eBook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 80
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 80
เนื้อหา
• สุมาอี้เป็นมหาอุปราชตามเดิม• สุมาอี้ตาย
• จูกัดเก๊กตีทัพสุมาเจียวเสียทีถอยกลับ
• เกียงอุยยกทัพเสฉวนจะไปช่วยจูกัดเก๊ก
• เกียงอุยทำอุบายตีสุมาเจียวแตกล้อมไว้
ฝ่าย พระเจ้าโจฮองจึงตั้งสุมาอี้ให้เปนที่มหาอุปราช มีเครื่องยศเก้าสิ่งตามบันดาศักดิ์ สุมาอี้ก็มิรับ พระเจ้าโจฮองก็มอบที่แก่สุมาอี้อีกสองครั้ง สุมาอี้จึงรับที่เปนมหาอุปราช พระเจ้าโจฮองจึงสั่งให้สุมาอี้กับบุตรว่าราชการบ้านเมือง ฝ่ายสุมาอี้สืบสาวหาพรรคพวกโจซองในเมืองนั้นเห็นสิ้นแล้ว ยังแต่แฮหัวป๋าซึ่งเปนเชื้อสายโจซอง ๆ ตั้งให้เปนเจ้าเมืองฮองจิ๋ว ได้ว่ากล่าวหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นเมืองฮองจิ๋วด้วย สุมาอี้คิดว่า ถ้าแม้แฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตราย มันก็จะคิดแก้แค้น จะพลอยให้ทหารทั้งปวงได้ความยาก คิดแล้วให้ต้านท่ายถือตรารับสั่งให้หาตัวแฮหัวป๋า
ฝ่ายแฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตรายเสียแล้ว คิดถึงตัวนักจะทำการแก้ตัว จึงเกณฑ์ทหารได้สามพัน ก็จัดแจงนายทัพนายกองเตรียมการซึ่งจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง กวยหวยเปนเจ้าเมืองเก่ารู้ดังนั้นก็พาทหารสมัคพรรคพวกของตัวยกมาตีแฮหัวป๋า กวยหวยถือทวนขี่ม้าควบเข้าไปร้องด่าแฮหัวป๋า ว่ามึงเปนเชื้อพระวงศ์ ควรหรือมาคิดขบถต่อแผ่นดิน แฮหัวป๋าก็ร้องด่า ว่ามึงได้พึ่งบุญปู่ย่าตายายของกูมาก็ได้อยู่เย็นเปนสุข อ้ายสุมาอี้มันคิดกำจัดแซ่โจเสียสิ้น มึงยังเห็นชอบด้วยอีกเล่า มึงนี้มิเปนพวกอ้ายขบถแล้วหรือ กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก ขี่ม้ารำทวนเข้าไป แฮหัวป๋ารำง้าวเข้าสู้กันได้ประมาณสิบเพลง กวยหวยเสียทีก็ควบม้าหนี แฮหัวป๋าได้ทีก็ไล่ติดตามไป
ฝ่ายต้านท่ายซึ่งสุมาอี้ใช้ให้คุมทหารถือหนังสือให้ไปหาตัวแฮหัวป๋าพอยก ไปถึง ครั้นรู้ว่าแฮหัวป๋ากับกวยหวยรบกันก็ตีกระหนาบเข้าไปช่วยกวยหวย ฝ่ายแฮหัวป๋าเห็นต้านท่ายตีกระหนาบเข้ามาฆ่าทหารล้มตายเปนอันมาก เหลือกำลังที่จะต้านทานก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปเมืองฮันต๋งสามิภักดิ์เข้า ไปเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน นายด่านจึงให้ม้าใช้เข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยผู้รักษาเมืองฮันต๋ง เกียงอุยสงสัยนักจึงใช้ให้ทหารไปซักไซ้หาความจริง ได้ความจริงแล้วก็พาแฮหัวป๋าเข้ามาหาเกียงอุย กระทำคำนับแล้วแฮหัวป๋าก็ร้องไห้ เล่าความแค้นซึ่งสุมาอี้ฆ่าโจซองเสียนั้นทุกประการ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านมาทางไกลนักสามิภักดิ์มาเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้งนี้ไม่เสียที ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนเชื้อวงศ์กษัตริย์ ว่าแล้วชวนแฮหัวป๋ากินโต๊ะด้วยกัน จึงถามว่าอ้ายสุมาอี้พ่อลูกว่าราชการเมืองอยู่นั้น ท่านยังได้ยินคิดอ่านจะทำเปนเสี้ยนหนามกับเมืองเสฉวนหรือไม่
แฮหัวป๋าจึงว่า อ้ายเฒ่าศัตรูแผ่นดินคนนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมันยังคิดอ่านจะทำขบถแก่พระเจ้าโจฮองอยู่ ยังไม่สำเร็จความคิด ซึ่งจะคิดทำการกับเมืองอื่นเห็นยังไม่ได้ ข้าพเจ้าเห็นคนดีมีสติปัญญาคุมทหารมากมายมีอยู่สองคน ถ้าสุมาอี้ใช้มาทำการเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนจะเปนอันตราย เกียงอุยจึงถามว่าสองคนนั้นชื่อใด
แฮหัวป๋าบอกว่า คนหนึ่งชื่อจงโฮยบุตรจงฮิวชาวเมืองเองจิ๋ว เมื่ออายุได้เจ็ดขวบบิดาพาไปเฝ้าพระเจ้าโจผี ๆ ให้ว่าเพลงถวาย จงโฮยคนนี้เฉลียวฉลาดนัก ก็ว่าเพลงถวายได้ในทันใด พระเจ้าโจผีก็โปรดปราน ครั้นใหญ่มาบิดาก็สั่งสอนให้รู้ตำราพิชัยสงคราม แล้วศึกษาให้ชำนาญในศิลปศาสตร์สำหรับทหาร เมื่อพระเจ้าโจผีดับสูญแล้วก็ได้เปนที่ปีสูหลวงเจ้ากรมอาลักษณ์มาจนครั้งพระ เจ้าโจยอย สุมาอี้กับเจียวเจ้ก็ยำเกรงจงโฮยนัก ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อว่าเตงงายบุตรชาวเมืองหงีเอี๋ยง บิดาตายแต่น้อย นํ้าใจห้าวหาญ พอใจจะเปนแม่ทัพแม่กอง แสวงหาวิชาการพิชัยสงครามชำนิชำนาญนัก สุมาอี้นับถิอจึงตั้งให้เปนที่ขำจานกุนจี๋ได้ว่ากล่าวทหารหั้งปวง สองคนนี้แลเห็นหลักแหลมนัก
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูอ้ายเด็กสองคนนี้ความคิดมันจะต้านทานเราไม่ได้ ว่าแล้วพาแฮหัวป๋าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเมืองเสฉวน ถวายบังคมแล้วทูลว่า สุมาอี้คิดอ่านกำจัดโจซองเสีย แล้วจะมาทำร้ายแก่แฮหัวป๋า ๆ ก็หนีมาสามิภักดิ์เข้ามาเปนข้าพระองค้ ฝ่ายพระเจ้าโจฮองก็อ่อนแก่ความนัก ข้าพเจ้าเห็นว่าสุมาอี้พ่อลูกทำการทั้งนี้จะชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเมืองวุยก๊กเห็นก็ร่วงโรยอยู่แล้ว ข้าพเจ้ารักษาเมืองฮันต๋งมาช้านาน เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ทแกล้วทหารก็มีกำลังมากขึ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊ก จะตั้งให้แฮหัวป๋าเปนทัพหน้าไปทำการเห็นจะได้เปนมั่นคง
หุยวุยเสนาบดีผู้ใหญ่จึงว่า เตียวอ้วนตังอุ๋นมีสติปัญญาฝีมือรบพุ่งก็กล้าเปนทหารเอกของเราก็ตายเสียแล้ว ในเมืองเราหามีคนดีไม่ จะยกไปบัดนี้เห็นจะไม่สำเร็จ อย่าเพ่อเบาแก่ความ ให้ได้ท่วงทีแล้วจึงยกไปทำการ เกียงอุยจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย วันคืนปีเดือนล่วงไปไม่หยุดเลย จะคอยท่าให้ได้ทีก็จะแก่เสียเปล่า เมื่อไรจะได้ทีเล่าจึงจะยกไป หุยวุยตอบว่า โบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้จะทำการสงคราม พึงให้พิเคราะห์ดูกำลังความคิดแลฝีมือทหารแลอาวุธของตัวกับข้าศึก ถ้าเห็นชนะฝ่ายเดียวแล้วจงให้ทำการ ถ้าไม่รู้จักหนักเบาเลยเหมือนท่านจะไปทำการครั้งนี้ ถึงท่านมหาอุปราชซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญายังมีชีวิตอยู่ก็หาอาจไปทำไม่
เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองฮันต๋งนี้ พิเคราะห์ดูพวกชาวเหนือในเมืองเกี๋ยงเห็นว่าจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าจะยกไปทำการครั้งนี้จะมีหนังสือให้ไปเกลี้ยกล่อม เมืองเกี๋ยงก็จะยอมมาเข้าด้วยข้าพเจ้า ๆ จะให้เปนทัพหนุน ถ้ายังมิได้เมืองวุยก๊กจะทำหัวเมืองขึ้นทั้งปวงให้อยู่ในเงื้อมมือให้ได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ถ้าท่านจะอาสาเราไปตีเมืองวุยก๊กครั้งนี้จงตรึกตรองให้ละเอียด ให้ทหารทำการให้เต็มมือให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกจงได้อย่าให้เสียทีไป
เกียงอุยก็ทูลลาพาแฮหัวป๋ากลับไปเมืองฮันต๋ง ถึงเมืองแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเมืองเกี๋ยง แล้วจึงปรึกษากันว่า เราจะให้กุอั๋นลิหิมสองคนนี้คุมทหารหมื่นห้าพันยกไปตีกวยหวยเมืองเองจิ๋ว ไปตั้งค่ายอยู่เขาก๊กสันเปนสองค่ายทำการไปพลาง เราจึงค่อยยกทัพตามไป ปรึกษาแล้วให้จัดแจงม้าแลเครื่องศัสตราวุธเข้าสเบียง จึงให้กุอั๋นลิหิมยกไป ๆ ถึงเขาก๊กสันก็แยกทหารออกเปนสองกอง ๆ ละเจ็ดพันห้าร้อย ตั้งค่ายกระหนาบเขาก๊กสันไว้ กุอั๋นอยู่ข้างตวันออก ลิหิมอยู่ข้างตวันตก
ฝ่ายทหารกองตะเวน ให้ม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่กวยหวยว่า เกียงอุยเมืองฮันต๋งให้ยกกองทัพมาตั้งกระหนาบเขาก๊กสันไว้สองค่าย กวยหวยรู้ดังนั้นให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ฝ่ายต้านท่ายซึ่งถือหนังสือไปหาตัวแฮหัวป๋ายังไม่กลับไป กวยหวยก็ให้ต้านท่านคุมทหารห้าหมื่นยกออกไป กุอั๋นลิหิมเห็นต้านท่ายยกมาก็ยกออกจากค่าย เห็นทหารต้านท่ายมากนักจะต้านทานมิได้ก็พาทหารกลับเข้าค่าย ฝ่ายต้านท่ายก็ให้ทหารตั้งค่ายล้อมไว้ทั้งสองค่าย แล้วเกณฑ์กองทัพให้ไปสกัดต้นทางตัดลำเลียง ฝ่ายกุอั๋นลิหิมอยู่ในค่ายเข้าปลาอาหารขัดสน
กวยหวยยกกองทัพออกไป เห็นต้านท่ายล้อมข้าศึกไว้ได้ดังนั้นดีใจนัก ก็เข้าไปในค่ายจึงว่าแก่ต้านท่ายว่า ข้าศึกนี้ขัดสนน้ำอยู่แล้ว ได้อาศรัยแต่น้ำธารซึ่งไหลออกจากเขา ถ้าเราคิดอ่านปิดธารนํ้าเสียแล้วอย่าให้น้ำไหลลงไปได้ ข้าศึกอดนํ้าแล้วก็ถอยกำลัง เราจึงเข้าหักเอาค่ายเห็นจะได้โดยสดวก ต้านท่ายเห็นชอบด้วยก็เกณฑ์ให้ทหารไปสมทบปิดธารนํ้าเสีย
ลิหิมเห็นทหารอดน้ำนักจึงคุมทหารออกจากค่ายจะไปตักน้ำ ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ ลิหิมเห็นเหลือกำลังก็พาทหารกลับเข้าไปในค่าย ฝ่ายกุอั๋นเห็นทหารหยากน้ำนักแล้วก็ยกทหารมา พาลิหิมออกไปเปนสองกองจะไปตักนํ้า ทหารต้านท่ายตีสกัดไว้ไปไม่ได้ก็พากันกลับเข้าค่าย ลิหิมจึงปรึกษาว่านิ่งอยู่ดังนี้ก็ไม่ได้จำจะยกหนีไป กุอั๋นไม่ยอมจึงว่า ซึ่งจะยกทัพกลับไปนั้นเห็นไม่ชอบ เราจำจะคอยท่าทัพเกียงอุยซึ่งจะยกตามมา ลิหิมจึงว่าเมื่อไรจะมาเล่า เขาปิดทางน้ำเสียแล้ว ถ้าจะอยู่ฉนี้จะพากันอดน้ำตายเสียสิ้น ท่านมิไปแล้วเราจะไป ว่าแล้วก็ชวนทหารไปประมาณสี่สิบคน ครั้นเวลากลางคืนก็ตีออกไป ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ฆ่าฟันทหารลิหิมตายสิ้น
ฝ่ายตัวลิหิมถูกอาวุธเจ็บชํ้าเปนหลายแห่งหนีออกไปได้ ขี่ม้าไปตามเชิงเขาเสสันเวลากลางคืนมืดนัก หารู้ที่จะหานํ้ากินไม่ ได้กินแต่นํ้าค้าง อดอาหารไปถึงสองวันจึงพบกองทัพเกียงอุย ลงจากม้าแล้วเข้าไปหาเกียงอุยจึงแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง เกียงอุยจึงว่ามิใช่ว่าข้าจะนอนใจ เตรียมกองทัพแล้วจะรีบยกมา ช้าอยู่ทั้งนี้เพราะคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงไม่เห็นมาเลย ว่าแล้วให้ทหารส่งตัวลิหิมไปรักษาตัว ณ เมืองเสฉวน เกียงอุยจึงว่าแก่แฮหัวป๋าว่า เราคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงช้านานแล้วก็ไม่เห็นมาเลย บัดนี้กองทัพซึ่งให้ไปตั้งอยู่ที่เขาก๊กสันนั้นเห็นจะเสียแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะมีชัยแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกไปล้อมลิหิมกุอั๋นอยู่แล้ว ถ้าเรายกไปเข้าทางเขางิวเทาสันหลังเมืองเองจิ๋วตีเข้าไป กวยหวยต้านท่ายก็จะยกกองทัพกลับมาสู้กับเรา กองทัพกุอั๋นก็จะมิได้เปนอันตราย เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงชมว่า ท่านคิดอุบายดังนี้เห็นจะมีชัยชนะเปนแท้ ก็เร่งรีบยกกองทัพไปตามคิดกันนั้น
ฝ่ายต้านท่ายจึงปรึกษาแก่กวยหวยว่า ลิหิมหนีไปได้แล้ว จะไปบอกแก่เกียงอุย ๆ รู้ข่าวว่าเรายกกองทัพมาล้อมอยู่ที่นี่เห็นจะยกทัพตีเข้ามา ทางเขางิวเทาสันมั่นคง ขอให้ท่านยกทัพไปสกัดอยู่ตำบลเตียวซุยเปนต้นทางอย่าให้ส่งลำเลียงได้ ข้าพเจ้าจะยกทัพไปตีเกียงอุยซึ่งตีถลำเข้ามาถึงเขางัวเทาสันนั้น ถ้าเกียงอุยรู้ว่าเราสกัดตัดทางลำเลียง ก็จะตกใจแตกหนีไปเปนมั่นคง กวยหวยเห็นชอบด้วยก็ยกไปตามคิดกันขึ้น
กองสอดแนมให้ม้าใช้มาบอกแก่เกียงอุยว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกมา เกียงอุยขึ้นม้าถือทวนเร่งรีบพาทหารเข้าไป ต้านท่ายแลเห็นเกียงอุยจึงร้องว่า กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะยกหลีกเข้ามาทางนี้กูจึงยกออกมารับ ว่าแล้วก็ขี่ม้ารำง้าวเข้าไป เกียงอุยรำทวนเข้ารบกับต้านท่ายได้สามเพลง ต้านท่ายก็หนีพากองทัพขึ้นไปบนเขางิวเทาสัน เกียงอุยก็ไม่ตามขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา ก็ให้ทหารไปร้องท้าทายต้านท่ายเร่งยกมารบกัน ต้านท่ายก็ยกทหารลงมารบกับเกียงอุยเปนหลายเวลามิได้แพ้ชนะกัน
แฮหัวป๋าจึงว่าแก่เกียงอุยว่า เรารบกันมาก็หลายเวลาอยู่แล้ว ไม่แพ้ไม่ชนะกัน จะอยู่นานนักก็ไม่ได้เกรงข้าศึกจะคิดกลอุบายทำร้ายแก่เรา ขอให้ท่านล่าทัพไปก่อนเถิด จะได้คิดกลอุบายอื่นให้มีชัยชนะจงได้
