สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 83 ebook
เนื้อหา
• เกียงอุยยกทัพตีเมืองวุยก๊ก• ซุนฮิวใช้อุบายฆ่าซุนหลิม
• เกียงอุยตั้งรบกับเตงงายที่เขากิสาน
• พระเจ้าเล่าเสี้ยนเรียกทัพเกียงอุยกลับ
ขณะ เมื่อสุมาเจียวกับจูกัดเอี๋ยนรบติดพันกันอยู่นั้น ทหารสอดแนมรู้จึงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยว่า บัดนี้จูกัดเอี๋ยนยกกองทัพไปรบสุมาเจียว ซุนหลิมยกกองทัพหนุนไปเปนอันมาก เห็นสุมาเจียวบอบชํ้านักอยู่แล้ว จนนางกวยทายเฮากับพระเจ้าโจมอก็ยกทหารออกมาช่วยรบ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ถ้ากระนั้นเห็นเราจะทำการใหญ่สำเร็จครั้งนี้เปนมั่นคง จึงปรึกษาต้าจิ๋วขุนนางผู้ใหญ่ว่า เราจะทำเรื่องราวขึ้นกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า จะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊กถวาย ท่านจะเห็นประการใด ต้าจิ๋วจึงทอดใจใหญ่ว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ไม่ว่ากิจการบ้านเมือง เชื่อฟังแต่คำฮุยโฮขันที ชวนกันเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด อนึ่งตัวท่านแต่ทำการมาก็เสียทีเปนหลายครั้ง แม้เราคิดอ่านรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงจะดีกว่า
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าท่านเจรจาดังนี้ไม่ชอบ เสียทีเกิดมาให้หนักแผ่นดินเสียเปล่า ตัวเรานี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนชุบเลี้ยงมีพระคุณต่อเราเปนอันมาก เราจะทำราชการสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วก็ทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน จัดแจงทหารให้ปอเฉียมกับเจียวฉีเปนทัพหน้า แล้วปรึกษาว่า เราจะไปทำการครั้งนี้จะตีเอาเมืองใดก่อนดี ปอเฉียมจึงว่า ขอให้ท่านยกไปเนินซินเฉียตีเมืองเตียงเสียตัดเอาสะเบียงสุมาเจียวเสียก่อน จึงรีบยกไปตีเอาเมืองจิวฉวนให้ได้ เมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย เกียงอุยจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนักต้องความคิดเรา แล้วก็ยกทหารออกจากเมืองเสฉวนตรงไปเมืองเตียงเสีย
ฝ่ายสุมาปองเจ้าเมืองเตียงเสีย ในเมืองนั้นสะเบียงอาหารมีมากแต่ทหารน้อย ครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกกองทัพมา ก็พาอองจิ๋นลิเพงยกทหารออกตั้งค่ายรับอยู่นอกเมืองทางไกลสองร้อยเส้น ครั้นเกียงอุยยกมาถึง สุมาปองกับทหารเอกสองคนก็ยกทหารออกอยู่นอกค่าย เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกหน้าทหารแล้วร้องว่า สุมาเจียวพาลูกเจ้าออกมาทำศึก จะทำเหมือนลิฉุยกุยกี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นผิดอย่างธรรมเนียม จึงให้ยกกองทัพมาจะลงอาญาสุมาเจียว ตัวท่านก็เปนสมัคพรรคพวกสุมาเจียว ถ้ารู้จักโทษตัวแล้วก็ให้เร่งออกมาหาเราโดยดี แม้ยังถือตัวเห็นดีด้วยสุมาเจียวอยู่ เราจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร
สุมาปองได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดว่า อ้ายโจรมึงบังอาจดูหมิ่นล่วงเข้ามาในแดนกู มึงเร่งถอยทหารกลับไป แม้ไม่ฟังชีวิตมึงกับทหารทั้งปวงก็จะตายอยู่ในที่นี้สิ้น แล้วให้อองจิ๋นควบม้ารำทวนออกรบ ปอเฉียมเห็นดังนั้นก็ชักม้าออกรบกับอองจิ๋นได้สามเพลง ปอเฉียมทำแพ้ชักม้าหนี อองจิ๋นควบม้าไล่ตามจะใกล้ทันก็เอาทวนพุ่งไป ปอเฉียมหลบแล้วกลับม้ามารวบจับตัวอองจิ๋นได้ ลิเพงเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าออกมาจะแก้อองจิ๋น ปอเฉียมเห็นลิเพงควบม้ามาถึง ก็เอาอองจิ๋นฟาดลงกับดิน แล้วควบม้าเข้าไปเอากระบองเหล็กตีลิเพงตกม้าตาย เกียงอุยเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ฟันเข้าไปในกองทัพสุมาปอง ๆ เห็นเหลือกำลังก็ยกหนีเข้าเมือง ให้ทหารปิดประตูเมืองเสีย แล้วให้ขึ้นรักษาหน้าที่ไว้เปนมั่นคง ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ขับทหารให้เข้าล้อมเมืองไว้โดยรอบ แล้วเอาประทัดผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปตกหลังคาเรือนในเมืองไหม้ขึ้นเปนอัน มาก แล้วให้เอาฟืนกองแต่เชิงกำแพงถึงใบเสมา เอาเพลิงจุดให้ไอเพลิงร้อนตลบเข้าไปในเมือง ทหารแลราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็ตกใจเข้าอุ้มลูกร้องไห้อื้ออึงไปทั้งเมือง
พอเตงงายยกกองทัพมาถึง เกียงอุยก็ยกทหารออกต้านไว้ เกียงอุยยืนม้าอยู่หน้าทหาร เห็นเตงต๋งบุตรเตงงายหนุ่มน้อยหน้าขาวปากแดงขี่ม้าถือทวนออกมาสำคัญว่าเตง งาย ก็ควบม้าตรงเข้าไปรบกับเตงต๋งได้สี่สิบเพลงยังไม่ทันแพ้ชนะกัน เกียงอุยจึงว่า ทหารหนุ่มน้อยคนนี้มีฝีมือเข้มแขงอยู่ เราจะคิดกลอุบายลวงเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วเกียงอุยทำเปนแพ้ชักม้าหนี เตงต๋งก็ควบม้าไล่ตามเกียงอุย ๆ เห็นได้ทีก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไป เตงต๋งหลบได้ก็ควบม้ากระชันเข้าไปเอาทวนแทง เกียงอุยชิงทวนไว้ได้ กลับม้ามาจะจับตัวเตงต๋ง เตงต๋งก็ควบม้าหนีกลับเข้ากองทัพ เกียงอุยก็ไล่ตามไป
เตงงายเห็นดังนั้นก็ควบม้ารำดาบออกหน้าทหารแล้วร้องว่า กูชื่อเตงงาย มึงไม่รักชีวิตหรือจึงบังอาจไล่บุตรกูมา เกียงอุยได้ฟังดังนั้นว่าเตงต๋งเปนบุตรเตงงายก็ตกใจ คิดว่าเวลาวันนี้เรารบพุ่งหนักหนา เห็นกำลังม้าอิดโรยลงแล้ว แม้หักหาญเข้าไปรบกับเตงงายบัดนี้ เกลือกจะพลาดพลั้งเสียที จึงร้องว่ากับเตงงายว่า เวลาเย็นอยู่แล้ว ท่านจัดแจงทหารไว้ให้พร้อมเถิด พรุ่งนี้เราจึงจะออกรบกันให้สิ้นฝีมือ
เตงงายได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราจะสัญญากันไว้ ถ้าผู้ใดคิดกลอุบายล่อลวงกันมิใช่ลูกผู้ชาย แล้วเตงงายก็ถอยทัพกลับไปตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮุยซุ่ย เกียงอุยยกกองทัพออกจากเมืองเตียงเสียไปตั้งอยู่ริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง ก็แลเห็นค่ายเตงงาย ๆ เห็นค่ายเกียงอุยนั้นมั่นคง จึงเขียนหนังสือให้เตงต๋งผู้บุตรไปช่วยรักษาเมืองเตียงเสีย ในหนังสือเปนใจความว่า ให้สุมาปองรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด ให้กองทัพเกียงอุยสิ้นสะเบียงอาหารลงแล้ว สุมาเจียวยกมาถึงเราจึงจะเข้าล้อมกระหนาบรบ เกียงอุยก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง เตงต๋งก็ลาเตงงายไปเมืองเตียงเสีย เตงงายก็ให้ทหารถือหนังสือไปแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาเจียวให้ยกกองทัพมา ช่วย
ฝ่ายเกียงอุยครั้นตั้งค่ายมั่นลงแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปให้เตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาใกล้รุ่งเกียงอุยให้ทหารทั้งปวงกินอาหารเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว ก็ยกเปนกระบวรทัพออกตั้งคอยจะรบอยู่หน้าค่าย ฝ่ายเตงงายก็สงบทหารอยู่ในค่ายมิได้ยกออกรบตามสัญญา เกียงอุยคอยอยู่จนเวลาเย็นก็ถอยทหารกลับเข้าค่าย แล้วให้ทหารถือหนังสือสัญญาไปถึงเตงงายอีก เตงงายให้ผู้ถือหนังสือนั้นกินโต๊ะเสพย์สุราแล้วว่า ตัวเรานี้หาพอที่จะเปนเท็จไม่ เราเปนโรคปัจจุบันให้จุกเสียดจึงมิได้ออกรบตามสัญญา ท่านกลับไปบอกเกียงอุยเถิด เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบให้จงได้ ผู้ถือหนังสือก็ลากลับมาบอกกับเกียงอุย ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ยกทหารออกไปตั้งอยู่นอกค่าย เตงงายก็มิได้ยกมา แต่เตงงายลวงเกียงอุยอยู่ฉนี้ถึงหกครั้ง
ปอเฉียมจึงว่าแก่เกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเห็นเตงงายจะลวงทำกลอุบายเปนมั่นคง หวังจะคอยทัพสุมาเจียวมาจึงจะรบตีเราเปนสามด้าน จำเราจะให้ทหารถือหนังสือไปเมืองกังตั๋ง ให้ซุนหลิมออกสกัดทางรบสุมาเจียวไว้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าความคิดท่านนี้ต้องน้ำใจเราทุกประการ แล้วก็ให้ทหารถือหนังสือไปถึงซุนหลิม ณ เมืองกังตั๋งเปนใจความว่า เรายกกองทัพมาติดเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว ให้ท่านยกทหารออกตีสกัดสุมาเจียวไว้
ฝ่ายสุมาเจียวครั้นสำเร็จราชการแล้ว จัดแจงทหารจะยกมาเมืองลกเอี๋ยง พอทหารเตงงายถือหนังสือไปถึงสุมาเจียวก็ตกใจ เร่งยกกองทัพไปเมืองเตียงเสีย ทหารสอดแนมรู้เนื้อความจึงเข้ามาบอกเกียงอุยว่า สุมาเจียวตีเมืองชิวฉุนได้แล้ว ทหารเมืองกังตั๋งก็สมัคเข้าด้วยเปนอันมาก บัดนี้ยกกองทัพมาจะถึงเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เดิมเราคิดว่าจะทำการให้ได้เมืองลกเอี๋ยง บัดนี้เห็นไม่สมความคิดแล้ว จำเราจะถอยทัพกลับไปเมืองฟังท่วงทีก่อน แล้วเกียงอุยก็จัดแจงทหารเดิรเท้ายกล่วงไปก่อน ทหารม้าให้ป้องกันไปข้างหลัง ด้วยเกรงข้าศึกจะมาติดตาม ครั้นมาถึงทางน้อยริมเนินซินเฉีย เกียงอุยจึงให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปนอันมาก
ฝ่ายเตงงายครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกทัพหนีไปแล้วจึงหัวเราะแล้วว่า เกียงอุยรู้ว่ากองทัพเราหนุนมาอีกจึงรีบยกหนีไป เราอย่าติดตามเลยเห็นเกียงอุยจะทำกลอุบายไว้เปนมั่นคง พอทหารคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า ทหารกองตะเวนมาบอกข้าพเจ้าว่า เกียงอุยยกไปถึงทางน้อยริมเนินซินเฉียให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปน อันมาก ถ้าเราติดตามไปเห็นจะเอาเพลิงเผาเราเปนมั่นคง ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญเตงงายว่า ท่านคิดการครั้งนี้เหมือนเทพดามาดลใจ เตงงายก็เอาเนื้อความทั้งปวงเข้าไปแจ้งแก่สุมาเจียวทุกประการ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ให้หาเตงงายเข้ามาปูนบำเหน็จรางวัลเปนอันมาก
