เหตุเสียบ้านเสียเมือง บางครั้งมาจากเรื่องง่ายๆ ง่ายเสียจนไม่อยากเชื่อ แค่แอบเหล่เมียชาวบ้าน ก็บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่พาให้เสียบ้านเสียเมืองได้ เหตุผลต้นทางก็เพียงแค่ฟิวส์ขาด น๊อตหลุดคุมสติตัวเองไม่ได้แท้ๆ ก็ไม่ต่างกับที่เห็นเป็นข่าวอยู่ทุกวัน
ฟิวส์ขาดพาเสียเมือง
เหตุเสียบ้านเสียเมือง บางครั้งมาจากเรื่องง่ายๆ ง่ายเสียจนไม่อยากเชื่อ แค่แอบเหล่เมียชาวบ้าน ก็บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่พาให้เสียบ้านเสียเมืองได้ เหตุผลต้นทางก็เพียงแค่ฟิวส์ขาด น๊อตหลุดคุมสติตัวเองไม่ได้แท้ๆ ก็ไม่ต่างกับที่เห็นเป็นข่าวอยู่ทุกวัน
ในสามก๊กมีเหตุเสียเมืองง่ายๆหลายเหตุการณ์ แต่ที่น่าสนใจและเป็นที่มาของถ้อยคำอมตะ ที่ “เล่าปี่” ปลอบขวัญ “เตียวหุย” ว่า
“ธรรมดาภรรยาอุปมาเหมือนอย่างเสื้อผ้า ขาดแลหายแล้วหาใหม่ได้
พี่น้องเหมือนแขนซ้ายแขนขวาขาดแล้วยากที่จะต่อได้”
“เล่าปี่” พูดกับ “เตียวหุย” เมื่อคราวเสีย “เมืองซีจิ๋ว”ให้แก่ “ลิโป้” โดยไม่ทันระวังป้องกันตัว เพราะเลินเล่อไปหน่อย ผลเสียจึงตามมาไม่น้อยทีเดียว
........
ลำดับเหตุการณ์ในช่วงนี้มีอยู่ว่า “เล่าปี่” เตรียมยกทัพไปรบกับ “อ้วนสุด” ณ เมืองลำหยง ซึ่งขณะนั้น “เล่าปี่” ได้ครอง “เมืองซีจิ๋ว” ตามเสียงเรียกร้องของประชาชน เนื่องจาก “โตเกี๋ยม” เจ้าเมืองคนเก่าสิ้นบุญ
ก่อนหน้านั้น “โตเกี๋ยม” ได้พยายามอ้อนวอนขอให้ “เล่าปี่” ปกครองบ้านเมืองนี้แทนตนหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
เมื่ออ้อนวอนให้ครองเมืองใหญ่ไม่สำเร็จ “โตเกี๋ยม” จึงขอให้ “เล่าปี่” ไปปกครอง “เมืองเสียวพ่าย” อันเป็นหัวเมืองรองขึ้นตรงกับ “ซีจิ๋ว” ด้วยเหตุผลว่าจะได้ไปมาหาสู่ปรึกษาปัญหาบ้านเมืองสะดวก “เล่าปี่”จึงยินยอมรับไปปกครองดูแลชาว “เมืองเสียวพ่าย” ตามที่ “โตเกี๋ยม”ร้องขอ แต่ในท้ายที่สุดเมื่อสิ้นบุญ “โตเกี๋ยม” ขุนนางผู้ใหญ่และราษฎรทั้งหลายต่างพร้อมใจกันอ้อนวอน “เล่าปี่” อีกครั้งเพื่อให้ขึ้นครอง “เมืองซีจิ๋ว” ตามความประสงค์ของ “โตเกี๋ยม”
ขณะที่ “เล่าปี่” ครอง “เมืองซีจิ๋ว” อยู่นั้น “ลิโป้” ขุนทหารผู้เลื่องชื่อ อยู่ระหว่างหนีหัวซุกหัวซุนไม่มีใครอยากให้อาศัยอยู่ด้วย จึงแวะมาขอความเมตตาจาก “เล่าปี่”
“เล่าปี่” จึงให้อยู่ด้วย แถมวันแรกที่ “ลิโป้” เข้ามา “เล่าปี่” ใจป้ำจะยก “เมืองซีจิ๋ว” ให้ครองแต่ติดที่น้องๆทำตาเขียวใส่ แน่นอนที่สุดคนที่แสดงอาการกว่าใครเพื่อนนั้นคือ “เตียวหุย” ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “ลิโป้” ชนิดที่ว่า แม้แต่หางตาก็ไม่อยากมอง
“เล่าปี่” จึงให้ “ลิโป้” ไปครอง “เมืองเสียวพ่าย”
ลิโป้ |
.......
ตัดสลับมาที่ “เล่าปี่” ต้องยกทัพไปสู้ศึกกับ “อ้วนสุด” ณ “เมืองลำหยง” ก่อนเคลื่อนทัพมีการประชุมปรึกษาหารือกันว่าใครจะรับผิดชอบอะไรให้ชัดเจน
สรุปว่า “เล่าปี่” กับ “กวนอู” จะออกศึก ให้ “เตียวหุย” อยู่ดูแล “เมืองซีจิ๋ว” ซึ่งกว่าจะออกมาเป็นสมการนี้ “เตียวหุย” ได้แสดงความมั่นใจให้ “เล่าปี่” เห็นว่าในระหว่างที่อยู่รักษาเมืองจะไม่กินเหล้าให้เสียงาน
แม้ “เตียวหุย” ให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ “เล่าปี่” ก็ยังไม่คลายกังวลจึงให้ “ตันเต๋ง” ขุนนางผู้ใหญ่อยู่เป็นที่ปรึกษาช่วยสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตาดูแล “เมืองซีจิ๋ว” อีกแรง
......
