้ในการใช้อำนาจฮ่องเต้ในการสั่งเสนาบดี ในคราวที่สี่ว์ชางเรียกประชุมด้านการทหารในการประชุมดูเหมือนทั้งหมดจะคิดว่าการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ควรไม่ทำเป็นอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเป็นเรื่องของคนปัญญาอ่อนที่ชอบฝันลมๆ แล้งๆ ฮ่องเต้ควบคุมได้ง่ายขนาดนั้นหรือ เสนาบดีสั่งง่ายอย่างนั้นหรือ ดินแดนของโจโฉยังไม่มั่นคงและคนที่อยู่ข้างกายพระองค์ในตอนนี้คือหันเซียมแม่ทัพกลุ่มกบฏโพกผ้าเหลือง เอียวฮองก็เป็นคนของตั๋งโต๊ะ ทั้งสองคนนี้มีความหยิ่งผยองในตัวเองยิ่งนัก และเป็นคนที่โหดร้ายทำอะไรตามอำเภอใจ ทำงานด้วยง่ายอย่างนั้นหรือเห็นแนวโน้มของข้อสรุปแล้ว ถึงตอนนี้ซุนฮกจึงออกโรงพูดบ้าง คำพูดของเขาค่อนข้างยาว แต่โดยสรุปแล้วอาจครอบคลุม 3 ประเด็นคือหนึ่ง ในประวัติศาสตร์เหตุการณ์แบบนี้ก็มีให้เห็น เช่นในสมัยชุนชิวจินบุ๋นกงยอมรับและค้ำชูจิวเซี่ยงอ๋อง ดังนั้นเหล่าเสนาบดีจึงยอมฟัง ฮั่นโกโจเล่าปังไว้อาลัยและให้เกียรติพระเจ้างี่เต้หรืออี้ตี้(1) สิ่งนี้ทำให้คุณธรรมอยู่เหนือใจคน จะเห็นได้ว่าการอาศัยพระราชอำนาจของฮ่องเต้นั้นไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่ต้องดูว่าใครเป็นคนทำสอง ตอนนี้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ทรงตกยาก แต่ละวันทรงรอคอยว่าจะมีใครส่งคนมาช่วยเหลือพระองค์ ถ้าโจโฉไม่ลงมือ คนอื่นชิงลงมือไปก่อน อย่ามาโทษว่าไม่เคยพูดเรื่องนี้นะสาม คุมฮ่องเต้หรือถูกฮ่องเต้คุมล้วนอยู่ที่สติปัญญา คนที่โง่เขลาเข้าไปทำแน่นอนก็จะถูกพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ควบคุม แต่ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนฉลาดพอ การควบคุมฮ่องเต้นั้นไม่ใช่ปัญหา ซุนฮกชี้ให้เห็นว่า ปัญญาของโจโฉนั้นพึ่งพาได้ หากให้ทำงานนี้ไม่น่าจะมีปัญหาคำพูดของซุนฮก เป็นการจุดประกายความฝัน โจโฉรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จึงมีคำสั่งให้แม่ทัพโจหองนำทหารเดินทางไปทางทิศตะวันตกเพื่อรับองค์ฮ่องเต้ ไม่นานก็ได้รับข้อมูลว่าโจหองพบกับแม่ทัพตังสินและแม่ทัพของอ้วนสุดอีกคนนามว่าฉางหนูขัดขวางไว้ ไม่อนุญาตให้ไปเข้าเฝ้า แผนการที่เหมือนจะราบรื่นก็เริ่มถูกขัดขวางเสียแล้วถึงตอนนี้บุคคลประหลาดอย่างตังเจี๋ยวจึงเดินออกมาด้วยท่าทางทะนงพร้อมกล่าวว่า...ก่อนหน้านี้เตียวเอี๋ยงผู้ว่าการเมืองนำคนขนเสบียงมารับเสด็จพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้กลางทาง พระองค์ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงเลื่อนตำแหน่งให้เตียวเอี๋ยงเป็นเสนาบดีกลาโหม ตังเจี๋ยวที่อยู่ข้างกายเตียวเอี๋ยงก็พลอยได้เลื่อนตำแหน่งด้วย บัดนี้ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอี้หลังโดยสมบูรณ์ตังเจี๋ยวพบว่าทหารของโจโฉถูกกักอยู่ด้านนอก เขากรอกตาคิดแล้วจึงเขียนจดหมายฉนับหนึ่งให้เอียวฮองผู้บัญชาการกองพลทหารม้าศึกโดยเนื้อความในจดหมายคือแม่ทัพเอียว ท่านสบายดีไหม ท่านคงรู้ว่าข้ากำลังคิดถึงท่านใช่ไหม แม่ทัพชื่อเสียงเกริกไกร คนอื่นเป็นแค่ขนนก ชาตินี้สำหรับโจโฉไม่เคยมีคนอื่นอยู่ในสายตาเรายกย่องเพียงท่านแม่ทัพเอียว......ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าตังเจี๋ยวเป็นคนเขียนจดหมายหรอกหรือ ทำไมมีน้ำเสียงของโจโฉอยู่ไม่ผิด จดหมายของตังเจี๋ยวฉบับนี้ ใช้ท่วงทำนองของโจโฉเขียนแล้วยังลงชื่อโจโฉไว้ด้วยเราและแม่ทัพล้วนชอบนิยมในเมตตาธรรม เน้นคุณธรรมเป็นสำคัญ ตอนนี้แม่ทัพมีความลำบากในการนำทหาร ในการนำกองกำลังกลับสู่ราชธานีเดิม คุณูปการในการถวายงานฮ่องเต้มากมายเกินกว่าจะบรรยายได้ ไม่อาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้ ถือเป็นเกียรติสูงสุด ในตอนนี้โจรชั่วก่อความวุ่นวายทั้งแผ่นดิน เดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า ฐานะขององค์ฮ่องเต้นั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นกลไกสำคัญที่สุดคือผู้ถวายงานองค์ฮ่องเต้ สิ่งที่จำเป็นคือคนที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ์ควรเป็นคนดี ทั้งนี้ก็เพื่อให้แผ่นดินกลับมาสู่ความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้เพียงคนเดียว ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนมากมาย หากขาดใครไปสักคนหนึ่ง นั่นก็หมายความว่าขาดความสมบูรณ์ แม่ทัพท่านเป็นผู้นำของเหล่าข้าหลวงในราชสำนัก เราควรทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนอยู่ภาพนอก ตอนนี้เรามีเสบียง แม่ทัพมีกองกำลัง สิ่งที่เรามีกับสิ่งที่ท่านไม่มีสามารถสอดรับสนับสนุนกันได้ นั่นเพียงพอที่จะทำให้พวกเราร่วมทำงานกันได้ ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจพวกเราจะร่วมด้วยช่วยกันจดหมายฉบับนี้ ใช้น้ำเสียงและท่าทีในการพูดของโจโฉ ปั่นคำชมให้เอียวฮองมากมายโดยไม่ต้องคิด เพื่อแสดงให้เห็นว่าสนับสนุนเอียวฮองอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ สุดท้ายได้เขียน “จะอยู้ด้วยกันจวบจนวันตาย” ความหมายก็คือเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไปตอนได้อ่านจดหมายฉบับนี้ เอียวฮองถึงกับน้ำตาไหลในทันที โดยพูดว่าทหารผู้จงรักภักดี ทำนุบำรุงแผ่นดินให้บริบูรณ์ไปทั่วราชอาณาจักร ข้าเองก็รู้มาแต่แรกแล้วว่าจะต้องมีคนเห็นถึงความเป็นวีรบุรุษที่ชาญฉลาดของข้าเอียวฮอง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ดูสิโจโฉช่างเป็นคนที่มีสายตาอันแหลมคม ดูคำพูดของเขาที่มีต่อข้าสิ คุณูปการแห่งท่าน แผ่ไปไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยความยุติธรรม ชั่วชีวิตของข้าไม่เคยเห็นคำกล่าวใด ที่บริสุทธ์ยุติธรรมไปมากกว่านี้อีกแล้วเอียวฮองตื้นตันใจ จึงได้เขียนสารกราบทูลว่าใต้ฝ่าพระบาท การบริหารประเทศนั้นจะต้องใช้คนที่มีความจงรักภักดี เช่นโจโฉ เขาผู้นี้ได้รับความกดดันและถูกข่มเหงอย่างโหดร้ายมาโดยตลอด ไม่เคยถูกให้ความสำคัญใดๆ เลย จนความชั่วร้ายเริ่มครอบงำ ความดีในใจเริ่มลดรอนลงไป เราไม่ควรปล่อยให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ ได้อีกแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราต้องจริงจังที่จะทำอะไรสักอย่างแล้วในพระทัยของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ คนที่พระองค์เชื่อมั่นที่สุดคือลิโป้ นั่นก็เพราะลิโป้เป็นผู้สังหารตั๋งโต๊ะ รองลงมาก็คืออ้วนเสี้ยวและอ้วนสุดสองพี่น้อง เพราะว่าตระกูลของเขาเป็นกงชิง มีชื่อเสียงมาก สำหรับโจโฉแล้วพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ยังไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ว่าด้วยเหตุที่เอียวฮองเป็นคนดุมาก ใช้อำนาจของพระองค์ไปว่าราชการ พระองค์จึงไม่กล้าขัดใจดังนั้นพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ทำตามความต้องการของเอียวฮอง ตั้งโจโฉให้เป็นแม่ทัพพิทักษ์บูรพา สืบทอดตำแหน่งเฟ่ยถิงโหว...ตำแหน่งเฟ่ยถิงโหวนี้ เดิมทีเคยเป็นตำแหน่งของโจเตงปู่ของโจโฉนั่นเองถึงตอนนี้โจโฉก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกันกับตังเจี๋ยวแล้ว ได้เห็นคำสั่งก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ปลื้มปิติที่ได้เลื่อนตำแหน่งอยู่นั้น ก็ได้ฉุกคิดขึ้นมาว่า ช้าก่อน สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นมนุษย์ คือการสร้างภาพ มันยากตรงที่จะหาข้ออ้างหรือหาเหตุผลใดๆ ไม่ได้ ตอนนี้เรื่องที่ได้รับการแต่งตั้ง เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่เกิดจากการสร้างภาพหนิ เราจะทำพลาดไม่ได้ดังนั้นโจโฉจึงสั่งให้ลูกน้องพวกที่ร่างหนังสือเก่งไปจุดตะเกียงน้ำมัน ช่วยกันครุ่นคิดอยู่หลายวัน แก้แล้วแก้อีก จนได้หนังสือถวายพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ฉบับหนึ่งจดหมายฉบับนี้เขียนได้ดีมาก เริ่มต้นด้วยการการรำพึงถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของต้าฉางชิงโจเตงในอดีต และยังย้อนไปถึงต้นสกุลโจว่าบรรพบุรุษมีคุณธรรม ทำงานถวายราชสำนักอย่างมีประสิทธิผล ลูกหลานได้พึ่งพา ประจวบเหมาะกับที่ตอนนี้ทุกคนก็รับรู้แล้วว่าโจโฉได้รับตำแหน่งเฟ่ยถิงโหวเป็นเรื่องที่ถูกต้องด้วยหลักการ แล้วโจโฉก็วกมาเขียนต่อด้วยข้อความที่แสดงถึงการวิจารณ์ตัวเองว่าความสามารถยังไม่พอ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระเมตตาแต่งตั้งซึ่งสุดท้ายแล้วผลงานต่างๆ ของต้าฉางชิวโจเตงก็เงียบหายไป ซึ่งใครๆ ก็รับรู้เรื่องนี้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้ ได้ออกพระราชโองการฉบับแรกไปตามปกติ แต่ก็ทรงสงสัยว่าแล้วทำไมอยู่ดีๆ ก็มาเปลี่ยนเป็นกลุ่มขบวนการคิดถึงต้าฉางชิวโจเตงกันเล่า ก็ได้ออกประกาศอีกรอบแล้วบอกโจโฉว่าอย่างสร้างเรื่อง ให้รีบมารับตำแหน่งโจโฉส่งหนังสือขึ้นไปอีกฉบับเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงประสบการณ์ในการทำสงครามของตัวเอง ท้ายสุดได้สรุปว่าแม้ว่าตนเองจะมีความก้าวหน้ามากและผลงานก็ไม่น้อย แต่ว่าผลงานนี้ควรต้องกลับสู่ราชสำนัก กลับสู่องค์ฮ่องเต้ จึงควรได้รับการปูนบำเหน็จแต่งตั้งทั้งหมดถือเป็นการพูดแทนเพื่อนร่วมทัพทุกคนที่เคยช่วยเขาจบหมายฉบับที่สอง โจโฉแสดงให้เห็นถึงการมีคุณธรรมเอาชนะใจคนอื่น ทำให้คนอื่นได้รู้ว่าเขาเป็นคนที่ประพฤติตนเปี่ยมด้วยคุณธรรม อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำงานตั้งใจทำงานโดยไม่ต้องอ้วดอ้างใดๆพระเจ้าเหี้ยนเต้เลือกเขาด้วยเหตุที่ไม่มีทางเลือก จึงทำใด้เพียงส่งพระราชโองการครั้งที่สาม ครั้งแรก โจโฉจึงได้นำส่งปฏิเสธการรับตำแหน่งเป็นเฟ่ยถิงโหว จากการสร้างภาพของโจโฉขึ้นไปสองรอบ สุดท้ายชื่อเสียงของโจโฉจึงได้โด่งดังขึ้นมาการปฎิเสธทั้งสองครั้งของเขา เป็นการแสดงความอัดอั้นตันใจของโจโฉที่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยความยุติธรรม โจโฉได้พยายามจนสุดความสามารถแล้ว เพื่อแสดงให้โลกได้รับรู้ถึงสติปัญญาและความสามารถของเขา แต่ว่าทุกคนก็ดูเหมือนจะมองข้ามไป ต่อให้บังคับอย่างไรก็คงไม่มีใครเชื่อ ทุกคนล้วนเทคะแนนไปให้อ้วนเสี้ยว หรือแม้ว่าจะเป็นคนที่สติปัญญาต่ำต้อยจนน่ากลัวอย่างอ้วนสุดก็ยังไม่ขาดคนชื่นชม ทั้งหมดก็ไม่เพราะความยิ่งใหญ่ของสกุลอ้วนของพวกเขาหรอกหรือดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่โจโฉจะไม่เปรียบภูมิหลังของตัวเองกับอ้วนเสี้ยว และด้วยแรงกระตุ้นแบบนี้จึงทำให้เกิดรูปแบบที่เขาถวายหนังสือแสดงการปฏิเสธถึงสามครั้ง ต่อมาทุกครั้งที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งก็จะทำแบบเดิมคือส่งหนังสือปฏิเสธไปสามครั้ง ทำแบบนี้จนทุกคนรู้กันไปทั่ว เมื่อทุกคนรู้สึกว่าน่ารำคาญจนทนไม่ไหว เขาถึงจะหยุดวิธีการสร้างภาพแบบนี้
