“ไม่มีควัน ไม่มีไฟ” คำโบราณง่ายๆที่แนะให้รู้จักสืบเสาะหาต้นตอ หากไม่แล้วอาจตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง หรือข่าวลือเอาง่ายๆ
เหมือนกันกับเรื่องราวที่เห็นในโลกโซเชียล หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน เผลอแป๊บเดียวเรื่องที่แชร์ออกไป อาจกลายเป็นเรื่อง โอ้ล่ะพ่อ ก็เป็นได้
“ไม่มีควัน ไม่มีไฟ” คำโบราณง่ายๆที่แนะให้รู้จักสืบเสาะหาต้นตอ หากไม่แล้วอาจตกเป็นเหยื่อของข่าวลวง หรือข่าวลือเอาง่ายๆ....
เหมือนกันกับเรื่องราวที่เห็นในโลกโซเชียล หากไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน เผลอแป๊บเดียวเรื่องที่แชร์ออกไป อาจกลายเป็นเรื่อง โอ้ล่ะพ่อ ก็เป็นได้
กลศึกในสามก๊ก กรณีรบโดยไม่ต้องออกแรง ใช้เพียงแค่กระแสข่าวลวง เขี่ยคู่แข่งให้พ้นทางมีมากมาย ไม่ต่างกับการชิงไหวชิงพริบ ชิงการจัดตั้งรัฐบาลในบ้านเรา ณ ขณะนี้
ชั่วโมงก่อน อาจมีข่าวปิดดีล แจกเก้าอี้ลงตัว เรียบร้องโรงเรียนพลังประชารัฐ FC แชร์ข่าวโหมเชื้อไฟจ้าระหวั่น
ไม่นานนักฝ่ายพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นที่ถูกพาดพิงถึงออกมาปิดกระแสด้วยการให้ข่าว “บ่มีหยังในกอไผ่”
กองเชียร์ก็เก้อ ภาวะอึมครึมก็ดำเนินต่อไป
แต่สิ่งที่ได้คือกระแสความเชื่อเกิดขึ้นแล้วว่าจะเป็นเช่นนั้น
เพราะเรายอมรับกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า “ไม่มีควัน ไม่มีไฟ”
จะดับไฟให้สิ้นควันก็ต้องให้ความชัดเจนเป็นคำตอบ แต่หากรอนานไปคำลวง คำลือ จะถูกเชื่อถือว่าเป็นความจริง ตามตรรกะของความเชื่อส่วนบุคคล ที่ยากมากหากต้องการเปลี่ยนแปลง
.......
พระเจ้าโจยอย |
หลัง “โจโฉ” ตาย “โจผี” ลูกชายขึ้นตำแหน่งแทนพ่อแถมเหี้ยมหาญยิ่งกว่าอีกหลายเท่า ปลด “พระเจ้าเหี้ยนเต้” ออก เพื่อตัวเองจะขึ้นแทน แต่อยู่เสวยสุขบนบัลลังก์เป็น “พระเจ้าโจผี” เพียงเจ็ดปีก็สิ้นพระชนม์ เจ้าครองแผ่นดินแห่ง “วุยก๊ก” องค์ต่อมาก็คือ “พระเจ้าโจยอย” ซึ่งเป็นลูกชายของ “พระเจ้าโจผี”
ก่อน “พระเจ้าโจผี” สิ้นพระชนม์ ได้เรียกขุนนางผู้ใหญ่คนสำคัญหลายคนมาสั่งเสีย เพื่อขอให้ทำนุบำรุง สนับสนุนลูกชายให้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างสง่างาม ขุนนางผู้ใหญ่หนึ่งในนั้นคือ “สุมาอี้”
“สุมาอี้” รับคำและตั้งใจทำราชการสนองงานอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมคิดการการศึกได้อย่างหาตัวจับยาก “สุมาอี้” จึงกลายเป็นก้างตำใจ “ขงเบ้ง” ที่ทำให้กลืนข้าวแต่ละคำฝืนคอยิ่งนัก
“สุมาอี้” คือคู่มวยที่ถูกคู่ที่สุด ที่พร้อมชิงไหวชิงพริบกัน กลศึกแต่ละอย่าง ทำเอา FC ต่างซี๊ดซ๊าดตาค้างไปตามๆกัน
“สุมาอี้” และขุนนางผู้ใหญ่พร้อมใจกันทูลเชิญ “พระเจ้าโจยอย” ขึ้นครองบัลลังก์ตามพระราชปณิธานของพระเจ้า “โจผี” อยู่มาวันหนึ่งได้มีการจัดประชุมเหล่าขุนนางเพื่อจัดการบ้านเมืองให้สงบสุขสืบไป ในที่ประชุมได้วิเคราะห์ SWOT (จุดแข็ง,จุดอ่อน,โอกาส,อุปสรรค) และเห็นตรงกันว่า “เมืองเสเหลียง” ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญนั้นยังไม่มีเจ้าเมืองที่เหมาะสม ซึ่งจะกลายเป็นจุดอ่อนให้ข้าศึกเข้ามาโจมตีได้ง่าย
............