“เล่าปี่” เคลื่อนทัพไปแล้ว “เตียวหุย” ก็เรียกประชุมทีมทันที โดยมีการแบ่งงานให้ “ตันเต๋ง” ดูแลราชการฝ่ายพลเรือน ส่วนตนนั้นดูแลฝ่ายทหาร ห้ามก้าวก่ายกัน
วันดีคืนดีหลังจากเคร่งครัดในคำสัญญา คาดว่าวันนั้นคงจะมีบรรยากาศที่เป็นใจ แดดร่มลมตก “เตียวหุย” จึงเรียกทหารในบังคับบัญชาของตนมากินเลี้ยง ก่อนเริ่มงานได้ประกาศให้ทุกคนทราบว่าวันนี้อากาศเป็นใจ จะเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้ากับทุกคนครั้งนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จนกว่าทัพของ “เล่าปี่”จะกลับมาจึงจะฉลองชัยกันอีกครั้ง
พูดจบก็ยกแก้วทันทีกรึ๊บ!!!
จากนั้น “เตียวหุย” ก็รินเหล้าแล้วยกแก้วให้กับขุนทหารลูกน้องของตน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อยกแก้วเหล้าไปเกือบจะสุดแถวก็ต้องมาสะดุดกึกอยู่ที่นายทหารผู้หนึ่งที่มีชื่อว่า “โจป้า”
“โจป้า” ปฏิเสธที่จะไม่รับแก้วสุราที่ “เตียวหุย” รินมาให้ โดยให้เหตุผลว่าได้ให้สัจจะวาจาสาบาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วว่าจะไม่กินเหล้าไปชั่วชีวิต!!!!
แม้จะมีเหตุผล และพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่เป็นผล ไม่สามารถต้านทานการรบเร้าจาก “เตียวหุย” ได้ “โจป้า” จึงจำต้องกลั้นใจกระกดเหล้าแก้วแรกลงคอ
“เตียวหุย” เมื่อรบเร้าได้สำเร็จก็ยิ่งได้ใจ รินเหล้าแก้วที่สองให้แก่ “โจป้า”อีกครั้ง คราวนี้ “โจป้า”ขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าจะไม่กินๆ
“เตียวหุย”ก็ย้อนศรคำพูดที่ว่าได้สาบานจะไม่กินเหล้าแล้วทั้งชีวิต แล้วแก้วแรกที่รินให้ทำไมยังกินได้ ว่าไปนู๊นนนนนนน
จังหวะที่ “เตียวหุย”ติดลมอยู่นั้น “ตันเต๋ง” พยายามเข้ามาห้ามปรามแต่ก็ไม่เป็นผล “เตียวหุย” บอกกับ “ตันเต๋ง”ไปว่า นี้เป็นงานของฝ่ายทหารพลเรือนไม่เกี่ยว
“โจป้า” เป็นทหาร หุยจะจัดการคนของหุยเองเด๊อ
โจป้า |
......
“โจป้า” ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาก็โดนซิครับ
“เตียวหุย” สั่งลูกน้องโปย “โจป้า” เพื่อเป็นการสั่งสอน แม้ทุกคนจะช่วยอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล
“โจป้า” จึงได้ออกปากเองในเชิงขอโทษ ขออย่าลงโทษข้าเลย แต่ “เตียวหุย” ก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับคำสั่งเป็นอย่างอื่น เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลเสียแล้ว “โจป้า”จึงเอ่ยปากถึงบุคคลที่สามเผื่อ “เตียวหุย”จะเกรงใจบ้าง
“ไม่เห็นแก่หน้าข้า ขอให้ท่านเห็นแก่เขยของข้าบ้าง...”
แทนที่จะโทษหนักจะกลายเป็นเบา แต่กลายเป็นสิ่งแสลงหูยิ่ง
“ลิโป้” เขย “โจป้า”
.....
“เตียวหุย” สั่งโบยให้หนัก โบยให้เสียงแส้กระทบไปยัง “ลิโป้”
เข้าทำนองภาษิตบ้านเรา “ตีวัวกระทบคราด” เลยทีเดียวเชียวล่ะ
เป็นเรื่องซิครับ
อย่าเอ่ยชื่อนั้นให้ได้ยิน เข้าใจ๊
.....
“โจป้า” เจ็บช้ำระกรำใจ กลับมาถึงบ้านจึงแอบส่งคนสนิทไปบอกลูกเขยให้มาแก้แค้นแทนความเจ็บช้ำ
ไม่ทันข้ามคืน “ลิโป้” ยกพลมายึดเมือง
“เตียวหุย” ในขณะนั้นไม่อยู่ในสถานะที่พร้อมจะรบกับใคร จึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปหา “เล่าปี่” ทิ้งของสำคัญ รวมทั้งครอบครัวของ “เล่าปี่” ไว้ ณ “เมืองซีจิ๋ว”
“สุรา”ไม่พาเพลิน เมื่อฟิวส์ขาดจึงทำให้เสียเมืองนั้นเอง
ปรีชา นาฬิกุล
๓ ก.ย.๒๕๖๒
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นผลงานของคุณ ปรีชา นาฬิกุล จากเพจ "หยิบสามก๊ก มาถกเล่น" ที่แบ่งปันมาให้อ่านเล่นกัน หากนักอ่านท่านใดสนใจบทความสามก๊กดี ๆ เพิ่มเติม สามารถแวะไปเยี่ยมชมได้ ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
กรุณาแสดงความคิดเห็น