1. พระเจ้างี้เต้หรืออี้ตี้เป็นเป็นกษัตริย์ของแคว้นฌ้อหรือฉู่ แรกเริ่มเซี่ยงอี่ว์หรือฌ้อปาอ๋องในเวลาต่อมาและเล่าปัง (หลิวปัง) เป็นขุนศึกใต้บังคับบัญชาของอี้ตี้ พวกเขาร่วมทำศึกเข้าตีทัพฉินจนมีชัยชนะ อี้ตี้สถาปนาเป็นกษัตริย์แคว้นฉู่ ด้วยเซี่ยงอี่ว์มีความสามารถมากเห็นว่าตนไม่ควรเป็นลูกน้องของอี้ตี้ต่อไป จึงได้ฆ่าอี้ตี้เสียแล้วตั้งตัวเป็นฌ้อปาอ๋อง ส่วนเล่าปังเป็นฮั่นอ๋อง ต่อมาสองคนแตกคอกันและต่อสู้กัน สุดท้ายเล่าปังชนะและสถาปนาราชวงศ์ฮั่น นั่งบัลลังก์เป็นปฐมกษัตริย์ พระองค์ยังทรงรำลึกถึงบุญคุณของอี้ตี้ผู้เป็นนายในอดีต จึงได้ทำให้กราบไหว้เพื่อแสดงความกตัญญู - ฮ่องเต้ออกไปแล้วไม่อาจกลับมา
- แม้ว่าโจโฉจะได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพพิทักษ์บูรพาและสืบทอดตำแหน่งเฟ่ยถิงโหว แต่เขาก็หมดความหวังที่จะเข้าสู่เมืองหลง ความเป็นไปได้ที่จะยึดอำนาจฮ่องเต้เพื่อใช้บริหารราชการแผ่นดินมีไม่มาก กองทัพที่ไปลกเอี๋ยงก็ถูกขัดขวาง และแม้ทัพเอียวฮองแห่งราชสำนักก็ได้มอบหมายให้โจโฉช่วยเหลือราชการอยู่นอกพื้นที่งานต่อไปของโจโฉก็คือต้องสร้างภาพอยู่นอกวังหลวง และถือเป็นการสร้างชื่อเสียงอันดีให้กับแม่ทัพเอียวฮองผู้ถืออำนาจฮ่องเต้ในการบริหารราชการแผ่นดิน แม้ว่าการทำแบบนี้โจโฉจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงยอมรับเวลา โชคชะตาและชีวิต ในคืนที่แสนงดงามจจจากแสงจันทร์และสายลม โจโฉกลับนั่งชมอยู่เพียงลำพัง จิตใจเต็มไปด้วยความโศกเศร้า จะว่าไปแล้วเขาสูญเสียโอกาสที่จะได้ถืออำนาจฮ่องเต้บริหารแผ่นดิน แต่นี่ก็ไม่อาจโทษเขาได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษว่าต้นทุนชีวิตของน้อยเกินไป ลกเอี๋ยงก็อยู่แสนไกลเกินไป เขามีเพียงแต่หัวใจแต่ไร้ซึ่งกำลังใดๆ อีกแล้วแต่ในตอนที่โจโฉกำลังจะล้มเลิกความตั้งใจ ก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันขึ้นมาอีก แม่ทัพตังสินผู้ที่ขัดขวางโจหองนั้นได้เขียนจดหมายมาฉบับหนึ่ง บอกโจโฉว่าตอนนี้เอียวฮองไม่อยู่ในลกเอี๋ยง เตียวเอี๋ยนและหันเซียมก็อยู่นอกเมือง ตอนนี้ทั้งเมืองหลวงไม่มีใครอยู่ จึงบอกโจโฉว่าอย่าพลาดโอกาสเช่นนี้ รีบเดินทางเข้าเมือง ถือโอกาสเข้ายึดอำนาจเสียเฮ้ย ตังสินหมายความว่าอย่างไรตังสินเริ่มต้นจากการเป็นแม่ทัพรองของตั๋งโต๊ะ หลังจากตั๋งโต๊ะตาย เขาไม่มีที่ไปจึงได้คอยติดตามพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ยังเคยหนีตายพร้อมกับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้เมื่อตอนที่ถูกลิฉุยกับกุยกีตามฆ่า ที่ได้หน้าที่สุดก็ตอนที่เขาช่วยพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ข้ามแม่น้ำฮวงโหตรงบริเวณท่าข้ามฟากเมิ่งจิน ตามหลักการแล้วเขาคนนี้ควรจะได้ถืออำนาจแห่งฮ่องเต้ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือทหารของเขาจำนวนน้อย จึงถูกคนอื่นรังแกคนที่รังแกตังสินก็คือเตียวเอี๋ยนและหันเซียม พวกเขาไล่ตังสินออกไปที่คุมด่านที่อันตราย แล้วตัวเองก็กุมอำนาจของฮ่องเต้อยู่ในราชสำนัก มีความสุขเป็นที่สุด ตังสินกลัวว่าจะโดนพวกนี้รังแกอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็กลัวหันเซียมฆ่าตาย จึงตั้งใจให้เหตุการณ์บ้านเมืองยิ่งวุ่นวายขึ้น ค่อยๆ ทำการบ่อนทำลายและแอบบอกโจโฉให้สร้างความวุ่นวายที่ลกเอี๋ยงเมื่อได้พบกับโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้เช่นนี้ ปฏิกิริยาของโจโฉคือตอบรับอย่างรวดเร็ว ทหารของเขาพุ่งเข้าตีด่านต่างๆ รวดเร็วราวฟ้าฟาด ก่อนที่ใครจะมีปฏิกิริยาต่อต้านการมาของพวกเขา พวกเขาก็เข้ายึดลกเอี๋ยงได้เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้สะตุ้งตื่นและแหวกม่านดู ได้เห็นใบหน้าอันแสดงน่ากลัวของโจโฉยืนอยู่ท่ามกลางซากวังหลวงที่ถูกทำลาย โดยโจโฉได้ถามพระองค์ว่าฝ่าพระบาท เสวยหรือยังโจโฉถวายฎีกาเรื่องความผิดมากมายของเตียวเอี๋ยนและหันเซียม เรียกร้องให้มีการสำเร็จโทษอย่างถึงที่สุด เตียวเอี๋ยนน้อมรับแต่ว่าหันเซียมตกใจจนเสียศูนย์ แต่พวกเขาก็รู้ทันทีว่านี่เป็นแผนของตังสินที่ต้องการให้โจโฉเขามาฆ่าตัวเอง ดังนั้นตังสินจึงตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีออกจากวังไปคนเดียว หนีไปที่ค่ายของเอียวฮองเพื่อขอเข้าไปหลบภัยความหวังที่โจโฉจะได้ถืออำนาจของฮ่องเต้บัญชาการเสนาบดีจึงได้บังเกิดขึ้น ทุกอย่างสำเร็จขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีความเป็นไปได้เลย ในช่วงเวลาห้าสิบวันนี้ โจโฉดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการมลฑลราชธานี กุมอำนาจทั้งหมดของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ไว้ในกำมือเรื่องนี้บอกให้พวกเรารู้ว่าเกิดเป็นมนุษย์ ความสำเร็จและการพ่ายแพ้มากมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับคนแวดล้อมที่สิ้น โจโฉยึดลกเอี๋ยงจับองค์ฮ่องเต้ เดิมทีสิ่งนี้ไม่น่าเป็นไปได้เลย แต่ด้วยสถานการณ์ที่แสนสับสนวุ่นวาย ก็ได้สร้างโอกาสให้กับเขาด้วยเหมือน ซึ่งถ้าตัวโจโฉเองไม่ต้องการโอกาสนี้หรือไม่มีการเตรียมพร้อมในการเขายึดลกเอี๋ยงไว้ก่อน แม้ว่าจะมีโอกาสมันก็คงไม่ตกมาถึงตัวเขาอย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้วมนุษย์เรา การแสดงออกรวมถึงการพยายายามทำอะไรอย่างเต็มความสามารถเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่ตั้งใจทำก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ส่วนที่เหลือนั้นเป็นเรื่องของปัจจัยแวดล้อมเข้ามาประกอบ เพราะสุดท้ายความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตฟ้าก็ได้กำหนดไว้แล้วเช่นกันอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ บัญชาการทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโจโฉหรือเป็นใคร พฤติกรรมก็ไม่แตกต่างกัน...แตกต่างกันก็เพียงแต่รูปแบบการดำเนินงานและการออกคำสั่งเท่านั้นโจโฉอยากจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารประเทศ นโยบายของเขาเหมือนกันกับตั๋งโต๊ะ...และก็เหมือนกันกับคนอื่นๆ ครอบคลุม 3 ด้านคือลงโทษคนทำผิด ปูนบำเหน็จคนที่ทำงานให้ ให้รางวัลผู้ที่พลีชีพเพื่อประเทศลงโทษคำทำผิดก็คือจัดการศัตรูให้สิ้น ความผิดไม่ได้เป็นตัวตัดสินมาตรฐานในการลงโทษ แต่อำนาจของผู้กระทำความผิดถึงจะเป็นเกณฑ์ เช่น ไถซุ่ยเสนาบดีกรมวังและเฝิงซั่วขุนนางในกองราชเลขาธิการ คนพวกนี้มีอำนาจในราชสำนักน้อยไร้ชื่อเสียงใดๆ ก็จะกลายเป็นของสังเวยให้กับกลุ่มอำนาจใหม่อย่างโจโฉปูนบำเหน็จคนที่ทำงานให้ นั่นก็คือให้คนที่ทำงานให้กับพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้หรือโจโฉ เช่นตังสินผู้มีผลงานสูงสุดจึงได้ตั้งให้เป็นขุนพลพิทักษ์แผ่นดิน และฝูหวันซึ่งเคยช่วยพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ข้ามแม่น้ำฮวงโห และอีกสิบกว่าคนที่รอดตายจากภัยร้ายต่าง ก็แต่งตั้งให้เห็นข้าหลวงตำแหน่งต่างๆและสุดท้ายคือ “ให้รางวัลผู้ที่พลีชีพเพื่อประเทศ” นั่นก็การรำลึกถึงผู้ที่โชคร้ายต้องตายจากการอารักขาพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ กลุ่มคนเหล่านี้มีจำนวนมากที่สุดแต่เขาก็เลือกเฉพาะบุคคลที่มีอิทธิพล ทำทุกอย่างเพื่อเป็นการซื้อใจคนเท่านั้นเองจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย โจโฉพบว่าตัวเองสับสนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป เขาเป็นกังวลจึงได้เรียกตังสินคนที่ช่วยเขามากที่สุดเข้ามาพบโดยให้ตังสินนั่งข้างๆ แล้วถามด้วยความอ่อนน้อมว่าท่านตัง เรื่องที่ควรทำก็ได้ทำไปหมดแล้ว ต่อไปพวกเราจะทำอะไรกันคำแนะนำของตังสินก็วนไปวกมา แต่ว่าแปลเป็นภาษาปัจจุบันได้ความว่าท่านโจ ตอนนี้ท่านคือผู้ถือกฎ ท่านอยากทำอะไรก็ทำสิ่งนั้น จะทำอะไรก็ล้วนมีเหตุผล คนอื่นยังไงก็ยอมรับ ต่อให้ทำอะไรไม่ตรงตามหลักการก็ตาม เพราะฮ่องเต้อยู่ในกำมือของท่าน ท่านทำได้ดีเพียงใด ยังไงก็มีคนไม่พอใจเพราะว่าพวกเขาไม่พอใจที่ฮ่องเต้ตกอยู่ในมือของท่าน สรุปคือท่านทำอะไรได้ตามเลย ไม่มีใครทำอะไรท่านได้โจโฉจึงกล่าวว่าท่านตังท่านพูดถูกต้องมากๆ เราวางแผนจะอัญเชิญองค์ฮ่องเต้ย้ายไปที่บ้านเรา เพื่อควบคุมตัวเอาไว้ แต่คนเดียวที่ทำให้เราเป็นกังวลก็คือเอียวฮอง เขาคนนี้มีกำลังและมีเสบียง ถ้าเขาขยับตัวเมื่อไร เกรงว่ายากที่จะต้านทานตังสินจึงพูดว่าเอียวฮองคนนี้เป็นเพียงของเสีย เหมือนขนมหวาน จัดการได้ง่ายได้ ไม่ต้องกลัว ข้อเสียสำคัญของเขาก็คือชอบฟังคนชื่นชม ถ้าท่านชมเขาสักหน่อยแม้จะสั่งให้ฆ่าพ่อของตัวเองเขาก็ยอมทำโจโฉปิติพลางพูดว่า ดี เช่นนั้นแล้วพวกเรารีบส่งคนไปชื่มชนเอียวฮองทูตออกเดินทาง เมื่อถึงค่ายของเอียวฮองก็เริ่มด้วยคำพูดหอมหวาน กล่าวคำชมต่างๆ นานา เอียวฮองยิ้มแก้มปริเพราะรู้สึกว่าตนเองไม่เคยมีความสุขแบบนี้มากก่อนในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุข ทันใดนั้นก็ได้รับรายงานว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ลกเอี๋ยง ดูเหมือนว่าองค์ฮ่องเต้จะย้ายไปอยู่ที่อื่นอะไรกัน เอียวฮองตกใจ รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้วถามว่า ฮ่องเต้จะย้ายเมื่อไร แล้วจะย้ายไปไหนโจโฉแอบนำตัวฮ่องเต้ย้ายออกจากวัง เขาถือโอกาสไม่กี่วันที่เอียวฮองกำลังมีความสุขกับคำหวาน นับจากวันที่โจโฉแอบพาองค์ฮ่องเต้ย้ายออกไปกินเวลาแค่เก้าวัน เรื่องนี้เขาทำได้อย่างเงียบเชียบ รัดกุมไม่มีคนสงสัย ไม่เพียงแต่เอียวฮองที่ไม่รู้ กองทัพต่างที่อยู่รอบเมืองก็ไม่มีใครรู้ กว่าคนเหล่านี้จะรู้ตัว ตอนนั้นลกเอี๋ยงก็ว่างเปล่าไปหมดแล้วถึงตอนนี้ฮ่องเต้ได้ถูกลักพาตัวไปแล้ว จึงทำให้ลกเอี๋ยงว่างเปล่าลง ฮ่องเต้ไปแล้วไม่ได้กลับ เมฆขาวเคลื่อนผ่านไป เสนาบดีอึ้งกันตาค้าง แล้วไม่รู้ว่าจะไปฟ้องร้องเรื่องนี้กับใคร หากถามว่าองค์ฮ่องเต้ไปไหน พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเต็มไปด้วยความกังวลที่ได้ไปฮูโต๋ การที่โจโฉเล่นเกมลวงแบบนี้ จนถึงขั้นลักพาตัวฮ่องเต้มาถึงฮูโต๋ ทุกคนอยู่ภายใต้อำนาจของโจโฉ พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ก็ไม่อาจว่ากล่าวอะไรได้ ทรงแต่งตั้งให้โจโฉเป็นแม่ทัพใหญ่และอู่ผิงโหวเขากลายเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในการว่าราชการอู่ผิงโหวเป็นตำแหน่งที่สูงกว่าเฟ่ยถิงโหวอยู่หนึ่งขั้น เฟ่ยถิงโหวก็แค่ถิงโหว แต่อู่ผิงโหวเป็นระดับเซี่ยนโหว สำหรับการแต่งตั้งครั้งที่สองของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉก็ปฏิเสธสามครั้งอีกเหมือนเดิมเพราะอย่างไรเสียตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้หนีไปไหน จะรีบร้อนไปทำไม การปฏิเสธสามครั้ง ทุกครั้งโจโฉก็ชมตัวเองเหมือนเดิมโดยตลอด ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าดูไม่ได้ตั้งใจจนเกินไป