ฝ่ายซุนหลิมอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ครั้นรู้ว่ากึ่งจูสมัคเข้ามาอยู่ด้วยสุมาเจียวก็โกรธ ให้ทหารไปจับเอาสมัคพรรคพวกกึ่งจูไปฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าซุนเหลียงพระชนม์สิบเจ็ดขวบ เห็นซุนหลิมฆ่าพี่น้องกึ่งจูเสียดังนั้นก็คิดสังเวชพระทัยนัก วันหนึ่งเสด็จออกไปประพาสสวนข้างทิศตวันออกคิดจะเสวยนํ้าผึ้ง จึงให้อองปุนไปเอาน้ำผึ้ง อองปุนไปเบิกนํ้าผึ้งมาจากเจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจะถวายจึงเอามูลหนูใส่ลงในนํ้าผึ้งสองเมล็ด
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวเจ้าพนักงานมาถามว่า เหตุไฉนตัวรักษาน้ำผึ้งให้มูลหนูตกลงได้ โทษตัวถึงตายแล้วตัวรู้หรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า นํ้าผึ้งนี้ข้าพเจ้ารักษาปกปิดมั่นคง เมื่ออองปุนจะเบิกมานั้นข้าพเจ้าก็พินิจดูแล้ว พระเจ้าซุนเหลียงจึงถามว่า อองปุนคนนี้เคยไปขอน้ำผึ้งท่านอยู่บ้างหรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า เมื่อครั้งก่อนอองปุนไปขอข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกว่านํ้าผึ้งเสวยน้อยอยู่แล้วจะให้ไปนั้นไม่ได้ อองปุนโกรธพยาบาทข้าพเจ้าอยู่ พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ความแต่เพียงนี้เราจะพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริงให้ได้ แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน จึงให้หยิบเอามูลหนูนั้นเช็ดออกดูก็แห้งอยู่
พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า มูลหนูนี้แม้ตกมาแต่เจ้าของนํ้าผึ้งก็จะชุ่มอยู่ นี่อองปุนแกล้งใส่ลงเปนมั่นคง อองปุนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกราบถวายบังคมลงแล้วก็ขอถวายชีวิต ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญพระเจ้าซุนเหลียงเปนอันมาก พระเจ้าซุนเหลียงก็เสด็จกลับเข้าวัง วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งเย็น จวนกี๋ซึ่งเปนน้าพระเจ้าซุนเหลียงกับอองปุนเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ซุนหลิมตั้งขุนนางผู้ใหญ่น้อยเปนอันมาก แล้วก็ทำการแต่ตามอำเภอใจ นานไปเห็นจะเปนขบถชิงเอาสมบัติเราเปนมั่นคง เราจะคิดอ่านฆ่าซุนหลิมเสียจึงจะชอบ ตรัสแล้วก็ทรงพระกรรแสง
จวนกี๋จึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย แม้นพระองค์จะให้ข้าพเจ้าทำประการใดก็จะอาสาสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า กระนั้นท่านจงไปหาเล่าเสงซึ่งเปนนายตำรวจ จัดแจงกันให้ได้จงมากมาซุ่มอยู่ริมประตูวัง ถ้าซุนหลิมเข้ามาเฝ้าก็ให้จับตัวฆ่าเสีย แต่ทว่าการทั้งนี้ท่านอย่าให้แพร่งพรายไป ซุนหลิมเปนน้องของมารดาท่าน ถ้ารู้เนื้อความจะเสียการเราไป จวนกี๋จึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะทำการครั้งนี้จะขอหนังสือรับสั่งเปนสำคัญด้วย ทแกล้วทหารทั้งปวงจะได้เต็มใจทำการ พระเจ้าซุนเหลียงก็เห็นด้วย ทรงพระอักษรส่งให้จวนกี๋ ๆ ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าเนื้อความทั้งปวงให้บิดาฟังทุกประการ บิดาจวนกี๋ก็เอาเนื้อความนั้นไปบอกภรรยาว่า พระเจ้าซุนเหลียงจะให้ฆ่าซุนหลิมเสียในสามวันนี้แล้ว ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ให้คนใช้สนิธลอบไปบอกซุนหลิม ๆ รู้ดังนั้นก็โกรธ จึงให้หาน้องชายสี่คนซึ่งตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาบอกเนื้อความทั้งปวง แล้วจัดแจงทหารตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกเข้าล้อมวังพระเจ้าซุนเหลียงไว้โดยรอบ
เล่าเสงนายตำรวจเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปทูลพระเจ้าซุนเหลียงในเวลากลางคืน พระเจ้าซุนเหลียงบันทมหลับอยู่ได้ยินเสียงกลองม้าฬ่ออื้ออึงก็ตกพระทัยตื่น ขึ้น พอเล่าเสงเข้ามาทูลว่าซุนหลิมยกทหารเข้าล้อมวังไว้แล้ว พระเจ้าซุนเหลียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เสด็จเข้าไปข้างในตรัสแก่มารดาว่า ครั้งนี้พี่น้องของท่านทำการใหญ่จะทำร้ายข้าพเจ้า แล้วก็จับพระแสงกระบี่จะเสด็จออกสู้กับข้าศึกด้วยกำลังโทโส มารดาแลขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้ายึดชายฉลองพระองค์ไว้ ร้องไห้ทูลห้ามปรามเปนอันมาก
ครั้นเวลาเช้าซุนหลิมหักเข้าไปในวังได้ เห็นเล่าเสงกับจวนเสียงคุมทหารรักษาหน้าที่อยู่ ก็ให้ทหารเข้าจับตัวไปฆ่าเสีย แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาว่า บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการไม่ชอบแล้ว ไม่เอาใจใส่ว่ากิจราชการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
ฮวนฮีขุนนางผู้ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าซุนหลิมว่าอ้ายโจร พระเจ้าซุนเหลียงมีสติปัญญาหลักแหลม มึงแกล้งเอาความร้ายมาใส่หวังจะชิงเอาสมบัติ ตัวกูนี้ถึงจะตายก็ไม่เข้าด้วยมึง ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็โกรธชักกระบี่ออกฆ่าฮวนฮีเสีย ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เกรงอาญาซุนหลิมนัก ชวนกันคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้แม้ท่านจะทำประการใดก็จะประพฤติตามสิ้นทั้งนั้น ซุนหลิมจึงเดิรเข้าไปในตำหนัก เห็นพระเจ้าซุนเหลียงนั่งอยู่ก็โกรธ ชี้มือว่าแก่พระเจ้าซุนเหลียงว่า ท่านเปนคนเขลามิได้มีสติปัญญาถือผิดเปนชอบ หากว่าเราเปนคนใจบุญคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนอยู่ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเปนเจ้าเมืองห้อยเข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด ซุนหลิมกับลิจ๋องเก็บเอาตราแลเครื่องยศสำหรับกษัตริย์มอบให้เตงเถี้ยรักษา ไว้ในคลัง
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็น้อยพระทัยนัก ทรงพระกรรแสงเสด็จออกจากเมืองตรงไปเมืองห้อยเข ซุนหลิมจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ซุนเขกับตังเตียวไปเชิญซุนฮิวซึ่งเปนบุตรที่หกซุนกวน ณ เมืองฮ่อหลิมให้มา ครองสมบัติ ฝ่ายซุนฮิวเวลาค่ำวันนั้นฝันเห็นว่าขี่มังกรเหาะขึ้นไปบนอากาศ เหลียวหลังมาดูเห็นมังกรนั้นหางด้วนก็ตกใจผวาตื่นขึ้น พอเวลาเช้าซุนเขกับตังเตียวมาถึงเข้าไปคำนับแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาหนังสือซึ่งซุนหลิมให้มาเชิญไปครองสมบัตินั้นให้ซุนฮิว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยรั้งรออยู่ เทพารักษ์สำหรับเมืองจึงแปลงตัวเปนคนแก่เดิรตรงเข้ามาหาซุนฮิว บอกว่าการนี้ให้ท่านเร่งไปโดยเร็ว ถ้าเนิ่นช้าการจะกลับกลอก แล้วเทพารักษ์ก็หายไป ซุนฮิวเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จัดแจงทหารขึ้นเกวียนออกจากเมืองไปถึงตำบลปอเซ็กตั้งที่ประทับกลางทาง ซุนหลิมรู้ก็จัดรถแลเครื่องแห่สำหรับกษัตริย์พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปรับ เสด็จ ซุนฮิวก็มิได้ขึ้นรถขี่เกวียนตรงเข้าไปในเมืองกังตั๋ง ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงเชิญซุนฮิวขึ้นนั่งบนแท่น แล้วถวายบังคมพร้อมกัน เอาตราแลเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นถวาย (พ.ศ. ๘๐๑) ครั้นพระเจ้าซุนฮิวได้ครองสมบัติแล้ว จึงตั้งซุนหลิมเปนมหาอุปราช แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงซึ่งมีความชอบเปนอัน มาก แล้วตั้งน้องชายซุนหลิมสี่คนกับหลานคนหนึ่งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมือง ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวทำการทั้งนี้ใช่จะไว้พระทัยซุนหลิมโดยสุจริตนั้นหามิได้ คิดสงสัยระมัดพระองค์นักอยู่
ครั้นถึงเดือนยี่ปลายปีเปนวันประสูติพระเจ้าซุนฮิว ซุนหลิมก็แต่งเข้าของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมเปนอันมาก พระเจ้าซุนฮิวคิดรังเกียจอยู่ก็มิได้เสวยส่งคืนออกมา ซุนหลิมเห็นดังนั้นก็โกรธเอาโต๊ะแลของทั้งปวงกลับมาตึก ให้ไปเชิญเตียวปอซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่มากิน ขณะเมื่อกินโต๊ะเสพย์สุราอยู่นั้น ซุนหลิมจึงว่าแก่เตียวปอว่า เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิดเราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัคให้เราเปนเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนจึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เปนวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมก็มิได้รับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิดไม่นานก็จะเห็นเปนมั่นคง เตียวปอก็ทำเปนพยักหน้ามิได้ตอบประการใด แล้วก็คำนับลาซุนหลิมไป