“สุมาอี้” ทำเรื่องขึ้นไปทูลขอเสนอตัว เพื่อไปเป็นเจ้าเมืองเสเหลียง เพราะเห็นว่าเป็นหน้าด่านสำคัญจะฝากธุระให้คนอื่นดูแลก็ไม่สนิทใจนัก “พระเจ้าโจยอย” อนุมัติตามคำขอ
“สุมาอี้” เมื่อได้ครอง "เมืองเสเหลียง" จัดแจงบ้านเมืองอย่างดี ฝึกปรือทหารหาญอย่างเข้มแข็ง ความทราบถึง “แคว้นเสฉวน” ทำให้ “ขงเบ้ง” คิดหนักอยู่นาน เพราะรู้มือกันดีว่า “สุมาอี้” นั้นไม่ธรรมดา
“ขงเบ้ง” ครุ่นคิดอยู่หลายวัน เพื่อหาทางกำจัด “สุมาอี้” จนตกผลึกทางความคิดว่า จะใช้ตัวอักษรเพียงไม่กี่คำออกรบแทน
“ขงเบ้ง” เขียนจดหมายเปิดผนึกให้คนสนิทลอบไปติดตามหัวเมืองต่างๆ ซึ่งนัยสำคัญของจดหมายสื่อว่า “สุมาอี้” ออกมาอยู่ “เมืองเสเหลียง” นั้น เป้าหมายสำคัญคือการซ่องสุมกำลังพลเพื่อเตรียมการโค่นบัลลังก์ “พระเจ้าโจยอย”
เป็นเรื่องซิครับท่าน...
อานุภาพแห่งตัวอักษรทำลายล้างสูงมาก ความทราบถึง “พระเจ้าโจยอย” ชนิดที่ว่ากาวแป้งเปียกที่ใช้ติดแผ่นปลิวยังไม่ทันแห้ง “พระเจ้าโจยอย” ควันออกหูเรียกประชุมด่วน เพื่อรับสั่งให้จับ “สุมาอี้” มาประหารในทันที
สุมาอี้ |
ความหุนหันพลันแล่นของ “พระเจ้าโจยอย” ที่ขึ้นครองราชย์ในวัยเพียงสิบห้าปี ย่อมเป็นธรรมดาของวัยรุ่นเลือดร้อน ทันใดนั้นก็มีขุนนางผู้ใหญ่ที่ชื่อ “โจฮิว” เรียกสติกลับคืนว่า สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นดังที่คิด “สุมาอี้” คือคนสำคัญที่ “พระเจ้าโจผี” ผู้เป็นพ่อฝากผีฝากไข้ฝากกิจการบ้านเมือง ไฉนเลยจะคิดคดกบฎต่อนาย
“พระเจ้าโจยอย” พอเย็นลงบ้างจึงปรึกษาผู้ใหญ่ว่าควรทำอย่างไรดี
“โจฮิว” จึงเสนอว่าให้ “พระเจ้าโจยอย” แกล้งเสด็จออกไปเยี่ยมเยือนราษฎร “เมืองเสเหลียง” หาก “สุมาอี้” ออกมาต้อนรับอย่างดีตามธรรมเนียมก็ถือว่ายังรักกันอยู่ ข่าวที่ทราบมานั้นจะเป็นเพียงข่าวลือ ข่าวลวง ยุให้แตกคอกัน
“พระเจ้าโจยอย” เปิดไฟเขียวให้จัดแจงตามว่ามานั้น
ฝ่าย “สุมาอี้” เมื่อทราบว่า “พระเจ้าโจยอย” จะเสด็จมาเยือนจึงจัดกองกำลังทหารเต็มอัตราศึกเพื่อมาต้อนรับ หมายให้สมพระเกียรติ
แต่แล้วที่หวังดีนั้นกลับกลายเป็นการตอบสมมุติฐานการปันใจได้เป็นอย่างดี ขุนนางฝ่ายที่ไม่ชอบ “สุมาอี้” ต่างยุส่งทันที ว่า “สุมาอี้” ยกทัพมาอย่างเอิกเกริกดังนี้ คงคิดไม่ซื่อต่อพระองค์เป็นแน่แท้