- ก่อนจะต่อต้านภายนอก ต้องจัดการภายในให้เรียบร้อยก่อน
- การลักพาตัวพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ย้ายเมืองหลวงไปยังฮูโต๋ เป็นการตัดโอกาสในการติดต่อระหว่างพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้กับกลุ่มแม่ทัพอื่นๆ แต่ว่ากลุ่มข้าหลวงที่ตามเสด็จนั้นไม่อาจทิ้งได้ จะเป็นต้องมองพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก แต่ทว่าคนกลุ่มนี้ก็อาจจะไม่สนับสนุนโจโฉ หรือถึงขั้นตั้งใจแสดงการต่อต้านออกมาอย่างชัดเจน โจโฉจึงจำเป็นต้องรีบตัดสินให้ได้ว่าใครคือศัตรูของตัวเอง ใครคือพรรคพวกของตัวเอง นี่เป็นเรื่องสำคัญเรื่องแรกที่เขาต้องจัดการในการยึดอำนาจกษัตริย์มาบัญชาเสนาบดีว่ากันตรงๆ โจโฉก็ไม่ได้มีความมั่นใจในสายตาของตัวเอง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือการทรยศของเตียวเมากับตันก๋งที่ทำร้ายเขาอย่างสาหัสสากรรจ์ นั่นทำให้ในหัวสมองของเขาเกิดความสังสัยเป็นอย่างมากถ้าตอนนี้มีคนไปถามโจโฉว่ามีเกณฑ์แบ่งศัตรูอย่างไร เขาจะต้องตอบแน่นอนว่า...ยอมฆ่าคนผิดสามพันคน ดีกว่าจะปล่อยไปหนึ่งคน เพราะผลของการตัดสินคนผิดนั้น มันน่ากลัวมากสิ่งที่น่าสังสัยคือลักษณะพิเศษที่สำคัญที่สุดของผู้นำทุกคนที่รู้ความคิดและสติของตัวเอง แต่ความสงสัยของโจโฉนี้ ไม่มีใครเกินเขาเลย สาเหตุต้องมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทรยศของเตียวเมาและตันก๋งโจโฉเริ่มจัดลำดับรายชื่อศัตรูของเขา รายชื่อนั้นอาศัยความรู้สึกของเขาทั้งสิ้น เขารู้สึกว่าใครท่าทางไม่ค่อยถูกต้อง หน้าตาเหมือนศัตรูหรือไม่ก็ท่าเดินมีปัญหา คนพวกนั้นก็จะโชคร้ายศัตรูหมายเลขหนึ่งคือ เอียวสิ้วเอียวสิ้วเกิดในสกุลที่มีชื่อเสียงพอๆ กับสกุลของอ้วนเสี้ยว กินตำแหน่งไท่เว่ยหรือผู้ว่าการถึงสี่ชั่วคน ทวด ปู พ่อ และตัวเขาเอง นับตั้งแต่ตีตั๋งโต๊ะแตกแล้วเข้ายึดเมือง เอียวสิ้วจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาโดยตลอด ตามเสร็จพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ไม่ได้ขาด นับตั้งแต่การถูกไล่ออกจากลกเอี๋ยงไปเตียงฮัน แล้วยังถูกลิฉุยกับกุยดีไล่ออกจากเมืองจนเกือบเสียชีวิตในคราวที่ข้ามแม่น้ำฮวงโห ซัดเซพเนจรไปจนถึงได้กลับมาลกเอี๋ยงอีกรอบ ดูเหมือนแต่ละวันเขาต้องพบกับความยากลำบากจนแทบจะสูญเสียชีวิต แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง ซึ่งนั่นก็ล้วนอาศัยโชคทั้งนั้นแต่ว่าตอนนี้ โชคดีได้มาถึงตัวเขาแล้วโจโฉมองเอียวสิ้วว่าเป็นศัตรู เหตุผลข้อเดียวคือเขาคือคนที่มีอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก และตอนที่โจโฉแอบเข้าลกเอี๋ยงและลักพาตัวพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้นั้น เอียวสิ้วไม่ได้รีบเข้ามาเขา ก็แสดงว่าไม่ให้ความร่วมมือไม่ร่วมมือนั่นก็คือศัตรู จะต้องฆ่าเสีย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นจากบันทึกการที่พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ถูกลักพาตัวไปฮูโต๋ โจโฉเบิกบานเป็นที่สุด ถึงกับจัดงานเลี้ยงใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองให้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ที่ได้ย้ายราชสำนัก โจโฉมาถึงงานเลี้ยงอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็หันไปเห็นใบหน้าที่น่าเกลียดของเอียวสิ้ว โจโฉรู้สึกใจหาย ภายในใจบอกแล้วว่าไม่ดีแน่ๆ หน้าของเอียวสิ้วแปลกมาก คงไม่ใช่ว่าจะฆ่าเราในงานเลี้ยงนี้นะดังนั้นโจโฉจึงขมวดคิ้ว งอตัว ใช้มือจับที่ท้องน้อย แล้วพูดว่า โอ๊ย ใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระองค์ปวดท้องมาก พวกท่านดื่มกันไปก่อน เราจะไปห้องน้ำหน่อย แล้วก็จับท้องน้อยวิ่งออกไป แล้วโจโฉก็รีบขึ้นม้าแล้วหนีกลับมาที่ค่ายอยู่ดีๆ โจโฉก็ใช้วิธีการนี้ นั่นทำให้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ตกใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำอะไรให้โจโฉโกรธ กลัวว่าถ้าโจโฉเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นแล้วจะลงมือทำอะไรกับพระองค์ เอียวสิ้วเข้าใจทุกอย่างดี ว่าด้วยใบหน้าที่น่าเกลียดของตัวเองนั้นทำให้โจโฉเกิดความสงสัยแต่จะมาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือรีบเขียนหนังสือถวายพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ เพื่ออธิบายว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้โจโฉไม่พอใจแต่มันก็สายไปแล้ว ลูกน้องของโจโฉกำลังเข้ามาในวังแล้ว ประกาศความผิดของเอียวสิ้วว่า เอียวสิ้วเป็นญาติดองกับอ้วนสุด มีความเกี่ยวข้องที่ไม่เหมาะสม ถือเป็นความผิดฉกรรจ์ โดยประกาศความผิดระบุทั้งเวลาและสถานที่ เพื่อต้องการให้เอียวสิ้วนั้นยอมจำนนด้วยหลักฐานทั้งปวงเอียวสิ้วอยู่ดีๆ ก็ต้องเข้าคุกด้วยข้อกล่าวหาที่รุนแรง นั่นทำให้ข้าหลวงในราชสำนักต้องผวากันหมด มีเพียงขงหยงผู้ดำรงตำแหน่งเจียงจั้วต้าเจี้ยงเท่านั้นที่ไม่กลัวเจียงจั้วต้าเจี้ยงเป็นตำแหน่งที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นวิศวกรของประเทศ ขงหยงสืบเชื้อสายมาจากขงจื๊อ ทั้งยังเป็นเจ้าของเรื่องราวที่มอบลูกสาลี่ลูกใหญ่ให้คนอื่นตั้งแต่ตอน 4 ขวบอันเป็นเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมา เรื่องการรู้จักให้ความเคารพ อีกทั้งภูมิหลังของเขาก็ยังมีความเป็นมาที่น่าสนใจเหนือผู้อื่น และด้วยคุณสมบัติส่วนตัวที่เป็นคนใจกล้า เป็นผู้ลือนามอยู่นอกวงราชการ ที่ไหนสุ่มเสี่ยงก็ชอบไปอยู่ที่นั่น ตอนที่โจโฉตีชีจิ๋ว ขงหยงได้ร่วมมือกับเล่าปี่ไปช่วยโตเกี๋ยม พอโตเกี๋ยมตาย ด้วยสายตาอันชาญฉลาดของเขาจึงได้เลือกเล่าปี่ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นชีจิ๋วต่อเมื่อได้ทราบข่าวว่าเอียวสิ้วเข้าคุก ขงหยงก็มาหาโจโฉแล้วพูดว่าท่านโจ ท่านเอียวนั้นเป็นข้าหลวงมาสี่ชั่วคน ใครๆ ก็รู้ข้อนี้ กฎหมายกำหนดไว้ว่าโทษของใครของมัน ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วทำไมถึงเอาความผิดของอ้วนสุดมาลงบนเอียวไท่เว่ยกันเล่า สิ่งนี้ชัดเจนเลยว่าเป็นการเข้าใจผิด ไม่น่าเชื่อถืออ่อ โจโฉพูดกลับด้วยถ้าทีเคร่งขรึมว่าท่านขง ท่านพูดถูกต้อง ความคิดของเราเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการของราชสำนัก เราก็ทำอะไรไม่ได้ขงหยงเลยตอบกลับว่า โจโฉเจ้าทำเป็นเหมือนคนอื่นโง่งั้นหรือ ใครไม่รู้กันบ้างว่านี่เป็นคำสั่งของเจ้า ยังจะมาบอกว่าเป็นเรื่องของราชสำนัก เหมือนกับเรื่องที่ทุกคนตามเจ้ามาฮูโต๋ในตอนนี้ ก็ไม่ใช่เพราะว่าทุกคนคิดว่าเจ้าจะรักษาความยุติธรรมให้ทุกคนได้หรอกหรือ แต่ว่าพอเจ้าได้ขึ้นมาก็ไล่ฆ่าคนที่ไร้ความผิด ใส่ร้ายป้ายสี ทำแบบนี้ เจ้าคิดว่าจะอยู่ได้นานอย่างนั้นหรือพูดเสร็จ ขงหยงก็สะบัดแขนเดินกลับไปและไม่ยอมพบหน้าโจโฉอีก นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าโจโฉไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกแล้วมองเงาของขงหยงที่เดินจากไปด้วยความมาดมั่น นั่นทำให้โจโฉถึงกับต้องครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ภายในใจของเขาคิดว่าขงหยงเป็นคนมีชื่อเสียงมาก โจโฉในช่วงวัยรุ่นได้เคยไปหาจงซื่อหลิน เกียวก๊กโล เขาเฉียวก็เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ว่าในบรรดากลุ่มคนมีชื่อเสียง ขงหยงถึงจะถือว่ามีชื่อเสียงจริงๆ ส่วนจงซื่อหลิน เกียวก๊กโล เขาเฉียวนั้นยังไม่เข้าขั้น แต่เหตุผลที่โจโฉไปหาคนพวกนี้นั้น ก็เป็นเพียงเพราะโจโฉไม่อาจไปหาเขาได้ก็เท่านั้นเมื่อถูกว่ากล่าวจากคนที่มีชื่อเสียง โจโฉจึงยอม ไม่นานก็ประกาศว่าความผิดของเอียวสิ้ว ตรวจสอบแล้วไม่มีหลักฐาน แต่แม้ว่าจะละความผิดสถานหนัก แต่ข้อกล่าวหาเล็กๆ ไม่อาจบรรเทาได้ จึงปลดเขาจากตำแหน่ง และเมื่อเวลาผ่านไปได้ช่วงหนึ่ง โจโฉพบว่าเอียวสิ้วถูกลงโทษอย่างรุนแรง จึงทำให้เขาเกิดความเห็นใจ เขาจึงให้เอียวสิ้วรับตำแหน่งขุนนางชั้นผู้น้อยคือไท่ฉางชิง โดยมีหน้าที่จัดการพิธีกรรมทางศาสนาในศาลเจ้าเอียวสิ้วไม่เพียงไม่ถูกฆ่า กลับไปการแต่งตั้งให้เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย นั่นเป็นเพราะสุดท้ายแล้วโจโฉกระจ่างแล้วว่าเอียวสิ้วคนนี้ก็แค่หน้าตาน่าเกลียด ดูๆ ก็เหมือนไม่เป็นมิตร แต่จริงๆ เขาไม่กล้าเป็นศัตรูโจโฉ เมื่อปล่อยเอียวสิ้วไปแล้วโจโฉทำการหาศัตรูในราชสำนักต่อไปและหาเจอในเวลาอันรวดเร็วศัตรูหมายเลขสองก็คือ เตียวฮีนอกจากเอียวสิ้วแล้ว เสนาบดีโยธาธิการเตียวฮีถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักเป็นอันดับสอง แต่ว่าจริงๆ แล้วโจโฉไม่พอใจอะไรในตัวเขากันแน่ และจะลงโทษเขาด้วยความผิดอะไร เรื่องนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด เพียงแค่รู้ว่าเขาโชคร้ายที่ถูกขึ้นลิสต์ผู้เป็นศัตรูของโจโฉ หลังจากนั้นก็หายตัวไปต่อมายังมีเตียวเอี๋ยนผู้ทำหน้าที่อี้หลัง เตียวเอี๋ยนไม่ได้เป็นผู้ที่มีอิทธิพลอะไร ตำแหน่งก็ยังต่ำ ดังนั้นโจโฉจึงไม่ได้มีความเมตตาปราณีใดๆ สั่งให้ฆ่าเตียวเอี๋ยนเลยทันที...