ครั้นเวลาเช้าเตียวปอก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว ทูลเนื้อความซึ่งซุนหลิมว่านั้นทุกประการ พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระวิตกนัก ฝ่ายซุนหลิมก็คิดอ่านตระเตรียมการให้เบ้งจ๋องคุมทหารหมื่นห้าพันพร้อมด้วย เครื่องศัสตราวุธออกไปตั้งอยู่ตำบลบูเฉียงนอกเมืองกังตั๋ง งุยเปียวกับชีซกซึ่งเปนขุนนางกรมแสงจึงเข้าไปทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า บัดนี้ซุนหลิมตระเตรียมทหาร แล้วมาเบิกเอาเครื่องอาวุธในคลังไปไว้เปนอันมากเห็นจะคิดร้ายต่อพระองค์เปน มั่นคง พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาเตียวปอเข้ามาปรึกษาราชการ เตียวปอจึงทูลว่าข้าพเจ้าเปนคนสติปัญญาน้อย เตงฮองซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เคยทำศึกมาแต่ครั้งพระเจ้าซุนกวนเปนอันมาก ขอพระองค์ให้หาเตงฮองเข้ามาปรึกษาราชการเห็นจะตัดความคิดซุนหลิมได้ พระเจ้าซุนฮิวก็ให้หาเตงฮองเข้ามาตรัสปรึกษาเนื้อความทั้งปวง
เตงฮองจึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายกำจัดซุนหลิมเสียให้ได้ พระเจ้าซุนฮิวจึงถามว่าท่านจะทำประการใด เตงฮองจึงทูลว่า เวลาพรุ่งนี้จะเข้าปีใหม่เปนวันตรุษ พระองค์จงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวงตามธรรมเนียม แล้วให้คนสนิธไปเชิญซุนหลิมมากินโต๊ะในตำหนัก ข้าพเจ้าจะให้เตียวปอแอบอยู่คอยจับตัวซุนหลิมก็จะจับได้โดยง่าย พระเจ้าซุนฮิวก็เห็นด้วย จึงให้เตงอ๋องงุยเปียวชีซกคุมทหารรักษาป้องกันภายนอก ให้เตียวปอคุมทหารซ่อนอยู่ในฉาก เวลากลางคืนวันนั้นเกิดลมพายุใหญ่ พัดต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าตึกซุนหลิมนั้นโค่นลง แล้วก็พัดฝุ่นทรายแลก้อนศิลาปลิวขึ้น พระเจ้าซุนฮิวเห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าจึงใช้ให้ขันทีไปหาซุนหลิมตามสัญญาซึ่งคิดไว้นั้น ขันทีไปถึงตึกซุนหลิมคำนับแล้วบอกว่า รับสั่งพระเจ้าซุนฮิวให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปกินโต๊ะ
ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นลุกยืนขึ้นจะแต่งตัวก็กลับล้มลงกับที่ ก็คิดประหลาทใจนัก พอขันทีมาถึงอีกคนหนึ่งจึงเข้าไปบอกซุนหลิมว่าขุนนางมาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าซุนฮิวคอยท่าท่านอยู่ให้เร่งเชิญท่านไป ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ใส่เสื้อแต่งตัวอย่างมหาอุปราช คนใช้สนิธในตึกจึงห้ามว่า เวลาคืนนี้เกิดอัศจรรย์วิปริตแล้วท่านยืนขึ้นก็ล้มลงกับที่ข้าพเจ้าคิดสงสัย นัก ซึ่งรับสั่งให้หาท่านนั้นขอให้ดำริห์ให้ควรก่อน ซุนหลิมจึงว่าตัวเราเปนมหาอุปราช พี่น้องก็เปนขุนนางผู้ใหญ่ถึงห้าคน ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงมาทว่าจะมีศัตรูคิดร้ายต่อเราจริงเราก็มิได้กลัวจะเอาแต่เพลิงสัญญาจุด ขึ้นทหารเราก็จะยกเข้าไปช่วย แล้วซุนหลิมก็ขึ้นรถตรงเข้าไปในวัง พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนัก จูงมือซุนหลิมเข้าไปให้เสพย์สุราในตำหนัก ขณะเมื่อซุนหลิมเสพย์สุราอยู่นั้น งุยเปียวกับชีซกก็จุดเพลิงสัญญาขึ้น จับสมัคพรรคพวกซุนหลิมฆ่าเสียบ้างจำไว้บ้าง ซุนหลิมได้ยินอื้ออึงขึ้นภายนอกก็ตกใจขยับลุกออกมา พระเจ้าซุนฮิวยึดมือไว้แล้วห้ามว่า มหาอุปราชอย่าตกใจเชิญเสพย์สุราให้สบาย ขุนนางแลทหารซึ่งเสพย์สุราอยู่ภายนอกเมาแล้วก็วิวาททุ่มเถียงกันตามทีมัน เถิด ขณะนั้นเตียวปอก็ถือกระบี่พาทหารประมาณสามสิบคนเดิรออกมาจากฉากร้องว่า รับสั่งให้จับอ้ายขบถให้จงได้ ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจะวิ่งหนี ทหารทั้งปวงก็รุมกันเข้าจับเอาตัวได้ ซุนหลิมสิ้นความคิดแล้วจึงทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า พระองค์โปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่คิดการฉนั้นสืบไปแล้ว จะถวายบังคมลาไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า
พระเจ้าซุนฮิวจึงตวาดว่า เมื่อเตงอิ๋นกับลิกี๋แลอองตุ๋นนั้นก็อ้อนวอนขอชีวิตจะลาไปอยู่บ้านเก่าเหตุ ใดตัวจึงฆ่าเสียเล่า แล้วก็ให้เตียวปอเอาตัวซุนหลิมไปฆ่าเสีย เตียวปอจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซุนหลิมเปนขบถรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงไม่รู้เห็นด้วยก็อย่าให้วิตกวุ่นวายไปเลย ขณะนั้นเตงฮองกับงุยเปียวชีซกจับเอาพี่น้องสมัคพรรคพวกซุนหลิมประมาณร้อยเศษ เข้ามาถวาย พระเจ้าซุนฮิวก็ให้เอาไปฆ่าเสียณทางสามแพร่ง แล้วให้พิจารณาเอาพี่น้องซุนหลิมไปฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร จนศพซุนจุ๋นบิดาซุนหลิมซึ่งฝังไว้นั้นก็ให้ขุดขึ้นทำประจานด้วย แต่บันดาขุนนางสัตย์ซื่อทั้งปวงซึ่งซุนหลิมให้ฆ่าเสียแต่ก่อนนั้น ก็ให้แต่งการศพฝังไว้ตามบันดาศักดิ์ ขุนนางซึ่งซุนหลิมจำไว้นั้นก็ให้ถอดออกคงที่เก่าสิ้น พระเจ้าซุนฮิวจึงแต่งหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ชีฮูถือไปถวายพระเจ้า เล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเครื่องราชบรรณาการ ให้ชีฮูกลับไปถวายพระเจ้าซุนฮิว ๆ จึงถามชีฮูว่า ในเมืองเสฉวนนั้นท่านเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดกิจราชการสิ่งใดบ้าง ราษฎรทั้งปวงมีความสุขอยู่หรือ ชีฮูจึงทูลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนับถือฟังคำฮุยโฮขันที ถ้าผู้ใดมีสมบัติมากไปบนฮุยโฮขันทีแล้วก็ได้เปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นราชการแผ่นดินเมืองเสฉวนเรรวนนัก ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวงก็ไม่สบายปรับทุกข์กันอยู่สิ้น
พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า ถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนการแผ่นดินเมืองเสฉวนจะเปนถึงเพียงนี้ แล้วจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า บัดนี้สุมาเจียวคิดการใหญ่ จะชิงเอาสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง แม้สุมาเจียวสำเร็จความคิดแล้ว เห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองเสฉวนเปนมั่นคง ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดอ่านตระเตรียมทหารป้องกันรักษาเมืองจงดีอย่าประมาท แล้วให้ทหารถือไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายเกียงอุยได้แจ้งในหนังสือพระเจ้าซุนฮิวดังนั้นก็เห็นด้วย จึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะขออาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยงตัดศึกสุมาเจียวเสีย ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย เกียงอุยก็จัดแจงกองทัพให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กเปนกองหน้า ให้อองหำกับเจียวปินเปนปีกขวา ให้เจียวฉีกับปอเฉียมเปนปีกซ้าย ให้ออเจ๊กกับหัวสิบเปนกองหลัง ตัวเกียงอุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารยี่สิบหมื่นเปนทัพหลวง ครั้นวันดีได้ฤกษ์ก็เข้าไปทูลลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพตรงไปถึงเมืองฮัน ต๋ง เกียงอุยจึงปรึกษาแฮหัวป๋าว่า เราจะยกเข้าตีเมืองใดให้ได้ก่อน แฮหัวป๋าจึงว่า ตำบลเขากิสานนั้นเห็นเปนที่สำคัญราบคาบ ขงเบ้งยกมาถึงหกครั้งก็ตั้งตำบลนั้น จำเราจะยกไปตั้งมั่นเขากิสานก่อนจึงจะคิดการสืบไป เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ยกทัพไปถึงเขากิสาน จึงตั้งค่ายอยู่ริมเนินอันหนึ่งเปนสามค่าย
ฝ่ายเตงงายตั้งค่ายอยู่ริมเขากิสาน ครั้นทหารม้าใช้มาบอกว่าเกียงอุยยกทหารมาตั้งอยู่เปนอันมาก เตงงายขึ้นยืนดูบนยอดเขาเห็นเกียงอุยตั้งค่ายอยู่ริมเนินแห่งหนึ่งก็ดีใจ ว่าเราคิดไว้ว่าเกียงอุยจะยกมาก็สมความคิด จึงเกณฑ์ให้ทหารขุดเนินเปนอุมงค์เข้าไปข้างหลังค่ายเกียงอุย ครั้นขุดไปจะใกล้ทะลุออกหลังค่ายอองหำกับเจียวปิน เตงงายจึงให้เตงต๋งผู้บุตรกับสูกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งไปรบหน้าค่าย ครั้นเวลาสองยามให้เตงหลุนคุมทหารห้าร้อยเข้าไปในอุโมงค์ให้เร่งขุดทะลุขึ้น ชิงเอาค่ายเตงหลุนก็คุมทหารไป
ฝ่ายอองหำกับเจียวปินอยู่ในค่าย เห็นเตงต๋งกับสูกี๋ยกทหารมาตั้งอยู่หน้าค่ายก็ระวังตัวนัก ให้ทหารทั้งปวงใส่เกราะนอน ครั้นเวลาสองยามเตงหลุนก็คุมทหารขุดทะลุเข้าในค่ายไล่ฆ่าฟันอื้ออึงขึ้น อองหำกับเจียวปินเห็นดังนั้นก็ตกใจให้ทหารถืออาวุธขึ้นม้า เตงต๋งกับสูกี๋ก็ยกทหารรบเข้าไป อองหำกับเจียวปินเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีออกจากค่าย เกียงอุยอยู่ค่ายกลางได้ยินเสียงค่ายขวาอื้ออึงขึ้นก็ขี่ม้ายืนอยู่ แล้วสั่งทหารว่าให้รักษาค่ายไว้มั่นคง ถ้าทหารเตงงายยกมารบก็ให้เอาแต่เกาทัณฑ์ยิงต้านไว้
ฝ่ายเตงต๋งกับสูกี๋ครั้นได้ค่ายขวาแล้ว ก็ยกทหารมาเข้าหักเอาค่ายเกียงอุยเปนหลายครั้ง เกียงอุยก็ให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ถูกทหารเตงต๋งล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งขึ้นเตงต๋งก็พาทหารกลับมาค่าย เตงงายจึงว่าเกียงอุยนี้มีสติปัญญาหลักแหลมชำนาญในการสงคราม จึงรักษาค่ายมั่นไว้ได้ ถ้าเบาความยกมาช่วยค่ายขวา ก็จะมิเสียค่ายแก่เราหรือ
ฝ่ายอองหำกับเจียวปิน ครั้นเวลาเช้าพาทหารเข้ามาหาเกียงอุย ณ ค่าย คำนับกราบลงแล้วก็อ้อนวอนขอโทษ เกียงอุยจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งเสียการทั้งนี้เราคิดผิดเอง แล้วจัดแจงทหารให้อองหำเจียวปินยกไปตั้งอยู่ค่ายเก่า อองหำให้ทหารเอาดินถมอุมงค์เสีย แล้วก็เลื่อนออกมาตั้งค่ายอยู่ให้ห่างเนินเขา
เกียงอุยจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ยกทหารออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาเช้าทหารทั้งสองฝ่ายก็ยกออกตั้ง กระบวรทัพอยู่หน้าเขากิสานพร้อมกัน