ความร้อนตกถึง “โจฮิว” ต้องควบม้าไปหา “สุมาอี้” โดยด่วนเพื่อบอกกล่าวว่า การยกทหารมาอย่างนี้มันเท่ากับเป็นการหมิ่นหยาม “พระเจ้าโจยอย” เท่ากับว่าคิดไม่ซื่อ
“สุมาอี้” ได้ฟังดังนั้นเสียศูนย์แทบจะทันที ทำดีกลับไม่ได้ดี หมายให้ภูมิใจกลับถูกตีความว่าปันใจ
“สุมาอี้” รีบคุกเข่ามาแต่ไกล เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในสิ่งที่กระทำ แต่ ณ นาทีนั้น “พระเจ้าโจยอย” มีความเชื่อมากกว่าครึ่งว่า “สุมาอี้” ปันใจเป็นแน่แท้ จึงสั่งให้ทหารนำตัว “สุมาอี้” ไปประหารเสีย เป็นการสั่งประหารสังเวยข่าวลวง
ขุนนางผู้ใหญ่หลายคนอันมี “โจฮิว” เป็นแกนนำได้ช่วยกันขอโทษขอโพยให้ “สุมาอี้” เมื่อความปรี๊ดของอารมณ์ “พระเจ้าโจยอย” ค่อยคลายลงจึงงดโทษประหาร แต่สั่งให้ปลดทุกตำแหน่งของ “สุมาอี้” ให้กลายเป็นสามัญชนคนธรรมดา แล้วให้ “โจฮิว” เป็นเจ้า “เมืองเสเหลียง” แทน
“สุมาอี้” จึงกล้ำกลืนฝืนรับคำสั่ง พาลูกๆกลับไปทำไร่ ทำนาอยู่บ้านเกิด แต่ไม่ทิ้งลายทหาร ยังคงฝึกปรือกำลังลูกน้องอยู่ที่บ้าน และสั่งสอนลูกชาย (สุมาเจียว สุมาสู) ให้รู้จักศาสตร์แห่งการทหาร เผื่อว่าสักวันหนึ่งฟ้าจะเปิดทางให้ได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง ตามความเชื่อที่ว่า Old Soldiers Never Die ทหารแก่ไม่มีวันตาย
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
.....
ขงเบ้ง |
“สุมาอี้” กลายเป็นเหยื่อสังเวยข่าวลวง หลังจาก “ขงเบ้ง” จับพู่กันสะบัดอักษรเพียงไม่กี่คำ สร้างความเจ็บช้ำแทบกระอักเลือด การไม่มี “สุมาอี้” จึงทำให้ “ขงเบ้ง” จัดการอะไรได้ง่ายขึ้น ง่ายขึ้นจนแทบจะปิดเกมได้
นี้คืออานุภาพเชื้อไฟในข่าวลวง รบโดยไม่ออกแรง ที่ “ขงเบ้ง” จัดให้อย่างเจ็บๆ “สุมาอี้” มีหรือจะลืมความเจ็บช้ำระกำใจในครั้งนี้
ปรีชา นาฬิกุล
๑๓ พ.ค.๒๕๖๒
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นผลงานของคุณ ปรีชา นาฬิกุล จากเพจ "หยิบสามก๊ก มาถกเล่น" ที่แบ่งปันมาให้อ่านเล่นกัน หากนักอ่านท่านใดสนใจบทความสามก๊กดี ๆ เพิ่มเติม สามารถแวะไปเยี่ยมชมได้ ทั้งนี้ต้องขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
กรุณาแสดงความคิดเห็น