นับตั้งแต่พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ย้ายเมืองหลวงไปยังฮูโต๋ นั่นก็แค่ต้องการรักษาตำแหน่งของพระองค์ไว้เท่านั้น ในส่วนของการควบคุมกำลังทหารหลวงและออกสั่งทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของโจโฉและญาติๆ เตียวเอี๋ยนเคยถวายรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน โจโฉไม่พอใจจึงฆ่าเขาเสีย และถ้าหากโจโฉไม่พอใจขุนนางคนใดอีก ก็จะจัดการเช่นเดียวกัน เรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกอยู่ในพงศาวดารราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง บรรพบันทึกหลังการลักพาตัวฮ่องเต้จะว่าไปแล้วการลงมือฆ่าเตียวเอี๋ยน สำหรับโจโฉถือเป็นเรื่องเล็กเตียวเอี๋ยนไม่เคยรับรู้ว่าตอนนี้พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้เป็นเหมือนของสะสมของโจโฉเท่านั้น ยังจะให้คำปรึกษาต่างๆ แก่ฮ่องเต้ นั่นทำให้โจโฉรู้สึกรำคาญ จึงทำกับเขาเหมือนการบี้แมลงวัน ลงโทษด้วยการประหารเขาเสียการทำร้ายศัตรู ลงมือแม้กระทั่งข้าหลวงชั้นผู้น้อยอย่างเตียวเอี๋ยน นั่นทำให้รู้ว่าเหล่าเสนามหาอำมาตย์ในยุคนั้น ล้วนถูกทำให้หวาดผวากันมาก หมอบราบคาบอยู่ภายใต้อำนาจชั่วร้ายของโจโฉ ต่างหาทางประจบประแจง พยายามทำให้โจโฉพอใจและไม่กล้าขัดใจเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อในราชสำนักเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้ว สายตาของโจโฉก็หันไปหาศัตรูภายนอกต่อไปคนแรกก็คือ เอียวฮองสาเหตุที่เขากลายเป็นศัตรูของโจโฉก็เพียงเพราะว่าเขาตั้งค่ายของตัวเองอยู่ใกล้โจโฉมากเกินไป เรื่องนี้ทำให้โจโฉรู้สึกไม่ปลอดภัยถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดการกับเพื่อนสนิทคนที่เคยบอกไว้ว่า “ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ พวกเราจะร่วมด้วยช่วยกัน”
- พออ้วนเสี้ยวโกรธโจโฉก็กลัว
- เดือนสิบ ฤดูหนาว ปีที่หนึ่งแห่งรัชศกเจี้ยนอัน ตรงกับปี ค.ศ. 196 โจโฉยกทัพรุกรานเอียวฮองเอียวฮองรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะคิดไม่ออกว่าทำไมโจโฉถึงเป็นคนที่ไร้ยางอายอะไรขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เพิ่งพูดไปว่า “ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ พวกเราจะร่วมด้วยช่วยกัน” แล้วกลับนำทัพมารุกรานแบบนี้ จริงๆ แล้วล้วนต้องโทษตัวเองหรือไม่ที่ประมาทเกินไป ใจดีเกินไปหรือจริงใจเกินไป ถึงได้ตรงหลุมพลางแผนร้ายของโจโฉแบบนี้ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เอียวฮองเองก็ยังคงงงอยู่ เดิมทีโจโฉถูกกักให้อยู่แต่ข้างนอก พระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้อยู่ภายใต้อำนาจของเขา แต่เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปในชั่วข้ามคืน อยู่ดีๆ โจโฉก็บุกเข้ายึดลกเอี๋ยง และในเวลาพริบตาพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ก็ถูกลักพาตัวไปโดยไม่มีใครรู้เลย ถึงทุกวันนี้โจโฉถืออำนาจฮ่องเต้สั่งทำศึก เอียวฮองไม่ด่าทออะไรเลยสักคำภายใต้ความอึดอัด เอียวฮองเดินทางลงใต้ไปหาอ้วนสุด ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นยิ่งน่าสนใจ อ้วนสุดคิดหวังอยากเป็นฮ่องเต้ ทำให้ค่ายของเขากลายเป็นศูนย์รวมของผู้ล้มเหลว เพราะคนที่ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ได้ล้วนเดินทางมาที่นี่เพื่อหาโอกาสกันทั้งสิ้นโจโฉจัดการกับกองกำลังใกล้ๆ เรียบร้อยแล้ว ดังนั้งจึงเริ่มคิดลงมือกับอ้วนเสี้ยวต่อไปแต่อ้วนเสี้ยวไม่เหมือนคนเหล่านั้น เขามีกองกำลังที่เข้มแข็ง เป็นผู้เกรียงไกรที่สุดในบรรดาเสนาบดี หากจะงัดกับเขาเรื่องการรบ นั่นก็เท่ากับหาเรื่องตาย แล้วถ้ายอมอ่อนข้อให้เขา เขาคงข่มเหงชนิดที่ว่าไม่ให้โอกาสได้ทำอะไรเลย แล้วจะทำอย่างไรหลังจากคิดถี่ถ้วนแล้ว โจโฉจึงลองส่งพระราชโองการให้อ้วนเสี้ยว แน่นอนว่าเขียนในนามของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ เนื้อหาของพระราชโองการฉบับนั้นคือเป็นการกล่าวกับอ้วนเสี้ยวด้วยคำรื่นหู โดยบอกว่าพื้นที่ยิ่งใหญ่กองกำลังมากมาย เพียงต้องการให้คนของตัวเป็นใหญ่ ไม่เคยสนใจมาจะช่วยเหลือฮ่องเต้ แต่กลับยกทัพไปโจมตีคนอื่นโดยที่ไม่เคยได้รับพระบัญชาอ้วนเสี้ยวได้รับราชโองการฉบับดังกล่าว ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์จนพูดไม่ถูก ถ้าจะไม่ใส่ใจ พระราชโองการนี้ก็ออกโดยพระนามของฮ่องเต้ ปฏิเสธก็ถือเป็นการทรยศ ถ้าจะใส่ใจ...แต่ข้อความทั้งหมดก็ว่ากล่าวตัวเอง แล้วจะแสดงถึงความใส่ใจอย่างไร หลังจากเป็นทุกข์อยู่หลายวัน อ้วนเสี้ยวก็ได้เขียนหนังสือยาวเหยียดกลับไป เพื่อเป็นการแก้ต่างให้ตัวเองดี นั่นสมดั่งใจของโจโฉ ในเมื่อเจ้าอ้วนเสี้ยวยังยอมรับในองค์ฮ่องเต้และยังยอมรับผิด เช่นนั้นก็จะจัดการให้สิ้นซาก ดังนั้นโจโฉจึงได้มีราชโองการที่ลงพระนามฮ่องเต้อีกฉบับ ตั้งอ้วนเสี้ยวให้เป็นสมุหกลาโหมกินบรรดาศักดิ์เย่โหวสมุหกลาโหมตำแหน่งนี้ก็ไม่เล็กแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่โจโฉก็ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว อำนาจมีมากกว่าซานกง ตั้งอ้วนเสี้ยวให้เป็นสมุหกลาโหมซึ่งเป็นหนึ่งในซานกงดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงมีตำแหน่งต่ำกว่าโจโฉ นี่ถือเป็นการชูโรงเป็นครั้งแรกในรอบสี่สิบกว่าปี เพราะก่อนหน้านี้อ้วนเสี้ยวกดหัวโจโฉมาโดยตลอด นั่งทับเขาจนหูอื้อตาลายหายใจไม่ออกแต่ตอนนี้โจโฉคิดจะพลิกสถานการณ์ จัดการกดอ้วนเสี้ยวเอาไว้ นี่ทำให้อ้วนเสียวโกรธมาก ตอนนั้นเขาได้ร้องตะโกนออกมาว่าโจโฉ เจ้านี่มันเพี้ยนไปแล้ว ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีข้าที่ช่วยชีวิตเล็กๆ ของเจ้าไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ป่านี้แม้แต่กระดูกของเจ้าก็คงกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว...โจโฉเจ้าจะตายนับครั้งไม่ถ้วน ข้าก็อุตส่าห์ช่วยชีวิตไว้ แต่มาวันนี้กลับทรยศข้า กลับไปยึดพระราชอำนาจของฮ่องเต้แล้วมาสั่งข้าดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงได้เขียนหนังสือบอกว่าตำแหน่งสมุหกลาโหมนั้นไม่เหมาะสมไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดศึกษาว่าคำพูดนี้ของอ้วนเสี้ยวหมายความว่าอย่างไร อ้วนเสี้ยวบอกว่าเขาช่วยชีวิตโจโฉไว้หลายครั้ง แต่ว่าเรื่องเหล่านี้ในประวัติศาสตร์ไม่ถูกบันทึกเอาไว้ มันเป็นความทรงจำที่ผิดเพี้ยนของอ้วนเสี้ยวเองหรือว่าโจโฉปิดบังเรื่องราวเหล่านี้ได้สำเร็จไม่อาจตัดสินได้ รู้เพียงแต่ว่าโจโฉอ่านหนังสือที่อ้วนเสี้ยวส่งขึ้นมาอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็ได้สรุปว่า คราวนี้อ้วนเสี้ยวคงเอาจริงเรื่องราวรุนแรงขึ้น ถ้าอ้วนเสี้ยวออกคำสั่งให้วีรบุรุษทั่วแผ่นดินรวมตัวกันมาช่วยเขา เหมือนครั้งที่เรียกรวมตัวกันเมื่อครั้งปราบตั๋งโต๊ะ ซึ่งโจโฉก็ชัดเจนในเรื่องนี้ว่าแม้ว่าตั๋งโต๊ะจะทำเรื่องเลวร้ายไว้มาก แต่หากเปรียบกับตอนที่ตนไล่ฆ่าราษฎรที่ชีจิ๋วแล้ว ตั๋งโต๊ะก็คงบริสุทธิ์เหมือนทารกที่แรกเกิด ถ้าตัวเองทำให้วีรบุรุษทั่วแผ่นดินขุ่นเคือง ก็กลัวว่าจุดจบของตัวเองจะแย่กว่าตั๋งโต๊ะเอกสารทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า โจโฉเองไม่กล้าพูดคำว่า “หวาดกลัวเป็นอย่างมาก” เพราะจริงๆ แล้วเขาถูกอ้วนเสี้ยวทำให้กลัวอย่างถึงที่สุดโจโฉปิดประตู หมกตัวครุ่นคิดทบทวนอยู่ในที่พักเป็นเวลานาน สุดท้ายก็เปิดประตูออกมาและกำชับให้คนเขียนพระราชโอการฉบับหนึ่งพระราชโองการฉบับนี้ โจโฉเขียนในนามของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ แต่งตั้งให้อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่ โดยกล่าวว่าโจโฉจะยกตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้กับอ้วนเสี้ยว เขายอมรับว่าอ้วนเสี้ยวมีความเข้มแข็งมากกว่าตัวเอง ถ้าไม่ยอมรับความจริงเรื่องนี้ คงทำให้อ้วนเสี้ยวโกรธเกรี้ยวเพื่อหลีกเลี่ยงอารมณ์โกรธเกรี้ยวของอ้วนเสี้ยว โจโฉไม่เพียงปล่อยตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ไป ยังส่งขงหยงผู้ที่ไม่มีใครกล้าคิดบัญชีเป็นผู้ถือตราราชสำนักไป แล้วจัดงานพิธีการที่ยิ่งใหญ่ในค่ายของอ้วนเสี้ยว การแต่งตั้งอ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่ พระราชทานธนูและขวาน กองกำลังหทารอารักขาอีกนับร้อยและให้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน 4 แคว้นคือกิจิ๋ว เซียงจิ๋ว อิวจิ๋วและเป๊งจิ๋วพิธีการที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้สร้างความพึงพอใจให้กับอ้วนเสี้ยวเป็นอย่างมาก เขาเดินไปรับผู้ที่มาแสดงความยินดีกับเขาด้วยอิ่มเอมใจ ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับโจโฉอีกแล้วดีแล้ว โจโฉถอนหายใจยาวๆ ขอเพียงอ้วนเสี้ยวไม่มาหาเรื่อง เขาก็ยังมีโอกาสยิ่งใหญ่ขึ้นได้บ้าง ควบคุมพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ให้เด็ดขาด แล้วค่อยๆ สร้างอำนาจของตัวเองขึ้นมา จนกว่าจะสามารถมีกำลังที่จะงัดข้อกับอ้วนเสี้ยวได้ ดังนั้งของจึงตั้งตัวเองเป็นซือคง บัญชาการกองทหารรถศึก โดยแม่ทัพนายกองทั้งหมดล้วนต้องฟังคำสั่งจากเขาซึ่งก็ยังคงเป็นรูปแบบเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลงใดๆ โจโฉเขียนหนังสือแต่งตั้งตำแหน่งซือคงให้ตัวเองเสร็จแล้วก็ได้เขียนหนังสือปฏิเสธตามมารยาทขึ้นมาอีกฉบับหนึ่ง โดยการปฏิเสธสามครั้ง ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการทำงานของโจโฉไปเรียบร้อยแล้วโดยมีรายละเอียดในหนังสือว่าหากจะว่าไปแล้วการเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นข้าพระองค์การไม่อาจเทียบได้กับซืออิ่น(1) ส่วนขุนนางฝ่ายบู๊ก็ไม่อาจถึงเทียบสุดยอดแม่ทัพผู้เกรียงไกร(2) การได้รับพระมหากรุณาธิคุณมากมายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากเพราะยังไม่มีผลงานใดๆ แต่กลับได้รับความไว้วางพระทัยให้ดำรงตำแหน่งสูง งานในราชสำนักก็ได้รับตำแหน่งซือคงเฉกเช่นปั๋วฉิน(3)ในอดีต งานนอกราชสำนักก็ได้รับตำแหน่งแม่ทัพเฉกเช่นเดียวกับหลี่ว์ซ่าง(4)ในอดีต