เกียงอุยจึงจัดทหารออกเปนแปดกอง ตั้งแปดทิศมีประตูเข้าออกถึงกันทั้งแปดด้าน กองหนึ่งให้ทหารยืนเปนรูปมังกร กองหนึ่งเปนรูปเสือ กองหนึ่งเปนรูปพญานาค กองหนึ่งเปนรูปนก กองหนึ่งให้ทหารม้ายกธงเทียวตั้งกระบวรเปนรูปเมฆ กองหนึ่งเปนรูปเดือนตวัน กองหนึ่งเปนลม กองหนึ่งเปนดิน ตัวเกียงอุยออกยืนม้าถือธงสำคัญอยู่หน้าทหาร เห็นเตงงายยืนม้าอยู่จึงร้องถามว่า เราตั้งกระบวรศึกปักกั๋วตินนี้ ท่านรู้สำคัญหรือไม่ว่าเราจะทำประการใด
เตงงายจึงหัวเราะตอบว่า ท่านสำคัญว่ากระบวรศึกอันนี้รู้แต่ท่านผู้เดียวหรือ เราก็เข้าใจอยู่จะทำให้ท่านดู เตงงายก็โบกธงจัดทหารให้แยกออกตั้งกระบวรเหมือนเกียงอุย แล้วแยกออกกองหนึ่ง แปดกองเปนหกสิบสี่กอง มีประตูหกสิบสี่ เตงงายจึงร้องถามเกียงอุยว่า เราแยกคลายออกฉนี้ท่านเห็นผิดแลชอบประการใด เกียงอุยจึงว่าท่านทำนี้ก็ต้องตำราอยู่แล้ว แม้ท่านชำนาญจริงก็ยกทหารเข้ามาในกระบวรศึกเราให้ได้เถิด เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตก เราจะยกเข้าไปให้ท่านดู เตงงายก็ขี่ม้าถือธงนำหน้าทหารเข้าไปในกองทัพเกียงอุย เดิรลดเลี้ยวตามกระบวรศึกก็มิได้พลาดพลั้ง
เกียงอุยควบม้าเข้าไปในกลางกองทัพ โบกธงให้ทหารแปดกองรวบกันเข้าเปนรูปพญานาค เตงงายถลำเข้าอยู่กลางตัว เกียงอุยให้ทหารซึ่งเปนหางนั้นวงล้อมเข้าไป ทหารอยู่ข้างนอกก็ตีม้าฬ่อฆ้องกลองอื้ออึงขึ้นแล้วร้องว่า ให้เตงงายวางอาวุธเสียออกมาหาเราโดยดี ถ้านิ่งอยู่เราจับตัวได้ก็จะฆ่าเสีย เตงงายกับทหารอยู่ในที่ล้อม เห็นกระบวรศึกเกียงอุยกลับกลายมิรู้ที่จะแก้ไขประการใด แหงนหน้าขึ้นดูอากาศแล้วทอดใจใหญ่ว่า ซึ่งเราเสียทีถลำเข้าอยู่ในเงื้อมมือข้าศึกนี้ ก็เพราะดูหมิ่นทนงแก่สงคราม พอแลไปข้าทิศตะวันตกเห็นสุมาปองคุมทหารฟันฝ่าเข้ามาช่วย เตงงายก็ดีใจ คุมทหารออกจากที่ล้อมได้ พาสุมาปองคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่นํ้าอุยซุย เกียงอุยก็ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในค่ายเตงงายทั้งเก้าค่าย
ฝ่ายเตงงายจึงถามสุมาปองว่า เหตุไฉนท่านจึงเข้าใจในกระบวรศึกอันนั้นฟันฝ่าเข้าไปช่วยเราในที่ล้อมได้ สุมาปองบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าเด็กอยู่นั้น ได้ไปเรียนวิชา ณ เมืองเกงจิ๋วแลเมืองลกเอี๋ยง ชีจิ๋วเปงกับเจือกองง่วนซึ่งเปนเพื่อนรักของขงเบ้งบอกกลศึกอันนี้ให้ ข้าพเจ้า กระบวรศึกซึ่งเกียงอุยกลายออกนั้นชื่อเตียงจั๋วติ่น ภาษาไทยว่ากระบวรศึกงูเลื้อย ถ้าผู้ใดไม่รู้ถลำเข้าไปก็เสียที ข้าพเจ้าเข้าใจเห็นว่ากระบวรศึกนั้นตั้งสีสะข้างทิศตะวันตก ข้าพเจ้าจึงตีตรงเข้าไปตัดสีสะเสียก่อน เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ข้าพเจ้าก็ได้เรียนกระบวรศึกมาเปนอันมาก แต่กระบวรศึกซึ่งกลายออกนั้นหาเข้าใจไม่ บัดนี้เรารู้เท่าเกียงอุยแล้ว เวลาพรุ่งนี้จำเราจะยกไปรบชิงเอาค่ายคืนดังเก่าจึงจะชอบ
สุมาปองจึงว่า ข้าพเจ้าได้เรียนวิชารู้กระบวรศึกจริง แต่ไม่รู้ถึงเกียงอุย ซึ่งจะยกไปรบนั้นเกลือกจะเสียที ขอท่านคิดดูให้ควรก่อน เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ให้ท่านยกทหารออกไปตั้งกระบวรศึกกับเกียงอุย เราจะยกทหารไปข้างหลังเขา ถ้าเกียงอุยยกออกจากค่ายแล้วเราจะลอบเข้าชิงเอาค่ายให้จงได้ แล้วเตงงายก็ให้เตงหลุนเปนกองหน้ายกไปตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน สุมาปองจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเกียงอุยว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ทหารออกตั้งกระบวรศึกกันอีก เกียงอุยจึงสลักผนึกตอบมาว่าให้ยกมาเถิด แล้วเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเคยทำศึกมากับขงเบ้งชำนาญในกระบวรศึกเปนอันมาก เวลาวานนี้เราก็แปลงกระบวรศึกถึงสามร้อยหกสิบห้ากระบวร เตงงายก็เห็นฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งให้หนังสือมาว่าจะออกตั้งกระบวรศึกรบกับเรานั้น เหมือนเอาหญ้ามาสู้ดาบอันคม เห็นเปนกลอุบายลวงเราดอก ท่านทั้งปวงจะเห็นบ้างหรือไม่
เลียวฮัวจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อันกลอุบายเตงงายนี้เห็นจะลวงเราให้ออกตั้งกระบวรศึก แล้วจะซุ่มอยู่คอยชิงเอาค่ายเราภายหลังมั่นคง เกียงอุยก็เห็นด้วยจึงว่าท่านว่านี้ต้องน้ำใจเราคิด แล้วก็ให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารหมื่นหนึ่งออกซุ่มอยู่หลังเขา ครั้นเวลาเช้าสุมาปองยกมาตั้งอยู่เขากิสาน เกียงอุยก็ยกทหารออกจากค่ายตั้งประจันหน้ากันอยู่ เกียงอุยขับม้าออกหน้าทหารร้องว่าแก่สุมาปองว่า ให้ตั้งกระบวรศึกให้เราดูก่อนเถิดเราจะชมสักหน่อย สุมาปองก็แยกทหารออกตั้งเปนกระบวรศึกปักกั๋วติน เกียงอุยจึงหัวเราะว่ากระบวรอันนั้นเราตั้งให้ดูอย่างแต่เวลาวานนี้แล้ว เราคิดว่าท่านจะมีวิชาประหลาทจึงอุตส่าห์ออกมา สุมาปองจึงว่า ถึงตัวท่านก็จะรู้เปนกะไรมา กับเราก็เรียนวิชาเหมือนกัน เกียงอุยจึงถามว่า กระบวรอันนี้ท่านกลายไปอย่างไรได้บ้าง สุมาปองจึงหัวเราะว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกไปได้ถึงแปดสิบเอ็จอย่าง สุมาปองก็โบกธงให้ทหารแปรศึกนั้นออกเปนกระบวรต่าง ๆ แล้วร้องว่าท่านเห็นความรู้เราหรือไม่ เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกได้ถึงสามร้อยหกสิบห้าอย่าง แล้วเราก็ชำนาญในฤกษ์เปนอันมาก สุมาปองจึงว่า ท่านอวดตัวนั้นเกินนัก แม้รู้จริงจงสำแดงออกให้เราดู เกียงอุยจึงว่า แม้ท่านจะใคร่เรียนวิชาของเราเปนอย่าง ก็ให้เรียกเตงงายออกมาเถิดเราจะทำให้ดู สุมาปองว่าเตงงายเปนแม่ทัพผู้ใหญ่ ไม่สมควรจะรบกับท่านจึงไม่ยกออกมา เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่าซึ่งเตงงายทำกลอุบายให้ท่านมาลวงหวังจะชิงเอาค่ายเดิมนั้น เราก็รู้อยู่แล้ว สุมาปองเห็นว่าเกียงอุยรู้ถึงก็โกรธ ขับให้ทหารเข้ารบเกียงอุย ๆ ก็โบกธงให้ทหารออกรบพุ่งเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารสุมาปองล้มตายเปนอันมากสุมาปองเห็นเหลือกำลังก็พาทหารแตกหนีไป
ฝ่ายเตงงายกับเตงหลุนยกทหารออกจากหลังเขาจะไปชิงเอาค่ายเกียงอุย พอเลี้ยวข้างเขาจะใกลัถึงค่าย เห็นทหารกองหนึ่งยกสกัดออกมา เสียวฮัวก็ควบม้าออกรบกับเตงหลุน เลียวฮัวเอาดาบฟันถูกเตงหลุนตกม้าตาย เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าพาทหารหนี เตียวเอ๊กก็ยกทหารไล่ตามไป เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงถูกทหารเตงงายล้มตายเปนอันมาก ตัวเตงงายนั้นถูกเกาทัณฑ์สี่แผลก็พาทหารรีบหนีไปค่าย พอสุมาปองมาถึง เตงงายจึงว่า เราจะทำประการใดเกียงอุยจึงจะถอยทัพไป สุมาปองจึงว่า ในเมืองเสฉวนทุกวันนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่นำพาที่จะว่าราชการ นับถือเชื่อฟังแต่ฮุยโฮขันทีผู้เดียว ขอท่านแต่งหนังสือกับสิ่งของจงมากไปถึงฮุยโฮ ให้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้มีหนังสือรับสั่งมาหากองทัพเกียงอุยกลับไป เราจะได้ทีทำการถนัด เตงงายจึงประกาศทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปพูดกับฮุยโฮได้บ้าง ตองกิ๋นก็รับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง เตงงายก็มีความยินดี จัดแจงเงินทองแลพลอยแหวนกับสิ่งของที่ดีเปนอันมาก ก็มอบให้ตองกิ๋น ตองกิ๋นก็ลาเตงงายไปถึงเมืองเสฉวน ก็เข้าไปหาฮุยโฮเอาสิ่งของนั้นให้แล้วอ้อนวอนว่า จะขอให้หากองทัพเกียงอุยกลับมา ฮุยโฮเปนคนโลภเห็นแก่ทรัพย์ จึงคิดกลอุบายให้คนสนิธไปเที่ยวพูดว่า เกียงอุยจะเอากองทัพไปเข้าด้วยสุมาเจียว กิตติศัพท์ก็ลือไปทั่วเมืองเสฉวน ฮุยโฮจึงกลับเอาเนื้อความซึ่งราษฎรลือกันนั้นขึ้นทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็แคลงนัก เพราะเกียงอุยเปนพวกโจยอยอยู่ก่อน จึงมีหนังสือรับสั่งให้รีบไปหากองทัพเกียงอุยกลับมา
ฝ่ายเกียงอุยเห็นเตงงายเสียทีแตกไป ก็ยกกองทัพไปตั้งประชิดอยู่เปนหลายวัน มิได้เห็นเตงงายยกออกมาสู้รบ ก็ให้ทหารเข้าไปร้องด่าหยาบช้า พอทหารถือหนังสือรับสั่งมาถึง เกียงอุยมิได้แจ้งว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะมีกิจธุระประการใด ก็จัดแจงกองทัพจะไปเมืองเสฉวน เลียวฮัวจึงว่า ท่านเปนมหาอุปราช เมื่อจะยกกองทัพมานั้นก็ได้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าจะทำการให้สำเร็จ ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมานี้ ให้ท่านยับยั้งตอบโต้ดูก่อน เตียวเอ๊กจึงว่าแก่เลียวฮัวว่า ซึ่งท่านจะให้ขัดรับสั่งนั้นไม่ชอบ ประการหนึ่งแต่เรายกกองทัพมาทำการตำบลนี้ก็เสียทีหลายครั้ง บัดนี้เราก็ได้ชัยชนะเปนฤกษ์อยู่แล้ว แม้กลับไปเมืองเอาใจบำรุงทหารให้บริบูรณ์ แล้วจึงยกกลับมาทำการก็เห็นจะไม่ขัดสนนัก
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงจัดแจงยกทหารออกจากค่ายให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารป้องกันไปภายหลัง ฝ่ายเตงงายกับสุมาปองรู้ว่าเกียงอุยจะกลับไปเมืองเสฉวนก็ยกทหารไล่ตามไป เห็นกองทัพเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กซึ่งป้องกันไปนั้นมั่นคงนัก เห็นจะติดตามไปไม่ได้ก็ให้ถอยกลับมาค่ายเขากิสาน