ม้าใช้กองสอดแนมมาบอกว่า กวยหวยยกกองทัพไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง แล้วเห็นจะส่งลำเลียงขัดสน เกียงอุยตกใจนักก็ให้แฮหัวป๋าล่าทัพไปก่อน เกียงอุยจึงยกออกภายหลัง ต้านท่ายรู้ว่าเกียงอุยล่าทัพหนีแล้ว ก็จัดแม่ทัพแม่กองออกเปนห้ากองให้ไล่ตีกระหนาบไปข้างละสองกอง ตัวก็ติดตามไปข้างหลัง
ฝ่ายเกียงอุยอยู่รั้งท้ายก็รบต้านทานไว้ ต้านท่ายก็หักโหมเข้าไปมิได้ ก็รีบยกทหารหนีไป ฝ่ายกวยหวยก็ยกทหารเข้าตีสกัดไว้ เกียงอุยก็กระโจมตีพาทหารหักออกไปได้ ทหารเกียงอุยล้มตายเปนอันมาก ซึ่งยังเหลืออยู่นั้นน้อยกว่าที่ตายอีก เกียงอุยพาทหารไปปะกองทัพสุมาสูบุตรสุมาอี้
เมื่อแรกเกียงอุยยกไปตีเมืองเองจิ๋ว กวยหวยจึงให้มีหนังสือขอกองทัพ สุมาอี้จึงให้สุมาสูบุตรยกมาเปนคนห้าหมื่น สุมาสูรู้ว่าเกียงอุยรบอยู่กับกวยหวยแล้วก็ยกไปสกัดอยู่ต้นทาง สุมาสูคนนี้หน้ากลมริมฝีปากหนาใบหูใหญ่หางตาข้างขวามีปมใหญ่เท่าผลส้มมะแป้น มีโลมาอยู่สี่สิบห้าสิบเส้น ครั้นแลเห็นกองทัพเกียงอุยยกมา ก็ขึ้นม้ารำง้าวออกไป
เกียงอุยแลเห็นโกรธนักร้องว่าอ้ายเด็กน้อยเท่านี้ ควรหรือองอาจมาสู้กู ว่าแล้วก็ควบม้าเข้ารบกับสุมาสู ๆ สู้ได้สามเพลงเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีไป เกียงอุยก็พาทหารไปถึงด่านแฮบังก๋วนเปนด่านเมืองเสฉวน ทหารก็เปิดประตูรับเกียงอุยเข้าไปแล้วก็ปิดประตูเสีย สุมาสูกลับตามไปก็ให้ทหารทำลายประตู เมื่อขงเบ้งจะใกล้ตายนั้นได้สอนทหารให้ยิงหน้าไม้คนหนึ่งยิงทีเดียวได้สิบ ลูก ทหารซึ่งอยู่บนหอรบก็ยิงหน้าไม้ลงไปเหมือนห่าฝน ถูกทหารสุมาสูตายเปนอันมาก ครั้นสุมาสูเสียทหารมากมายแล้วก็ยกทัพกลับไปเมือง
ฝ่ายกุอั๋นซึ่งรักษาค่ายอยู่ริมเขาก๊กสันนั้นครั้นลิหิมหนีไปแล้ว คอยหากองทัพหนุนก็ไม่เห็น ทหารขัดสนด้วยนํ้านัก ครั้นจะหักออกก็มิได้ จึงเปิดประตูค่ายพาทหารมายอมเข้าด้วยกวยหวย ฝ่ายเกียงอุยยกทัพไปทำการครั้งนั้นเสียทหารมากมายนัก ครั้นกลับไปเมืองฮันต๋งก็ให้ซ่อมแปลงกำแพงแลประตูหอรบซึ่งชำรุดนั้นให้มั่น คง ฝ่ายสุมาสูกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว เข้าไปแจ้งข้อราชการแก่บิดา
ครั้งนั้นพระเจ้าโจฮองเสวยราชย์ได้สิบสามปี (พ.ศ. ๗๙๔) พอถึงเดือนสิบสุมาอี้ก็ป่วยหนัก เห็นจะไม่รอดแล้วจึงให้หาสุมาสูสุมาเจียวบุตรทั้งสองเข้าไปถึงเตียงที่นอน จึงว่าบิดาได้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่าเปนขบถต่อแผ่นดิน เราอาศรัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเปนอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเปนข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดินกว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ พอสิ้นคำเท่านั้นก็ตาย สุมาสูสุมาเจียวเอาเนื้อความไปกราบทูลว่าบิดาข้าพเจ้าตายแล้ว พระเจ้าโจฮองก็สั่งให้เจ้าพนักงานทำการศพสุมาอี้ตามขนบธรรมเนียมมหาอุปราช ให้เชิญศพไปฝังไว้ณกุฏิ์ จารึกอักษรไว้ตามประเพณี แล้วตั้งสุมาสูเปนที่เสนาบดีผู้ใหญ่ สุมาเจียวเปนเตียวกี๋เซียงจงกุ๋น ได้ว่ากล่าวทหารทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ตั้งให้ซุนเต๋งบุตรนางซีฮูหยิน เปนไทจู๋ ครั้นซุนเต๋งตายแล้วตั้งซุนโฮบุตรนางฮองฮูหยินเปนที่ไทจู๋ อยู่นานมาซุนโฮวิวาทกับนางกิมก๋งจู๋ผู้เปนพี่สาว นางกิมก๋งจู๋จึงเข้าไปทูลยุยงบิดาให้โกรธถอดซุนโฮเสียจากที ซุนโฮได้ความแค้นเคืองเจ็บอายก็ตรอมใจเปนไข้ตาย พระเจ้าซุนกวนเลี้ยงบุตรนางพัวฮูหยินให้เปนที่ไทจู๋ ครั้งนั้นลกซุนแลจูกัดกิ๋นซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญาก็ตายแล้ว มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อจูกัดเก๊กว่าราชการใหญ่น้อยทั้งปวง
เมื่อเดือนสี่ขึ้นคํ่าหนึ่งปีแล้วไปนั้น บังเกิดเหตุพายุใหญ่คลื่นในแม่นํ้าแลทะเลก็กำเริบนัก เกิดน้ำใหญ่ท่วมไปในเมืองกังตั๋ง นํ้าลึกถึงแปดศอก พายุก็ถอนเอาต้นสนใหญ่ซึ่งปลูกอยู่หน้ากุฏิ์ซึ่งฝังศพซุนเซ็ก ลอยขึ้นไปในอากาศ ต้นสนธิ์ก็ตกลงริมประตูเมืองกังตั๋ง ปลายลงปักดินอยู่ พระเจ้าซุนกวนเห็นประหลาทดังนั้นหาแจ้งว่าจะดีหรือร้ายไม่ ก็เปนทุกข์พระทัย จึงประชวรมาช้านานประมาณขวบหนึ่ง โรคนั้นกำเริบขึ้นเห็นจะไม่รอดอยู่แล้ว จึงให้หาจูกัดเก๊กกับลิต้ายเปนขุนนางผู้ใหญ่สองคนเข้ามาถึงที่บันทม แล้วฝากฝังบ้านเมืองบุตรแลภรรยาประชาราษฎร แล้วก็สิ้นใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนหก (พ.ศ. ๗๙๕) อายุพอได้เจ็ดสิบเอ็ดปี เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปี
จูกัดเจ๊กกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็ให้ซุนเหลียงเสวยราชย์แทนพระ บิดา พระเจ้าซุนเหลียงก็ให้แต่งการเชิญศพไปฝังที่ตำบลเตียวเหลงตามประเพณี แล้วให้จารึกอักษรว่าที่ฝังศพพระเจ้าไต้ฮ่องเต้
มีคนเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาสูเมืองลกเอี๋ยงว่า พระเจ้าซุนกวนตายแล้ว สุมาสูแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า เราจะยกทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งจะเห็นประการใด เหาตวนที่ปรึกษาจึงว่ายังหาเห็นทีที่จะได้ไม่ ด้วยเมืองกังตั๋งนี้มีแม่น้ำกั้นอยู่เปนที่คับขัน ข้าศึกที่จะไปทำการยากนัก กษัตริย์แต่ก่อนหลายพระองค์มาแล้วยกกองทัพไปตีก็หาได้ไม่ ซึ่งจะยกทัพไปทำการครั้งนี้ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ บ้านเมืองของใคร ๆ ก็รักษาอยู่เห็นจะเปนสุขกว่า ถ้าได้ทีแล้วยกไปตีจึงจะมีชัยชนะ สุมาสูจึงว่า ซึ่งจะยับยั้งสงบอยู่ให้ได้ทีนั้น อายุเราจะยืนสักกี่ร้อยปีจึงจะได้ทีเล่า สุมาเจียวน้องสุมาสูจึงว่า ซุนกวนซิตายแล้ว ซุนเหลียงได้สมบัติแทนบิดา อายุก็น้อยทั้งความคิดก็อ่อน ถ้าเรายกไปทำการเห็นจะได้ฝ่ายเดียว สุมาสูเห็นชอบด้วยจึงใช้ให้อองซองเปนนายทหารใหญ่คุมทหารสิบหมื่น ให้บู๊ขิวเขียมคุมทหารสิบหมื่น ให้สุมาเจียวผู้น้องเปนแม่ทัพหลวงยกไปตีเมืองกังตั๋ง เมื่อยกทัพครั้งนั้นเดือนสิบสอง ครั้นยกกองทัพไปถึงแดนเมืองกังตั๋งแล้ว สุมาเจียวจึงให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า หัวเมืองกังตั๋งทั้งปวงเห็นมั่นคงนักแต่เมืองตังหิน ด้วยหน้าเมืองนั้นมีป้อมใหญ่กระหนาบอยู่ทั้งซ้ายขวา ซึ่งจะหักเข้าไปนั้นยากนัก เราจำจะจัดแจงให้ดี ว่าแล้วสั่งให้อองซองบูขิวเขียมสองนายให้คุมทหารคนละสามหมื่นเปนปีกซ้ายขวา จึงสั่งว่าอย่าเพ่อตีก่อน ต่อกองทัพหลวงทัพหน้าปีกซ้ายปีกขวาพร้อมกันแล้วจึงจะให้ช่วยกันระดมตีที เดียว แล้วให้อ้าวจุ๋นเปนทัพหน้าคุมทหารห้าหมื่น จึงสั่งว่าท่านยกไปถึงตีนท่าแล้วให้ทำสะพานแพข้ามแม่นํ้า ไปได้แล้วจัดทหารออกเปนสองกองเร่งเข้าตีป้อมซ้ายขวา ถ้าตีได้แล้วจะมีความชอบนัก อ้าวจุ๋นก็ยกไป
ฝ่ายจูกัดเก๊กเมืองกังตั๋งแจ้งว่าสุมาเจียวเมืองวุยก๊กยกทัพมา จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ปรึกษาทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันจึงว่า สุมาเจียวยกทัพมาครั้งนี้จะได้ผู้ใดออกไปต้านทาน เตงฮองทหารผู้ใหญ่จึงว่าเมืองตังหินนี้เปนกำลังเมืองกังตั๋ง ด้วยเข้าปลาอาหารทั้งปวงก็บริบูรณ์ แล้วก็มีป้อมค่ายมั่นคงเปนที่คับขัน ถ้าเมืองตังหินเสียแล้วเห็นว่าเมืองบู๊เฉียงก็จะเปนอันตราย ควรเราจะรักษาเมืองตังหินไว้ให้มั่นคง
จูกัดเก๊กจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก ท่านจงเปนแม่ทัพเรือคุมทหารสามพันยกไป ลีกีต๋องจูเล่าเบาทหารสามคนนี้คุมทหารคนละหมื่น เปนแม่ทัพบกยกไปเปนสามกอง ตัวข้าพเจ้าจะยกทัพหลวงหนุนไป เมื่อจะยกเข้าตีนั้นมีประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดก็ให้แม่ทัพแม่กองเร่งยกเข้าตีให้พร้อมกันทั้งบกทั้ง เรือ เตงฮองก็ยกทัพเรือสามสิบลำคุมทหารสามพันยกไปเมืองตังหิน ลีกีต๋องจูเล่าเบาคุมทหารคนละหมื่นเปนทัพบกยกไปเมืองตังหิน จูกัดเจ๊กก็ยกทัพหลวงหนุนไป
ฝ่ายอ้าวจุ๋นทัพหน้าสุมาเจียวทำสะพานข้ามกองทัพไปถึงฝั่งแล้ว ก็ใช้ให้หวนแก ฮั่นจ๋งคุมทหารเข้าตีป้อมซ้ายขวา นายทหารรักษาป้อมขวาชื่อเล่าเลียก ป้อมซ้ายชื่อจวนเต๊ก ป้อมสองอันนี้สูงใหญ่มั่นคงนัก หวนแกกับฮั่นจ๋งจะหักเข้าไปก็มิได้ก็ถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ เล่าเลียกจวนเต๊กเห็นทหารเข้ามามากนัก จะเปิดประตูป้อมออกไล่ตีมิได้ ก็ตั้งมั่นอยู่ในป้อม ครั้งนั้นเปนเทศกาลหนาว อ้าวจุ๋นก็ชวนนายทัพนายกองทั้งปวงมาเสพย์สุราอยู่ในค่าย กองคอยเหตุจึงให้ม้าใช้ไปบอกว่า กองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกมาเปนเรือสามสิบลำ อ้าวจุ๋นก็ออกไปนอกค่ายแลไปเห็นกองทัพแต่ไกล ประมาณดูก็เห็นว่าเรือลำหนึ่ง จะบันทุกทหารได้แต่ร้อยหนึ่ง จึงกลับเข้ามาในค่ายแล้วบอกแก่นายทัพนายกองว่า เรือสามสิบลำจะบันทุกทหารได้ประมาณสามพัน เราหาพอที่จะกลัวไม่ ว่าแล้วสั่งให้ทหารรักษาค่าย ฝ่ายตัวกลับมานั่งเสพย์สุรากับนายทัพนายกองอีก ก็เมาสุราทั้งบ่าวแลนาย
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพเรือก็ให้เทียบเรือเข้าตลิ่ง แลไปเห็นคนในค่ายเลินเล่อหารักษาค่ายไม่ เห็นได้ทีแล้วจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเปนชาติทหารตั้งใจแต่จะหาความชอบใส่ตัว เราเร่งทำความชอบให้ได้วันนี้ ว่าแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้ถอดหมวกแลเสื้อออกทุกคน ห้ามอย่าให้ถืออาวุธยาว ให้ถือแต่กระบี่แลดาบ ฝ่ายทหารในค่ายแลเห็นดังนั้นก็หัวเราะเล่นมิได้ระวังตัว เตงฮองก็จุดประทัดสัญญาสามนัด แล้วถือดาบสองมือโดดขึ้นจากเรือวิ่งตรงเข้าไปในค่าย ทหารทั้งปวงก็วิ่งตามพากันแหกเข้าค่ายได้ ฮั่นจ๋งก็ถือทวนวิ่งออกมาแทงเตงฮอง ๆ หลบได้ก็ฟันด้วยดาบถูกท้องฮั่นจ๋งล้ม เตงฮองก็เข้าตัดเอาสีสะ ฝ่ายหวนแกแลเห็นฮั่นจ๋งตายก็โกรธนัก ถือง้าววิ่งเข้าไปแทงเตงฮองพลาดไปหว่างรักแร้ เตงฮองหนีบเอาง้าวไว้ หวนแกก็วิ่งหนี เตงฮองก็ขว้างด้วยดาบถูกแขนซ้ายหวนแกก็ล้มลง เตงฮองก็สะอึกเข้าไปแทงด้วยทวนหวนแกก็ตาย ทหารเตงฮองสามพันก็ไล่ฆ่าฟันทหารอ้าวจุ๋น ๆ ขี่ม้าพาทหารแหกค่ายหนีไป ครั้นถึงสะพานแพทหารทั้งปวงกลัวตายก็วิ่งชิงเบียดเสียดกันข้ามไป คนลงมากเหลือกำลังสะพานแตกแพก็ขาดล่ม ทหารก็ตายในนํ้าเปนอันมาก อ้าวจุ๋นเสียทหารตายในค่ายแลในนํ้าประมาณสองส่วนยังเหลืออยู่สักส่วนหนึ่ง เสียม้าแลศัสตราวุธเครื่องอุปโภคบริโภคเปนอันมาก ก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปหาสุมาเจียว ๆ ได้แจ้งเนื้อความแล้วตรองดูการเห็นจะทำการสืบไปนั้นขัดสนนักก็ล่าทัพกลับไป เมือง
ฝ่ายจูกัดเก๊กแม่ทัพแม่กองทั้งปวงยกมาถึงเมืองตังหินแล้ว เห็นเตงฮองทำการมีชัยชนะก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองแลทหารเปนอัน มาก แล้วจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า สุมาเจียวยกทัพมาทำแก่เราครั้งนี้เสียทีแล้วล่าทัพหนีไปเมือง เราได้ทีแล้วจะยกตามไปตั้งค่ายประชิดอยู่ข้างทิศใต้ แล้วให้มีหนังสือไปถึงเกียงอุยให้ยกกองทัพมาตีกระหนาบข้างฝ่ายเหนือ เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงโดยสะดวก ได้แล้วจะแบ่งแผ่นดินแดนเมืองคนละครึ่ง ว่าแล้วก็เร่งเกณฑ์ทหารให้ได้ยี่สิบหมื่นก็ยกไปตีเมืองวุยก๊ก ไปถึงกลางทางบังเกิดควันพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินให้มืดนัก นั่งอยู่ใกล้กันก็ไม่เห็นตัว เจียวเอี๋ยนที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่า การประหลาทเกิดดังนี้ดีร้ายจะเสียแม่ทัพ ขอให้ท่านล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋งเถิด อย่าไปตีเมืองจุยก๊กเลย