ทำอะไรนิดอะไรหน่อย ราษฎรทุกคนก็ต้องมองเห็น ตอนนี้แผ่นดินยังไม่สงบ บ้านเมืองยังวุ่นวาย ข้าพระองค์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ่อยครั้งที่ตนเองเป็นถึงผู้รับผิดชอบราชการแผ่นดิน แต่กลับหาได้มีปัญญาหรือมีแผนการที่จะถวายงานได้ไม่ ไม่สามารถช่วยเหลือราชอาณาจักรในยามคับขันได้เลยและมักจะหวาดผวาตลอดเวลา เพราะรู้สึกเหมือนภัยพิบัติกำลังจะมาถึงตัว และไม่รู้ว่าจะไปหลบลี้หนีภัยนั้นได้ที่ไหนข้อความที่เขียนตะกุกตะกักนี้ แม้ว่าจะสั้นแต่ว่ามีนัยสำคัญมากมาย รวมๆ แล้วสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชั้นชั้นที่หนึ่ง โจโฉแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยบอกว่าความสามารถของตนเองยังไม่ถึงขั้นที่จะได้ดำรงตำแหน่งซานกงชั้นที่สอง พูดประมาณว่าถ้าตัวเองรับตำแหน่งซานกงแล้ว เกรงว่าจะต้องเกิดข้อครหามากมายและเสนอให้คนที่เหนือกว่ามารับตำแหน่งชั้นที่สาม บอกว่าตนเองห่วงใยประเทศและประชาชนมาก ความหมายก็คือนอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีใครที่จะเหนือกว่านี้เมื่อเขียนหนังสือปฏิเสธเสร็จก็ส่งพระราชโองการแต่งตั้งให้ข้าหลวงทั้งหมดดู เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ธรรมเนียม รอจนเรียนรู้เรื่องนี้จบแล้ว โจโฉก็จะเขียนพระราชโองการแต่งตั้งฉบับที่สองและหนังสือปฏิเสธฉบับที่สองและก็ยังส่งให้ข้าหลวงทั้งวังเรียนรู้เช่นเดิมและก็ทำแบบเดิมอีกเป็นรอบที่สาม เขาทำจนขุนนางสติเตลิดหมดสภาพไปตามๆ กัน ทั้งหมดนี้เพื่อต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ต้องการรับตำแหน่งซือคงขั้นต่อไป สิ่งที่เขาจะทำก็คือสร้างกรงขนาดใหญ่ กักขังข้าหลวงของพระเจ้าเหี้ยนเต้ในรูปแบบการปกครองใหม่1. ซืออิ่นเป็นขุนนางใหญ่ตำแหน่งไท่ซือแซ่อิ่นในสมัยโจว โดยในสมัยนั้นตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับซานกงในสมัยฮั่น ซึ่งหลังสมัยโจวมักเรียกรวบคำนี้เป็นชื่อตำแหน่งไม่ได้ระบุเจาะจงถึงชื่อคน2. เจ๋อชงเป็นคำสรรเสริญขุนนางฝ่ายบู๊ที่มีความสามารถในการรบ อยู่เหนือทัพศัตรูทั้งมวล ถือเป็นผลสำเร็จอันเป็นอุดมคติของขุนนางฝ่ายบู๊นั่นเอง3. ปั๋วฉินภายหลังจากโจวอู่หวังล้มล้างราชวงศ์ซาง แล้วสถาปนาราชวงศ์โจวหรือโจวตะวันตก พระองค์แต่งตั้งพระอนุชาคือโจวกงตั้นให้ช่วยบริหารราชการบ้านเมือง ในการนี้โจวกงตั้นจึงได้แต่งตั้งลูกชายของตนนาม ปั๋วฉิน ให้ได้เป็นเจ้าเมืองหลู่เป็นคนแรก เขาบริหารราชการเป็นอย่างดี ทำตามกฎระเบียบ และรักษาขนบธรรมเนียบประเพณีอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้งานบริหารและเศรษฐกิจรุ่งเรืองเป็นที่ยอมรับและชื่นชมของราชสำนัก4. หลี่ว์ซ่างแม่ทัพคนสำคัญในสมัยโจวที่ช่วยโจวอู่หวังล้มล้างราชวงศ์ซางสำเร็จ หรือที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งว่าเจียงจื่อหยานั่นเอง
- ทำเนียบผู้ทรงปัญญาปลายสมัยฮั่น
- ตอนนี้เป็นเวลาที่ทุกคนจะนำเอาคนที่มีความสามารถและภักดีต่อตนเองมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของฝ่ายตนเขาถวายหนังสือเฉินซุ่นอี้เปี่ยวไปยังพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ โดยมีการตัดกฎระเบียบที่ไม่ได้ช่วยให้กิจการดีขึ้น และไม่ได้เป็นประโยชน์กับราชสำนักออกไป แล้วเพิ่มมาตรการใหม่และนโยบายใหม่ที่เหมาะกับยุคสมัย แต่จะทำทุกอย่างสำเร็จได้นั้น ก่อนอื่นต้องเลือกคนที่มีศักยภาพมาทำงานก่อนผู้มีปัญญาคนแรกที่ได้รับเลือกคือซุนฮกเดิมทีเขาเป็นเพียงข้าราชการเล็กๆ ต่างถิ่น ลาออกจากราชการในสมัยตั๋งโต๊ะแล้วไปร่วมกับอ้วนเสี้ยว แต่ว่าเพียงไม่นานก็ค้นพบว่าอ้วนเสี้ยวคนนี้ไม่น่าจะก้าวหน้าได้สักเท่าไร สุดท้ายก็เลือกโจโฉ เขาเป็นคนที่โน้มน้าวใจเก่ง เขาคือขุนนางคนสำคัญที่ประสบความสำเร็จจากการแนะนำให้โจโฉเข้ายึดอำนาจองค์ฮ่องเต้และบัญชาเสนาบดี อีกทั้งยังเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในด้านการปกครองเป็นอย่างมาก มีความสามารถในการบริหารสูงมาก โจโฉจึงแต่งตั้งเขาให้ดำรงตำแหน่งซื่อจง โซ่วซ่างซูลิ่งมีหน้าที่กำหนดและดำเนินงานด้านนโยบายสำคัญๆ ของแผ่นดินผู้มีปัญญาคนที่สองคือ เทียหยก วิสัยทัศน์ของเทียหยกเป็นยอด ตอนที่เขาอยู่ที่อิวจิ๋วเมืองเอียนเสีย เตียวเมากับตันก๋งร่วมทัพกับลิโป้และทรยศโจโฉ เขาสามารถพลิกสถานการณ์จนเอาชนะศึกได้ ช่วยโจโฉรักษาดินแดนที่มั่นเอาไว้ได้ และคุณูปการอีกอย่างของเขาคืออ้วนเสี้ยวต้องการให้โจโฉย้ายครอบครัวไปยังเงียบกุ๋น เขาแนะนำโจโฉอยู่นานและเห็นว่าไม่ควรย้าย นี่ถึงทำให้โจโฉสามารถมีต่อต้านทัพจากอ้วนเสี้ยวไว้ได้ โจโฉตั้งเทียหยกให้เป็นซ่างซูหรือราชเลขาธิการ และยังเป็นตงจงหลังเจียงปกครองจี้อินในตำแหน่งผู้ว่าการเมือง และรับผิดชอบด้านการทหารของอิวจิ๋วด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วเขาทำหน้าที่รักษาประตูหน้าด่านให้โจโฉ เพราะเขาหนึ่งในคนที่โจโฉไว้ใจมากที่สุดผู้มีปัญญาคนที่สามคือ มอกาย เดิมทีเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยในอำเภอ แต่มีหัวด้านการเมืองเป็นอย่างมาก ตอนที่โจโฉปกครองอิวจิ๋ว ได้พบเขาแล้วและได้สร้างประโยชน์ไว้มากมาย เช่นเดียวกันคือเขาเป็นคนที่แนะนำให้โจโฉเขายึดอำนาจของฮ่องเต้แล้วจัดการกับขุนนางที่แข็งข้อ ทำการเกษตรมาเลี้ยงกองทัพ ความคิดเรื่องการศึกก็สอดคล้องกลับแนวทางการปกครองของโจโฉโดยตลอด ดังนั้นจึงแต่งตั้งให้เขาเป็นตงเฉาย่วนร่วมกับผู้มีปัญญาอีกคนคือซุนต่ำในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการ ความรับผิดชอบหลักก็เหมือนกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกในสมัยปัจจุบันรับผิดชอบงานแทนโจโฉในการเลือกคนให้ถูกกับงานนั่นเองผู้มีปัญญาคนที่สี่คือ บวนทง เมื่อก่อนเขาเป็นนายอำเภอ มีประสบการณ์งานการเมืองเพียงพอและยังเคยช่วยโจโฉทำศึก มีคุณูปการมาก โจโฉแต่งตั้งให้บวงทงรับตำแหน่งซีเฉา แถมยังเป็นผู้ว่าการราชธานีฮูโต๋ ภาระงานของตำแหน่งนี้คล้ายๆ กับผู้อำนวยการกองสันติบาลแห่งเมืองหลวงพ่วงกับหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย นั่นก็หมายถึงการรับผิดชอบความสงบของเมืองหลวงและมีอำนาจในการคัดเลือกและตรวจสอบการเข้ารับราชการทั้งหมด ดังนั้น มอกายเป็นตงเฉา บวงทงเป็นซีเฉา ส่วนการคัดเลือกการแต่งตั้งข้าราชการส่วนกลางและการควบคุมทั้งหมดอยู่ในมือของโจโฉสี่คนข้างต้นล้วนเป็นมิตรเก่าของโจโฉ สำหรับความภักดีของพวกเขานั้นไม่ต้องสงสัย ส่วนนอกเหนือจากนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนที่ติดตามโจโฉแต่ก็เป็นคนที่ทำอะไรเพื่อเขามาบ้างแล้วทั้งหมดผู้มีปัญญาคนที่ห้าคือ ตังเจี๋ยว เดิมทีเขาติดตามอ้วนเสี้ยว อ้วนเสี้ยวเคยมีคำสั่งให้เขาไปเป็นผู้ว่าการเมืองวุยกุ๋น แต่ว่าเขาพบว่าอ้วนเสี้ยวเป็นแค่คนที่มีชื่อเสียงจอมปลอม จึงได้ทิ้งตำแหน่งและหนีออกมา แล้วไปหาผู้มีปัญญาที่สามารถทำงานให้ราชสำนักได้มากกว่า เขารู้คำทำนายจากนักพยากรณ์ฝีมือดีตั้งนานแล้วว่าโจโฉกับอ้วนเสี้ยวจะต้องทำสงครามกันในวันหนึ่ง และเพื่อช่วยให้โจโฉเข้ายึดลกเอี๋ยง เขาลงแรงช่วยเหลือเต็มกำลัง ถึงขั้นใช้ชื่อของโจโฉเขียนจดหมายแกล้งชมเอียวฮอง โจโฉไม่เพียงเชื่อถือเขา แถมยังรู้สึกขอบคุณอย่างเป็นที่สุด ดังนั้นจึงได้แต่งตั้งให้เขารับตำแหน่งสำคัญ ต่อมาตังเจี๋ยวได้ย้ายไปปลัดมณฑลห้อหลำและดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นกิจิ๋วผู้มีปัญญาคนที่หกคือ จงฮิว เดิมที่เขาเป็นนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง คุณูปการของเขาคือหลังจากที่ทูตของโจโฉเดินทางมายังเตียวฮัน และต้องพบกับการระแวงของลิฉุยกับกุยกี เป็นเขานั่นเองที่แนะให้ทั้งสองคนยอมรับโจโฉ นี่จึงเป็นมูลเหตุที่ทำให้โจโฉได้มีโฮกาสติดต่อกับราชสำนัก และเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ล้วนมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เขาทำ นั่นเป็นสิ่งที่โจโฉจำอยู่ในใจตลอดว่าจะต้องทดแทน นับแต่นี้จงฮิวจะติดตามโจโฉและเจิดจรัสอยู่ในหน้าของประวัติศาสตร์ต่อไปทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นคนที่มีบุญคุณกับเขา ต่อไปก็จะเป็นการเลือกปัญญาชนหน้าใหม่ คำว่า “หน้าใหม่” นี้ อาจไม่ได้แปลว่าอายุน้อยแต่หมายถึงก่อนหน้าที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่เคยมีโอกาสแสดงฝีมือ ตอนนี้โจโฉต้องรีบหาคนเก่งมาช่วยทำงาน ขอเพียงพบเจอ เขาก็พยายามทุกวิถีทางที่ได้คนเหล่านั้นมาทำงานด้วยผู้มีปัญญาคนที่เจ็ดคือ ซุนฮิว เขาเป็นหลานของซุนฮกแต่ว่าอายุมากกว่าซุนฮกและมีชื่อเสียงมากกว่า เขาเริ่มต้นด้วยตำแหน่งหวงเหมินซื่อหลังในราชสำนัก ตอนที่ตั๋งโต๊ะสร้างความวุ่นวาย เขาวางแผนให้ตั๋งโต๊ะแต่พ่ายแพ้ดังนั้นจึงถูกจับขังคุก ต่อมาเมื่อบ้านเมืองสงบก็ได้รับตำแหน่งผู้ว่าการเมืองสู่กุ๋นนั่นหมายความว่าเขารับรู้ได้แล้วว่าแผ่นดินกำลังจะเข้าสู่ความวุ่นวาย เลยต้องการหาที่ห่างไกลเพื่อเก็บตัวหนีห่าง แต่ว่าเส้นทางไม่ราบรื่น จึงหยุดอยู่แค่เกงจิ๋ว โจโฉส่งคนไปพร้อมจดหมายแจ้ง ดังนั้นเมื่อซุนฮิวมาถึง โจโฉจึงได้เข้าไปพูดคุยด้วยความปิติว่าซุนฮิวท่านไม่ใช่คนธรรมดา เราต้องการปรึกษาท่านเรื่องกิจการบ้านเมือง บ้านเมืองไม่ควรต้องกลับมาวุ่นวายอีกแล้ว เราจึงขอตั้งท่านให้เป็นแม่ทัพแห่งราชสำนักผู้มีปัญญาคนที่แปดคือ กุยแก เหมือนกับคนส่วนใหญ่คือช่วงต้นเขาก็ร่วมทัพกับอ้วนเสี้ยว แต่ต่อมาพบว่าอ้วนเสี้ยวไม่ได้เก่งจริง จึงผิดหวังและตีตัวออกมา ซุนฮกนำเสนอเขาให้กับโจโฉ โจโฉจึงเรียกเขามาพบ แล้วคุยกับเรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง แล้วกล่าวด้วยความยินดีว่า ท่านเป็นคนที่จะช่วยเราทำงานใหญ่ กุยแกก็ตอบกลับด้วยความยินดีว่าท่านต้องการให้เราทำจริงๆ หรือ แต่ว่ากุยแกเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม นำความเสียใจมาให้โจโฉเป็นอย่างมากผู้มีปัญญาคนที่เก้าคือ เล่าปี่ เอ้ย เล่าปี่........