ฝ่ายเกียงอุยครั้นถึงเมืองเสฉวนแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทูลถามว่า พระองค์ให้หาข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า เราเห็นท่านยกไปครั้งนี้ช้านานนัก เกรงว่าไพร่พลจะได้ความเดือดร้อนนัก เราจึงให้หามาหวังจะให้บำรุงทหารเสียก่อน เกียงอุยจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเปนอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้เห็นจะเปนกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็นิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด เกียงอุยจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาดคิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นสดุ้งพระทัยจึงตรัสว่า เราจะได้คิดสงสัยท่านหามิได้ ถ้าท่านได้ทีทำการอยู่แล้วจะยกไปตั้งอยู่เมืองฮันต๋งคอยตีเมืองวุยก๊กก็ตาม เถิด เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ถวายบังคมลาออกมาจัดแจงกองทัพยกไปเมืองฮันต๋ง
ขณะ เมื่อสุมาเจียวกับจูกัดเอี๋ยนรบติดพันกันอยู่นั้น ทหารสอดแนมรู้จึงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยว่า บัดนี้จูกัดเอี๋ยนยกกองทัพไปรบสุมาเจียว ซุนหลิมยกกองทัพหนุนไปเปนอันมาก เห็นสุมาเจียวบอบชํ้านักอยู่แล้ว จนนางกวยทายเฮากับพระเจ้าโจมอก็ยกทหารออกมาช่วยรบ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ถ้ากระนั้นเห็นเราจะทำการใหญ่สำเร็จครั้งนี้เปนมั่นคง จึงปรึกษาต้าจิ๋วขุนนางผู้ใหญ่ว่า เราจะทำเรื่องราวขึ้นกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความว่า จะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊กถวาย ท่านจะเห็นประการใด ต้าจิ๋วจึงทอดใจใหญ่ว่า บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ไม่ว่ากิจการบ้านเมือง เชื่อฟังแต่คำฮุยโฮขันที ชวนกันเสพย์สุราทุกวันมิได้ขาด อนึ่งตัวท่านแต่ทำการมาก็เสียทีเปนหลายครั้ง แม้เราคิดอ่านรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงจะดีกว่า
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าท่านเจรจาดังนี้ไม่ชอบ เสียทีเกิดมาให้หนักแผ่นดินเสียเปล่า ตัวเรานี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนชุบเลี้ยงมีพระคุณต่อเราเปนอันมาก เราจะทำราชการสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วก็ทำเรื่องราวเข้ากราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน จัดแจงทหารให้ปอเฉียมกับเจียวฉีเปนทัพหน้า แล้วปรึกษาว่า เราจะไปทำการครั้งนี้จะตีเอาเมืองใดก่อนดี ปอเฉียมจึงว่า ขอให้ท่านยกไปเนินซินเฉียตีเมืองเตียงเสียตัดเอาสะเบียงสุมาเจียวเสียก่อน จึงรีบยกไปตีเอาเมืองจิวฉวนให้ได้ เมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย เกียงอุยจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนักต้องความคิดเรา แล้วก็ยกทหารออกจากเมืองเสฉวนตรงไปเมืองเตียงเสีย
ฝ่ายสุมาปองเจ้าเมืองเตียงเสีย ในเมืองนั้นสะเบียงอาหารมีมากแต่ทหารน้อย ครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกกองทัพมา ก็พาอองจิ๋นลิเพงยกทหารออกตั้งค่ายรับอยู่นอกเมืองทางไกลสองร้อยเส้น ครั้นเกียงอุยยกมาถึง สุมาปองกับทหารเอกสองคนก็ยกทหารออกอยู่นอกค่าย เกียงอุยเห็นดังนั้นก็ขับม้าออกหน้าทหารแล้วร้องว่า สุมาเจียวพาลูกเจ้าออกมาทำศึก จะทำเหมือนลิฉุยกุยกี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นผิดอย่างธรรมเนียม จึงให้ยกกองทัพมาจะลงอาญาสุมาเจียว ตัวท่านก็เปนสมัคพรรคพวกสุมาเจียว ถ้ารู้จักโทษตัวแล้วก็ให้เร่งออกมาหาเราโดยดี แม้ยังถือตัวเห็นดีด้วยสุมาเจียวอยู่ เราจะฆ่าเสียให้สิ้นทั้งโคตร
สุมาปองได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องตวาดว่า อ้ายโจรมึงบังอาจดูหมิ่นล่วงเข้ามาในแดนกู มึงเร่งถอยทหารกลับไป แม้ไม่ฟังชีวิตมึงกับทหารทั้งปวงก็จะตายอยู่ในที่นี้สิ้น แล้วให้อองจิ๋นควบม้ารำทวนออกรบ ปอเฉียมเห็นดังนั้นก็ชักม้าออกรบกับอองจิ๋นได้สามเพลง ปอเฉียมทำแพ้ชักม้าหนี อองจิ๋นควบม้าไล่ตามจะใกล้ทันก็เอาทวนพุ่งไป ปอเฉียมหลบแล้วกลับม้ามารวบจับตัวอองจิ๋นได้ ลิเพงเห็นดังนั้นก็โกรธ ควบม้าออกมาจะแก้อองจิ๋น ปอเฉียมเห็นลิเพงควบม้ามาถึง ก็เอาอองจิ๋นฟาดลงกับดิน แล้วควบม้าเข้าไปเอากระบองเหล็กตีลิเพงตกม้าตาย เกียงอุยเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ฟันเข้าไปในกองทัพสุมาปอง ๆ เห็นเหลือกำลังก็ยกหนีเข้าเมือง ให้ทหารปิดประตูเมืองเสีย แล้วให้ขึ้นรักษาหน้าที่ไว้เปนมั่นคง ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ขับทหารให้เข้าล้อมเมืองไว้โดยรอบ แล้วเอาประทัดผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปตกหลังคาเรือนในเมืองไหม้ขึ้นเปนอัน มาก แล้วให้เอาฟืนกองแต่เชิงกำแพงถึงใบเสมา เอาเพลิงจุดให้ไอเพลิงร้อนตลบเข้าไปในเมือง ทหารแลราษฎรชาวเมืองทั้งปวงก็ตกใจเข้าอุ้มลูกร้องไห้อื้ออึงไปทั้งเมือง
พอเตงงายยกกองทัพมาถึง เกียงอุยก็ยกทหารออกต้านไว้ เกียงอุยยืนม้าอยู่หน้าทหาร เห็นเตงต๋งบุตรเตงงายหนุ่มน้อยหน้าขาวปากแดงขี่ม้าถือทวนออกมาสำคัญว่าเตง งาย ก็ควบม้าตรงเข้าไปรบกับเตงต๋งได้สี่สิบเพลงยังไม่ทันแพ้ชนะกัน เกียงอุยจึงว่า ทหารหนุ่มน้อยคนนี้มีฝีมือเข้มแขงอยู่ เราจะคิดกลอุบายลวงเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วเกียงอุยทำเปนแพ้ชักม้าหนี เตงต๋งก็ควบม้าไล่ตามเกียงอุย ๆ เห็นได้ทีก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไป เตงต๋งหลบได้ก็ควบม้ากระชันเข้าไปเอาทวนแทง เกียงอุยชิงทวนไว้ได้ กลับม้ามาจะจับตัวเตงต๋ง เตงต๋งก็ควบม้าหนีกลับเข้ากองทัพ เกียงอุยก็ไล่ตามไป
เตงงายเห็นดังนั้นก็ควบม้ารำดาบออกหน้าทหารแล้วร้องว่า กูชื่อเตงงาย มึงไม่รักชีวิตหรือจึงบังอาจไล่บุตรกูมา เกียงอุยได้ฟังดังนั้นว่าเตงต๋งเปนบุตรเตงงายก็ตกใจ คิดว่าเวลาวันนี้เรารบพุ่งหนักหนา เห็นกำลังม้าอิดโรยลงแล้ว แม้หักหาญเข้าไปรบกับเตงงายบัดนี้ เกลือกจะพลาดพลั้งเสียที จึงร้องว่ากับเตงงายว่า เวลาเย็นอยู่แล้ว ท่านจัดแจงทหารไว้ให้พร้อมเถิด พรุ่งนี้เราจึงจะออกรบกันให้สิ้นฝีมือ
เตงงายได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่เราจะสัญญากันไว้ ถ้าผู้ใดคิดกลอุบายล่อลวงกันมิใช่ลูกผู้ชาย แล้วเตงงายก็ถอยทัพกลับไปตั้งอยู่ริมแม่น้ำฮุยซุ่ย เกียงอุยยกกองทัพออกจากเมืองเตียงเสียไปตั้งอยู่ริมเชิงเขาแห่งหนึ่ง ก็แลเห็นค่ายเตงงาย ๆ เห็นค่ายเกียงอุยนั้นมั่นคง จึงเขียนหนังสือให้เตงต๋งผู้บุตรไปช่วยรักษาเมืองเตียงเสีย ในหนังสือเปนใจความว่า ให้สุมาปองรักษาเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด ให้กองทัพเกียงอุยสิ้นสะเบียงอาหารลงแล้ว สุมาเจียวยกมาถึงเราจึงจะเข้าล้อมกระหนาบรบ เกียงอุยก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง เตงต๋งก็ลาเตงงายไปเมืองเตียงเสีย เตงงายก็ให้ทหารถือหนังสือไปแจ้งเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาเจียวให้ยกกองทัพมา ช่วย
ฝ่ายเกียงอุยครั้นตั้งค่ายมั่นลงแล้ว จึงให้ทหารถือหนังสือไปให้เตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาใกล้รุ่งเกียงอุยให้ทหารทั้งปวงกินอาหารเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว ก็ยกเปนกระบวรทัพออกตั้งคอยจะรบอยู่หน้าค่าย ฝ่ายเตงงายก็สงบทหารอยู่ในค่ายมิได้ยกออกรบตามสัญญา เกียงอุยคอยอยู่จนเวลาเย็นก็ถอยทหารกลับเข้าค่าย แล้วให้ทหารถือหนังสือสัญญาไปถึงเตงงายอีก เตงงายให้ผู้ถือหนังสือนั้นกินโต๊ะเสพย์สุราแล้วว่า ตัวเรานี้หาพอที่จะเปนเท็จไม่ เราเปนโรคปัจจุบันให้จุกเสียดจึงมิได้ออกรบตามสัญญา ท่านกลับไปบอกเกียงอุยเถิด เวลาพรุ่งนี้เราจะออกรบให้จงได้ ผู้ถือหนังสือก็ลากลับมาบอกกับเกียงอุย ครั้นเวลาเช้าเกียงอุยก็ยกทหารออกไปตั้งอยู่นอกค่าย เตงงายก็มิได้ยกมา แต่เตงงายลวงเกียงอุยอยู่ฉนี้ถึงหกครั้ง
ปอเฉียมจึงว่าแก่เกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเห็นเตงงายจะลวงทำกลอุบายเปนมั่นคง หวังจะคอยทัพสุมาเจียวมาจึงจะรบตีเราเปนสามด้าน จำเราจะให้ทหารถือหนังสือไปเมืองกังตั๋ง ให้ซุนหลิมออกสกัดทางรบสุมาเจียวไว้ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงว่าความคิดท่านนี้ต้องน้ำใจเราทุกประการ แล้วก็ให้ทหารถือหนังสือไปถึงซุนหลิม ณ เมืองกังตั๋งเปนใจความว่า เรายกกองทัพมาติดเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว ให้ท่านยกทหารออกตีสกัดสุมาเจียวไว้
ฝ่ายสุมาเจียวครั้นสำเร็จราชการแล้ว จัดแจงทหารจะยกมาเมืองลกเอี๋ยง พอทหารเตงงายถือหนังสือไปถึงสุมาเจียวก็ตกใจ เร่งยกกองทัพไปเมืองเตียงเสีย ทหารสอดแนมรู้เนื้อความจึงเข้ามาบอกเกียงอุยว่า สุมาเจียวตีเมืองชิวฉุนได้แล้ว ทหารเมืองกังตั๋งก็สมัคเข้าด้วยเปนอันมาก บัดนี้ยกกองทัพมาจะถึงเมืองเตียงเสียอยู่แล้ว เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เดิมเราคิดว่าจะทำการให้ได้เมืองลกเอี๋ยง บัดนี้เห็นไม่สมความคิดแล้ว จำเราจะถอยทัพกลับไปเมืองฟังท่วงทีก่อน แล้วเกียงอุยก็จัดแจงทหารเดิรเท้ายกล่วงไปก่อน ทหารม้าให้ป้องกันไปข้างหลัง ด้วยเกรงข้าศึกจะมาติดตาม ครั้นมาถึงทางน้อยริมเนินซินเฉีย เกียงอุยจึงให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปนอันมาก
ฝ่ายเตงงายครั้นรู้ว่าเกียงอุยยกทัพหนีไปแล้วจึงหัวเราะแล้วว่า เกียงอุยรู้ว่ากองทัพเราหนุนมาอีกจึงรีบยกหนีไป เราอย่าติดตามเลยเห็นเกียงอุยจะทำกลอุบายไว้เปนมั่นคง พอทหารคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า ทหารกองตะเวนมาบอกข้าพเจ้าว่า เกียงอุยยกไปถึงทางน้อยริมเนินซินเฉียให้ทหารขนฟืนแลเชื้อเพลิงเตรียมไว้เปน อันมาก ถ้าเราติดตามไปเห็นจะเอาเพลิงเผาเราเปนมั่นคง ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญเตงงายว่า ท่านคิดการครั้งนี้เหมือนเทพดามาดลใจ เตงงายก็เอาเนื้อความทั้งปวงเข้าไปแจ้งแก่สุมาเจียวทุกประการ สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ให้หาเตงงายเข้ามาปูนบำเหน็จรางวัลเปนอันมาก