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธหนักจึงว่า เราจะทำการใหญ่ให้มีชัย ท่านมาว่าให้ร้ายแก่เราดังนี้จะให้นายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ ว่าแล้วก็สั่งให้เอาตัวเจียวเอี๋ยนไปฆ่าเสีย นายทัพนายกองชวนกันขอโทษจูกัดเก๊กก็ให้ แต่ถอดเสียจากขุนนางให้เปนไพร่ แล้วก็เร่งยกทัพไป เตงฮองจึงว่าแก่จูกัดเก๊ก ว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นด่านซินเสียนี้มั่นคงนัก เปนที่สำคัญเมืองวุยก๊ก ถ้าเราตีได้แล้วสุมาสูก็จะตกใจ เราจึงจะตีต่อเข้าไปก็เห็นจะได้โดยสดวก จูกัดเก๊กเห็นชอบด้วย ก็ให้เร่งยกทัพไปทางด่านซินเสีย
ทหารตะเวนด่านจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เตียวเต๊กนายใหญ่ผู้อยู่รักษาด่าน ว่า กองทัพฝ่ายเมืองกังตั๋งยกมามากนัก เตียวเต๊กเห็นเหลือกำลังจะออกตีมิได้ก็ให้ปิดประตูด่านตั้งมั่นรักษาอยู่ จูกัดเก๊กให้ตั้งค่ายล้อมไว้ แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือไปถึงเกียงอุยเหมือนคิดมานั้น เตียวเต๊กก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง
งีสงที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่าแก่สุมาสูว่า ครั้งนี้จูกัดเก๊กมาล้อมด่านซินเสีย ด่านนั้นก็มั่นคงผู้คนอยู่รักษาก็เข้มแขงเห็นจะไม่เปนอันตราย เรานิ่งเสียก่อนเถิดอย่าเพ่อแต่งกองทัพออกไปช่วยเลย จูกัดเก๊กยกทัพมาเปนทางไกลนักจะได้สเบียงอาหารมาสักกี่มากน้อย หน่อยหนึ่งก็จะสิ้นสเบียงอาหารก็จะล่าทัพกลับไปเอง เมื่อล่าทัพหนีไปเราจึงจะยกทัพไล่ติดตามตีเห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว ข้อหนึ่งข้าพเจ้าเกรงข้างฝ่ายเหนือเกียงอุยจะยกลงมาเปนทัพกระหนาบ ขอให้แต่งกองทัพไปป้องกัน สุมาสูเห็นชอบด้วย ก็ให้สุมาเจียวคุมทหารไปช่วยกวยหวยรักษาเมืองเองจิ๋ว จึงใช้บู๊ขิวเขียมกับอ้าวจุ๋นคุมทหารยกไปทางด่านซินเสีย จึงสั่งว่าท่านคอยดูรู้ว่าทัพจูกัดเก๊กยกหนีแล้ว จะเร่งรีบทหารไล่ตามตีจงสามารถ
ฝ่ายจูกัดเก๊กก็สั่งทหารว่า เร่งหักเข้าไปจงได้ เร่งให้ทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าผู้ใดหลบหลีกแชเชือนมิเปนใจด้วยราชการจะตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงเร่งรีบทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ฝ่ายกำแพงด้านเหนือนั้นเห็นจะทำลายเข้าไปได้อยู่แล้ว เตียวเต๊กเห็นดังนั้นจึงคิดกลอุบายแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงจูกัดเก๊กว่า ธรรมเนียมเมืองวุยก๊ก ถ้าข้าศึกมาตีแลผู้รักษาเมืองป้องกันไว้ได้ถึงร้อยวันแล้ว ไม่มีกองทัพเมืองหลวงมาช่วยเลย ผู้รักษาเมืองนั้นเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน ก็พาทหารออกไปยอมเข้าด้วยข้าศึก พี่น้องซึ่งยังอยู่ในเมืองนั้นก็หาเปนโทษไม่ ข้าพเจ้าอุตส่าห์รักษาด่านมาได้ประมาณเก้าสิบวันแล้วก็ไม่เห็นกองทัพมาช่วย เลย ขอให้ท่านงดให้ข้าพเจ้าสักสิบห้าวัน แต่พอข้าพเจ้าจัดแจงการซึ่งจะได้พาทหารออกไปเข้าด้วยท่าน จูกัดเก๊กก็เชื่อ จึงมิให้ทหารทำลายกำแพง
ฝ่ายเตียวเต๊กครั้นลวงจูกัดเก๊กดังนั้นแล้ว ก็เร่งให้แต่งกำแพงด้านเหนือซึ่งยับเยินไปนั้นมั่นคงแล้ว ก็ให้ทหารถืออาวุธไปเตรียมพร้อมอยู่บนเชิงเทิน แล้วเตียวเต๊กจึงร้องว่า สเบียงอาหารของกูยังบริบูรณ์อยู่จะเลี้ยงทหารอีกสักปีหนึ่งกูก็หากลัวไม่ กูจะยอมไปเข้าด้วยเองเหล่าชาติสุนัขเมืองกังตั๋งนั้นมิชอบ จูกัดเก๊กได้ฟังก็โกรธนัก จึงสั่งทหารให้เร่งเข้าทำลายกำแพง ทหารเตียวเต๊กก็ยิงเกาทัณฑ์ลงมาถูกจูกัดเก๊กที่หน้าผาก จูกัดเก๊กตกม้าลง ทหารก็อุ้มเข้าไปในค่าย จูกัดเก๊กม้ความแค้นนัก ก็สังให้ทหารเร่งเข้าทำลายกำแพง
นายหมวดนายกองจึงว่า บัดนี้ทหารทั้งปวงมาอยู่ช้านานนัก กินน้ำกินอาหารผิดสำแดงป่วยเจ็บลงเปนอันมาก ซึ่งท่านจะเข้าไปรบเห็นไม่ได้ท่วงทั จูกัดเก๊กโกรธจึงว่า ถ้าผู้ใดมิเปนใจด้วยราชการบอกป่วยให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็กลัวความตายก็หนีไปเปนอันมาก ชิวหลิมนายทหารผู้ใหญ่ก็พาทหารพรรคพวกของตัวหนีไปเมืองวุยก๊ก มีทหารเข้าไปบอกจูกัดเก๊กว่าทหารหนี่เบาบางไปแล้ว ชัวหลิมทหารผู้ใหญ่ก็ยกทหารหนีไปด้วย จูกัดเก๊กได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขี่ม้าไปเที่ยวตรวจตราดูทหารเห็นเบาบางไป ซึ่งยังอยู่นั้นก็เปนไข้พุงโรหน้าบวมผอมเหลืองไปเปนอันมาก ก็สังให้ล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกองสอดแนมรู้ดังนั้นก็ให้ม้าใช้ไปแจ้งแก่บู๊ขิวเขียม ๆ ก็เร่งยกกองทัพไล่บุกบันฆ่าทหารจูกัดเก๊กล้มตายเปนมาก ฝ่ายจูกัดเก๊กเสียทัพครั้งนั้นมีความละอายนัก ด้วยหักไปตามอำเภอใจแต่ผู้เดียวก็เสียการ จึงพาทหารซึ่งเหลือตายหนีไปเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนเหลียงแจ้งว่าจูกัดเก๊กถูกเกาทัณฑ์มาป่วยอยู่ ณ บ้าน ก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปเยี่ยม
ฝ่ายจูกัดเก๊กมีความละอายนัก จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าไปทำการทุกครั้งทุกทีมีแต่ชัยชนะ ครั้งนี้เคราะห์ร้ายทั้งตัวก็แทบตาย แล้วก็เสียทหารเปนอันมากได้ความอัปยศนัก เพราะนายทัพนายกองทั้งปวงมิได้เปนใจจึงเสียทีแก่ข้าศึก ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่าเราเสียทัพ เราจะจับตัวผู้นั้นไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็เจ็บใจ ครั้นจะตอบจูกัดเก๊กก็มิได้ด้วยเกรงว่าเปนใหญ่ พระเจ้าซุนเหลียงก็พาขุนนางกลับไป จูกัดเก๊กก็ถอดซุนจุ๋นซึ่งได้คุมทหารรักษาองค์ออกเสียจากที่ จึงตั้งเตียวเอียดกับจูอิ๋นให้เปนนายทหารรักษาองค์ ซุนจุ๋นคนนี้เปนเชื้อพระวงศ์เปนลูกซุนหยงเปนหลานซุนเจ้ง ๆ นี้เปนน้องซุนเกี๋ยนบิดา ซุนกวน ครั้นจูกัดเก๊กถอดเสียจากที่มีความแค้นนัก แต่ว่าไม่รู้ที่จะทำประการใดก็นิ่งอยู่
เตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งมีใจเจ็บแค้นจูกัดเก๊กมาแต่ก่อน ครั้นแจ้งเนื้อความดังนั้นก็ไปหาซุนจุ๋น จึงว่าจูกัดเก๊กคนนี้ได้เปนใหญ่แล้วข่มขี่ขุนนางทั้งปวงนัก ทำการทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นเปนขบถต่อแผ่นดิน ท่านเปนเชื้อพระวงศ์เหตุใดจึงนิ่งเสียไม่คิดอ่านที่จะกำจัดศัตรูราชสมบัติ เลย ซุนจุ๋นจึงว่า การอันนี้ข้าพเจ้าคิดมานานอยู่แล้ว แต่ว่าจนใจด้วยหารู้ที่จะปรึกษาผู้ใดไม่ ถ้าได้ท่านเปนเพื่อนคิดแล้วเห็นจะสำเร็จการ ข้าพเจ้าคิดว่าจะพาท่านเข้าไปทูลแก่พระเจ้าซุนเหลียงให้แจ้ง ซึ่งการที่ข้าพเจ้าทำทั้งปวง แล้วจะคิดอ่านจับจูกัดเก๊กท่านจะเห็นประการใด เตงอิ๋นเห็นชอบด้วยก็พากันไปเฝ้า จึงกระซิบทูลความทั้งปวง
พระเจ้าซุนเหลียงจึงว่า การอันนี้ข้าพิเคราะห์เห็นนานอยู่แล้ว แต่ทว่าจนใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ บัดนี้ท่านทั้งสองจงรักภักดีต่อเรา เห็นแก่การแผ่นดินก็เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้จงได้ เตงอิ๋นจึงทูลว่า ขอพระองค์ให้ทหารซึ่งมีฝีมือถืออาวุธไปซุ่มอยู่ในฉากแล้วจึงสั่งว่า ถ้าได้ยินเสียงทิ้งจอกสุราลงแล้วให้ทหารออกมาฆ่าจูกัดเก๊กเสีย ครั้นเตรียมการพร้อมแล้วจึงไปเชิญจูกัดเก๊กมากินโต๊ะ
ฝ่ายจูกัดเก๊กป่วยอยู่ ณ เรือนให้เดือดร้อนรำคาญใจนัก จึงออกมาว่าราชการ แลไปเห็นผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกผ้าขาวเดิรเข้าไปแลปะหน้าโกรธนัก สั่งทหารให้จับเอาตัวไปตีถามเอาเนื้อความ คนนั้นจึงให้การว่าบิดาข้าพเจ้าตาย จะไปนิมนต์หลวงจีนมาทำบุญ ไม่รู้จักว่าจวนท่าน คิดว่าวัด ข้าพเจ้าผิดนักแล้วแต่จะโปรด จูกัดเก๊กโกรธนัก จึงให้หาทหารรักษาประตูเข้ามาถามว่า เหตุใดจึงให้อ้ายคนนี้เข้ามาในบ้าน ทหารซึ่งรักษาประตูประมาณสี่สิบคนให้การว่า ข้าพเจ้าถืออาวุธครบมือรักษาประตูพร้อมหน้ากันอยู่หาเห็นผู้ใดเข้ามาไม่ จูกัดเก๊กก็สั่งให้เอาทหารซึ่งรักษาประตูแลผู้เข้าไปนั้นไปฆ่าเสีย ครั้นเวลากลางคืนรำคาญใจนักนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่า ครั้นออกมาแลดูเห็นอกไก่จวนนั้นขาดออกไปเปนสองท่อนตกใจนัก กลับเข้าไปนอนมิหลับ ปีศาจหลอกหลอนทำเปนลมพัดมาถูกตัว เหลียวไปก็เห็นคนซึ่งฆ่าเสียนั้นไม่มีสีสะ มือหิ้วสีสะเดิรตามกันเข้ามาร้องว่า ท่านจงเอาชีวิตมาให้เรา
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นกลัวนักก็ดิ้นจนพลัดลงจากเตียง นิ่งไปเปนครู่ ผู้พยาบาลเข้าแก้ฟื้นขึ้น ครั้นเวลาเช้าจูกัดเก๊กออกมาล้างหน้า เหม็นคาวนํ้าในกระถางเปนกลิ่นโลหิตก็โกรธนัก จึงให้คนใช้ไปตักน้ำมาใหม่เปนหลายครั้ง ก็เหม็นคาวเปนกลิ่นโลหิตไปสิ้นทั้งนั้นก็สงสัยใจนัก พอผู้รับสั่งเข้ามาบอกว่า พระเจ้าซุนเหลียงให้เชิญท่านไปกินโต๊ะ จูกัดเก๊กก็ขึ้นเกวียนมีทหารแห่หน้าหลังจะเข้าไปเฝ้า สุนัขเหลืองซึ่งเลี้ยงไว้ ณ เรือนนั้นก็กัดเอาเสื้อจูกัดเก๊กคร่าไป แล้วร้องประดุจหนึ่งเสียงร้องไห้ จูกัดเก๊กหลากใจตวาดสุนัขเสียแล้วก็ไปหน่อยหนึ่ง จึงแลเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน เปนเหตุประหลาทเหมือนครั้งเมื่อไปทัพ ก็ประหลาทใจอีกครั้งหนึ่ง เตียวเอียดทหารคนสนิธเห็นดังนั้นก็ให้สติว่า ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปกินโต๊ะเลี้ยงครั้งนี้ หารู้จักเหตุหนักแลเบาไม่เลย ขอให้ท่านตรึกตรองจงดีก่อนอย่าเพ่อเบาความ จูกัดเก๊กได้ยินก็ให้กลับเกวียนไปบ้าน เตงอิ๋นกับซุนจุ๋นรู้ว่าจูกัดเก๊กกลับไป ก็ขับม้าทันเกวียนเข้าจึงว่า พระเจ้าซุนเหลียงระลึกถึงท่านมหาอุปราชนักจึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะ ท่านจะกลับไปไหนเล่า จูกัดเก๊กจึงว่า ข้ามาถึงนี่แล้วให้ปวดท้องเปนกำลัง เห็นจะเฝ้าไม่ได้ข้าจึงกลับไปบ้าน
เตงอิ๋นจึงว่า แต่ท่านมหาอุปราชไปทัพกลับมาแล้วยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าเลย พระเจ้าซุนเหลียงเอาพระทัยไต่ถามอยู่เนือง ๆ แจ้งว่าท่านคลายแล้ว จึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะหวังจะได้ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เข้ามาถึงนี่แล้ว อุตส่าห์แขงใจเข้าไปเฝ้าสักหน่อยหนึ่งเถิด ให้พระเจ้าซุนเหลียงดีพระทัย จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็หายสงสัย จึงเข้าไปเฝ้า เตียวเอียดทหารก็ตามเข้ามาด้วย
พระเจ้าซุนเหลียงกระทำคำนับจูกัดเก๊กแล้วเชิญให้นั่งเก้าอี้ จึงเชิญให้เสพย์สุรา จูกัดเก๊กระวังตัวอยู่จึงทูลว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่เสพย์สุราไม่ได้ ซุนจุ๋นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชกินยาดองสุราอยู่อัตรา อย่าให้ขัดพระอัชฌาสัยเลย ใช้ให้บ่าวไปเอายาดองมากินแต่พอใช้ชอบพระอัชฌาสัย จูกัดเก๊กก็ให้คนไปเอายาดองมากิน พระเจ้าซุนเหลียงเห็นจูกัดเก๊กกินสุรายาดองเมามึนตัวแล้ว จึงกลับเอาเนื้อความซึ่งพระบิดาฝากฝังบ้านเมืองแลพระองค์นั้นมาพูดให้จูกัด เก๊กไว้ใจ ซุนจุ๋นก็เข้าไปในฉากถอดเสื้อออกเสีย แล้วแต่งตัวให้มั่นคงเปนทีจะเข้ารบศึกแล้วถือกระบี่ออกมาจึงร้องว่า มีรับสั่งให้เราฆ่าอ้ายจูกัดเก๊กขื่งเปนศัตรูแผ่นดินให้สิ้นชีวิต จูกัดเก๊กตกใจมือจับกระบี่ขยับตัวจะลุกขึ้นสู้ ซุนจุ๋นก็ฟันจูกัดเก๊กสีสะขาดตกลง เตียวเอียดก็รำง้าวเข้ามาแทงถูกมือซุนจุ๋น ๆ ฟันถูกไหล่เตียวเอียด ทหารซึ่งถืออาวุธตระเตรียมอยู่ในฉาก จึงกรูออกมาเข้ากลุ้มรุมกันแทงฟันเตียวเอียดตาย ซุนจุ๋นสั่งทหารให้ไปจับบุตรภรรยาจูกัดเก๊กกับเตียวเอียด แลให้ริบพัสดุทองเงินเข้าไปเปนของหลวง ครั้นสั่งแล้วจึงให้ทหารเอาเสื่อพันศพจูกัดเก๊กเตียวเอียดไปทิ้งเสียนอก กำแพงเมืองข้างทิศใต้