ไม่ใช่สิ ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ชีจิ๋วหรือ และยังเป็นผู้ว่าการแคว้นชีจิ๋วด้วยใช่ไหมไม่ผิด เล่าปี่อยู่ที่ชีจิ๋วและเป็นผู้ว่าการแคว้นด้วย แต่ว่าหลังจากที่ลิโป้ถูกโจโฉไล่ออกไปจากอิวจิ๋ว ก็หลบหนีไปอย่างทุลักทุเล ตอนนั้นอุ้วนสุดกำลังวางแผนอยู่ที่ชีจิ๋วเป็นแผนการเข้าตีเล่าปี่ อ้วนสุดให้คนไปส่งจดหมายให้ลิโป้ แนะนำให้ลิโป้ใช้โอกาสจากความเชื่อใจของเล่าปี่แล้วค่อยหักหลังเขา ลิโป้เองก็คิดว่าให้คนต่ำต้อยอย่างเล่าปี่ครองชีจิ๋วเป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง ดังนั้นส่งทหารไปโจมตีแห้ฝือ แอบลักพาตัวภรรยาเล่าปี่ เล่าปี่หนีไปไห่ซี อดอยากลำบากมากและได้ออกมาประกาศยอมแพ้ต่อลิโป้ ตอนนี้ลิโป้กับอ้วนสุดล้วนเบือนหน้าหนี แล้วจับตัวเล่าปี่กลับมาและส่งเล่าปี่ไปเป็นทหารที่เสียวพ่าย ส่วนลิโป้ไปรั้งตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นชีจิ๋วเสียเองแต่ว่าเล่าปี่เป็นคนที่มีความสามารถมาก เขาอยู่ที่เสี่ยวพ่ายไม่นานก็รวบรวมทหารได้นับหมื่น ความสามารถเช่นนี้ทำให้ลิโป้ต้องตะลึง เพราะแม้ว่าลิโป้จะเป็นคนที่ทระนงองอาจ แต่กลับทำใด้เพียงนำทัพออกรบแต่ไม่อาจเลี้ยงดูทหารได้ ดังนั้นทหารของลิโป้จึงน้อยลงทุกที เมื่อเขาเห็นเล่าปี่มีความสามารถเช่นนี้ ก็รู้ว่าในอนาคตจะต้องเป็นศัตรูคนสำคัญแน่นอน ดังนั่นจึงรีบไปโจมตีเล่าปี่ ตอนนั้นเล่าปี่สู้ไม่ได้ จึงได้หลบหนีไปฮูโต๋และร่วมทัพกับโจโฉนั่นเองเห็นเล่าปี่มาถึง เทียหยกรีบวิ่งไปหาโจโฉ แล้วพูดว่าเล่าปี่ เป็นนักรบที่แสนฉลาด เราไม่ปราณีให้ศัตรู รีบฆ่าเขาเสียเถอะโจโฉไม่สามารถตัดสินใจได้ เพียงแต่ถามตัวเองว่า ฆ่าหรือ ฆ่าเล่าปี่แล้ว มันจะเป็นการปิดทางตันแนวคิดที่อยากได้ผู้มีปัญญามาช่วยทำงานหรือเปล่า ไม่งั้นพวกเราลองไปปรึกษากุยแกดูกันดีกว่าสำหรับมุมมองของกุยแกที่มีต่อเล่าปี่นั้น ในเอกสารประวัติศาสตร์มีการบันทึกไว้สองที่แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงบันทึกหนึ่งคือ กุยแกไม่เห็นด้วยกับการฆ่าเล่าปี่ โดยบอกว่าตอนนี้เล่าปี่ไม่มีกำลังใดๆ ฆ่าเขาแล้ว อาจทำให้เสียชื่อเสียง ถือว่าได้ไม่คุ้มเสียส่วนบันทึกอีกที่หนึ่งคือกุยแกตัดสินใจให้ฆ่าเล่าปี่ โดยบอกว่าตอนนี้เล่าปี่ไม่มีกำลังใดๆ รีบฆ่าเสีย เพราะรอช้าไปอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกจากเอกสารสองฉบับแม้ว่าจะไม่เหมือนกันเลย แต่ว่าสุดท้ายแล้วการเลือกของโจโฉที่จะอุ่นสุราวิจารณ์วีรบุรุษกับเล่าปี่ในสวนดอกท้อ ทำให้เกิดเป็นข้อความดีๆ ที่ทำให้เคลิบเคลิ้มใจ
- ยืมมีดฆ่านี่ฮ้วง
- โจโฉรวมผู้มีปัญญามารับราชการ ผลลัพธ์ที่ไม่ดีคือดึงเอาผู้บ้าคลั่งเฉกเช่นนี่ฮ้วงเข้ามาด้วย จนทั้งหมดตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ควบคุมได้ยากนี่ฮ้วงคนนี้ตอนเด็กๆ ถือว่าเป็นคนฉลาด ชอบถกปัญหากับคนอื่น แต่เมื่อเจอคนที่ไม่ฉลาดเท่าตัวเอง ก็จะทำหน้าตาดูถูก ไม่แยแส ทำให้คนอื่นรู้สึกเบื่อหน่าย นี่ฮ้วงยังได้เตรียมนามบัตรเอาไปแจกให้คนอื่น แต่ว่าด้วยเหตุที่เขาไม่เคยเห็นหัวใคร นามบัตรนี้เลยไม่เคยถูกใช้เลย จนสุดท้ายตัวหนังสือบนนามบัตรได้เลือนหายไปมีคนถามนี่ฮ้วงว่า เจ้าคิดว่าคนฮูโต๋ ใครที่สามารถคุยกับเจ้ารู้เรื่องนี่ฮ้วงจึงต้องว่า ถ้าเป็นคนที่อายุมากหน่อยก็เห็นจะเป็นขงหยง ส่วนคนที่อายุน้อยหน่อยก็คือเอียวสิ้ว...นั่นก็คือขงบุ้นกื้อและเอียวเต็กโจ้วและมีคนถามนี่ฮ้วงอีกว่า ถ้าเจ้ามองโจโฉ ซุนฮก และจ้าวจื้อฉาง (ชื่อของเขาคนนี้ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารใดๆ ...หรือไม่ก็หายไปแล้ว) เป็นอย่างไรบ้างนี่ฮ้วงตอบว่า ลักษณะของซุนฮกถือว่าใช้ได้ เอาไว้ไปจัดงานศพ ถือว่าเหมาะสมอยู่ ในส่วนของแม่ทัพผู้ทำลายศัตรูอย่างจ้าวจื้อฉาง ดูลักษณะที่อ้วนพุงพลุ้ยแบบนี้ น่าจะเป็นไปพ่อครัว คงพอที่จะให้เขาแอบกินจนอิ่มได้ความบ้าบอของนี่ฮ้วงเหมาะกับขงหยงมาก เพราะว่าขงหยงก็มีชื่อเสียงในด้านนี้ ดังนั้นขงหยงจึงนำเสนอนี่ฮ้วงกับโจโฉ ทำให้โจโฉสนใจเขามาก จึงได้หาเวลาคุยกับนี่ฮ้วง แต่เมื่อถึงเวลาแล้วนี่ฮ้วงกลับบอกว่าโรคประสาทกำเริบ จึงได้ยกเลิกการเข้าพบในครั้งนั้นไปเรื่องนี้ทำให้โจโฉโกรธมาก เพราะนับตั้งแต่เขาจับตัวพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ไว้ในมือมานี้ ข้าหลวงล้วนสยบต่อเขาทั้งสิ้น มีเพียงปัญญาชนในสำนักบัณฑิตที่เรียกร้องพิธีการต่างๆ หรือสร้างความลำบากให้เขาได้บ้างดังนั้นการกระทำของนี่ฮ้วงจึงทำให้โจโฉเดือดดาลเป็นอย่างมาก เพื่อการนี้โจโฉจึงตั้งใจเตรียมการให้นี่ฮ้วงสักครั้ง เขาคิดจะสร้างความอับอายให้กับนี่ฮ้วงโจโฉแต่งตั้งให้นี่ฮ้วงเป็นพลกลอง หลังจากนั้นเรียกประชุมกองทัพแล้วให้นี่ฮ้วงตีกลองให้ทุกคนฟัง นี่ฮ้วงคนอย่างเจ้าไม่ใช่ว่าใครก็ดูถูกไม่ได้หรือ แต่ว่าคนที่เจ้าดูถูกตอนนี้ล้วนมีตำแหน่งสูงทั้งนั้น เจ้าก็มาทำหน้าที่สร้างความสุขให้กับทุกคนก็แล้วกัน ก็ไม่ได้มีค่าไปกว่าหญิงบริการชั้นสูงเท่าไรนัก นี่คือแผนที่โจโฉวางไว้หากยึดตามพิธีการ พลกลองต้องเปลี่ยนชุดตอนตีกลอง แต่ว่าตอนที่นี่ฮ้วงออกมานั้น ยังคงสวมเสื้อผ้าผิดธรรมเนียมอยู่ ก็คือหมวกสูงชุดแขนยาว เขาเดินไปยืนต่อหน้าทุกคนด้วยความองอาจแล้วเริ่มตีกลอง ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ล้วนยอมรับว่าเขามีพรสวรรค์ในการตีกลอง ตีได้ก้องกังวาน มีจังหวะจะโคน ทำให้ทุกคนฮึกเหิม แต่ปัญหาอยู่ที่นี่ฮ้วงไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ดังนั้นผู้คุมจึงได้กล่าวโทษนี่ฮ้วงว่าไม่ให้ความเคารพต่อหน้าที่ ไม่มีจิตสำนึกต่อหน้าที่นี่ฮ้วงกำลังรอจังหวะนี้อยู่พอดี หลังจากที่ถูกว่ากล่าว เขาก็เดินไปตรงหน้าโจโฉแล้วเริ่มถอดเสื้อผ้า ถอดจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว ยืนเปลือยเปล่าอยู่ต่อหน้าโจโฉ ทำเอาทุกคน ณ ที่นั้นตะลึงอ้าปากค้าง ถึงตอนนี้นี่ฮ้วงก็เริ่มหยิบชุดพิธีการมาใส่โดยไม่ได้รีบร้อนอะไร แล้วอวดลีลาการตีกลองที่ดีงาม สร้างความสั่นสะเทือนอีกครั้งให้กับแขกที่นั่งดื่มเหล้าอยู่โจโฉจำเป็นต้องยอมรับ นี่ฮ้วงเป็นคนมีความสามารถ อย่างน้อยเขาก็มีพรสวรรค์ในการตีกลอง ดังนั้นโจโฉจึงได้ร้องตะโกนไปว่าวันนี้ เดิมทีเราคิดจะสร้างความอับอายให้กับเจ้านี่ฮ้วง แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อเจ้าได้อวดฝีมือ กลับกลายเป็นเราเสียเองที่ต้องอับอายพูดถึงตอนนี้ ถือว่าโจโฉได้แสดงท่าทีของตัวเองที่มีต่อนี่ฮ้วงแล้ว เขายอมรับนี่ฮ้วงและยินดีให้ทางเลือกแก่นี่ฮ้วง ก็ต้องดูต่อไปว่านี่ฮ้วงจะเลือกหรือไม่เลือกไมตรีนี้ขงหยงแม้ว่าจะมีความมุทะลุอยู่บ้างแต่ยังไม่ถึงขนาดนี้ ยังมีตรรกะปกติอยู่ จึงเข้าใจความหมายของโจโฉ ดังนั้นจึงไปตามหาตัวนี่ฮ้วงจนเจอ แล้วก็ด่านี่ฮ้วงยกใหญ่ว่านี่ฮ้วง เจ้านี่มันบ้าจริงๆ บ้าจนไม่ดูที่ไม่ดูทาง ยังกล้าไปแก้ผ้าต่อหน้าโจโฉ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ถ้าเจ้ายังทำตัวบ้าบอไร้สติแบบนี้ต่อไป ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้ายังไงเหมือนกันนี่ฮ้วงตอบกลับด้วยสายต่ำกดต่ำว่า ได้ เช่นนั้นแล้วข้าจะไปขอโทษโจโฉต่อหน้า แบบนี้พอใจหรือยังดีๆ ขงหยงตอนกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย และพูดต่อไปว่า โจโฉคนนี้ เป็นคนรักหน้ามาก เจ้าต้องยอมขอโทษเขา ให้เกียรติเขา นี่คือสิ่งที่ควรทำที่สุด เช่นนั้นข้าจะไปบอกโจโฉเดี๋ยวนี้ขงหยงนำเรื่องที่นี่ฮ้วงอยากขอโทษต่อหน้ามาบอกให้โจโฉทราบ โจโฉดีใจมากเพราะถ้าหากนี่ฮ้วงยอมก้มหัวให้เขา นั่นก็บ่งบอกได้ว่าเหล่าบัณฑิตจะยอมรับเขา ตั้งแต่วัยรุ่นคงเป็นเพราะว่าเขาได้รับการคุ้มครองทางการเมืองจากกลุ่มขันทีที่นำโดยโจเตงผู้เป็นปู่ ดังนั้นถูกกลุ่มบัณฑิตจึงดูถูกมาโดยตลอด เขาอยากเป็นเพื่อนกับจงซื่อหลิน แต่ก็ถูกจงซื่อหลินปฏิเสธกลับมาด้วยความเย็นชา หลังจากเขามีอำนาจเป็นซือคง กุมอำนาจทั้งหมด ก็ยังเคยไปหาจงซื่อหลินแล้วถามว่า ท่านจง ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันได้แล้วสินะ นึกไม่ถึง จงซื่อหลินนิ่งเฉยและตอบกลับด้วยน้ำเสียงดังฟังชัดว่า ด้วยความซื่อสัตย์และปณิธานที่แน่วแน่ ข้าจะไม่ยอมคบค้าเพียงเพราะว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจบารมีในใจโจโฉร้อนรุ่ม คิดไม่ออกว่าทำไมจงซื่อหลินที่ยอมเป็นเพื่อนกันทุกคน และโจโฉก็ไม่ได้คิดจะเอาไปขายให้สำนักนางโลมที่ไหน แล้วจะมามีปณิธานแน่วแน่อะไรกัน ทำกันจนต้องเจ็บปวดกันอย่างนี้เลยหรือแต่ความหยิ่งยโสของจงซื่อหลินมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของพวกบัณฑิตที่มีต่อโจโฉ การไม่ยอมรับเช่นนี้ถือเป็นเรื่องรุนแรง มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการยอมรับในอำนาจของเขา ถ้าหากกลุ่มบัณฑิตไม่ยอมรับเขา นั่นก็หมายความว่าโจโฉเป็นแค่พวกทรชนสร้างความเดือนร้อนเท่านั้น ดังนั้นยิ่งจงซื่อหลินมีท่าทีหยิ่งยโสเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้โจโฉต้องอดทนต่อความโกรธมากยิ่งขึ้น เขาได้แต่งตั้งให้จงซื่อหลินเป็นผู้ว่าการเมื่องฮั่นจง แล้วให้ลูกชายของเขาโจสิดให้เป็นศิษย์ของจงซื่อหลิน เพื่อรับการศึกษาตามธรรมเนียมตอนนี้การที่นี่ฮ้วงถึงขั้นจะมาขอโทษเขาต่อหน้า นั่นจะไม่ทำให้โจโฉดีใจได้อย่างไรในส่วนของนี่ฮ้วงเองก็มีผลต่อกลุ่มบัณฑิต ถ้าเขายอมก้มหัว จงซื่อหลินก็คงไม่กล้าทำอะไรเกินไป ด้วยความยินดีในเรื่องนี้ โจโฉกับขงหยงจึงได้นัดเจอกันตอนเช้าและยังแจ้งผู้ใต้บังคับบัญชาว่าถ้านี่ฮ้วงมาเมื่อไรก็ให้แจ้งเขาได้เลยรอถึงเช้าวันรุ่งขึ้น นี่ฮ้วงกลับไม่มา โจโฉรู้แล้วว่ากำลังถูกเขาแกล้งแต่ก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่อดทน นึกไม่ถึงว่าในตอนเย็น นี่ฮ้วงอยู่ดีๆ ก็มาปรากฏตัวที่ประตู สวมชุดยาวพร้อมผ้าพันคอ เขานั่งลงบนพื้นแล้วใช้ไม้เท้าเคาะพื้น พร้อมเรียกชื่อโจโฉเสียงดังและตามมาด้วยคำด่าอีกเป็นชุดเหตุการณ์ตอนนั้นทำให้โจโฉเริ่มโกรธ จึงได้พูดออกมาว่าเจ้านี่ฮ้วงคนนี้ ไม่อยากเป็นมิตรกับเราก็ออกไปไกลๆ ให้ห่างก็เท่านั้น ทำไมต้องมาด่ากันเช่นนี้ด้วยสุดท้ายโจโฉก็โกรธขึ้นมา สั่งให้คนเตรียมม้าสามตัวกับทหารม้าสองนาย แล้วจับนี่ฮ้วงไปส่งนอกเขต ส่งไปให้เล่าเปียวที่เกงจิ๋ว ก่อนเดินทางโจโฉพูดกับขงหยงว่า นี่ฮ้วงกล้ารังแกเรา ไม่ใช่เพราะว่าเราใจดีเกินไปหรอกหรือ ดี เราจะส่งมันไปให้เล่าเปียว เจ้าคอยดูนะว่ามันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไรนี่ฮ้วงถูกส่งไปที่เล่าเปียว