ฝ่ายซุนหลิมอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ครั้นรู้ว่ากึ่งจูสมัคเข้ามาอยู่ด้วยสุมาเจียวก็โกรธ ให้ทหารไปจับเอาสมัคพรรคพวกกึ่งจูไปฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าซุนเหลียงพระชนม์สิบเจ็ดขวบ เห็นซุนหลิมฆ่าพี่น้องกึ่งจูเสียดังนั้นก็คิดสังเวชพระทัยนัก วันหนึ่งเสด็จออกไปประพาสสวนข้างทิศตวันออกคิดจะเสวยนํ้าผึ้ง จึงให้อองปุนไปเอาน้ำผึ้ง อองปุนไปเบิกนํ้าผึ้งมาจากเจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจะถวายจึงเอามูลหนูใส่ลงในนํ้าผึ้งสองเมล็ด
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้เอาตัวเจ้าพนักงานมาถามว่า เหตุไฉนตัวรักษาน้ำผึ้งให้มูลหนูตกลงได้ โทษตัวถึงตายแล้วตัวรู้หรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า นํ้าผึ้งนี้ข้าพเจ้ารักษาปกปิดมั่นคง เมื่ออองปุนจะเบิกมานั้นข้าพเจ้าก็พินิจดูแล้ว พระเจ้าซุนเหลียงจึงถามว่า อองปุนคนนี้เคยไปขอน้ำผึ้งท่านอยู่บ้างหรือไม่ เจ้าพนักงานจึงทูลว่า เมื่อครั้งก่อนอองปุนไปขอข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกว่านํ้าผึ้งเสวยน้อยอยู่แล้วจะให้ไปนั้นไม่ได้ อองปุนโกรธพยาบาทข้าพเจ้าอยู่ พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ความแต่เพียงนี้เราจะพิจารณาให้เห็นเท็จแลจริงให้ได้ แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน จึงให้หยิบเอามูลหนูนั้นเช็ดออกดูก็แห้งอยู่
พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า มูลหนูนี้แม้ตกมาแต่เจ้าของนํ้าผึ้งก็จะชุ่มอยู่ นี่อองปุนแกล้งใส่ลงเปนมั่นคง อองปุนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกราบถวายบังคมลงแล้วก็ขอถวายชีวิต ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญพระเจ้าซุนเหลียงเปนอันมาก พระเจ้าซุนเหลียงก็เสด็จกลับเข้าวัง วันหนึ่งเสด็จออกพระที่นั่งเย็น จวนกี๋ซึ่งเปนน้าพระเจ้าซุนเหลียงกับอองปุนเข้าไปเฝ้า พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า ซุนหลิมตั้งขุนนางผู้ใหญ่น้อยเปนอันมาก แล้วก็ทำการแต่ตามอำเภอใจ นานไปเห็นจะเปนขบถชิงเอาสมบัติเราเปนมั่นคง เราจะคิดอ่านฆ่าซุนหลิมเสียจึงจะชอบ ตรัสแล้วก็ทรงพระกรรแสง
จวนกี๋จึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย แม้นพระองค์จะให้ข้าพเจ้าทำประการใดก็จะอาสาสนองพระคุณกว่าจะสิ้นชีวิต พระเจ้าซุนเหลียงจึงตรัสว่า กระนั้นท่านจงไปหาเล่าเสงซึ่งเปนนายตำรวจ จัดแจงกันให้ได้จงมากมาซุ่มอยู่ริมประตูวัง ถ้าซุนหลิมเข้ามาเฝ้าก็ให้จับตัวฆ่าเสีย แต่ทว่าการทั้งนี้ท่านอย่าให้แพร่งพรายไป ซุนหลิมเปนน้องของมารดาท่าน ถ้ารู้เนื้อความจะเสียการเราไป จวนกี๋จึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะทำการครั้งนี้จะขอหนังสือรับสั่งเปนสำคัญด้วย ทแกล้วทหารทั้งปวงจะได้เต็มใจทำการ พระเจ้าซุนเหลียงก็เห็นด้วย ทรงพระอักษรส่งให้จวนกี๋ ๆ ถวายบังคมลากลับมาบ้าน เล่าเนื้อความทั้งปวงให้บิดาฟังทุกประการ บิดาจวนกี๋ก็เอาเนื้อความนั้นไปบอกภรรยาว่า พระเจ้าซุนเหลียงจะให้ฆ่าซุนหลิมเสียในสามวันนี้แล้ว ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ให้คนใช้สนิธลอบไปบอกซุนหลิม ๆ รู้ดังนั้นก็โกรธ จึงให้หาน้องชายสี่คนซึ่งตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาบอกเนื้อความทั้งปวง แล้วจัดแจงทหารตีม้าฬ่อฆ้องกลองยกเข้าล้อมวังพระเจ้าซุนเหลียงไว้โดยรอบ
เล่าเสงนายตำรวจเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปทูลพระเจ้าซุนเหลียงในเวลากลางคืน พระเจ้าซุนเหลียงบันทมหลับอยู่ได้ยินเสียงกลองม้าฬ่ออื้ออึงก็ตกพระทัยตื่น ขึ้น พอเล่าเสงเข้ามาทูลว่าซุนหลิมยกทหารเข้าล้อมวังไว้แล้ว พระเจ้าซุนเหลียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เสด็จเข้าไปข้างในตรัสแก่มารดาว่า ครั้งนี้พี่น้องของท่านทำการใหญ่จะทำร้ายข้าพเจ้า แล้วก็จับพระแสงกระบี่จะเสด็จออกสู้กับข้าศึกด้วยกำลังโทโส มารดาแลขันทีทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งเข้ายึดชายฉลองพระองค์ไว้ ร้องไห้ทูลห้ามปรามเปนอันมาก
ครั้นเวลาเช้าซุนหลิมหักเข้าไปในวังได้ เห็นเล่าเสงกับจวนเสียงคุมทหารรักษาหน้าที่อยู่ ก็ให้ทหารเข้าจับตัวไปฆ่าเสีย แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงมาว่า บัดนี้พระเจ้าซุนเหลียงคิดการไม่ชอบแล้ว ไม่เอาใจใส่ว่ากิจราชการบ้านเมือง มัวเมาไปด้วยสตรี เราจะเนรเทศออกเสียจากราชสมบัติท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
ฮวนฮีขุนนางผู้ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าซุนหลิมว่าอ้ายโจร พระเจ้าซุนเหลียงมีสติปัญญาหลักแหลม มึงแกล้งเอาความร้ายมาใส่หวังจะชิงเอาสมบัติ ตัวกูนี้ถึงจะตายก็ไม่เข้าด้วยมึง ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็โกรธชักกระบี่ออกฆ่าฮวนฮีเสีย ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็เกรงอาญาซุนหลิมนัก ชวนกันคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้แม้ท่านจะทำประการใดก็จะประพฤติตามสิ้นทั้งนั้น ซุนหลิมจึงเดิรเข้าไปในตำหนัก เห็นพระเจ้าซุนเหลียงนั่งอยู่ก็โกรธ ชี้มือว่าแก่พระเจ้าซุนเหลียงว่า ท่านเปนคนเขลามิได้มีสติปัญญาถือผิดเปนชอบ หากว่าเราเปนคนใจบุญคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนอยู่ท่านจึงรอดชีวิต เราจะให้ท่านไปเปนเจ้าเมืองห้อยเข ท่านเร่งไปให้พ้นความตายเถิด ซุนหลิมกับลิจ๋องเก็บเอาตราแลเครื่องยศสำหรับกษัตริย์มอบให้เตงเถี้ยรักษา ไว้ในคลัง
พระเจ้าซุนเหลียงเห็นดังนั้นก็น้อยพระทัยนัก ทรงพระกรรแสงเสด็จออกจากเมืองตรงไปเมืองห้อยเข ซุนหลิมจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ซุนเขกับตังเตียวไปเชิญซุนฮิวซึ่งเปนบุตรที่หกซุนกวน ณ เมืองฮ่อหลิมให้มา ครองสมบัติ ฝ่ายซุนฮิวเวลาค่ำวันนั้นฝันเห็นว่าขี่มังกรเหาะขึ้นไปบนอากาศ เหลียวหลังมาดูเห็นมังกรนั้นหางด้วนก็ตกใจผวาตื่นขึ้น พอเวลาเช้าซุนเขกับตังเตียวมาถึงเข้าไปคำนับแจ้งเนื้อความทั้งปวง แล้วเอาหนังสือซึ่งซุนหลิมให้มาเชิญไปครองสมบัตินั้นให้ซุนฮิว ๆ ได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยรั้งรออยู่ เทพารักษ์สำหรับเมืองจึงแปลงตัวเปนคนแก่เดิรตรงเข้ามาหาซุนฮิว บอกว่าการนี้ให้ท่านเร่งไปโดยเร็ว ถ้าเนิ่นช้าการจะกลับกลอก แล้วเทพารักษ์ก็หายไป ซุนฮิวเห็นดังนั้นก็มีความยินดี จัดแจงทหารขึ้นเกวียนออกจากเมืองไปถึงตำบลปอเซ็กตั้งที่ประทับกลางทาง ซุนหลิมรู้ก็จัดรถแลเครื่องแห่สำหรับกษัตริย์พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปรับ เสด็จ ซุนฮิวก็มิได้ขึ้นรถขี่เกวียนตรงเข้าไปในเมืองกังตั๋ง ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงเชิญซุนฮิวขึ้นนั่งบนแท่น แล้วถวายบังคมพร้อมกัน เอาตราแลเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นถวาย (พ.ศ. ๘๐๑) ครั้นพระเจ้าซุนฮิวได้ครองสมบัติแล้ว จึงตั้งซุนหลิมเปนมหาอุปราช แล้วพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่ซุนหลิมแลขุนนางทั้งปวงซึ่งมีความชอบเปนอัน มาก แล้วตั้งน้องชายซุนหลิมสี่คนกับหลานคนหนึ่งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมือง ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวทำการทั้งนี้ใช่จะไว้พระทัยซุนหลิมโดยสุจริตนั้นหามิได้ คิดสงสัยระมัดพระองค์นักอยู่
ครั้นถึงเดือนยี่ปลายปีเปนวันประสูติพระเจ้าซุนฮิว ซุนหลิมก็แต่งเข้าของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมเปนอันมาก พระเจ้าซุนฮิวคิดรังเกียจอยู่ก็มิได้เสวยส่งคืนออกมา ซุนหลิมเห็นดังนั้นก็โกรธเอาโต๊ะแลของทั้งปวงกลับมาตึก ให้ไปเชิญเตียวปอซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่มากิน ขณะเมื่อกินโต๊ะเสพย์สุราอยู่นั้น ซุนหลิมจึงว่าแก่เตียวปอว่า เมื่อพระเจ้าซุนเหลียงทำความผิดเราเนรเทศเสียนั้น ขุนนางทั้งปวงก็ยอมสมัคให้เราเปนเจ้า เราคิดถึงคุณพระเจ้าซุนกวนจึงเชิญพระเจ้าซุนฮิวมาครองสมบัติ บัดนี้เปนวันประสูติเราแต่งของเข้าไปถวายตามธรรมเนียมก็มิได้รับ ซึ่งพระเจ้าซุนฮิวดูหมิ่นมิได้คิดถึงไมตรีเรานั้น ให้ท่านดูไปเถิดไม่นานก็จะเห็นเปนมั่นคง เตียวปอก็ทำเปนพยักหน้ามิได้ตอบประการใด แล้วก็คำนับลาซุนหลิมไป
ครั้นเวลาเช้าเตียวปอก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนฮิว ทูลเนื้อความซึ่งซุนหลิมว่านั้นทุกประการ พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระวิตกนัก ฝ่ายซุนหลิมก็คิดอ่านตระเตรียมการให้เบ้งจ๋องคุมทหารหมื่นห้าพันพร้อมด้วย เครื่องศัสตราวุธออกไปตั้งอยู่ตำบลบูเฉียงนอกเมืองกังตั๋ง งุยเปียวกับชีซกซึ่งเปนขุนนางกรมแสงจึงเข้าไปทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า บัดนี้ซุนหลิมตระเตรียมทหาร แล้วมาเบิกเอาเครื่องอาวุธในคลังไปไว้เปนอันมากเห็นจะคิดร้ายต่อพระองค์เปน มั่นคง พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาเตียวปอเข้ามาปรึกษาราชการ เตียวปอจึงทูลว่าข้าพเจ้าเปนคนสติปัญญาน้อย เตงฮองซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่เคยทำศึกมาแต่ครั้งพระเจ้าซุนกวนเปนอันมาก ขอพระองค์ให้หาเตงฮองเข้ามาปรึกษาราชการเห็นจะตัดความคิดซุนหลิมได้ พระเจ้าซุนฮิวก็ให้หาเตงฮองเข้ามาตรัสปรึกษาเนื้อความทั้งปวง