ฝ่ายภรรยาจูกัดเก๊กให้เปนทุกข์หนักอกหนักใจนัก แลไปเห็นหญิงคนใช้ซึ่งปีศาจจูกัดเก๊กมาเข้ามีกลิ่นตัวเหม็นโลหิตเดิรเข้าไป ในเรือน จึงถามว่าตัวมึงถูกอะไรจึงเหม็นคาวโลหิต หญิงนั้นก็เหลือกตาแล้วโลดขึ้นไปนั่งบนขื่อ จึงร้องว่า กูนี้คือจูกัดเก๊ก พอทหารไปถึงเข้าก็ล้อมเรือนไว้ไล่จับมัดตัวภรรยาจูกัดเก๊กแลคนในเรือนได้ แล้วริบพัสดุเงินทอง เอาคนทั้งปวงไปฆ่าเสียกลางตลาด สิ่งของทั้งปวงเอาเข้าไปเปนหลวงสิ้น ครั้งนั้นเดือนสิบสอง พอพระเจ้าซุนเหลียงเสวยราชย์ได้สองปี (พ.ศ. ๗๙๖) เมื่อซุนจุ๋นฆ่าจูกัดเก๊กเสียดังนั้น พระเจ้าซุนเหลียงก็ตั้งให้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการแผ่นดินทั้งปวง
ฝ่ายเกียงอุยทหารเมืองเสฉวน ครั้นแจ้งหนังสือจูกัดเก๊กก็ดีใจนัก จึงเอาเนื้อความมาทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลลาจะยกกองทัพไปตีเม็องวุยก๊ก พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ยอม เกียงอุยกะเกณฑ์ทหารยี่สิบหมื่น ให้เลียวฮัวเปนปีกซ้าย เตียวเอ๊กเปนปีกขวาให้ยกไปหน้า ให้แฮหัวป๋าเปนที่ปรึกษาในกองหลวง เตียวหงีเปนทัพหลังคุมลำเลียง จึงให้ยกกองทัพไปทางด่านแฮเบงก๋วน ยกทัพครั้งนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบหกปี (พ.ศ. ๗๘๓) เกียงอุยจึงปรึกษาด้วยแฮหัวป๋าว่า เรายกกองทัพไปครั้งก่อนเสียทีแก่ข้าศึก ครั้งนี้ทหารก็มากเครื่องศัสตราวุธก็พร้อม เราจำจะคิดอ่านทำการให้สามารถ ท่านจะคิดทำประการใดจึงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า หัวเมืองขึ้นวุยก๊กข้างฝ่ายเหนือเห็นแต่หัวเมืองอันหนำนี้มีเข้าปลาอาหาร บริบูรณ์ ถ้าเราตีได้จะได้เปนกำลังเลี้ยงทหาร เมื่อเรายกไปครั้งก่อนเสียทีแก่เขา ด้วยกองทัพมิพร้อมทัพเมืองเกี๋ยงก็มามิทัน ครั้งนี้ขอท่านให้มีหนังสือไปให้ยกกองทัพมาทางเซ็กเอ๋ง ให้มาบัญจบทัพเรา ณ เมืองตองเต๋งพร้อมกัน แล้วเราจะยกไปตีเมืองอันหนำ
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้จัดแจงคุมเอาเพ็ชร์แลเงินทองแพรกระบวรอย่างดีเปนเครื่องราชบรรณาการไป ถึงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาช่วย ปีต๋องเจ้าเมืองบ้านนอกได้บรรณาการดีใจนัก จึงเกณฑ์กองทัพห้าหมื่น ให้โงโหเสียวกั้วสองคนเปนแม่ทัพหน้า ตัวปีต๋องเปนแม่ทัพหลวงยกไปเมืองตองเต๋ง
ฝ่ายกวยหวยเจ้าเมืองเองจิ๋วแจ้งว่าเกียงอุยยกทัพมา ก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเกี๋ยง สุมาสูจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพเกียงอุยยกมาครั้งนี้ ผู้ใดจะอาสาออกไปต้านทาน ชิจิดขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไป สุมาสูแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าชิจิดเปนคนดีมีสติปัญญากำลังก็มาก แล้วห้าวหาญในการสงคราม ครั้นได้ยินชิจิดรับอาสาดังนั้นดีใจนัก จึงให้ชิจิดเปนทัพหน้า สุมาเจียวเปนแม่ทัพหลวง คุมทหารยกไปถึงตองเต๋ง ชิจิดถือขวานขี่ม้าคุมทหารออกไป เกียงอุยใช้ให้เลียวฮัวคุมทหารออกรบ เลียวฮัวถือทวนขี่ม้าคุมทหารออกไปสู้กับชิจิดได้สามเพลง ทวนพลัดตกจากมือเสียทีก็ชักม้าหนีไป เกียงอุยใช้ให้เตียวเอ๊กออกช่วย เตียวเอ๊กถือทวนขี่ม้าออกรบกับชิจิดได้ประมาณห้าเพลงเหลือกำลังก็หนี ชิจิดได้ทีพาทหารไล่รุกบุกบันฆ่าทหารเกียงอุยตายเปนอันมาก เกียงอุยเห็นทหารระส่ำระสายนักจะต้านทานมิได้ ก็ล่าทัพถอยไปประมาณสามร้อยเส้นก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ ฝ่ายสุมาเจียวห้ามทหารไม่ให้ติดตาม ก็สั่งให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ที่นั่น
เกียงอุยจึงปรึกษากับแฮหัวป๋าว่า ชิจิดคนนี้มีกำลังมากนัก เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะฆ่าเสียได้ แฮหัวป๋าจึงว่า ต่อเวลาพรุ่งนี้เราให้ซุ่มทหารไว้สองฟากทางแล้ว ให้ทหารออกไปรบด้วยชิจิดให้ทำเปนแพ้หนีมา ชิจิดไล่มาเราจึงให้ทหารซึ่งซุ่มไว้ตีวกหลังเข้าเห็นจะจับชิจิดได้เปนมั่นคง
เกียงอุยจึงว่า สุมาเจียวคนนี้เปนบุตรสุมาอี้ เห็นเขาจะชำนาญนักในกลศึก ซึ่งจะล่อลวงดังนั้นเกรงจะไม่สมความคิด ด้วยที่ทางชอบกลนัก เห็นเขาจะไม่ติดตาม พิเคราะห์ดูเห็นทัพเมืองวุยก๊กมาทำการแก่เราแต่ก่อนมักให้กองทัพไปสกัดต้น ทางลำเลียง ซึ่งเราจะฆ่าชิจิดในที่รบซึ่งหน้าดังนี้เห็นไม่ได้ ด้วยกำลังก็มากทหารก็มาก เราตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ออกรบ สุมาเจียวก็จะใช้ชิจิดไปตีลำเลียง เราคิดอ่านลวงชิจิดให้เสียทีแก่เราเมื่อไปตีลำเลียงที่ทางแคบ เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว แฮหัวป๋าเห็นชอบด้วย
เกียงอุยจึงให้หาเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กมาสอนให้ทำกลอุบาย ซึ่งตัวเคยทำด้วยขงเบ้งแต่ก่อนนั้นให้ไปลวงชิจิดแล้วก็ใช้ไป เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กก็ไปทำเหมือนความคิดเกียงอุยสั่งมานั้น ฝ่ายเกียงอุยอยู่รักษาค่ายให้ทหารทำขวากกระจับเหล็กรายรอบค่าย แล้วให้ตัดไม้ทำขวากปักรายรอบชั้นนอกเปนอันมาก ฝ่ายชิจิดคุมทหารมาหน้าค่ายเกียงอุยร้องท้าทายทุกวันให้เกียงอุยออกรบ เกียงอุยก็มิได้ออกรบ ครั้นจะเข้าหักชิงเอาค่ายเห็นไม่ได้
กองสอดแนมจึงให้ม้าใช้มาบอกสุมาเจียวว่า ทหารเกียงอุยคุมลำเลียงมาถึงหลังเขาเทียดลองสัน สุมาเจียวจึงปรึกษาด้วยชิจิดว่า เกียงอุยมิได้ออกสู้รบเรา ตั้งมั่นอยู่ในค่ายชรอยจะคอยทัพหนุน เราจำจะให้ไปตัดลำเลียงเสีย เกียงอุยขัดสนลำเลียงลงแล้วเห็นจะหนีเราเปนมั่นคง ท่านจงคุมทหารไปตัดลำเลียงเสียให้จงได้ ชิจิดคุมทหารห้าพันยกไปเวลาพลบคํ่าไปถึงเขาเทียดลองสัน กองสอดแนมก็มาบอกว่า ทหารเกียงอุยประมาณสองร้อยเศษ คุมลำเลียงบันทุกโคยนตร์ประมาณร้อยเศษมาแล้ว ชิจิดก็ให้ทหารซุ่มอยู่สองฟากทาง ตัวเองไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง กองสอดแนมก็ให้ม้าใช้ไปบอกเกียงอุยว่า ชิจิดยกทัพจะไปตีลำเลียงแล้ว เกียงอุยก็ยกทัพมา ครั้นกองลำเลียงไปถึงเข้า ชิจิดก็ให้ทหารโห่ตีกระหนาบเข้าไป ทหารซึ่งคุมลำเลียงมานั้นก็หนีตามทางซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำกลสั่งให้ไป นั้น ชิจิดก็ให้ทหารสองพันห้าร้อยคุมลำเลียงกลับมา ตัวก็พาทหารสองพันห้าร้อยไล่ตามไป ครั้นไปได้ประมาณร้อยเส้นถึงทางแคบ พอพบเกวียนกลเปนอันมาก ซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำขวางทางไว้ ก็ให้ทหารลงจากม้าช่วยกันเข็นเกวียนแอบเข้าเสียข้างทาง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมช่วยกัน ทหารซึ่งตามมานั้นก็คับคั่งกันอยู่เปนอันมาก แต่พอเกวียนเคลื่อนไหวจากที่ ก็เกิดเพลิงขึ้นในเกวียนเปนพลุพลุ่งออกมา ถูกทหารล้มตายเจ็บปวดเปนอันมาก ชิจิดก็คิดว่าเขาทำกลขวางหน้าไว้แล้ว ครั้นจะกลับไปทางมาเกรงเขาจะซุ่มทหารสกัดไว้ ก็พาทหารหนีไปทางน้อยริมเชิงเขาข้างหนึ่ง พอไปใกล้ถึงปากทางก็พบเกวียนกลแอบอยู่ริมสองฟากทางเปนอันมาก ตกใจนักก็เร่งรีบทหารไปให้พ้น เกวียนก็เกิดเพลิงพลุพลุ่งออกมาจากเกวียนทั้งสองฟากทาง ถูกทหารเจ็บปวดล้มตายมากนัก ชิจิดก็พาทหารซึ่งเหลือตายหนีพ้นไป แล้วได้ยินเสียงประทัดสำคัญ แลไปเห็นเลียวฮัวออกมาข้างซ้าย เตียวเอ๊กออกมาข้างขวา คุมทหารโห่ออกมาตีกระหนาบเข้า ทหารชิจิดก็ล้มตายสิ้น ชิจิดก็ควบม้าหนีไป พบเกียงอุยคุมทหารสกัดทางอยู่ ชิจิดตกใจนัก จะกลับอาวุธเข้าสู้ก็มิทัน เกียงอุยแทงถูกชิจิดตกม้าลง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงชิจิดตาย
ฝ่ายทหารชิจิดครึ่งหนึ่งซึ่งคุมสำเลียงมานั้นไปพบแฮหัวป๋าเข้า แฮหัวป๋าก็ให้ทหารล้อมไว้ ทหารชิจิดเห็นสู้มิได้ก็ยอมเข้าด้วยแฮหัวป๋า ๆ กับทหารของตัวก็ถอดเอาเสื้อกางเกงทหารชิจิดมาใส่ แล้วให้ทหารถือธงชิจิดนำหน้าพาทหารแลสเบียงตรงเข้าไปค่ายสุมาเจียว ๆ เห็นทหารชิจิดตีลำเลียงได้มาก็เปิดประตูค่ายให้เข้าไป แฮหัวป๋าพาทหารเข้าไปในค่ายแล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาเจียว ๆ พาทหารหนีออกไปได้ เลียวฮัวกับเตียวเอ็กเร่งรีบมาพบสุมาเจียวก็พาทหารเข้าระดมตี สุมาเจียวต้านทานมิได้ก็หนีไปทางหนึ่งพบทัพเกียงอุยเข้า เกียงอุยก็พาทหารเข้าโจมตี สุมาเจียวมิรู้ที่จะไปก็พาทหารหนีขึ้นไปบนเขาเทียดลองสัน เขานั้นมีทางจำเพาะขึ้นทางเดียว มีห้วงน้ำน้อยอยู่อันหนึ่งพอจะกินได้สักร้อยคน ทหารซึ่งขึ้นไปด้วยสุมาเจียวนั้นประมาณหกพันกินน้ำนั้นก็แห้งสิ้น เกียงอุยจะตามขึ้นไปมิได้ก็ให้ทหารล้อมเชิงเขาไว้ สุมาเจียวเห็นม้าแลทหารอดน้ำนัก ก็เงยหน้าขึ้นดูอากาศแล้วกระทืบเท้าร้องว่า เทพดาไม่เอ็นดูเลย จะให้อดน้ำตายเสียสิ้นแล้วหรือ
อองโถสมุห์บาญชีจึงว่า แต่ครั้งก่อนเกรงกะหยงคนหนึ่ง ยกกองทัพไปรบข้าศึกไม่มีนํ้าจะกิน พบห้วงน้ำอันหนึ่งเข้าหาน้ำมิได้ ก็กราบลงเสี่ยงทายเทพดาก็ได้น้ำกินบริบูรณ์ ท่านขัดสนด้วยน้ำครั้งนี้ขอให้เสี่ยงทายดูเถิด สุมาเจียวเห็นชอบด้วยก็ขึ้นไปถึงห้วงน้ำ กราบลงสามทีแล้วเสี่ยงทายว่า ข้าพเจ้าสุมาเจียวอาสาพระเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามข้าศึก ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตแล้วขออย่าให้น้ำมีมาเลย ข้าพเจ้าจะได้เชือดคอตายเสีย ทหารทั้งปวงจะยอมเข้าไปหาข้าศึก ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่จะได้ทำราชการรักษาแผ่นดินสืบไป ขอใหเทพดาเจ้าบันดาลให้มีนํ้ามาเต็มห้วงนี้เถิด แต่พอสิ้นคำลงก็มีน้ำไหลออกมาเต็มห้วง ทหารแลม้าได้กินบริบูรณ์ไม่รู้สิ้นเลย
ฝ่ายเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า มหาอุปราชล้อมสุมาอี้ไว้ได้ทีหนึ่งก็หาจับตัวได้ไม่ เรายังมีความแค้นอยู่ ครั้งนี้ข้าเห็นสุมาเจียวไม่พ้นมือแล้วจะจับได้เปนมั่นคง
ฝ่ายกวยหวยอยู่ ณ เมืองเองจิ๋ว ได้แจ้งว่าเกียงอุยล้อมสุมาเจียวไว้ที่เขาเทียดลองสันแล้ว จึงปรึกษากับต้านท่ายว่าจะยกกองทัพไปช่วย ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งจะยกไปช่วยนั้นข้าพเจ้าเกรงอยู่ เพราะเกียงอุยยกมาครั้งนี้กองทัพเมืองเกี๋ยงก็มาด้วย ยกมาถึงแดนเมืองอังหนำแล้ว ครั้นรู้ว่าท่านยกมาช่วยสุมาเจียว ก็จะยกเข้าตีเอาเมืองเองจิ๋ว เราจะมิเสียทีหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำลายทัพเมืองเกี๋ยงเสียก่อน จะให้ขุดหลุมกว้างยาวสกัดหน้าเมืองไว้ แล้วข้าพเจ้าจะไปลวงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกมาตีเมืองเรา ๆ กำจัดปีต่องเสียได้แล้วจึงจะไปช่วยสุมาเจียวจะมิต้องระวังหลังเลย
กวยหวยเห็นชอบด้วย ก็ให้ด้านท่ายคุมทหารห้าพันไปลวงปีต๋อง ต้านท่ายยกไปใกล้ปีต๋องแล้ว ให้ทหารมัดศัสตราวุธแบกเข้าไปให้ปีต๋อง ต้านท่ายไปถึงปีต๋องแล้วกราบลงร้องไห้จึงว่า ข้าพเจ้าทำราชการด้วยกวยหวยมีความชอบหนักหนา กวยหวยมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย ตั้งตัวเปนใหญ่แล้วคิดกำจัดข้าพเจ้าเสียอีกเล่า ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงสมัคเข้ามาเปนข้าท่าน ด้วยแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าท่านมีสติปัญญารู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาเข้าด้วยท่าน แลซึ่งจะตีเอาเมืองเองจิ๋วเปนพนักงานข้าพเจ้าผู้เดียวมิให้ท่านลำบากเลย ขอให้ยกกองทัพไปในเวลาคํ่าวันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอไปแก้ความแค้น ปีต๋องก็เชื่อ จึงสั่งให้โงโหกับเสียวกั้วยกกองทัพไปกับต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็ให้ทหารต้านท่ายอยู่รั้งหลัง เอาแต่ตัวต้านท่ายไปก่อน เวลาสองยามก็ถึงเมืองเองจิ๋ว แลไปเห็นประตูเปิดอยู่ ต้านท่ายก็ควบม้าไปบอกกวยหวยซึ่งตระเตรียมกองทัพไว้นั้นพากันออกมาตีวกหลัง ทหารต้านท่ายซึ่งตามมานั้นก็ไล่ฟันตามหลังเข้าไป ทหารโงโหเสียวกั้วก็ตกลงในหลุมทั้งม้าทั้งคน เหยียบกันเจ็บปวดล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งเหลือตายก็ยอมเข้าด้วยต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็เอาดาบเชือดฅอตายทั้งสองคน ครั้นรุ่งเช้ากวยหวยกับต้านท่ายก็ยกเข้าไปตีปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยง ซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองอันหนำนั้น ปีต๋องเห็นทัพต้านท่ายกับกวยหวยมีความแค้นนัก ขี่ม้าคุมทหารออกมานอกค่าย ฝ่ายทหารกวยหวยต้านท่ายเห็นทหารปีต๋องน้อยนักก็เข้ากลุ้มรุมจับตัวปีต๋องได้ มัดเอามาให้กวยหวย ๆ เห็นทำเปนตกใจลงจากม้าขมีขมันไปแก้ปีต๋องออกเสียแล้วจึงว่า พระเจ้าโจฮองทรงพระเมตตาท่านนักว่าเปนคนสัตย์ซื่อ ตั้งพระทัยคอยจะชุบเลี้ยงท่าน เหตุใดท่านจึงเข้าด้วยเกียงอุยซึ่งเปนคนหยาบช้า ปีต๋องก็นบนอบขอชีวิตแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอเปนข้าพระเจ้าโจฮอง กวยหวยจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงเปนทัพหน้ายกไปตีเกียงอุยซึ่งล้อมสุมาเจียวไว้นั้น ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะทูลยกความชอบให้ ปีต๋องก็รับอาสา เวลาค่ำก็คุมทหารยกไปเปนทัพหน้า ครั้นเวลาสามยามใกล้ค่ายเกียงอุยเข้า จึงใช้ทหารไปบอกเกียงอุยว่าทัพปีต๋องมาถึงแล้ว เกียงอุยดีใจนักก็สั่งว่าให้เชิญปีต๋องเข้ามาเถิด ปีต๋องก็พาทหารซองตัวแลทหารกวยหวยเข้าไปด้วยเปนอันมาก เกียงอุยเห็นประหลาทใจจึงว่า ให้ทหารตั้งค่ายอยู่แต่นอกเถิด เชิญแต่ท่านกับทหารซึ่งตามหลังนั้นเข้ามา ปีต๋องก็พาทหารกวยหวยแลทหารของตัวซึ่งมีฝีมือประมาณร้อยหนึ่งเข้าไปในค่าย เกียงอุยกับแฮหัวป๋าออกมารับเข้าไปในค่าย ปีต๋องยังมิทันสั่งให้ทำการ ทหารได้ทีแล้วก็ไล่บุกบันฆ่าทหารเกียงอุยวุ่นวายขึ้น ทหารข้างนอกก็แหกค่ายเข้าไปช่วยกัน