เล่าเปียวยินดีและให้เกียรติเขา แต่ว่านี่ฮ้วงทำตัวบ้าคลั่ง เพียงไม่นานเล่าเปียวก็ทนไม่ไหวจึงได้พูดออกไปว่า ดูเหมือนว่าจะถูกโจโฉหลอกเสียแล้ว เขาไม่ฆ่านี่ฮ้วงแล้วส่งมาให้เราฆ่า ถ้าเราฆ่านี่ฮ้วงก็ไม่พ้นความผิดในข้อหาฆ่าบันฑิตผู้มีชื่อหรอกหรือข้าก็เรียนรู้ศิลปะการยืมมือคนอื่นฆ่าคนของโจโฉ เล่าเปียวจึงได้นำต้วนี่ฮ้วงส่งไปให้หองจอผู้ว่าการเมืองกังแฮผู้มีอารมณ์ร้อนต่ออีกทอดหนึ่งดีกว่าเมื่อนี่ฮ้วงถึงกังแฮก็ยังไม่เปลี่ยนนิสัย เขายังด่าหองจอเหมือนที่เคยทำกับคนอื่น ด่าจนหองโจหัวใจเต้นถี่ เวียนหัวจะเป็นลม ควบคุมอารมณ์ไม่ได้และออกคำสั่งฆ่าในที่สุด นี่ฮ้วงจึงตายลงที่เมืองนี้ด้วยอายุแค่ 26 ปีหากจะวิจารณ์นี่ฮ้วง นักวิจารณ์คงเน้นไปที่เรื่องความสัมพันธ์ของคน คิดว่านี่ฮ้วงทำเกินไป มุทะลุเกินไป ไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่นบ้าง ชอบทำให้คนอื่นขายหน้า แต่ในความเป็นจริงพฤติกรรมที่นำไปสู่ความตายของนี่ฮ้วงถือเป็นการต่อต้านสภาพสังคมที่วุ่นวายในตอนนั้นเพราะในสายตาของนี่ฮ้วง คนที่ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษในยุคนั้นล้วนแล้วแต่ไม่น่าเชื่อถือทั้งเพ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจของโจโฉ อำนาจของเล่าเปียว หรืออำนาจของหองจอ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่าสงสัย ผิดกฎหมาย ไม่ได้รับการยอมรับจากราษฎร ไม่ว่าจะมีใครยอมรับในอำนาจที่ได้มาจากการแย่งชิงแต่นี่ฮ้วงไม่ยอมรับเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้แต่ก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ การเป็นปฏิปักษ์กับกระแสหลัก เทียบไม่ได้กับการยอมตายไปพร้อมความถูกต้อง การรักษาความถูกต้องของกลุ่มผู้บัณฑิตผู้มีความรู้นั้น สำหรับพวกนิยมผลลัพธ์ไดยไม่สนว่าจะได้มาด้วยวิธีการใดอย่างโจโฉหรือเล่าเปียวคงยากที่จะเข้าใจได้หรืออย่างที่มีคนกล่าวว่า นี่ฮ้วงเป็นเพียงแค่พวกอุดมคตินิยมที่เต็มไปด้วยความบริสุทธ์คนหนึ่ง...แต่ถ้าไม่ใช่สถานการณ์บีบบังคับ ใครเล่าจะละทิ้งปณิธานแห่งอุดมคติอันแสนบริสุทธ์ของตนเองด้วยเหตุการณ์นี้ถึงทำให้พวกเราเข้าใจคำพูดของจงซื่อหลินที่ว่า “ด้วยความซื่อสัตย์และความปณิธานที่แน่วแน่ จะไม่ยอมคบค้าเพียงเพราะว่าเขาเป็นผู้มีอำนาจบารมี” ข้อความนี้มีนัยสำคัญ จงซื่อหลินไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับโจโฉ แต่ไม่อาจเห็นด้วยกับกรอบความคิดของโจโฉและไม่ยอมรับท่าทีของโจโฉแต่อย่างน้อยโจโฉก็เป็นคนที่อ่านหนังสือมาบ้าง เขารู้ว่ากลุ่มปัญญาชนนั้นแม้ว่าจะมีกำลังน้อย แต่ก็มีกำลังตลอดไม่เคยขาด และรากฐานทางปัญญาของพวกเขาล้วนมาจากแนวคิดขงจื๊อ ถ้าหากผิดพลาดอะไรไปอย่างหนึ่งก็จะรู้สึกเหมือนว่าผิดพลาดไปเสียทั้งหมด ในความจริงแล้วมุมมองข้อนี้กำลังจะได้รับการพิสูจน์ในไม่ช้าณ เมืองอ้วนเซีย โจโฉรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง จากหญิงงามคนหนึ่ง
- นักวางแผนคนแรกของยุคสามก๊ก
- ในขณะที่โจโฉลักพาตัวพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ ที่กุ่นจิ๋วและอิจิ๋ว กลุ่มวีรบุรุษได้แบ่งกลุ่มก่อตั้งกองทหารขึ้นเรียบร้อยแล้วด้านเหนืออ้วนเสี้ยวอยู่ที่กิจิ๋วและควบคุมแคว้นเซียงจิ๋วและเป๊งจิ๋ว กองซุ่นจ้านอยู่ที่อิวจิ๋ว เตียวเอี๋ยนกลับไปโห้ลายและดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองโห้ลายต่อไป สำหรับกองซุนจ้านที่อยู่อิวจิ๋ว โจโฉได้ทำการปลอมพระราชโองการของพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ นำอิวจิ๋วแบ่งให้อ้วนเสี้ยว แผนร้ายอันนี้ของโจโฉได้ผลยิ่งนัก ส่วนเตียวเอี๋ยน จริงๆ แล้วเขาเป็นผู้ที่เคยทำคุณให้โจโฉ แต่กลับถูกโจโฉใส่ชื่อลงเป็นเป้าหมายของการโจมตี คิดไปแล้วเป็นสิ่งที่น่ากลัดกลุ่มจริงๆด้านตะวันออกลิโป้เข้ายึดชีจิ๋วจากเล่าปี่ อ้วนสุดควบคุมห้วยหนำด้านใต้เล่าเปียวอยู่ที่เกงจิ๋ว เตียวสิ้วยึดครองลำหยง ซุนเซ็กวีรบุรุษหนุ่มอีกคนคุมเมืองกังตั๋งด้านตะวันตกม้าเท้งครองเลงจิ๋ว เตียวฬ่อครองฮันต๋ง เล่าเจี้ยงครองเอ็กจิ๋วหากมีการร่วมมือกันแล้วก่อสงครามขึ้น เขี้ยวชนเขี้ยว ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นโดยเร็ว โจโฉต้องพบกับทางเลือกที่แสนยากเย็นอีกครั้งหนึ่ง เขาจะต้องเลือกศัตรูดีๆ เพราะถ้าเลือกถูกก็จะสามารถตีพ่ายได้ จะขยายอาณาเขตได้อีกระดับหนึ่ง สุดท้ายก็จะได้ครองแผ่นดิน แต่หากเลือกผิดก็จะต้องเผชิญภัยทั้งสี่ด้าน ถึงเวลานั้นไม่ต้องคิดถึงการครองแผ่นดิน แค่จะเอาชีวิตให้รอดยังยากเช่นนั้นแล้วศัตรูคนแรกควรจะเป็นใครกันเล่าเมื่อโจโฉเลือกแล้วว่าศัตรูของเขาคือเตียวสิ้วแห่งลำหยง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าการเลือกในครั้งนี้จะนำมาซึ่งการเผชิญหน้าระหว่างเขากับคนที่ฉลาดที่สุดแห่งยุคสามก๊กหากจะกล่าวย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นที่ตั๋งโต๊ะเข้ายึดเมืองหลวง มีนักวางแผนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขาตลอด...ชาวกานซู่ผู้หนึ่งนามว่ากาเซี่ยง เมื่อตั๋งโต๊ะยึดครองราชย์สำนักได้ กาเซี่ยงก็เจริญในหน้าที่การงานขึ้นเรื่อยๆ ตั๋งโต๊ะแต่งตั้งให้เขาเป็นผิงจินตูเว่ยและได้ส่งเขาออกนอกเมืองหลวง หากตั๋งโต๊ะมองเห็นค่าในตัวเขา และเอาเขาไว้กับตัว บางทีเหตุการณ์ทั้งหมดอาจไม่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อกาเซี่ยงออกนอกเมือง ตั๋งโต๊ะก็ติดกับดักจากแผนคนงามของอ้องอุ้นและถูกลิโป้ฆ่าตาย เมื่อตั๋งโต๊ะตาย แม่ทัพที่เหลือคือลิฉุยกับกุยกีก็ขอละเว้นโทษ แต่ว่าอ้องอุ้นไร้สมอง บอกว่าหนึ่งปีจะอภัยโทษแค่ครั้งเดียวจึงได้ปฏิเสธพวกเขาไปตอนนั้นลิฉุยกับกุยกีถึงกับร้องไห้ กาเซี่ยงจึงออกมาเตือนพวกเขา ในเมื่อพวกเราไม่สามารถอยู่ในราชสำนักนี้ได้แล้ว พวกเราก็แยกทางจากพวกเขากันดีกว่า แม่ทัพทั้งสองท่านมีทหารอยู่ในมือ จะกลัวเดือดร้อนอะไร ไม่ลองรวบรวมทัพทหารกล้าแล้วเข้าตีเตียงฮัน ดูสิว่าพวกเขาจะว่าอย่างไรลิฉุยกันกุยกีก็ทำตาม สุดท้ายก็เข้ายึดเตียงฮันได้อย่างราบรื่น แล้วก็ฆ่าอ้องอุ้นและตีลิโป้ ควบคุมพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ กาเซี่ยงก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซ่างซู เซวียนอี้เจี้ยงจวิน ต่อมาลิฉุยกับกุยแกก็รวมทัพกัน แม่ทัพอีกคนของตั๋งโต๊ะนามว่าเตียวเจก็รีบมาพูดคุยประนีประนอม โอกาสนี้กาเซี่ยงจึงได้สร้างความสัมพันธ์เตียวเจอีกด้วยหลังจากนั้นทหารของเตียวเจอดอยาก เขาจึงเข้าไปหาอาหารในเขตของเล่าเปียว ตอนเข้าตีเมืองเซียงหยงเกิดพลาดท่าเสียทีถูกยิงตาย หลังจากที่เตียวเจตายแล้ว ทัพของเขาก็นำโดยหลานของเขาเตียวสิ้ว มีบันทึกว่าตอนที่เตียวเจตายนั้น เหล่าข้าราชการที่เกงจิ๋วล้วนอวยชัยให้แก่เล่าเปียว แต่เล่าเปียวกลับร้องไห้แล้วกล่าวว่าเตียวเจลำบาก ไม่อาจใช้ชีวิตต่อไปได้ จึงได้มาหาเรื่องเรา กองทัพของเขาไร้เสบียง เราส่งเสบียงให้เขาไม่ทัน ไม่มีโอกาสได้แสดงน้ำใจ ทั้งยังปล่อยให้เขามาตายในสงคราม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็นเลย พูดจบเล่าเปียวส่งคนนำเสบียงไปส่งให้กองทัพเตียวสิ้ว เตียวสิ้วประทับใจมากจึงตั้งค่ายอยู่ที่ลำหยงข้างกายเตียวสิ้วไร้คนฉลาด จึงได้ขอร้องให้กาเซี่ยงมาช่วย หลังจากที่กาเซี่ยงมาถึง เขาอยากพบเล่าเปียวแต่เล่าเปียวหลบหน้า เขาโทษตัวเองจากการตายของเตียวเจ เขาไม่เคยรับแขกอีกเลยท่าทีเช่นนี้ของเล่าเปียวทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องหันหน้ามาคุยกัน สุดท้ายเล่าเปียวและกาเซี่ยงจึงเข้าใจและให้อภัยกัน สองฝ่ายตกลงกันว่าให้เตียวสิ้วพักที่อ้วนเซีย นับแต่นั้นก็ได้กลายเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศเหนือให้กับเล่าเปียวเมืองหน้าด่านทางเหนือนี้ต้องเผชิญหน้ากับโจโฉพอดี เพราะลำหยงติดต่อกับพื้นที่ของโจโฉพอดี ถ้าโจโฉต้องการจัดการเล่าเปียว เตียวสิ้วก็เหมือนเข็มที่คอยทิ่มแทงสมองของโจโฉ ถ้าไม่ถอนทิ้งก็รังแต่จะทำให้โจโฉกินไม่ได้ นอนไม่หลับเช่นนั้นแล้วโจโฉจึงได้กางแผนที่ดูการวางตัวของศัตรู เขาตัดสินใจว่าจะจัดการกับเตี้ยวสิ้วก่อน ที่เลือกเตียวสิ้วเพราะจัดการได้ง่าย พวกเขามีกำลังน้อย จัดการเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเรียบร้อยปี ค.ศ. 197 โจโฉอายุได้ 43 ปี หลังจากควบคุมพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้ได้แล้ว ทัพแรกของโจโฉคือการโจมตีเตียวสิ้วที่อ้วนเซียเมื่อเห็นทัพใหญ่ของโจโฉมาถึง เตียวสิ้วถามแผนการจากกาเซี่ยง กาเซี่ยงจึงบอกว่าจะต้องถามอีกหรือ แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องประกาศยอมแพ้ กำลังของพวกเราไม่พร้อม อีกทั้งโจโฉคือผู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า ตอนนี้รีบยอมแพ้เสีย จะรออะไรเตียวสิ้วเชื่อฟัง เขายกธงยอมแพ้สงครามยังไม่ทันทำก็ชนะแล้ว โจโฉเขาเมืองอ้วนเซียด้วยความปิติ หลังจากเข้ามาก็ได้เห็นภรรยาของเตียวเจ นางก็คือเป็นอาหญิงของเตียวสิ้วนั่นเอง ตอนนี้โจโฉก็มีความคิดว่าเราก็เหนื่อยกับบ้านเมืองมามาก ทุ่มใจเทกายทำงาน ถึงตอนนี้ขอหาอะไรมาตอบแทนความเหนื่อยบ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนที่ทำเพื่อแผ่นดินมากมายขนาดนี้ ดังนั้นจึงไปหาอาหญิงของเตียวสิ้ว ไม่พูดไม่จาและได้ลงมือข่มขืนอาหญิงของเขาเสียโจโฉถือกางเกงออกมาและได้พบกับทหารกล้าอันดับหนึ่งลูกน้องเตียวสิ้วนามว่าเฮาเฉีย เฮาเฉียคนนี้มีพละกำลงมาก เป็นแม่ทัพสูงสุดของกองทหารนี้ โจโฉจึงรีบเรียกเฮาเฉียมา แล้วบอกว่าเราชอบนักรบที่กล้าหาญเยี่ยงเจ้า แล้วหยิบทองออกมาหนึ่งแท่งแล้วมอบให้เฮาเฉียการกระทำของโจโฉทำให้เตียวสิ้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ในใจคิดว่าทำใมโจโฉจึงได้ทำแบบนี้ เราเองก็ยอมแพ้แล้ว แล้วทำไมต้องมาข่มเหงน้ำใจอาหญิงของเรา แล้วต่อไปจะกล้าไปพบหน้าใครได้อีก จึงได้นำเรื่องไปกล่าวโทษต่อกาเซี่ยงว่าต้องโทษท่าน ความผิดของท่าน ท่านให้ข้ายอมแพ้ ผลก็คือโจโฉกลับมาขืนใจอาหญิงของข้า แล้วยังแอบติดสินบนลูกน้องที่แสนซื่อสัตย์ของข้า นี่ยังไม่ชัดอีกหรือว่าเขาจะฆ่าข้ากาเซี่ยงก็กลัดกลุ้มมากและพูดว่า โจโฉ เมื่อก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าอาหญิงของเจ้าไปเข้าหาเขาก่อนนะ ช่างเถอะๆ ไม่ต้องสนว่าใครเริ่มก่อน ในเมื่อโจโฉไม่ไว้หน้าพวกเรา เช่นนั้นแล้วเราก็จัดการเขาเสียเลยดีกว่าตามแผนของกาเซี่ยง เตียวสิ้วมาหาโจโฉเพื่อขออนุญาตให้กองทัพของตัวเองเดินทางผ่านค่ายของโจโฉ และยังกล่าวอีกว่ารถน้อยแต่หนักมาก จึงขอให้ทหารสวมชุดเกราะเดินมาเลย โจโฉคิดไม่ทัน สมองฝ่อชั่วขณะ จึงตอบตกลงดังนั้นเตียวสิ้วจึงนำกองกำลังทหารพร้อมชุดเกราะมาที่ค่ายโจโฉ พร้อมตะโกนสั่งรบ กองกำลังจึงเข้าตีค่าย ภาพการไล่ฆ่าจึงได้เปิดฉากขึ้นเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก โจโฉไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนเลย เขารีบออกมารับศึก เตียวอุยแม่ทัพผู้กล้าหาญตายกลางสนามรบ โจโฉถูกยิงด้วยลูกธนูทะลุแขนขวา ม้าถูกยิงล้มลง โชคดีที่ลูกชายคนโตโจงั่งมอบม้าให้เขา โจโฉเลยหนีเอาตัวรอดได้ ส่วนโจงั่งเองและหลานชายโจโฉอีกคนโจอันบิ๋นถูกฆ่าตายทั้งคู่ในค่ายของโจโฉยังมีเด็กอายุ 11 ปีอยู่คนหนึ่ง เขาคืออนาคตฮ่องเต้เว่ยเหวินตี้โจผี เด็กคนนี้หลักแหลมมาก สามารถวิ่งไปขึ้นหลังม้าแล้วควบม้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้