เตงฮองจึงทูลว่าพระองค์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายกำจัดซุนหลิมเสียให้ได้ พระเจ้าซุนฮิวจึงถามว่าท่านจะทำประการใด เตงฮองจึงทูลว่า เวลาพรุ่งนี้จะเข้าปีใหม่เปนวันตรุษ พระองค์จงแต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางทั้งปวงตามธรรมเนียม แล้วให้คนสนิธไปเชิญซุนหลิมมากินโต๊ะในตำหนัก ข้าพเจ้าจะให้เตียวปอแอบอยู่คอยจับตัวซุนหลิมก็จะจับได้โดยง่าย พระเจ้าซุนฮิวก็เห็นด้วย จึงให้เตงอ๋องงุยเปียวชีซกคุมทหารรักษาป้องกันภายนอก ให้เตียวปอคุมทหารซ่อนอยู่ในฉาก เวลากลางคืนวันนั้นเกิดลมพายุใหญ่ พัดต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่หน้าตึกซุนหลิมนั้นโค่นลง แล้วก็พัดฝุ่นทรายแลก้อนศิลาปลิวขึ้น พระเจ้าซุนฮิวเห็นอัศจรรย์ดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลาเช้าจึงใช้ให้ขันทีไปหาซุนหลิมตามสัญญาซึ่งคิดไว้นั้น ขันทีไปถึงตึกซุนหลิมคำนับแล้วบอกว่า รับสั่งพระเจ้าซุนฮิวให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปกินโต๊ะ
ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นลุกยืนขึ้นจะแต่งตัวก็กลับล้มลงกับที่ ก็คิดประหลาทใจนัก พอขันทีมาถึงอีกคนหนึ่งจึงเข้าไปบอกซุนหลิมว่าขุนนางมาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าซุนฮิวคอยท่าท่านอยู่ให้เร่งเชิญท่านไป ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ใส่เสื้อแต่งตัวอย่างมหาอุปราช คนใช้สนิธในตึกจึงห้ามว่า เวลาคืนนี้เกิดอัศจรรย์วิปริตแล้วท่านยืนขึ้นก็ล้มลงกับที่ข้าพเจ้าคิดสงสัย นัก ซึ่งรับสั่งให้หาท่านนั้นขอให้ดำริห์ให้ควรก่อน ซุนหลิมจึงว่าตัวเราเปนมหาอุปราช พี่น้องก็เปนขุนนางผู้ใหญ่ถึงห้าคน ผู้ใดจะบังอาจคิดร้ายต่อเรา ถึงมาทว่าจะมีศัตรูคิดร้ายต่อเราจริงเราก็มิได้กลัวจะเอาแต่เพลิงสัญญาจุด ขึ้นทหารเราก็จะยกเข้าไปช่วย แล้วซุนหลิมก็ขึ้นรถตรงเข้าไปในวัง พระเจ้าซุนฮิวก็ออกมารับถึงประตูตำหนัก จูงมือซุนหลิมเข้าไปให้เสพย์สุราในตำหนัก ขณะเมื่อซุนหลิมเสพย์สุราอยู่นั้น งุยเปียวกับชีซกก็จุดเพลิงสัญญาขึ้น จับสมัคพรรคพวกซุนหลิมฆ่าเสียบ้างจำไว้บ้าง ซุนหลิมได้ยินอื้ออึงขึ้นภายนอกก็ตกใจขยับลุกออกมา พระเจ้าซุนฮิวยึดมือไว้แล้วห้ามว่า มหาอุปราชอย่าตกใจเชิญเสพย์สุราให้สบาย ขุนนางแลทหารซึ่งเสพย์สุราอยู่ภายนอกเมาแล้วก็วิวาททุ่มเถียงกันตามทีมัน เถิด ขณะนั้นเตียวปอก็ถือกระบี่พาทหารประมาณสามสิบคนเดิรออกมาจากฉากร้องว่า รับสั่งให้จับอ้ายขบถให้จงได้ ซุนหลิมได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจะวิ่งหนี ทหารทั้งปวงก็รุมกันเข้าจับเอาตัวได้ ซุนหลิมสิ้นความคิดแล้วจึงทูลพระเจ้าซุนฮิวว่า พระองค์โปรดให้ทานชีวิตข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่คิดการฉนั้นสืบไปแล้ว จะถวายบังคมลาไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านเก่า
พระเจ้าซุนฮิวจึงตวาดว่า เมื่อเตงอิ๋นกับลิกี๋แลอองตุ๋นนั้นก็อ้อนวอนขอชีวิตจะลาไปอยู่บ้านเก่าเหตุ ใดตัวจึงฆ่าเสียเล่า แล้วก็ให้เตียวปอเอาตัวซุนหลิมไปฆ่าเสีย เตียวปอจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ซุนหลิมเปนขบถรับสั่งให้ฆ่าเสียแล้ว ท่านทั้งปวงไม่รู้เห็นด้วยก็อย่าให้วิตกวุ่นวายไปเลย ขณะนั้นเตงฮองกับงุยเปียวชีซกจับเอาพี่น้องสมัคพรรคพวกซุนหลิมประมาณร้อยเศษ เข้ามาถวาย พระเจ้าซุนฮิวก็ให้เอาไปฆ่าเสียณทางสามแพร่ง แล้วให้พิจารณาเอาพี่น้องซุนหลิมไปฆ่าเสียสิ้นทั้งโคตร จนศพซุนจุ๋นบิดาซุนหลิมซึ่งฝังไว้นั้นก็ให้ขุดขึ้นทำประจานด้วย แต่บันดาขุนนางสัตย์ซื่อทั้งปวงซึ่งซุนหลิมให้ฆ่าเสียแต่ก่อนนั้น ก็ให้แต่งการศพฝังไว้ตามบันดาศักดิ์ ขุนนางซึ่งซุนหลิมจำไว้นั้นก็ให้ถอดออกคงที่เก่าสิ้น พระเจ้าซุนฮิวจึงแต่งหนังสือแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ชีฮูถือไปถวายพระเจ้า เล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเครื่องราชบรรณาการ ให้ชีฮูกลับไปถวายพระเจ้าซุนฮิว ๆ จึงถามชีฮูว่า ในเมืองเสฉวนนั้นท่านเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดกิจราชการสิ่งใดบ้าง ราษฎรทั้งปวงมีความสุขอยู่หรือ ชีฮูจึงทูลว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนับถือฟังคำฮุยโฮขันที ถ้าผู้ใดมีสมบัติมากไปบนฮุยโฮขันทีแล้วก็ได้เปนที่ขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นราชการแผ่นดินเมืองเสฉวนเรรวนนัก ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวงก็ไม่สบายปรับทุกข์กันอยู่สิ้น
พระเจ้าซุนฮิวได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า ถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนการแผ่นดินเมืองเสฉวนจะเปนถึงเพียงนี้ แล้วจึงแต่งหนังสือเปนใจความว่า บัดนี้สุมาเจียวคิดการใหญ่ จะชิงเอาสมบัติในเมืองลกเอี๋ยง แม้สุมาเจียวสำเร็จความคิดแล้ว เห็นจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งแลเมืองเสฉวนเปนมั่นคง ให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนคิดอ่านตระเตรียมทหารป้องกันรักษาเมืองจงดีอย่าประมาท แล้วให้ทหารถือไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายเกียงอุยได้แจ้งในหนังสือพระเจ้าซุนฮิวดังนั้นก็เห็นด้วย จึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะขออาสาไปตีเมืองลกเอี๋ยงตัดศึกสุมาเจียวเสีย ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย เกียงอุยก็จัดแจงกองทัพให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กเปนกองหน้า ให้อองหำกับเจียวปินเปนปีกขวา ให้เจียวฉีกับปอเฉียมเปนปีกซ้าย ให้ออเจ๊กกับหัวสิบเปนกองหลัง ตัวเกียงอุยกับแฮหัวป๋าคุมทหารยี่สิบหมื่นเปนทัพหลวง ครั้นวันดีได้ฤกษ์ก็เข้าไปทูลลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพตรงไปถึงเมืองฮัน ต๋ง เกียงอุยจึงปรึกษาแฮหัวป๋าว่า เราจะยกเข้าตีเมืองใดให้ได้ก่อน แฮหัวป๋าจึงว่า ตำบลเขากิสานนั้นเห็นเปนที่สำคัญราบคาบ ขงเบ้งยกมาถึงหกครั้งก็ตั้งตำบลนั้น จำเราจะยกไปตั้งมั่นเขากิสานก่อนจึงจะคิดการสืบไป เกียงอุยเห็นชอบด้วยก็ยกทัพไปถึงเขากิสาน จึงตั้งค่ายอยู่ริมเนินอันหนึ่งเปนสามค่าย
ฝ่ายเตงงายตั้งค่ายอยู่ริมเขากิสาน ครั้นทหารม้าใช้มาบอกว่าเกียงอุยยกทหารมาตั้งอยู่เปนอันมาก เตงงายขึ้นยืนดูบนยอดเขาเห็นเกียงอุยตั้งค่ายอยู่ริมเนินแห่งหนึ่งก็ดีใจ ว่าเราคิดไว้ว่าเกียงอุยจะยกมาก็สมความคิด จึงเกณฑ์ให้ทหารขุดเนินเปนอุมงค์เข้าไปข้างหลังค่ายเกียงอุย ครั้นขุดไปจะใกล้ทะลุออกหลังค่ายอองหำกับเจียวปิน เตงงายจึงให้เตงต๋งผู้บุตรกับสูกี๋คุมทหารหมื่นหนึ่งไปรบหน้าค่าย ครั้นเวลาสองยามให้เตงหลุนคุมทหารห้าร้อยเข้าไปในอุโมงค์ให้เร่งขุดทะลุขึ้น ชิงเอาค่ายเตงหลุนก็คุมทหารไป
ฝ่ายอองหำกับเจียวปินอยู่ในค่าย เห็นเตงต๋งกับสูกี๋ยกทหารมาตั้งอยู่หน้าค่ายก็ระวังตัวนัก ให้ทหารทั้งปวงใส่เกราะนอน ครั้นเวลาสองยามเตงหลุนก็คุมทหารขุดทะลุเข้าในค่ายไล่ฆ่าฟันอื้ออึงขึ้น อองหำกับเจียวปินเห็นดังนั้นก็ตกใจให้ทหารถืออาวุธขึ้นม้า เตงต๋งกับสูกี๋ก็ยกทหารรบเข้าไป อองหำกับเจียวปินเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีออกจากค่าย เกียงอุยอยู่ค่ายกลางได้ยินเสียงค่ายขวาอื้ออึงขึ้นก็ขี่ม้ายืนอยู่ แล้วสั่งทหารว่าให้รักษาค่ายไว้มั่นคง ถ้าทหารเตงงายยกมารบก็ให้เอาแต่เกาทัณฑ์ยิงต้านไว้
ฝ่ายเตงต๋งกับสูกี๋ครั้นได้ค่ายขวาแล้ว ก็ยกทหารมาเข้าหักเอาค่ายเกียงอุยเปนหลายครั้ง เกียงอุยก็ให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิง ถูกทหารเตงต๋งล้มตายเปนอันมาก ครั้นเวลารุ่งขึ้นเตงต๋งก็พาทหารกลับมาค่าย เตงงายจึงว่าเกียงอุยนี้มีสติปัญญาหลักแหลมชำนาญในการสงคราม จึงรักษาค่ายมั่นไว้ได้ ถ้าเบาความยกมาช่วยค่ายขวา ก็จะมิเสียค่ายแก่เราหรือ
ฝ่ายอองหำกับเจียวปิน ครั้นเวลาเช้าพาทหารเข้ามาหาเกียงอุย ณ ค่าย คำนับกราบลงแล้วก็อ้อนวอนขอโทษ เกียงอุยจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งเสียการทั้งนี้เราคิดผิดเอง แล้วจัดแจงทหารให้อองหำเจียวปินยกไปตั้งอยู่ค่ายเก่า อองหำให้ทหารเอาดินถมอุมงค์เสีย แล้วก็เลื่อนออกมาตั้งค่ายอยู่ให้ห่างเนินเขา
เกียงอุยจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเตงงายว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ยกทหารออกรบกัน เตงงายก็รับคำ ครั้นเวลาเช้าทหารทั้งสองฝ่ายก็ยกออกตั้ง กระบวรทัพอยู่หน้าเขากิสานพร้อมกัน
เกียงอุยจึงจัดทหารออกเปนแปดกอง ตั้งแปดทิศมีประตูเข้าออกถึงกันทั้งแปดด้าน กองหนึ่งให้ทหารยืนเปนรูปมังกร กองหนึ่งเปนรูปเสือ กองหนึ่งเปนรูปพญานาค กองหนึ่งเปนรูปนก กองหนึ่งให้ทหารม้ายกธงเทียวตั้งกระบวรเปนรูปเมฆ กองหนึ่งเปนรูปเดือนตวัน กองหนึ่งเปนลม กองหนึ่งเปนดิน ตัวเกียงอุยออกยืนม้าถือธงสำคัญอยู่หน้าทหาร เห็นเตงงายยืนม้าอยู่จึงร้องถามว่า เราตั้งกระบวรศึกปักกั๋วตินนี้ ท่านรู้สำคัญหรือไม่ว่าเราจะทำประการใด