เกียงอุยตกใจนักมิทันฉวยอาวุธเผ่นขึ้นม้าหนีไป ทหารทั้งปวงก็วิ่งออกจากค่ายกระจัดกระจายหนีไป เกียงอุยไม่มีอาวุธถือคว้าหาเกาทัณฑ์ที่สะเอวได้แต่คันลูกนั้นตกเสียแล้ว กวยหวยเห็นเกียงอุยก็ควบม้าไล่เกียงอุยก็ยิงแต่สายเกาทัณฑ์เปล่า กวยหวยได้ยินแต่เสียงเกาทัณฑ์หาเห็นลูกไม่ กวยหวยจึงเอาหอกซัดทำเปนลูกเกาทัณฑ์ยิงไป เกียงอุยฉวยได้ก็รออยู่ ให้กวยหวยเข้าไปใกล้คะเนได้ทีก็ยิงถูกกวยหวยตกม้าลง เกียงอุยก็กลับมาชิงได้ทวนสำหรับมือกวยหวยจะแทง พอทหารกวยหวยตามมาทันเกียงอุยก็หนีไป ทหารก็พากวยหวยเข้าไปค่าย แต่พอชักหอกออกได้โลหิตก็ไหลออกมากวยหวยก็ตาย สุมาเจียวก็พาทหารลงมาจากเขาช่วยกันไล่ติดตามข้าศึก
ฝ่ายแฮหัวป๋าหนีไปพบเกียงอุยเข้าก็พากันกลับไปเมึองฮันต๋ง จึงปรึกษากันว่าเราไปทัพครั้งนี้เสียทหารมากมาย แต่ว่าได้เปรียบด้วยล้างนายทหารใหญ่มีฝีมือได้สองคน ทหารเลวนั้นก็ล้มตายลงเปนอันมาก ความผิดเราก็มีความชอบเราก็มี ถึงจะเข้าไปเฝ้าเห็นมิพอเปนไร ว่าแล้วก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายสุมาเจียวก็ให้รางวัลแก่ปีต๋องแลทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วจึงสั่งว่าท่านจงกลับไปเมืองเถิด ข้าพเจ้าไปเฝ้าจะทูลความชอบให้ ปีต๋องก็ลาพาทหารกลับไปเมืองเกี๋ยง สุมาเจียวก็ยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาสูแลสุมาเจียวได้ว่าราชการเมืองวุยก๊ก บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็อยู่ในบังคับบัญชาสิ้นทั้งนั้น จะผิดแลชอบประการใดก็หาผู้ทัดทานได้ไม่
ฝ่าย พระเจ้าโจฮองจึงตั้งสุมาอี้ให้เปนที่มหาอุปราช มีเครื่องยศเก้าสิ่งตามบันดาศักดิ์ สุมาอี้ก็มิรับ พระเจ้าโจฮองก็มอบที่แก่สุมาอี้อีกสองครั้ง สุมาอี้จึงรับที่เปนมหาอุปราช พระเจ้าโจฮองจึงสั่งให้สุมาอี้กับบุตรว่าราชการบ้านเมือง ฝ่ายสุมาอี้สืบสาวหาพรรคพวกโจซองในเมืองนั้นเห็นสิ้นแล้ว ยังแต่แฮหัวป๋าซึ่งเปนเชื้อสายโจซอง ๆ ตั้งให้เปนเจ้าเมืองฮองจิ๋ว ได้ว่ากล่าวหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นเมืองฮองจิ๋วด้วย สุมาอี้คิดว่า ถ้าแม้แฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตราย มันก็จะคิดแก้แค้น จะพลอยให้ทหารทั้งปวงได้ความยาก คิดแล้วให้ต้านท่ายถือตรารับสั่งให้หาตัวแฮหัวป๋า
ฝ่ายแฮหัวป๋ารู้ว่าโจซองเปนอันตรายเสียแล้ว คิดถึงตัวนักจะทำการแก้ตัว จึงเกณฑ์ทหารได้สามพัน ก็จัดแจงนายทัพนายกองเตรียมการซึ่งจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง กวยหวยเปนเจ้าเมืองเก่ารู้ดังนั้นก็พาทหารสมัคพรรคพวกของตัวยกมาตีแฮหัวป๋า กวยหวยถือทวนขี่ม้าควบเข้าไปร้องด่าแฮหัวป๋า ว่ามึงเปนเชื้อพระวงศ์ ควรหรือมาคิดขบถต่อแผ่นดิน แฮหัวป๋าก็ร้องด่า ว่ามึงได้พึ่งบุญปู่ย่าตายายของกูมาก็ได้อยู่เย็นเปนสุข อ้ายสุมาอี้มันคิดกำจัดแซ่โจเสียสิ้น มึงยังเห็นชอบด้วยอีกเล่า มึงนี้มิเปนพวกอ้ายขบถแล้วหรือ กวยหวยได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก ขี่ม้ารำทวนเข้าไป แฮหัวป๋ารำง้าวเข้าสู้กันได้ประมาณสิบเพลง กวยหวยเสียทีก็ควบม้าหนี แฮหัวป๋าได้ทีก็ไล่ติดตามไป
ฝ่ายต้านท่ายซึ่งสุมาอี้ใช้ให้คุมทหารถือหนังสือให้ไปหาตัวแฮหัวป๋าพอยก ไปถึง ครั้นรู้ว่าแฮหัวป๋ากับกวยหวยรบกันก็ตีกระหนาบเข้าไปช่วยกวยหวย ฝ่ายแฮหัวป๋าเห็นต้านท่ายตีกระหนาบเข้ามาฆ่าทหารล้มตายเปนอันมาก เหลือกำลังที่จะต้านทานก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปเมืองฮันต๋งสามิภักดิ์เข้า ไปเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน นายด่านจึงให้ม้าใช้เข้าไปแจ้งแก่เกียงอุยผู้รักษาเมืองฮันต๋ง เกียงอุยสงสัยนักจึงใช้ให้ทหารไปซักไซ้หาความจริง ได้ความจริงแล้วก็พาแฮหัวป๋าเข้ามาหาเกียงอุย กระทำคำนับแล้วแฮหัวป๋าก็ร้องไห้ เล่าความแค้นซึ่งสุมาอี้ฆ่าโจซองเสียนั้นทุกประการ เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านมาทางไกลนักสามิภักดิ์มาเปนข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้งนี้ไม่เสียที ด้วยพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนเชื้อวงศ์กษัตริย์ ว่าแล้วชวนแฮหัวป๋ากินโต๊ะด้วยกัน จึงถามว่าอ้ายสุมาอี้พ่อลูกว่าราชการเมืองอยู่นั้น ท่านยังได้ยินคิดอ่านจะทำเปนเสี้ยนหนามกับเมืองเสฉวนหรือไม่
แฮหัวป๋าจึงว่า อ้ายเฒ่าศัตรูแผ่นดินคนนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมันยังคิดอ่านจะทำขบถแก่พระเจ้าโจฮองอยู่ ยังไม่สำเร็จความคิด ซึ่งจะคิดทำการกับเมืองอื่นเห็นยังไม่ได้ ข้าพเจ้าเห็นคนดีมีสติปัญญาคุมทหารมากมายมีอยู่สองคน ถ้าสุมาอี้ใช้มาทำการเมืองกังตั๋งเมืองเสฉวนจะเปนอันตราย เกียงอุยจึงถามว่าสองคนนั้นชื่อใด
แฮหัวป๋าบอกว่า คนหนึ่งชื่อจงโฮยบุตรจงฮิวชาวเมืองเองจิ๋ว เมื่ออายุได้เจ็ดขวบบิดาพาไปเฝ้าพระเจ้าโจผี ๆ ให้ว่าเพลงถวาย จงโฮยคนนี้เฉลียวฉลาดนัก ก็ว่าเพลงถวายได้ในทันใด พระเจ้าโจผีก็โปรดปราน ครั้นใหญ่มาบิดาก็สั่งสอนให้รู้ตำราพิชัยสงคราม แล้วศึกษาให้ชำนาญในศิลปศาสตร์สำหรับทหาร เมื่อพระเจ้าโจผีดับสูญแล้วก็ได้เปนที่ปีสูหลวงเจ้ากรมอาลักษณ์มาจนครั้งพระ เจ้าโจยอย สุมาอี้กับเจียวเจ้ก็ยำเกรงจงโฮยนัก ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อว่าเตงงายบุตรชาวเมืองหงีเอี๋ยง บิดาตายแต่น้อย นํ้าใจห้าวหาญ พอใจจะเปนแม่ทัพแม่กอง แสวงหาวิชาการพิชัยสงครามชำนิชำนาญนัก สุมาอี้นับถิอจึงตั้งให้เปนที่ขำจานกุนจี๋ได้ว่ากล่าวทหารหั้งปวง สองคนนี้แลเห็นหลักแหลมนัก
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูอ้ายเด็กสองคนนี้ความคิดมันจะต้านทานเราไม่ได้ ว่าแล้วพาแฮหัวป๋าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเมืองเสฉวน ถวายบังคมแล้วทูลว่า สุมาอี้คิดอ่านกำจัดโจซองเสีย แล้วจะมาทำร้ายแก่แฮหัวป๋า ๆ ก็หนีมาสามิภักดิ์เข้ามาเปนข้าพระองค้ ฝ่ายพระเจ้าโจฮองก็อ่อนแก่ความนัก ข้าพเจ้าเห็นว่าสุมาอี้พ่อลูกทำการทั้งนี้จะชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเมืองวุยก๊กเห็นก็ร่วงโรยอยู่แล้ว ข้าพเจ้ารักษาเมืองฮันต๋งมาช้านาน เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ทแกล้วทหารก็มีกำลังมากขึ้น ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตีเมืองวุยก๊ก จะตั้งให้แฮหัวป๋าเปนทัพหน้าไปทำการเห็นจะได้เปนมั่นคง
หุยวุยเสนาบดีผู้ใหญ่จึงว่า เตียวอ้วนตังอุ๋นมีสติปัญญาฝีมือรบพุ่งก็กล้าเปนทหารเอกของเราก็ตายเสียแล้ว ในเมืองเราหามีคนดีไม่ จะยกไปบัดนี้เห็นจะไม่สำเร็จ อย่าเพ่อเบาแก่ความ ให้ได้ท่วงทีแล้วจึงยกไปทำการ เกียงอุยจึงว่า ท่านว่าทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย วันคืนปีเดือนล่วงไปไม่หยุดเลย จะคอยท่าให้ได้ทีก็จะแก่เสียเปล่า เมื่อไรจะได้ทีเล่าจึงจะยกไป หุยวุยตอบว่า โบราณท่านกล่าวไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้จะทำการสงคราม พึงให้พิเคราะห์ดูกำลังความคิดแลฝีมือทหารแลอาวุธของตัวกับข้าศึก ถ้าเห็นชนะฝ่ายเดียวแล้วจงให้ทำการ ถ้าไม่รู้จักหนักเบาเลยเหมือนท่านจะไปทำการครั้งนี้ ถึงท่านมหาอุปราชซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญายังมีชีวิตอยู่ก็หาอาจไปทำไม่
เกียงอุยจึงว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองฮันต๋งนี้ พิเคราะห์ดูพวกชาวเหนือในเมืองเกี๋ยงเห็นว่าจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าจะยกไปทำการครั้งนี้จะมีหนังสือให้ไปเกลี้ยกล่อม เมืองเกี๋ยงก็จะยอมมาเข้าด้วยข้าพเจ้า ๆ จะให้เปนทัพหนุน ถ้ายังมิได้เมืองวุยก๊กจะทำหัวเมืองขึ้นทั้งปวงให้อยู่ในเงื้อมมือให้ได้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า ถ้าท่านจะอาสาเราไปตีเมืองวุยก๊กครั้งนี้จงตรึกตรองให้ละเอียด ให้ทหารทำการให้เต็มมือให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกจงได้อย่าให้เสียทีไป
เกียงอุยก็ทูลลาพาแฮหัวป๋ากลับไปเมืองฮันต๋ง ถึงเมืองแล้วจึงให้ทหารถือหนังสือไปเกลี้ยกล่อมเมืองเกี๋ยง แล้วจึงปรึกษากันว่า เราจะให้กุอั๋นลิหิมสองคนนี้คุมทหารหมื่นห้าพันยกไปตีกวยหวยเมืองเองจิ๋ว ไปตั้งค่ายอยู่เขาก๊กสันเปนสองค่ายทำการไปพลาง เราจึงค่อยยกทัพตามไป ปรึกษาแล้วให้จัดแจงม้าแลเครื่องศัสตราวุธเข้าสเบียง จึงให้กุอั๋นลิหิมยกไป ๆ ถึงเขาก๊กสันก็แยกทหารออกเปนสองกอง ๆ ละเจ็ดพันห้าร้อย ตั้งค่ายกระหนาบเขาก๊กสันไว้ กุอั๋นอยู่ข้างตวันออก ลิหิมอยู่ข้างตวันตก
ฝ่ายทหารกองตะเวน ให้ม้าใช้เอาเนื้อความไปแจ้งแก่กวยหวยว่า เกียงอุยเมืองฮันต๋งให้ยกกองทัพมาตั้งกระหนาบเขาก๊กสันไว้สองค่าย กวยหวยรู้ดังนั้นให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง ฝ่ายต้านท่ายซึ่งถือหนังสือไปหาตัวแฮหัวป๋ายังไม่กลับไป กวยหวยก็ให้ต้านท่านคุมทหารห้าหมื่นยกออกไป กุอั๋นลิหิมเห็นต้านท่ายยกมาก็ยกออกจากค่าย เห็นทหารต้านท่ายมากนักจะต้านทานมิได้ก็พาทหารกลับเข้าค่าย ฝ่ายต้านท่ายก็ให้ทหารตั้งค่ายล้อมไว้ทั้งสองค่าย แล้วเกณฑ์กองทัพให้ไปสกัดต้นทางตัดลำเลียง ฝ่ายกุอั๋นลิหิมอยู่ในค่ายเข้าปลาอาหารขัดสน
กวยหวยยกกองทัพออกไป เห็นต้านท่ายล้อมข้าศึกไว้ได้ดังนั้นดีใจนัก ก็เข้าไปในค่ายจึงว่าแก่ต้านท่ายว่า ข้าศึกนี้ขัดสนน้ำอยู่แล้ว ได้อาศรัยแต่น้ำธารซึ่งไหลออกจากเขา ถ้าเราคิดอ่านปิดธารนํ้าเสียแล้วอย่าให้น้ำไหลลงไปได้ ข้าศึกอดนํ้าแล้วก็ถอยกำลัง เราจึงเข้าหักเอาค่ายเห็นจะได้โดยสดวก ต้านท่ายเห็นชอบด้วยก็เกณฑ์ให้ทหารไปสมทบปิดธารนํ้าเสีย
ลิหิมเห็นทหารอดน้ำนักจึงคุมทหารออกจากค่ายจะไปตักน้ำ ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ ลิหิมเห็นเหลือกำลังก็พาทหารกลับเข้าไปในค่าย ฝ่ายกุอั๋นเห็นทหารหยากน้ำนักแล้วก็ยกทหารมา พาลิหิมออกไปเปนสองกองจะไปตักนํ้า ทหารต้านท่ายตีสกัดไว้ไปไม่ได้ก็พากันกลับเข้าค่าย ลิหิมจึงปรึกษาว่านิ่งอยู่ดังนี้ก็ไม่ได้จำจะยกหนีไป กุอั๋นไม่ยอมจึงว่า ซึ่งจะยกทัพกลับไปนั้นเห็นไม่ชอบ เราจำจะคอยท่าทัพเกียงอุยซึ่งจะยกตามมา ลิหิมจึงว่าเมื่อไรจะมาเล่า เขาปิดทางน้ำเสียแล้ว ถ้าจะอยู่ฉนี้จะพากันอดน้ำตายเสียสิ้น ท่านมิไปแล้วเราจะไป ว่าแล้วก็ชวนทหารไปประมาณสี่สิบคน ครั้นเวลากลางคืนก็ตีออกไป ทหารต้านท่ายก็รบสกัดไว้ฆ่าฟันทหารลิหิมตายสิ้น