- การประกาศศึกที่แยบยล
- ทัพโจโฉแพ้ศึกเหมือนเขาถล่ม ไม่สามารถรักษาอะไรไว้ได้ แต่ละคนต่างเอาตัวรอด เตียวสิ้วตีจนไม่เหลือ ไล่ตามฆ่าไม่ลดละจนพบกับทัพของอิกิ๋ม อิกิ๋มเดิมทีเป็นทัพใต้บังคำบัญชาของเปาสิ้น หลังจากที่เปาสิ้นตายจากการทำศึกกับกบฏโพกผ้าเหลืองพวกเขาก็มาติดตามโจโฉ เขาบริหารกองกำลังอย่างมีกลยุทธ์ แม้ว่ามีกำลังภายใต้บังคับบัญชาแค่หลักร้อย แต่เขาก็รบไปหนีไป แม้ว่าจะมีบาดเจ็บหรือล้มตายแต่ก็ไม่หลบหนี รอจนทัพของเตียวสิ้วไล่จนเหนื่อย อิกิ๋มก็จัดกระบวนทัพแล้วลั่นกลองตอบโต้กลับแม้อิกิ๋มจะอยู่ในภาวะเสี่ยงก็ไม่เคยสับสนจนเสียกระบวน ยังรักษาการเป็นแนวทัพหน้าของโจโฉอยู่เหมือนเดิม และด้วยเหตุนี้ทหารทัพของเตียวสิ้วที่ไล่ตามมาจึงโดนตีกลับจนแตกพ่ายเมื่อคิดทบทวนเหตุการณ์ข้างต้นนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของโจโฉล้วนๆ จัดการกับความอยากของตัวเองไม่ได้จนเกิดเรื่อง แต่โจโฉก็กลับพูดว่าความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นเพราะเขาลืมไปว่าเตียวสิ้วได้เคยส่งคนมาหาเขา ทำให้ถูกมองออก ถึงได้เกิดเหตุการณ์แย่ๆ แบบนี้ แม้ว่าเหตุผลนี้มันจะฟังไม่ขึ้นแต่ว่าโจโฉก็ยังยืนยันต่อหน้าทุกคนแบบนั้นเรารู้ดีว่านี่คือความพ่ายแพ้ แต่อยากให้ทุกคนรับรู้ไว้ว่า หลังจากนี้เราจะไม่พ่ายแพ้อีกต่อไปแล้วประโยคข้างต้นนี้ ทำให้มองออกว่าโจโฉเป็นหนึ่งที่ชอบขับเคี่ยวกับคู่ต่อสู้ โดยการกระทำแบบนี้เขาคิดว่ามันสนุกมาก แต่ว่าบนโลกนี้คนจำนวนมากที่ปรารถนาการอยู่อย่างสงบ ใช้ชีวิตอย่างสงบ ถูกคนอย่างโจโฉลากเข้าไปเกี่ยวข้องและหาเรื่องคนอื่นไม่หยุดไม่หย่อน แบบนี้ล้วนทำให้คนอื่นรู้สึกหมดหวังในนี้ชีวิตแม้ว่าจะหมดหวังก็ต้องสู้ ไม่สู้ไม่ได้ หลังจากที่โจโฉกลับไปยังฮูโต๋ เตียวสิ้วแอบส่งคนไปยังจางหลิง ยุแหย่จนเกิดการก่อกบฏ ดังนั้นลำหยงและจางหลิงล้วนเกิดเหตุการณ์ก่อกบฏขึ้นแล้ว และเปลี่ยนธงรบเป็นของเตียวสิ้ว โจโฉทนไม่ได้จึงให้โจหองไปท้ารบ หลังจากโจหองเดินทางไปและได้ทำตามคำสั่งโจโฉแล้วแต่สถานศึกไม่เป็นอย่างที่คิดหลังจากนั้นเตียวสิ้วก็จัดการกับโจโฉได้อยู่หมัด ด้วยการเล่นเกมท้ารบกันไม่หยุดไม่หย่อน นั่นทำให้คนที่ชำนาญในการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น กลับกลายเป็นผู้ที่ต้องทรมานจากการกระทำเช่นเดียวกันเสียเองการที่ถูกเตียวสิ้วกลั่นแกล้งแบบนี้เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เดือนสิบเอ็ดปีเดียวกัน โจโฉออกรบทางทิศใต้รอบที่สอง เป็นการรบกันอีกครั้งหนึ่งกับเตียวสิ้วครั้นเดินทัพมาถึงริมน้ำ โจโฉได้จัดการชุมนุมเพื่อไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่เป็นการไว้อาลัยให้กับเหล่าทหารที่เสียชีวิตไปรวมถึงเตียนอุยด้วย จะว่าไปแล้วจริงๆ การที่โจโฉทำแบบนี้เพราะเขามีแผนอยู่ในใจ เตียนอุยต้องตายอย่างน่าอนาถ เขาต้องตายจากตัณหาของนาย ไม่มีหมาตัวไหนที่จะเลือกตายแบบนี้ เชื่อว่าการตายของเตียนอุยได้กลายเป็นเหมือนคลื่นในความคิดของทหารในค่ายไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทหารคิดแบบนี้ต่อไปอีก โจโฉจึงจัดงานไว้อาลัยที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เพื่อกลับผิดให้เป็นถูกเสียโจโฉกล่าวว่ามีบางคนตายด้วยตัณหาของเจ้านาย เจ้านายก็จัดงานไว้อาลัยให้ด้วยตัวเอง มีบางคนต้องตายเพื่อลูกเมียของตัวเอง คนแบบนี้นอกจากพ่อแม่แล้วใครจะจำเขาได้อีกเหตุที่โจโฉต้องใช้วาทะเช่นนี้ เพราะจริงๆแล้วพวกทหารเป็นพวกไร้หัวคิด จากเหตุการณ์น่าเศร้าที่เกิดขึ้นอาจทำให้พวกเขาเกิดคิดไปต่างๆ นานา ดังนั้นโจโฉจึงต้องการจัดระบบความคิดให้เป็นแบบเดียวกัน สร้างการรับรู้ที่เท่ากัน เพื่อให้ทหารเกิดความฮึกเหิมและตัดสินใจยอมตายจากตัณหาของตัวเอง หลังจากนั้นโจโฉจึงเข้าตีหูหยางเมืองที่ดูแลโดยแม่ทัพของเล่าเปียวนามว่าเตงเจ โดยจับเป็นเตงเจ กุมชัยชนะกลับไป นี่เป็นการพิสูจน์แล้วว่าทหารทุกคนยังมีความจงรักภักดีต่อเขาและยังไม่มีความคิดออกนอกลู่นอกทาง ถือว่าเขาจัดระบบความคิดของทหารได้สำเร็จการรบครั้งที่สองกับเตียวสิ้วนั้น เมื่อโจโฉเห็นว่าชนะแล้ว ก็ไม่ได้คิดเผชิญหน้ากับเตียวสิ้ว จึงนำทัพเดินทางกลับทำไมโจโฉถึงไม่ยอมปะทะกันต่อหน้ากับเตียวสิ้วล่ะจริงๆ แล้วที่เรียกว่าการรบครั้งที่สองกับเตียวสิ้วนั้น คุณค่าและความหมายทั้งหมดอยู่ที่งานไว้อาลัย เมื่อการชุมนุมจบลงก็ได้ทำให้ทหารรู้สึกมึนงง แล้วเมื่อทหารเชื่อฟังและทำการรบครั้งนี้ให้จบลงได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว อย่างหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือความพ่ายแพ้ที่อ้วนเซีย มันทำร้ายจิตใจของโจโฉอย่างรุนแรงอยู่เหมือนกัน แม้กระทั่งคนที่อยู่กับโจโฉก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วน ตอนนี้เขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากเจอหน้าเตียวสิ้ว เพราะว่าถ้าเขาเจอกันแล้วจะพูดอะไรกันเล่า หรือจะให้พูดว่าคนทรยศเตียวสิ้ว สุดท้ายแล้วเจ้าจะไม่ยอมให้เราข่มเหงอาหญิงของเจ้าหรือ เจ้าก็ทนมาได้ถึงขนาดนี้แล้วจะทนอีกหน่อยจะเป็นไรไป...การกระทำแบบนี้ สนุกน่ะมันสนุก แต่ว่าหลังจากนี้โจโฉจะไม่มีโอกาสได้เล่นอีกต่อไปแล้วศึกสนามสองกับเตียวสิ้วเป็นเพียงแค่การประกาศศึกที่สวยงามเท่านั้น จากการจัดชุมนุมเพื่อไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่ บรรลุเป้าหมายของการจัดการความคิดของกองทัพถือเป็นการเสร็จภารกิจหลังจากประกาศสงคราม เหมือนยกกับข้าวขึ้นโต๊ะ ปีที่ 3 แห่งรัชศกเจี้ยนอัน (ค.ศ. 198) โจโฉอายุ 44 ปี เปิดศึกครั้งที่สามกับเตียวสิ้วที่อ้วนเซีย แม่ทัพซุนฮกตามออกศึกด้วยซุนฮกเสนอว่าสงครามนี้อย่าเพิ่งเข้าตีเลย ดูท่าทีก่อนแล้วค่อยจัดการดีกว่าเพราะแม้ว่าทัพของเตียวสิ้วจะอ่อนแอ แต่ว่าหากรวมกับทัพของเล่าเปียวแล้ว สมมติว่าเราตีเตียวสิ้วก็กลัวแต่ว่าทัพของเล่าเปียวจะประกบแล้วตีจากด้านหลัง นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นักโจโฉพูดว่าจะเป็นไปได้หรือ ไม่น่าจะแย่ขนาดนั้นนะเขาไม่ฟังคำของซุนฮก โจโฉยกนำทัพเข้ารบ ผลไม่เป็นอย่างที่คิด เล่าเปียวนำทัพโอบมาจากด้านหลัง ปิดทางถอยโจโฉ ถึงตอนนี้มีทหารที่หนีอ้วนเสี้ยวมาอยู่กับโจโฉ มารายงานโจโฉว่าเตียนห้องผู้วางแผนของอ้วนเสี้ยวให้คำแนะนำกับอ้วนเสี้ยวว่าถือโอกาสตอนที่โจโฉไม่อยู่บ้าน รีบยกทัพเข้าตีฮูโต๋ แล้วชิงตัวพระเจ้าฮั่นเหี้ยนเต้มา จัดการยึดอำนาจว่าราชการแทน นั่นทำให้โจโฉแทนสิ้นสติ จึงรีบสั่งให้กองทัพถอนทหารรายการแสดงที่มีสีสันที่สุดเป็นตอนที่โจโฉแกล้งถอยทัพ ถือเป็นการโชว์ฝีมือของโจโฉกับกาเซี่ยงคนที่ลงมือก่อนคือโจโฉ เขาเขียนจดหมายไปถึงซุนฮกว่าเตียวสิ้วจะต้องไล่ตามเราแน่นอน รอให้มันตามเรามาถึงอันจ้ง เจ้ารอดูเราจัดการมันนะโจโฉถอยทัพ เตียวสิ้วรีบตามติด ถึงตอนนี้กาเซี่ยงเข้าขวาง แล้วว่าบอกว่า อย่าตาม อย่าตามเด็ดขาด ถ้าตามไปเจ้าจะต้องแย่แน่ๆเตียวสิ้วผลักกาเซี่ยง แล้วพูดว่าเจ้าเพ้อเจ้ออะไรอยู่ โอกาสดีๆ แบบนี้จะปล่อยไปได้อย่างไร เขาไม่ฟังคำกาเซี่ยง เมื่อเห็นข้าศึกถอยร่นก็รีบรุดไล่ตามไปจนถึงอันจ้ง ทันได้นั้นก็ได้ยินเสียงตีเกราะและก็เห็นเงาดำๆ ของทหารโจโฉผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กรูกันออกมาปิดทางถอยของเตียวสิ้วที่แท้โจโฉก็รู้อยู่แล้วว่าเตียวสิ้วจะไล่ตามมา เมื่อหนีมาถึงอันจ้ง ตอนกลางคืนก็แอบไปขุดทางเดินใต้ดินเพื่อเอาไว้ดักโจมตี หลังจากนั้นนำทหารน้ำดีพร้อมชุดเกราะไปแอบตามทางที่ขุดไว้ เมื่อเตียวสิ้วเข้าสู่วงล้อม ทหารที่ซุ่มอยู่ก็รบพุ่งออกมา ไล่ฆ่าทหารและจัดการเสียจนชุดเกราะเตียวสิ้วหลุดกระจาย บาดเจ็บสิ้นสภาพเตียวสิ้วรวบรวมกำลังหนีกลับ แต่กลับถูกกาเซี่ยงขวางไว้แล้วกล่าวว่าอย่ากลับไป เจ้าจัดทัพที่เหลืออยู่ แล้วย้อนกลับไปฆ่าศัตรู ครั้งนี้ข้ารับรองเราชนะแน่ไม่ใช่มั้ง...เตียวสิ้วถูกโจโฉทำให้เสียขวัญได้แล้วจริงๆ ไตร่ตรองอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ทำตามคำพูดของกาเซี่ยง เขารวบรวมทหารบาดเจ็บทั้งหมดกลับไปสู้อีกรอบ ปรากฏว่าเห็นทหารของโจโฉหนีเตลิดไร้ทิวไร้แถว แต่ละคนม้วนธงหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง เตียวสิ้วดีใจมากจึงได้ไล่ฆ่า ทำจนทัพแตกพ่ายเตียวสิ้วชนะกลับมา แล้วถามกาเซี่ยงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าแปลกใจยิ่งนัก เพราะข้าใช้ทหารน้ำดีไล่ฆ่าโจโฉ แต่กลับพ่ายมา แล้วทัพที่แพ้นี่ตีทัพที่ชนะต่อ แล้วก็กลับชนะอีกที สิ่งนี่มีเกิดขึ้นได้อย่างไรกาเซี่ยงพูดว่าไม่มีเหตุผลอะไร ก็แค่ความหลักแหลมของเจ้ายังไม่พอ เจ้าน่ะเดิมทีก็ไม่ใช่คู่ปรับของโจโฉอยู่แล้ว โจโฉเริ่มถอยเพราะรู้ว่าเจ้าจะต้องตาม ดังนั้นจึงอยู่รั้งท้ายทัพด้วยตัวเอง แล้วจัดการเจ้าซะน่วมเลย เมื่อชนะเจ้าแล้ว โจโฉก็รีบกลับฮูโต๋ ทัพหลังไม่มีใครคุมแล้ว เจ้าจะคิดฆ่าอย่างไรก็จัดการได้โดยง่ายเตียวสิ้วพูดว่า อ่อ เป็นแบบนี้เหรอ...เฮ้อ ทำสงครามนี่ช่างเปลืองสมองจริงๆ
กรุณาแสดงความคิดเห็น