เตงงายจึงหัวเราะตอบว่า ท่านสำคัญว่ากระบวรศึกอันนี้รู้แต่ท่านผู้เดียวหรือ เราก็เข้าใจอยู่จะทำให้ท่านดู เตงงายก็โบกธงจัดทหารให้แยกออกตั้งกระบวรเหมือนเกียงอุย แล้วแยกออกกองหนึ่ง แปดกองเปนหกสิบสี่กอง มีประตูหกสิบสี่ เตงงายจึงร้องถามเกียงอุยว่า เราแยกคลายออกฉนี้ท่านเห็นผิดแลชอบประการใด เกียงอุยจึงว่าท่านทำนี้ก็ต้องตำราอยู่แล้ว แม้ท่านชำนาญจริงก็ยกทหารเข้ามาในกระบวรศึกเราให้ได้เถิด เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตก เราจะยกเข้าไปให้ท่านดู เตงงายก็ขี่ม้าถือธงนำหน้าทหารเข้าไปในกองทัพเกียงอุย เดิรลดเลี้ยวตามกระบวรศึกก็มิได้พลาดพลั้ง
เกียงอุยควบม้าเข้าไปในกลางกองทัพ โบกธงให้ทหารแปดกองรวบกันเข้าเปนรูปพญานาค เตงงายถลำเข้าอยู่กลางตัว เกียงอุยให้ทหารซึ่งเปนหางนั้นวงล้อมเข้าไป ทหารอยู่ข้างนอกก็ตีม้าฬ่อฆ้องกลองอื้ออึงขึ้นแล้วร้องว่า ให้เตงงายวางอาวุธเสียออกมาหาเราโดยดี ถ้านิ่งอยู่เราจับตัวได้ก็จะฆ่าเสีย เตงงายกับทหารอยู่ในที่ล้อม เห็นกระบวรศึกเกียงอุยกลับกลายมิรู้ที่จะแก้ไขประการใด แหงนหน้าขึ้นดูอากาศแล้วทอดใจใหญ่ว่า ซึ่งเราเสียทีถลำเข้าอยู่ในเงื้อมมือข้าศึกนี้ ก็เพราะดูหมิ่นทนงแก่สงคราม พอแลไปข้าทิศตะวันตกเห็นสุมาปองคุมทหารฟันฝ่าเข้ามาช่วย เตงงายก็ดีใจ คุมทหารออกจากที่ล้อมได้ พาสุมาปองคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่นํ้าอุยซุย เกียงอุยก็ยกทหารเข้าตั้งอยู่ในค่ายเตงงายทั้งเก้าค่าย
ฝ่ายเตงงายจึงถามสุมาปองว่า เหตุไฉนท่านจึงเข้าใจในกระบวรศึกอันนั้นฟันฝ่าเข้าไปช่วยเราในที่ล้อมได้ สุมาปองบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าเด็กอยู่นั้น ได้ไปเรียนวิชา ณ เมืองเกงจิ๋วแลเมืองลกเอี๋ยง ชีจิ๋วเปงกับเจือกองง่วนซึ่งเปนเพื่อนรักของขงเบ้งบอกกลศึกอันนี้ให้ ข้าพเจ้า กระบวรศึกซึ่งเกียงอุยกลายออกนั้นชื่อเตียงจั๋วติ่น ภาษาไทยว่ากระบวรศึกงูเลื้อย ถ้าผู้ใดไม่รู้ถลำเข้าไปก็เสียที ข้าพเจ้าเข้าใจเห็นว่ากระบวรศึกนั้นตั้งสีสะข้างทิศตะวันตก ข้าพเจ้าจึงตีตรงเข้าไปตัดสีสะเสียก่อน เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงว่า ข้าพเจ้าก็ได้เรียนกระบวรศึกมาเปนอันมาก แต่กระบวรศึกซึ่งกลายออกนั้นหาเข้าใจไม่ บัดนี้เรารู้เท่าเกียงอุยแล้ว เวลาพรุ่งนี้จำเราจะยกไปรบชิงเอาค่ายคืนดังเก่าจึงจะชอบ
สุมาปองจึงว่า ข้าพเจ้าได้เรียนวิชารู้กระบวรศึกจริง แต่ไม่รู้ถึงเกียงอุย ซึ่งจะยกไปรบนั้นเกลือกจะเสียที ขอท่านคิดดูให้ควรก่อน เตงงายจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ให้ท่านยกทหารออกไปตั้งกระบวรศึกกับเกียงอุย เราจะยกทหารไปข้างหลังเขา ถ้าเกียงอุยยกออกจากค่ายแล้วเราจะลอบเข้าชิงเอาค่ายให้จงได้ แล้วเตงงายก็ให้เตงหลุนเปนกองหน้ายกไปตั้งซุ่มอยู่หลังเขากิสาน สุมาปองจึงให้ทหารถือหนังสือไปค่ายเกียงอุยว่า เวลาพรุ่งนี้ให้ทหารออกตั้งกระบวรศึกกันอีก เกียงอุยจึงสลักผนึกตอบมาว่าให้ยกมาเถิด แล้วเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเคยทำศึกมากับขงเบ้งชำนาญในกระบวรศึกเปนอันมาก เวลาวานนี้เราก็แปลงกระบวรศึกถึงสามร้อยหกสิบห้ากระบวร เตงงายก็เห็นฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งให้หนังสือมาว่าจะออกตั้งกระบวรศึกรบกับเรานั้น เหมือนเอาหญ้ามาสู้ดาบอันคม เห็นเปนกลอุบายลวงเราดอก ท่านทั้งปวงจะเห็นบ้างหรือไม่
เลียวฮัวจึงว่าข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อันกลอุบายเตงงายนี้เห็นจะลวงเราให้ออกตั้งกระบวรศึก แล้วจะซุ่มอยู่คอยชิงเอาค่ายเราภายหลังมั่นคง เกียงอุยก็เห็นด้วยจึงว่าท่านว่านี้ต้องน้ำใจเราคิด แล้วก็ให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารหมื่นหนึ่งออกซุ่มอยู่หลังเขา ครั้นเวลาเช้าสุมาปองยกมาตั้งอยู่เขากิสาน เกียงอุยก็ยกทหารออกจากค่ายตั้งประจันหน้ากันอยู่ เกียงอุยขับม้าออกหน้าทหารร้องว่าแก่สุมาปองว่า ให้ตั้งกระบวรศึกให้เราดูก่อนเถิดเราจะชมสักหน่อย สุมาปองก็แยกทหารออกตั้งเปนกระบวรศึกปักกั๋วติน เกียงอุยจึงหัวเราะว่ากระบวรอันนั้นเราตั้งให้ดูอย่างแต่เวลาวานนี้แล้ว เราคิดว่าท่านจะมีวิชาประหลาทจึงอุตส่าห์ออกมา สุมาปองจึงว่า ถึงตัวท่านก็จะรู้เปนกะไรมา กับเราก็เรียนวิชาเหมือนกัน เกียงอุยจึงถามว่า กระบวรอันนี้ท่านกลายไปอย่างไรได้บ้าง สุมาปองจึงหัวเราะว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกไปได้ถึงแปดสิบเอ็จอย่าง สุมาปองก็โบกธงให้ทหารแปรศึกนั้นออกเปนกระบวรต่าง ๆ แล้วร้องว่าท่านเห็นความรู้เราหรือไม่ เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่ากระบวรศึกอันนี้เรากลายออกได้ถึงสามร้อยหกสิบห้าอย่าง แล้วเราก็ชำนาญในฤกษ์เปนอันมาก สุมาปองจึงว่า ท่านอวดตัวนั้นเกินนัก แม้รู้จริงจงสำแดงออกให้เราดู เกียงอุยจึงว่า แม้ท่านจะใคร่เรียนวิชาของเราเปนอย่าง ก็ให้เรียกเตงงายออกมาเถิดเราจะทำให้ดู สุมาปองว่าเตงงายเปนแม่ทัพผู้ใหญ่ ไม่สมควรจะรบกับท่านจึงไม่ยกออกมา เกียงอุยจึงหัวเราะ ว่าซึ่งเตงงายทำกลอุบายให้ท่านมาลวงหวังจะชิงเอาค่ายเดิมนั้น เราก็รู้อยู่แล้ว สุมาปองเห็นว่าเกียงอุยรู้ถึงก็โกรธ ขับให้ทหารเข้ารบเกียงอุย ๆ ก็โบกธงให้ทหารออกรบพุ่งเปนสามารถ ฆ่าฟันทหารสุมาปองล้มตายเปนอันมากสุมาปองเห็นเหลือกำลังก็พาทหารแตกหนีไป
ฝ่ายเตงงายกับเตงหลุนยกทหารออกจากหลังเขาจะไปชิงเอาค่ายเกียงอุย พอเลี้ยวข้างเขาจะใกลัถึงค่าย เห็นทหารกองหนึ่งยกสกัดออกมา เสียวฮัวก็ควบม้าออกรบกับเตงหลุน เลียวฮัวเอาดาบฟันถูกเตงหลุนตกม้าตาย เตงงายเห็นดังนั้นก็ตกใจควบม้าพาทหารหนี เตียวเอ๊กก็ยกทหารไล่ตามไป เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงถูกทหารเตงงายล้มตายเปนอันมาก ตัวเตงงายนั้นถูกเกาทัณฑ์สี่แผลก็พาทหารรีบหนีไปค่าย พอสุมาปองมาถึง เตงงายจึงว่า เราจะทำประการใดเกียงอุยจึงจะถอยทัพไป สุมาปองจึงว่า ในเมืองเสฉวนทุกวันนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่นำพาที่จะว่าราชการ นับถือเชื่อฟังแต่ฮุยโฮขันทีผู้เดียว ขอท่านแต่งหนังสือกับสิ่งของจงมากไปถึงฮุยโฮ ให้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนให้มีหนังสือรับสั่งมาหากองทัพเกียงอุยกลับไป เราจะได้ทีทำการถนัด เตงงายจึงประกาศทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาไปพูดกับฮุยโฮได้บ้าง ตองกิ๋นก็รับว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอง เตงงายก็มีความยินดี จัดแจงเงินทองแลพลอยแหวนกับสิ่งของที่ดีเปนอันมาก ก็มอบให้ตองกิ๋น ตองกิ๋นก็ลาเตงงายไปถึงเมืองเสฉวน ก็เข้าไปหาฮุยโฮเอาสิ่งของนั้นให้แล้วอ้อนวอนว่า จะขอให้หากองทัพเกียงอุยกลับมา ฮุยโฮเปนคนโลภเห็นแก่ทรัพย์ จึงคิดกลอุบายให้คนสนิธไปเที่ยวพูดว่า เกียงอุยจะเอากองทัพไปเข้าด้วยสุมาเจียว กิตติศัพท์ก็ลือไปทั่วเมืองเสฉวน ฮุยโฮจึงกลับเอาเนื้อความซึ่งราษฎรลือกันนั้นขึ้นทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ได้ฟังดังนั้นก็แคลงนัก เพราะเกียงอุยเปนพวกโจยอยอยู่ก่อน จึงมีหนังสือรับสั่งให้รีบไปหากองทัพเกียงอุยกลับมา
ฝ่ายเกียงอุยเห็นเตงงายเสียทีแตกไป ก็ยกกองทัพไปตั้งประชิดอยู่เปนหลายวัน มิได้เห็นเตงงายยกออกมาสู้รบ ก็ให้ทหารเข้าไปร้องด่าหยาบช้า พอทหารถือหนังสือรับสั่งมาถึง เกียงอุยมิได้แจ้งว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะมีกิจธุระประการใด ก็จัดแจงกองทัพจะไปเมืองเสฉวน เลียวฮัวจึงว่า ท่านเปนมหาอุปราช เมื่อจะยกกองทัพมานั้นก็ได้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าจะทำการให้สำเร็จ ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมานี้ ให้ท่านยับยั้งตอบโต้ดูก่อน เตียวเอ๊กจึงว่าแก่เลียวฮัวว่า ซึ่งท่านจะให้ขัดรับสั่งนั้นไม่ชอบ ประการหนึ่งแต่เรายกกองทัพมาทำการตำบลนี้ก็เสียทีหลายครั้ง บัดนี้เราก็ได้ชัยชนะเปนฤกษ์อยู่แล้ว แม้กลับไปเมืองเอาใจบำรุงทหารให้บริบูรณ์ แล้วจึงยกกลับมาทำการก็เห็นจะไม่ขัดสนนัก
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงจัดแจงยกทหารออกจากค่ายให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กคุมทหารป้องกันไปภายหลัง ฝ่ายเตงงายกับสุมาปองรู้ว่าเกียงอุยจะกลับไปเมืองเสฉวนก็ยกทหารไล่ตามไป เห็นกองทัพเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กซึ่งป้องกันไปนั้นมั่นคงนัก เห็นจะติดตามไปไม่ได้ก็ให้ถอยกลับมาค่ายเขากิสาน
ฝ่ายเกียงอุยครั้นถึงเมืองเสฉวนแจ้งเนื้อความทั้งปวงแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนทูลถามว่า พระองค์ให้หาข้าพเจ้ามานี้มีกิจธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า เราเห็นท่านยกไปครั้งนี้ช้านานนัก เกรงว่าไพร่พลจะได้ความเดือดร้อนนัก เราจึงให้หามาหวังจะให้บำรุงทหารเสียก่อน เกียงอุยจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเปนอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้เห็นจะเปนกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็นิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด เกียงอุยจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาดคิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นสดุ้งพระทัยจึงตรัสว่า เราจะได้คิดสงสัยท่านหามิได้ ถ้าท่านได้ทีทำการอยู่แล้วจะยกไปตั้งอยู่เมืองฮันต๋งคอยตีเมืองวุยก๊กก็ตาม เถิด เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ ถวายบังคมลาออกมาจัดแจงกองทัพยกไปเมืองฮันต๋ง
กรุณาแสดงความคิดเห็น