ฝ่ายตัวลิหิมถูกอาวุธเจ็บชํ้าเปนหลายแห่งหนีออกไปได้ ขี่ม้าไปตามเชิงเขาเสสันเวลากลางคืนมืดนัก หารู้ที่จะหานํ้ากินไม่ ได้กินแต่นํ้าค้าง อดอาหารไปถึงสองวันจึงพบกองทัพเกียงอุย ลงจากม้าแล้วเข้าไปหาเกียงอุยจึงแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง เกียงอุยจึงว่ามิใช่ว่าข้าจะนอนใจ เตรียมกองทัพแล้วจะรีบยกมา ช้าอยู่ทั้งนี้เพราะคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงไม่เห็นมาเลย ว่าแล้วให้ทหารส่งตัวลิหิมไปรักษาตัว ณ เมืองเสฉวน เกียงอุยจึงว่าแก่แฮหัวป๋าว่า เราคอยท่ากองทัพเมืองเกี๋ยงช้านานแล้วก็ไม่เห็นมาเลย บัดนี้กองทัพซึ่งให้ไปตั้งอยู่ที่เขาก๊กสันนั้นเห็นจะเสียแก่ข้าศึกอยู่แล้ว เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะมีชัยแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกไปล้อมลิหิมกุอั๋นอยู่แล้ว ถ้าเรายกไปเข้าทางเขางิวเทาสันหลังเมืองเองจิ๋วตีเข้าไป กวยหวยต้านท่ายก็จะยกกองทัพกลับมาสู้กับเรา กองทัพกุอั๋นก็จะมิได้เปนอันตราย เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงชมว่า ท่านคิดอุบายดังนี้เห็นจะมีชัยชนะเปนแท้ ก็เร่งรีบยกกองทัพไปตามคิดกันนั้น
ฝ่ายต้านท่ายจึงปรึกษาแก่กวยหวยว่า ลิหิมหนีไปได้แล้ว จะไปบอกแก่เกียงอุย ๆ รู้ข่าวว่าเรายกกองทัพมาล้อมอยู่ที่นี่เห็นจะยกทัพตีเข้ามา ทางเขางิวเทาสันมั่นคง ขอให้ท่านยกทัพไปสกัดอยู่ตำบลเตียวซุยเปนต้นทางอย่าให้ส่งลำเลียงได้ ข้าพเจ้าจะยกทัพไปตีเกียงอุยซึ่งตีถลำเข้ามาถึงเขางัวเทาสันนั้น ถ้าเกียงอุยรู้ว่าเราสกัดตัดทางลำเลียง ก็จะตกใจแตกหนีไปเปนมั่นคง กวยหวยเห็นชอบด้วยก็ยกไปตามคิดกันขึ้น
กองสอดแนมให้ม้าใช้มาบอกแก่เกียงอุยว่ากองทัพเมืองเองจิ๋วยกออกมา เกียงอุยขึ้นม้าถือทวนเร่งรีบพาทหารเข้าไป ต้านท่ายแลเห็นเกียงอุยจึงร้องว่า กูรู้อยู่แล้วว่ามึงจะยกหลีกเข้ามาทางนี้กูจึงยกออกมารับ ว่าแล้วก็ขี่ม้ารำง้าวเข้าไป เกียงอุยรำทวนเข้ารบกับต้านท่ายได้สามเพลง ต้านท่ายก็หนีพากองทัพขึ้นไปบนเขางิวเทาสัน เกียงอุยก็ไม่ตามขึ้นไปตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา ก็ให้ทหารไปร้องท้าทายต้านท่ายเร่งยกมารบกัน ต้านท่ายก็ยกทหารลงมารบกับเกียงอุยเปนหลายเวลามิได้แพ้ชนะกัน
แฮหัวป๋าจึงว่าแก่เกียงอุยว่า เรารบกันมาก็หลายเวลาอยู่แล้ว ไม่แพ้ไม่ชนะกัน จะอยู่นานนักก็ไม่ได้เกรงข้าศึกจะคิดกลอุบายทำร้ายแก่เรา ขอให้ท่านล่าทัพไปก่อนเถิด จะได้คิดกลอุบายอื่นให้มีชัยชนะจงได้
ม้าใช้กองสอดแนมมาบอกว่า กวยหวยยกกองทัพไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง แล้วเห็นจะส่งลำเลียงขัดสน เกียงอุยตกใจนักก็ให้แฮหัวป๋าล่าทัพไปก่อน เกียงอุยจึงยกออกภายหลัง ต้านท่ายรู้ว่าเกียงอุยล่าทัพหนีแล้ว ก็จัดแม่ทัพแม่กองออกเปนห้ากองให้ไล่ตีกระหนาบไปข้างละสองกอง ตัวก็ติดตามไปข้างหลัง
ฝ่ายเกียงอุยอยู่รั้งท้ายก็รบต้านทานไว้ ต้านท่ายก็หักโหมเข้าไปมิได้ ก็รีบยกทหารหนีไป ฝ่ายกวยหวยก็ยกทหารเข้าตีสกัดไว้ เกียงอุยก็กระโจมตีพาทหารหักออกไปได้ ทหารเกียงอุยล้มตายเปนอันมาก ซึ่งยังเหลืออยู่นั้นน้อยกว่าที่ตายอีก เกียงอุยพาทหารไปปะกองทัพสุมาสูบุตรสุมาอี้
เมื่อแรกเกียงอุยยกไปตีเมืองเองจิ๋ว กวยหวยจึงให้มีหนังสือขอกองทัพ สุมาอี้จึงให้สุมาสูบุตรยกมาเปนคนห้าหมื่น สุมาสูรู้ว่าเกียงอุยรบอยู่กับกวยหวยแล้วก็ยกไปสกัดอยู่ต้นทาง สุมาสูคนนี้หน้ากลมริมฝีปากหนาใบหูใหญ่หางตาข้างขวามีปมใหญ่เท่าผลส้มมะแป้น มีโลมาอยู่สี่สิบห้าสิบเส้น ครั้นแลเห็นกองทัพเกียงอุยยกมา ก็ขึ้นม้ารำง้าวออกไป
เกียงอุยแลเห็นโกรธนักร้องว่าอ้ายเด็กน้อยเท่านี้ ควรหรือองอาจมาสู้กู ว่าแล้วก็ควบม้าเข้ารบกับสุมาสู ๆ สู้ได้สามเพลงเห็นเหลือกำลังก็พาทหารหนีไป เกียงอุยก็พาทหารไปถึงด่านแฮบังก๋วนเปนด่านเมืองเสฉวน ทหารก็เปิดประตูรับเกียงอุยเข้าไปแล้วก็ปิดประตูเสีย สุมาสูกลับตามไปก็ให้ทหารทำลายประตู เมื่อขงเบ้งจะใกล้ตายนั้นได้สอนทหารให้ยิงหน้าไม้คนหนึ่งยิงทีเดียวได้สิบ ลูก ทหารซึ่งอยู่บนหอรบก็ยิงหน้าไม้ลงไปเหมือนห่าฝน ถูกทหารสุมาสูตายเปนอันมาก ครั้นสุมาสูเสียทหารมากมายแล้วก็ยกทัพกลับไปเมือง
ฝ่ายกุอั๋นซึ่งรักษาค่ายอยู่ริมเขาก๊กสันนั้นครั้นลิหิมหนีไปแล้ว คอยหากองทัพหนุนก็ไม่เห็น ทหารขัดสนด้วยนํ้านัก ครั้นจะหักออกก็มิได้ จึงเปิดประตูค่ายพาทหารมายอมเข้าด้วยกวยหวย ฝ่ายเกียงอุยยกทัพไปทำการครั้งนั้นเสียทหารมากมายนัก ครั้นกลับไปเมืองฮันต๋งก็ให้ซ่อมแปลงกำแพงแลประตูหอรบซึ่งชำรุดนั้นให้มั่น คง ฝ่ายสุมาสูกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว เข้าไปแจ้งข้อราชการแก่บิดา
ครั้งนั้นพระเจ้าโจฮองเสวยราชย์ได้สิบสามปี (พ.ศ. ๗๙๔) พอถึงเดือนสิบสุมาอี้ก็ป่วยหนัก เห็นจะไม่รอดแล้วจึงให้หาสุมาสูสุมาเจียวบุตรทั้งสองเข้าไปถึงเตียงที่นอน จึงว่าบิดาได้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการทั้งแผ่นดินโดยสัตย์โดยธรรม หาได้คิดคดต่อแผ่นดินไม่ คนทั้งปวงยังมาแกล้งว่าเปนขบถต่อแผ่นดิน เราอาศรัยสัตย์สุจริตรักษาตัวหาเปนอันตรายไม่ บัดนี้บิดาจะตายแล้ว เจ้าจะเปนข้าราชการสืบไป จงตั้งใจสัตย์ซื่อสามิภักดิ์ต่อเจ้าแผ่นดินกว่าจะสิ้นชีวิต ทำการสิ่งใดอย่าเบาแก่ความ จงตรึกตรองให้ละเอียดแล้วจึงทำ พอสิ้นคำเท่านั้นก็ตาย สุมาสูสุมาเจียวเอาเนื้อความไปกราบทูลว่าบิดาข้าพเจ้าตายแล้ว พระเจ้าโจฮองก็สั่งให้เจ้าพนักงานทำการศพสุมาอี้ตามขนบธรรมเนียมมหาอุปราช ให้เชิญศพไปฝังไว้ณกุฏิ์ จารึกอักษรไว้ตามประเพณี แล้วตั้งสุมาสูเปนที่เสนาบดีผู้ใหญ่ สุมาเจียวเปนเตียวกี๋เซียงจงกุ๋น ได้ว่ากล่าวทหารทั้งปวง
ฝ่ายพระเจ้าซุนกวนอยู่ ณ เมืองกังตั๋ง ตั้งให้ซุนเต๋งบุตรนางซีฮูหยิน เปนไทจู๋ ครั้นซุนเต๋งตายแล้วตั้งซุนโฮบุตรนางฮองฮูหยินเปนที่ไทจู๋ อยู่นานมาซุนโฮวิวาทกับนางกิมก๋งจู๋ผู้เปนพี่สาว นางกิมก๋งจู๋จึงเข้าไปทูลยุยงบิดาให้โกรธถอดซุนโฮเสียจากที ซุนโฮได้ความแค้นเคืองเจ็บอายก็ตรอมใจเปนไข้ตาย พระเจ้าซุนกวนเลี้ยงบุตรนางพัวฮูหยินให้เปนที่ไทจู๋ ครั้งนั้นลกซุนแลจูกัดกิ๋นซึ่งเปนคนดีมีสติปัญญาก็ตายแล้ว มีขุนนางผู้หนึ่งชื่อจูกัดเก๊กว่าราชการใหญ่น้อยทั้งปวง
เมื่อเดือนสี่ขึ้นคํ่าหนึ่งปีแล้วไปนั้น บังเกิดเหตุพายุใหญ่คลื่นในแม่นํ้าแลทะเลก็กำเริบนัก เกิดน้ำใหญ่ท่วมไปในเมืองกังตั๋ง นํ้าลึกถึงแปดศอก พายุก็ถอนเอาต้นสนใหญ่ซึ่งปลูกอยู่หน้ากุฏิ์ซึ่งฝังศพซุนเซ็ก ลอยขึ้นไปในอากาศ ต้นสนธิ์ก็ตกลงริมประตูเมืองกังตั๋ง ปลายลงปักดินอยู่ พระเจ้าซุนกวนเห็นประหลาทดังนั้นหาแจ้งว่าจะดีหรือร้ายไม่ ก็เปนทุกข์พระทัย จึงประชวรมาช้านานประมาณขวบหนึ่ง โรคนั้นกำเริบขึ้นเห็นจะไม่รอดอยู่แล้ว จึงให้หาจูกัดเก๊กกับลิต้ายเปนขุนนางผู้ใหญ่สองคนเข้ามาถึงที่บันทม แล้วฝากฝังบ้านเมืองบุตรแลภรรยาประชาราษฎร แล้วก็สิ้นใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนหก (พ.ศ. ๗๙๕) อายุพอได้เจ็ดสิบเอ็ดปี เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปี
จูกัดเจ๊กกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงก็ให้ซุนเหลียงเสวยราชย์แทนพระ บิดา พระเจ้าซุนเหลียงก็ให้แต่งการเชิญศพไปฝังที่ตำบลเตียวเหลงตามประเพณี แล้วให้จารึกอักษรว่าที่ฝังศพพระเจ้าไต้ฮ่องเต้
มีคนเอาเนื้อความไปแจ้งแก่สุมาสูเมืองลกเอี๋ยงว่า พระเจ้าซุนกวนตายแล้ว สุมาสูแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า เราจะยกทัพไปตีเอาเมืองกังตั๋งจะเห็นประการใด เหาตวนที่ปรึกษาจึงว่ายังหาเห็นทีที่จะได้ไม่ ด้วยเมืองกังตั๋งนี้มีแม่น้ำกั้นอยู่เปนที่คับขัน ข้าศึกที่จะไปทำการยากนัก กษัตริย์แต่ก่อนหลายพระองค์มาแล้วยกกองทัพไปตีก็หาได้ไม่ ซึ่งจะยกทัพไปทำการครั้งนี้ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ บ้านเมืองของใคร ๆ ก็รักษาอยู่เห็นจะเปนสุขกว่า ถ้าได้ทีแล้วยกไปตีจึงจะมีชัยชนะ สุมาสูจึงว่า ซึ่งจะยับยั้งสงบอยู่ให้ได้ทีนั้น อายุเราจะยืนสักกี่ร้อยปีจึงจะได้ทีเล่า สุมาเจียวน้องสุมาสูจึงว่า ซุนกวนซิตายแล้ว ซุนเหลียงได้สมบัติแทนบิดา อายุก็น้อยทั้งความคิดก็อ่อน ถ้าเรายกไปทำการเห็นจะได้ฝ่ายเดียว สุมาสูเห็นชอบด้วยจึงใช้ให้อองซองเปนนายทหารใหญ่คุมทหารสิบหมื่น ให้บู๊ขิวเขียมคุมทหารสิบหมื่น ให้สุมาเจียวผู้น้องเปนแม่ทัพหลวงยกไปตีเมืองกังตั๋ง เมื่อยกทัพครั้งนั้นเดือนสิบสอง ครั้นยกกองทัพไปถึงแดนเมืองกังตั๋งแล้ว สุมาเจียวจึงให้หานายทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่า หัวเมืองกังตั๋งทั้งปวงเห็นมั่นคงนักแต่เมืองตังหิน ด้วยหน้าเมืองนั้นมีป้อมใหญ่กระหนาบอยู่ทั้งซ้ายขวา ซึ่งจะหักเข้าไปนั้นยากนัก เราจำจะจัดแจงให้ดี ว่าแล้วสั่งให้อองซองบูขิวเขียมสองนายให้คุมทหารคนละสามหมื่นเปนปีกซ้ายขวา จึงสั่งว่าอย่าเพ่อตีก่อน ต่อกองทัพหลวงทัพหน้าปีกซ้ายปีกขวาพร้อมกันแล้วจึงจะให้ช่วยกันระดมตีที เดียว แล้วให้อ้าวจุ๋นเปนทัพหน้าคุมทหารห้าหมื่น จึงสั่งว่าท่านยกไปถึงตีนท่าแล้วให้ทำสะพานแพข้ามแม่นํ้า ไปได้แล้วจัดทหารออกเปนสองกองเร่งเข้าตีป้อมซ้ายขวา ถ้าตีได้แล้วจะมีความชอบนัก อ้าวจุ๋นก็ยกไป
ฝ่ายจูกัดเก๊กเมืองกังตั๋งแจ้งว่าสุมาเจียวเมืองวุยก๊กยกทัพมา จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ปรึกษาทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันจึงว่า สุมาเจียวยกทัพมาครั้งนี้จะได้ผู้ใดออกไปต้านทาน เตงฮองทหารผู้ใหญ่จึงว่าเมืองตังหินนี้เปนกำลังเมืองกังตั๋ง ด้วยเข้าปลาอาหารทั้งปวงก็บริบูรณ์ แล้วก็มีป้อมค่ายมั่นคงเปนที่คับขัน ถ้าเมืองตังหินเสียแล้วเห็นว่าเมืองบู๊เฉียงก็จะเปนอันตราย ควรเราจะรักษาเมืองตังหินไว้ให้มั่นคง
จูกัดเก๊กจึงว่าท่านว่านี้ชอบนัก ท่านจงเปนแม่ทัพเรือคุมทหารสามพันยกไป ลีกีต๋องจูเล่าเบาทหารสามคนนี้คุมทหารคนละหมื่น เปนแม่ทัพบกยกไปเปนสามกอง ตัวข้าพเจ้าจะยกทัพหลวงหนุนไป เมื่อจะยกเข้าตีนั้นมีประทัดสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดก็ให้แม่ทัพแม่กองเร่งยกเข้าตีให้พร้อมกันทั้งบกทั้ง เรือ เตงฮองก็ยกทัพเรือสามสิบลำคุมทหารสามพันยกไปเมืองตังหิน ลีกีต๋องจูเล่าเบาคุมทหารคนละหมื่นเปนทัพบกยกไปเมืองตังหิน จูกัดเจ๊กก็ยกทัพหลวงหนุนไป
ฝ่ายอ้าวจุ๋นทัพหน้าสุมาเจียวทำสะพานข้ามกองทัพไปถึงฝั่งแล้ว ก็ใช้ให้หวนแก ฮั่นจ๋งคุมทหารเข้าตีป้อมซ้ายขวา นายทหารรักษาป้อมขวาชื่อเล่าเลียก ป้อมซ้ายชื่อจวนเต๊ก ป้อมสองอันนี้สูงใหญ่มั่นคงนัก หวนแกกับฮั่นจ๋งจะหักเข้าไปก็มิได้ก็ถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ เล่าเลียกจวนเต๊กเห็นทหารเข้ามามากนัก จะเปิดประตูป้อมออกไล่ตีมิได้ ก็ตั้งมั่นอยู่ในป้อม ครั้งนั้นเปนเทศกาลหนาว อ้าวจุ๋นก็ชวนนายทัพนายกองทั้งปวงมาเสพย์สุราอยู่ในค่าย กองคอยเหตุจึงให้ม้าใช้ไปบอกว่า กองทัพเรือเมืองกังตั๋งยกมาเปนเรือสามสิบลำ อ้าวจุ๋นก็ออกไปนอกค่ายแลไปเห็นกองทัพแต่ไกล ประมาณดูก็เห็นว่าเรือลำหนึ่ง จะบันทุกทหารได้แต่ร้อยหนึ่ง จึงกลับเข้ามาในค่ายแล้วบอกแก่นายทัพนายกองว่า เรือสามสิบลำจะบันทุกทหารได้ประมาณสามพัน เราหาพอที่จะกลัวไม่ ว่าแล้วสั่งให้ทหารรักษาค่าย ฝ่ายตัวกลับมานั่งเสพย์สุรากับนายทัพนายกองอีก ก็เมาสุราทั้งบ่าวแลนาย
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพเรือก็ให้เทียบเรือเข้าตลิ่ง แลไปเห็นคนในค่ายเลินเล่อหารักษาค่ายไม่ เห็นได้ทีแล้วจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เราเปนชาติทหารตั้งใจแต่จะหาความชอบใส่ตัว เราเร่งทำความชอบให้ได้วันนี้ ว่าแล้วก็สั่งทหารทั้งปวงให้ถอดหมวกแลเสื้อออกทุกคน ห้ามอย่าให้ถืออาวุธยาว ให้ถือแต่กระบี่แลดาบ ฝ่ายทหารในค่ายแลเห็นดังนั้นก็หัวเราะเล่นมิได้ระวังตัว เตงฮองก็จุดประทัดสัญญาสามนัด แล้วถือดาบสองมือโดดขึ้นจากเรือวิ่งตรงเข้าไปในค่าย ทหารทั้งปวงก็วิ่งตามพากันแหกเข้าค่ายได้ ฮั่นจ๋งก็ถือทวนวิ่งออกมาแทงเตงฮอง ๆ หลบได้ก็ฟันด้วยดาบถูกท้องฮั่นจ๋งล้ม เตงฮองก็เข้าตัดเอาสีสะ ฝ่ายหวนแกแลเห็นฮั่นจ๋งตายก็โกรธนัก ถือง้าววิ่งเข้าไปแทงเตงฮองพลาดไปหว่างรักแร้ เตงฮองหนีบเอาง้าวไว้ หวนแกก็วิ่งหนี เตงฮองก็ขว้างด้วยดาบถูกแขนซ้ายหวนแกก็ล้มลง เตงฮองก็สะอึกเข้าไปแทงด้วยทวนหวนแกก็ตาย ทหารเตงฮองสามพันก็ไล่ฆ่าฟันทหารอ้าวจุ๋น ๆ ขี่ม้าพาทหารแหกค่ายหนีไป ครั้นถึงสะพานแพทหารทั้งปวงกลัวตายก็วิ่งชิงเบียดเสียดกันข้ามไป คนลงมากเหลือกำลังสะพานแตกแพก็ขาดล่ม ทหารก็ตายในนํ้าเปนอันมาก อ้าวจุ๋นเสียทหารตายในค่ายแลในนํ้าประมาณสองส่วนยังเหลืออยู่สักส่วนหนึ่ง เสียม้าแลศัสตราวุธเครื่องอุปโภคบริโภคเปนอันมาก ก็พาทหารที่เหลือตายหนีไปหาสุมาเจียว ๆ ได้แจ้งเนื้อความแล้วตรองดูการเห็นจะทำการสืบไปนั้นขัดสนนักก็ล่าทัพกลับไป เมือง
ฝ่ายจูกัดเก๊กแม่ทัพแม่กองทั้งปวงยกมาถึงเมืองตังหินแล้ว เห็นเตงฮองทำการมีชัยชนะก็ให้ปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองแลทหารเปนอัน มาก แล้วจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า สุมาเจียวยกทัพมาทำแก่เราครั้งนี้เสียทีแล้วล่าทัพหนีไปเมือง เราได้ทีแล้วจะยกตามไปตั้งค่ายประชิดอยู่ข้างทิศใต้ แล้วให้มีหนังสือไปถึงเกียงอุยให้ยกกองทัพมาตีกระหนาบข้างฝ่ายเหนือ เห็นจะได้เมืองลกเอี๋ยงโดยสะดวก ได้แล้วจะแบ่งแผ่นดินแดนเมืองคนละครึ่ง ว่าแล้วก็เร่งเกณฑ์ทหารให้ได้ยี่สิบหมื่นก็ยกไปตีเมืองวุยก๊ก ไปถึงกลางทางบังเกิดควันพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินให้มืดนัก นั่งอยู่ใกล้กันก็ไม่เห็นตัว เจียวเอี๋ยนที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่า การประหลาทเกิดดังนี้ดีร้ายจะเสียแม่ทัพ ขอให้ท่านล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋งเถิด อย่าไปตีเมืองจุยก๊กเลย
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็โกรธหนักจึงว่า เราจะทำการใหญ่ให้มีชัย ท่านมาว่าให้ร้ายแก่เราดังนี้จะให้นายทัพนายกองแลทหารทั้งปวงเสียน้ำใจ ว่าแล้วก็สั่งให้เอาตัวเจียวเอี๋ยนไปฆ่าเสีย นายทัพนายกองชวนกันขอโทษจูกัดเก๊กก็ให้ แต่ถอดเสียจากขุนนางให้เปนไพร่ แล้วก็เร่งยกทัพไป เตงฮองจึงว่าแก่จูกัดเก๊ก ว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นด่านซินเสียนี้มั่นคงนัก เปนที่สำคัญเมืองวุยก๊ก ถ้าเราตีได้แล้วสุมาสูก็จะตกใจ เราจึงจะตีต่อเข้าไปก็เห็นจะได้โดยสดวก จูกัดเก๊กเห็นชอบด้วย ก็ให้เร่งยกทัพไปทางด่านซินเสีย
ทหารตะเวนด่านจึงเอาเนื้อความไปแจ้งแก่เตียวเต๊กนายใหญ่ผู้อยู่รักษาด่าน ว่า กองทัพฝ่ายเมืองกังตั๋งยกมามากนัก เตียวเต๊กเห็นเหลือกำลังจะออกตีมิได้ก็ให้ปิดประตูด่านตั้งมั่นรักษาอยู่ จูกัดเก๊กให้ตั้งค่ายล้อมไว้ แล้วให้ม้าใช้ถือหนังสือไปถึงเกียงอุยเหมือนคิดมานั้น เตียวเต๊กก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเอี๋ยง
งีสงที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่าแก่สุมาสูว่า ครั้งนี้จูกัดเก๊กมาล้อมด่านซินเสีย ด่านนั้นก็มั่นคงผู้คนอยู่รักษาก็เข้มแขงเห็นจะไม่เปนอันตราย เรานิ่งเสียก่อนเถิดอย่าเพ่อแต่งกองทัพออกไปช่วยเลย จูกัดเก๊กยกทัพมาเปนทางไกลนักจะได้สเบียงอาหารมาสักกี่มากน้อย หน่อยหนึ่งก็จะสิ้นสเบียงอาหารก็จะล่าทัพกลับไปเอง เมื่อล่าทัพหนีไปเราจึงจะยกทัพไล่ติดตามตีเห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว ข้อหนึ่งข้าพเจ้าเกรงข้างฝ่ายเหนือเกียงอุยจะยกลงมาเปนทัพกระหนาบ ขอให้แต่งกองทัพไปป้องกัน สุมาสูเห็นชอบด้วย ก็ให้สุมาเจียวคุมทหารไปช่วยกวยหวยรักษาเมืองเองจิ๋ว จึงใช้บู๊ขิวเขียมกับอ้าวจุ๋นคุมทหารยกไปทางด่านซินเสีย จึงสั่งว่าท่านคอยดูรู้ว่าทัพจูกัดเก๊กยกหนีแล้ว จะเร่งรีบทหารไล่ตามตีจงสามารถ
ฝ่ายจูกัดเก๊กก็สั่งทหารว่า เร่งหักเข้าไปจงได้ เร่งให้ทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าผู้ใดหลบหลีกแชเชือนมิเปนใจด้วยราชการจะตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงเร่งรีบทำลายกำแพงทั้งกลางวันกลางคืน ฝ่ายกำแพงด้านเหนือนั้นเห็นจะทำลายเข้าไปได้อยู่แล้ว เตียวเต๊กเห็นดังนั้นจึงคิดกลอุบายแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงจูกัดเก๊กว่า ธรรมเนียมเมืองวุยก๊ก ถ้าข้าศึกมาตีแลผู้รักษาเมืองป้องกันไว้ได้ถึงร้อยวันแล้ว ไม่มีกองทัพเมืองหลวงมาช่วยเลย ผู้รักษาเมืองนั้นเห็นเหลือกำลังที่จะต้านทาน ก็พาทหารออกไปยอมเข้าด้วยข้าศึก พี่น้องซึ่งยังอยู่ในเมืองนั้นก็หาเปนโทษไม่ ข้าพเจ้าอุตส่าห์รักษาด่านมาได้ประมาณเก้าสิบวันแล้วก็ไม่เห็นกองทัพมาช่วย เลย ขอให้ท่านงดให้ข้าพเจ้าสักสิบห้าวัน แต่พอข้าพเจ้าจัดแจงการซึ่งจะได้พาทหารออกไปเข้าด้วยท่าน จูกัดเก๊กก็เชื่อ จึงมิให้ทหารทำลายกำแพง
ฝ่ายเตียวเต๊กครั้นลวงจูกัดเก๊กดังนั้นแล้ว ก็เร่งให้แต่งกำแพงด้านเหนือซึ่งยับเยินไปนั้นมั่นคงแล้ว ก็ให้ทหารถืออาวุธไปเตรียมพร้อมอยู่บนเชิงเทิน แล้วเตียวเต๊กจึงร้องว่า สเบียงอาหารของกูยังบริบูรณ์อยู่จะเลี้ยงทหารอีกสักปีหนึ่งกูก็หากลัวไม่ กูจะยอมไปเข้าด้วยเองเหล่าชาติสุนัขเมืองกังตั๋งนั้นมิชอบ จูกัดเก๊กได้ฟังก็โกรธนัก จึงสั่งทหารให้เร่งเข้าทำลายกำแพง ทหารเตียวเต๊กก็ยิงเกาทัณฑ์ลงมาถูกจูกัดเก๊กที่หน้าผาก จูกัดเก๊กตกม้าลง ทหารก็อุ้มเข้าไปในค่าย จูกัดเก๊กม้ความแค้นนัก ก็สังให้ทหารเร่งเข้าทำลายกำแพง
นายหมวดนายกองจึงว่า บัดนี้ทหารทั้งปวงมาอยู่ช้านานนัก กินน้ำกินอาหารผิดสำแดงป่วยเจ็บลงเปนอันมาก ซึ่งท่านจะเข้าไปรบเห็นไม่ได้ท่วงทั จูกัดเก๊กโกรธจึงว่า ถ้าผู้ใดมิเปนใจด้วยราชการบอกป่วยให้เอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็กลัวความตายก็หนีไปเปนอันมาก ชิวหลิมนายทหารผู้ใหญ่ก็พาทหารพรรคพวกของตัวหนีไปเมืองวุยก๊ก มีทหารเข้าไปบอกจูกัดเก๊กว่าทหารหนี่เบาบางไปแล้ว ชัวหลิมทหารผู้ใหญ่ก็ยกทหารหนีไปด้วย จูกัดเก๊กได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ขี่ม้าไปเที่ยวตรวจตราดูทหารเห็นเบาบางไป ซึ่งยังอยู่นั้นก็เปนไข้พุงโรหน้าบวมผอมเหลืองไปเปนอันมาก ก็สังให้ล่าทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายกองสอดแนมรู้ดังนั้นก็ให้ม้าใช้ไปแจ้งแก่บู๊ขิวเขียม ๆ ก็เร่งยกกองทัพไล่บุกบันฆ่าทหารจูกัดเก๊กล้มตายเปนมาก ฝ่ายจูกัดเก๊กเสียทัพครั้งนั้นมีความละอายนัก ด้วยหักไปตามอำเภอใจแต่ผู้เดียวก็เสียการ จึงพาทหารซึ่งเหลือตายหนีไปเมืองกังตั๋ง พระเจ้าซุนเหลียงแจ้งว่าจูกัดเก๊กถูกเกาทัณฑ์มาป่วยอยู่ ณ บ้าน ก็พาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปเยี่ยม
ฝ่ายจูกัดเก๊กมีความละอายนัก จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ข้าพเจ้าไปทำการทุกครั้งทุกทีมีแต่ชัยชนะ ครั้งนี้เคราะห์ร้ายทั้งตัวก็แทบตาย แล้วก็เสียทหารเปนอันมากได้ความอัปยศนัก เพราะนายทัพนายกองทั้งปวงมิได้เปนใจจึงเสียทีแก่ข้าศึก ถ้าผู้ใดติเตียนนินทาว่าเราเสียทัพ เราจะจับตัวผู้นั้นไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็เจ็บใจ ครั้นจะตอบจูกัดเก๊กก็มิได้ด้วยเกรงว่าเปนใหญ่ พระเจ้าซุนเหลียงก็พาขุนนางกลับไป จูกัดเก๊กก็ถอดซุนจุ๋นซึ่งได้คุมทหารรักษาองค์ออกเสียจากที่ จึงตั้งเตียวเอียดกับจูอิ๋นให้เปนนายทหารรักษาองค์ ซุนจุ๋นคนนี้เปนเชื้อพระวงศ์เปนลูกซุนหยงเปนหลานซุนเจ้ง ๆ นี้เปนน้องซุนเกี๋ยนบิดา ซุนกวน ครั้นจูกัดเก๊กถอดเสียจากที่มีความแค้นนัก แต่ว่าไม่รู้ที่จะทำประการใดก็นิ่งอยู่
เตงอิ๋นขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งมีใจเจ็บแค้นจูกัดเก๊กมาแต่ก่อน ครั้นแจ้งเนื้อความดังนั้นก็ไปหาซุนจุ๋น จึงว่าจูกัดเก๊กคนนี้ได้เปนใหญ่แล้วข่มขี่ขุนนางทั้งปวงนัก ทำการทุกวันนี้ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นเปนขบถต่อแผ่นดิน ท่านเปนเชื้อพระวงศ์เหตุใดจึงนิ่งเสียไม่คิดอ่านที่จะกำจัดศัตรูราชสมบัติ เลย ซุนจุ๋นจึงว่า การอันนี้ข้าพเจ้าคิดมานานอยู่แล้ว แต่ว่าจนใจด้วยหารู้ที่จะปรึกษาผู้ใดไม่ ถ้าได้ท่านเปนเพื่อนคิดแล้วเห็นจะสำเร็จการ ข้าพเจ้าคิดว่าจะพาท่านเข้าไปทูลแก่พระเจ้าซุนเหลียงให้แจ้ง ซึ่งการที่ข้าพเจ้าทำทั้งปวง แล้วจะคิดอ่านจับจูกัดเก๊กท่านจะเห็นประการใด เตงอิ๋นเห็นชอบด้วยก็พากันไปเฝ้า จึงกระซิบทูลความทั้งปวง
พระเจ้าซุนเหลียงจึงว่า การอันนี้ข้าพิเคราะห์เห็นนานอยู่แล้ว แต่ทว่าจนใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ บัดนี้ท่านทั้งสองจงรักภักดีต่อเรา เห็นแก่การแผ่นดินก็เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้จงได้ เตงอิ๋นจึงทูลว่า ขอพระองค์ให้ทหารซึ่งมีฝีมือถืออาวุธไปซุ่มอยู่ในฉากแล้วจึงสั่งว่า ถ้าได้ยินเสียงทิ้งจอกสุราลงแล้วให้ทหารออกมาฆ่าจูกัดเก๊กเสีย ครั้นเตรียมการพร้อมแล้วจึงไปเชิญจูกัดเก๊กมากินโต๊ะ
ฝ่ายจูกัดเก๊กป่วยอยู่ ณ เรือนให้เดือดร้อนรำคาญใจนัก จึงออกมาว่าราชการ แลไปเห็นผู้หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวโพกผ้าขาวเดิรเข้าไปแลปะหน้าโกรธนัก สั่งทหารให้จับเอาตัวไปตีถามเอาเนื้อความ คนนั้นจึงให้การว่าบิดาข้าพเจ้าตาย จะไปนิมนต์หลวงจีนมาทำบุญ ไม่รู้จักว่าจวนท่าน คิดว่าวัด ข้าพเจ้าผิดนักแล้วแต่จะโปรด จูกัดเก๊กโกรธนัก จึงให้หาทหารรักษาประตูเข้ามาถามว่า เหตุใดจึงให้อ้ายคนนี้เข้ามาในบ้าน ทหารซึ่งรักษาประตูประมาณสี่สิบคนให้การว่า ข้าพเจ้าถืออาวุธครบมือรักษาประตูพร้อมหน้ากันอยู่หาเห็นผู้ใดเข้ามาไม่ จูกัดเก๊กก็สั่งให้เอาทหารซึ่งรักษาประตูแลผู้เข้าไปนั้นไปฆ่าเสีย ครั้นเวลากลางคืนรำคาญใจนักนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่า ครั้นออกมาแลดูเห็นอกไก่จวนนั้นขาดออกไปเปนสองท่อนตกใจนัก กลับเข้าไปนอนมิหลับ ปีศาจหลอกหลอนทำเปนลมพัดมาถูกตัว เหลียวไปก็เห็นคนซึ่งฆ่าเสียนั้นไม่มีสีสะ มือหิ้วสีสะเดิรตามกันเข้ามาร้องว่า ท่านจงเอาชีวิตมาให้เรา
จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นกลัวนักก็ดิ้นจนพลัดลงจากเตียง นิ่งไปเปนครู่ ผู้พยาบาลเข้าแก้ฟื้นขึ้น ครั้นเวลาเช้าจูกัดเก๊กออกมาล้างหน้า เหม็นคาวนํ้าในกระถางเปนกลิ่นโลหิตก็โกรธนัก จึงให้คนใช้ไปตักน้ำมาใหม่เปนหลายครั้ง ก็เหม็นคาวเปนกลิ่นโลหิตไปสิ้นทั้งนั้นก็สงสัยใจนัก พอผู้รับสั่งเข้ามาบอกว่า พระเจ้าซุนเหลียงให้เชิญท่านไปกินโต๊ะ จูกัดเก๊กก็ขึ้นเกวียนมีทหารแห่หน้าหลังจะเข้าไปเฝ้า สุนัขเหลืองซึ่งเลี้ยงไว้ ณ เรือนนั้นก็กัดเอาเสื้อจูกัดเก๊กคร่าไป แล้วร้องประดุจหนึ่งเสียงร้องไห้ จูกัดเก๊กหลากใจตวาดสุนัขเสียแล้วก็ไปหน่อยหนึ่ง จึงแลเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน เปนเหตุประหลาทเหมือนครั้งเมื่อไปทัพ ก็ประหลาทใจอีกครั้งหนึ่ง เตียวเอียดทหารคนสนิธเห็นดังนั้นก็ให้สติว่า ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านเข้าไปกินโต๊ะเลี้ยงครั้งนี้ หารู้จักเหตุหนักแลเบาไม่เลย ขอให้ท่านตรึกตรองจงดีก่อนอย่าเพ่อเบาความ จูกัดเก๊กได้ยินก็ให้กลับเกวียนไปบ้าน เตงอิ๋นกับซุนจุ๋นรู้ว่าจูกัดเก๊กกลับไป ก็ขับม้าทันเกวียนเข้าจึงว่า พระเจ้าซุนเหลียงระลึกถึงท่านมหาอุปราชนักจึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะ ท่านจะกลับไปไหนเล่า จูกัดเก๊กจึงว่า ข้ามาถึงนี่แล้วให้ปวดท้องเปนกำลัง เห็นจะเฝ้าไม่ได้ข้าจึงกลับไปบ้าน
เตงอิ๋นจึงว่า แต่ท่านมหาอุปราชไปทัพกลับมาแล้วยังไม่ได้เข้าไปเฝ้าเลย พระเจ้าซุนเหลียงเอาพระทัยไต่ถามอยู่เนือง ๆ แจ้งว่าท่านคลายแล้ว จึงให้เชิญเข้าไปกินโต๊ะหวังจะได้ปรึกษาราชการแผ่นดิน ได้เข้ามาถึงนี่แล้ว อุตส่าห์แขงใจเข้าไปเฝ้าสักหน่อยหนึ่งเถิด ให้พระเจ้าซุนเหลียงดีพระทัย จูกัดเก๊กได้ยินดังนั้นก็หายสงสัย จึงเข้าไปเฝ้า เตียวเอียดทหารก็ตามเข้ามาด้วย
พระเจ้าซุนเหลียงกระทำคำนับจูกัดเก๊กแล้วเชิญให้นั่งเก้าอี้ จึงเชิญให้เสพย์สุรา จูกัดเก๊กระวังตัวอยู่จึงทูลว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่เสพย์สุราไม่ได้ ซุนจุ๋นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชกินยาดองสุราอยู่อัตรา อย่าให้ขัดพระอัชฌาสัยเลย ใช้ให้บ่าวไปเอายาดองมากินแต่พอใช้ชอบพระอัชฌาสัย จูกัดเก๊กก็ให้คนไปเอายาดองมากิน พระเจ้าซุนเหลียงเห็นจูกัดเก๊กกินสุรายาดองเมามึนตัวแล้ว จึงกลับเอาเนื้อความซึ่งพระบิดาฝากฝังบ้านเมืองแลพระองค์นั้นมาพูดให้จูกัด เก๊กไว้ใจ ซุนจุ๋นก็เข้าไปในฉากถอดเสื้อออกเสีย แล้วแต่งตัวให้มั่นคงเปนทีจะเข้ารบศึกแล้วถือกระบี่ออกมาจึงร้องว่า มีรับสั่งให้เราฆ่าอ้ายจูกัดเก๊กขื่งเปนศัตรูแผ่นดินให้สิ้นชีวิต จูกัดเก๊กตกใจมือจับกระบี่ขยับตัวจะลุกขึ้นสู้ ซุนจุ๋นก็ฟันจูกัดเก๊กสีสะขาดตกลง เตียวเอียดก็รำง้าวเข้ามาแทงถูกมือซุนจุ๋น ๆ ฟันถูกไหล่เตียวเอียด ทหารซึ่งถืออาวุธตระเตรียมอยู่ในฉาก จึงกรูออกมาเข้ากลุ้มรุมกันแทงฟันเตียวเอียดตาย ซุนจุ๋นสั่งทหารให้ไปจับบุตรภรรยาจูกัดเก๊กกับเตียวเอียด แลให้ริบพัสดุทองเงินเข้าไปเปนของหลวง ครั้นสั่งแล้วจึงให้ทหารเอาเสื่อพันศพจูกัดเก๊กเตียวเอียดไปทิ้งเสียนอก กำแพงเมืองข้างทิศใต้
ฝ่ายภรรยาจูกัดเก๊กให้เปนทุกข์หนักอกหนักใจนัก แลไปเห็นหญิงคนใช้ซึ่งปีศาจจูกัดเก๊กมาเข้ามีกลิ่นตัวเหม็นโลหิตเดิรเข้าไป ในเรือน จึงถามว่าตัวมึงถูกอะไรจึงเหม็นคาวโลหิต หญิงนั้นก็เหลือกตาแล้วโลดขึ้นไปนั่งบนขื่อ จึงร้องว่า กูนี้คือจูกัดเก๊ก พอทหารไปถึงเข้าก็ล้อมเรือนไว้ไล่จับมัดตัวภรรยาจูกัดเก๊กแลคนในเรือนได้ แล้วริบพัสดุเงินทอง เอาคนทั้งปวงไปฆ่าเสียกลางตลาด สิ่งของทั้งปวงเอาเข้าไปเปนหลวงสิ้น ครั้งนั้นเดือนสิบสอง พอพระเจ้าซุนเหลียงเสวยราชย์ได้สองปี (พ.ศ. ๗๙๖) เมื่อซุนจุ๋นฆ่าจูกัดเก๊กเสียดังนั้น พระเจ้าซุนเหลียงก็ตั้งให้เปนที่มหาอุปราชว่าราชการแผ่นดินทั้งปวง
ฝ่ายเกียงอุยทหารเมืองเสฉวน ครั้นแจ้งหนังสือจูกัดเก๊กก็ดีใจนัก จึงเอาเนื้อความมาทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน แล้วทูลลาจะยกกองทัพไปตีเม็องวุยก๊ก พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ยอม เกียงอุยกะเกณฑ์ทหารยี่สิบหมื่น ให้เลียวฮัวเปนปีกซ้าย เตียวเอ๊กเปนปีกขวาให้ยกไปหน้า ให้แฮหัวป๋าเปนที่ปรึกษาในกองหลวง เตียวหงีเปนทัพหลังคุมลำเลียง จึงให้ยกกองทัพไปทางด่านแฮเบงก๋วน ยกทัพครั้งนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบหกปี (พ.ศ. ๗๘๓) เกียงอุยจึงปรึกษาด้วยแฮหัวป๋าว่า เรายกกองทัพไปครั้งก่อนเสียทีแก่ข้าศึก ครั้งนี้ทหารก็มากเครื่องศัสตราวุธก็พร้อม เราจำจะคิดอ่านทำการให้สามารถ ท่านจะคิดทำประการใดจึงจะมีชัยชนะแก่ข้าศึก
แฮหัวป๋าจึงว่า หัวเมืองขึ้นวุยก๊กข้างฝ่ายเหนือเห็นแต่หัวเมืองอันหนำนี้มีเข้าปลาอาหาร บริบูรณ์ ถ้าเราตีได้จะได้เปนกำลังเลี้ยงทหาร เมื่อเรายกไปครั้งก่อนเสียทีแก่เขา ด้วยกองทัพมิพร้อมทัพเมืองเกี๋ยงก็มามิทัน ครั้งนี้ขอท่านให้มีหนังสือไปให้ยกกองทัพมาทางเซ็กเอ๋ง ให้มาบัญจบทัพเรา ณ เมืองตองเต๋งพร้อมกัน แล้วเราจะยกไปตีเมืองอันหนำ
เกียงอุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้จัดแจงคุมเอาเพ็ชร์แลเงินทองแพรกระบวรอย่างดีเปนเครื่องราชบรรณาการไป ถึงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกกองทัพมาช่วย ปีต๋องเจ้าเมืองบ้านนอกได้บรรณาการดีใจนัก จึงเกณฑ์กองทัพห้าหมื่น ให้โงโหเสียวกั้วสองคนเปนแม่ทัพหน้า ตัวปีต๋องเปนแม่ทัพหลวงยกไปเมืองตองเต๋ง
ฝ่ายกวยหวยเจ้าเมืองเองจิ๋วแจ้งว่าเกียงอุยยกทัพมา ก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปแจ้งข้อราชการ ณ เมืองลกเกี๋ยง สุมาสูจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กองทัพเกียงอุยยกมาครั้งนี้ ผู้ใดจะอาสาออกไปต้านทาน ชิจิดขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาออกไป สุมาสูแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าชิจิดเปนคนดีมีสติปัญญากำลังก็มาก แล้วห้าวหาญในการสงคราม ครั้นได้ยินชิจิดรับอาสาดังนั้นดีใจนัก จึงให้ชิจิดเปนทัพหน้า สุมาเจียวเปนแม่ทัพหลวง คุมทหารยกไปถึงตองเต๋ง ชิจิดถือขวานขี่ม้าคุมทหารออกไป เกียงอุยใช้ให้เลียวฮัวคุมทหารออกรบ เลียวฮัวถือทวนขี่ม้าคุมทหารออกไปสู้กับชิจิดได้สามเพลง ทวนพลัดตกจากมือเสียทีก็ชักม้าหนีไป เกียงอุยใช้ให้เตียวเอ๊กออกช่วย เตียวเอ๊กถือทวนขี่ม้าออกรบกับชิจิดได้ประมาณห้าเพลงเหลือกำลังก็หนี ชิจิดได้ทีพาทหารไล่รุกบุกบันฆ่าทหารเกียงอุยตายเปนอันมาก เกียงอุยเห็นทหารระส่ำระสายนักจะต้านทานมิได้ ก็ล่าทัพถอยไปประมาณสามร้อยเส้นก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ ฝ่ายสุมาเจียวห้ามทหารไม่ให้ติดตาม ก็สั่งให้ตั้งค่ายมั่นอยู่ที่นั่น
เกียงอุยจึงปรึกษากับแฮหัวป๋าว่า ชิจิดคนนี้มีกำลังมากนัก เราจะคิดอ่านประการใดจึงจะฆ่าเสียได้ แฮหัวป๋าจึงว่า ต่อเวลาพรุ่งนี้เราให้ซุ่มทหารไว้สองฟากทางแล้ว ให้ทหารออกไปรบด้วยชิจิดให้ทำเปนแพ้หนีมา ชิจิดไล่มาเราจึงให้ทหารซึ่งซุ่มไว้ตีวกหลังเข้าเห็นจะจับชิจิดได้เปนมั่นคง
เกียงอุยจึงว่า สุมาเจียวคนนี้เปนบุตรสุมาอี้ เห็นเขาจะชำนาญนักในกลศึก ซึ่งจะล่อลวงดังนั้นเกรงจะไม่สมความคิด ด้วยที่ทางชอบกลนัก เห็นเขาจะไม่ติดตาม พิเคราะห์ดูเห็นทัพเมืองวุยก๊กมาทำการแก่เราแต่ก่อนมักให้กองทัพไปสกัดต้น ทางลำเลียง ซึ่งเราจะฆ่าชิจิดในที่รบซึ่งหน้าดังนี้เห็นไม่ได้ ด้วยกำลังก็มากทหารก็มาก เราตั้งมั่นอยู่ในค่ายไม่ออกรบ สุมาเจียวก็จะใช้ชิจิดไปตีลำเลียง เราคิดอ่านลวงชิจิดให้เสียทีแก่เราเมื่อไปตีลำเลียงที่ทางแคบ เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว แฮหัวป๋าเห็นชอบด้วย
เกียงอุยจึงให้หาเลียวฮัวกับเตียวเอ๊กมาสอนให้ทำกลอุบาย ซึ่งตัวเคยทำด้วยขงเบ้งแต่ก่อนนั้นให้ไปลวงชิจิดแล้วก็ใช้ไป เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กก็ไปทำเหมือนความคิดเกียงอุยสั่งมานั้น ฝ่ายเกียงอุยอยู่รักษาค่ายให้ทหารทำขวากกระจับเหล็กรายรอบค่าย แล้วให้ตัดไม้ทำขวากปักรายรอบชั้นนอกเปนอันมาก ฝ่ายชิจิดคุมทหารมาหน้าค่ายเกียงอุยร้องท้าทายทุกวันให้เกียงอุยออกรบ เกียงอุยก็มิได้ออกรบ ครั้นจะเข้าหักชิงเอาค่ายเห็นไม่ได้
กองสอดแนมจึงให้ม้าใช้มาบอกสุมาเจียวว่า ทหารเกียงอุยคุมลำเลียงมาถึงหลังเขาเทียดลองสัน สุมาเจียวจึงปรึกษาด้วยชิจิดว่า เกียงอุยมิได้ออกสู้รบเรา ตั้งมั่นอยู่ในค่ายชรอยจะคอยทัพหนุน เราจำจะให้ไปตัดลำเลียงเสีย เกียงอุยขัดสนลำเลียงลงแล้วเห็นจะหนีเราเปนมั่นคง ท่านจงคุมทหารไปตัดลำเลียงเสียให้จงได้ ชิจิดคุมทหารห้าพันยกไปเวลาพลบคํ่าไปถึงเขาเทียดลองสัน กองสอดแนมก็มาบอกว่า ทหารเกียงอุยประมาณสองร้อยเศษ คุมลำเลียงบันทุกโคยนตร์ประมาณร้อยเศษมาแล้ว ชิจิดก็ให้ทหารซุ่มอยู่สองฟากทาง ตัวเองไปตั้งสกัดอยู่ต้นทาง กองสอดแนมก็ให้ม้าใช้ไปบอกเกียงอุยว่า ชิจิดยกทัพจะไปตีลำเลียงแล้ว เกียงอุยก็ยกทัพมา ครั้นกองลำเลียงไปถึงเข้า ชิจิดก็ให้ทหารโห่ตีกระหนาบเข้าไป ทหารซึ่งคุมลำเลียงมานั้นก็หนีตามทางซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำกลสั่งให้ไป นั้น ชิจิดก็ให้ทหารสองพันห้าร้อยคุมลำเลียงกลับมา ตัวก็พาทหารสองพันห้าร้อยไล่ตามไป ครั้นไปได้ประมาณร้อยเส้นถึงทางแคบ พอพบเกวียนกลเปนอันมาก ซึ่งเลียวฮัวเตียวเอ๊กทำขวางทางไว้ ก็ให้ทหารลงจากม้าช่วยกันเข็นเกวียนแอบเข้าเสียข้างทาง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมช่วยกัน ทหารซึ่งตามมานั้นก็คับคั่งกันอยู่เปนอันมาก แต่พอเกวียนเคลื่อนไหวจากที่ ก็เกิดเพลิงขึ้นในเกวียนเปนพลุพลุ่งออกมา ถูกทหารล้มตายเจ็บปวดเปนอันมาก ชิจิดก็คิดว่าเขาทำกลขวางหน้าไว้แล้ว ครั้นจะกลับไปทางมาเกรงเขาจะซุ่มทหารสกัดไว้ ก็พาทหารหนีไปทางน้อยริมเชิงเขาข้างหนึ่ง พอไปใกล้ถึงปากทางก็พบเกวียนกลแอบอยู่ริมสองฟากทางเปนอันมาก ตกใจนักก็เร่งรีบทหารไปให้พ้น เกวียนก็เกิดเพลิงพลุพลุ่งออกมาจากเกวียนทั้งสองฟากทาง ถูกทหารเจ็บปวดล้มตายมากนัก ชิจิดก็พาทหารซึ่งเหลือตายหนีพ้นไป แล้วได้ยินเสียงประทัดสำคัญ แลไปเห็นเลียวฮัวออกมาข้างซ้าย เตียวเอ๊กออกมาข้างขวา คุมทหารโห่ออกมาตีกระหนาบเข้า ทหารชิจิดก็ล้มตายสิ้น ชิจิดก็ควบม้าหนีไป พบเกียงอุยคุมทหารสกัดทางอยู่ ชิจิดตกใจนัก จะกลับอาวุธเข้าสู้ก็มิทัน เกียงอุยแทงถูกชิจิดตกม้าลง ทหารก็เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงชิจิดตาย
ฝ่ายทหารชิจิดครึ่งหนึ่งซึ่งคุมสำเลียงมานั้นไปพบแฮหัวป๋าเข้า แฮหัวป๋าก็ให้ทหารล้อมไว้ ทหารชิจิดเห็นสู้มิได้ก็ยอมเข้าด้วยแฮหัวป๋า ๆ กับทหารของตัวก็ถอดเอาเสื้อกางเกงทหารชิจิดมาใส่ แล้วให้ทหารถือธงชิจิดนำหน้าพาทหารแลสเบียงตรงเข้าไปค่ายสุมาเจียว ๆ เห็นทหารชิจิดตีลำเลียงได้มาก็เปิดประตูค่ายให้เข้าไป แฮหัวป๋าพาทหารเข้าไปในค่ายแล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาเจียว ๆ พาทหารหนีออกไปได้ เลียวฮัวกับเตียวเอ็กเร่งรีบมาพบสุมาเจียวก็พาทหารเข้าระดมตี สุมาเจียวต้านทานมิได้ก็หนีไปทางหนึ่งพบทัพเกียงอุยเข้า เกียงอุยก็พาทหารเข้าโจมตี สุมาเจียวมิรู้ที่จะไปก็พาทหารหนีขึ้นไปบนเขาเทียดลองสัน เขานั้นมีทางจำเพาะขึ้นทางเดียว มีห้วงน้ำน้อยอยู่อันหนึ่งพอจะกินได้สักร้อยคน ทหารซึ่งขึ้นไปด้วยสุมาเจียวนั้นประมาณหกพันกินน้ำนั้นก็แห้งสิ้น เกียงอุยจะตามขึ้นไปมิได้ก็ให้ทหารล้อมเชิงเขาไว้ สุมาเจียวเห็นม้าแลทหารอดน้ำนัก ก็เงยหน้าขึ้นดูอากาศแล้วกระทืบเท้าร้องว่า เทพดาไม่เอ็นดูเลย จะให้อดน้ำตายเสียสิ้นแล้วหรือ
อองโถสมุห์บาญชีจึงว่า แต่ครั้งก่อนเกรงกะหยงคนหนึ่ง ยกกองทัพไปรบข้าศึกไม่มีนํ้าจะกิน พบห้วงน้ำอันหนึ่งเข้าหาน้ำมิได้ ก็กราบลงเสี่ยงทายเทพดาก็ได้น้ำกินบริบูรณ์ ท่านขัดสนด้วยน้ำครั้งนี้ขอให้เสี่ยงทายดูเถิด สุมาเจียวเห็นชอบด้วยก็ขึ้นไปถึงห้วงน้ำ กราบลงสามทีแล้วเสี่ยงทายว่า ข้าพเจ้าสุมาเจียวอาสาพระเจ้าแผ่นดินมาปราบปรามข้าศึก ถ้าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิตแล้วขออย่าให้น้ำมีมาเลย ข้าพเจ้าจะได้เชือดคอตายเสีย ทหารทั้งปวงจะยอมเข้าไปหาข้าศึก ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่จะได้ทำราชการรักษาแผ่นดินสืบไป ขอใหเทพดาเจ้าบันดาลให้มีนํ้ามาเต็มห้วงนี้เถิด แต่พอสิ้นคำลงก็มีน้ำไหลออกมาเต็มห้วง ทหารแลม้าได้กินบริบูรณ์ไม่รู้สิ้นเลย
ฝ่ายเกียงอุยจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า มหาอุปราชล้อมสุมาอี้ไว้ได้ทีหนึ่งก็หาจับตัวได้ไม่ เรายังมีความแค้นอยู่ ครั้งนี้ข้าเห็นสุมาเจียวไม่พ้นมือแล้วจะจับได้เปนมั่นคง
ฝ่ายกวยหวยอยู่ ณ เมืองเองจิ๋ว ได้แจ้งว่าเกียงอุยล้อมสุมาเจียวไว้ที่เขาเทียดลองสันแล้ว จึงปรึกษากับต้านท่ายว่าจะยกกองทัพไปช่วย ต้านท่ายจึงว่า ซึ่งจะยกไปช่วยนั้นข้าพเจ้าเกรงอยู่ เพราะเกียงอุยยกมาครั้งนี้กองทัพเมืองเกี๋ยงก็มาด้วย ยกมาถึงแดนเมืองอังหนำแล้ว ครั้นรู้ว่าท่านยกมาช่วยสุมาเจียว ก็จะยกเข้าตีเอาเมืองเองจิ๋ว เราจะมิเสียทีหรือ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำลายทัพเมืองเกี๋ยงเสียก่อน จะให้ขุดหลุมกว้างยาวสกัดหน้าเมืองไว้ แล้วข้าพเจ้าจะไปลวงปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยงให้ยกมาตีเมืองเรา ๆ กำจัดปีต่องเสียได้แล้วจึงจะไปช่วยสุมาเจียวจะมิต้องระวังหลังเลย
กวยหวยเห็นชอบด้วย ก็ให้ด้านท่ายคุมทหารห้าพันไปลวงปีต๋อง ต้านท่ายยกไปใกล้ปีต๋องแล้ว ให้ทหารมัดศัสตราวุธแบกเข้าไปให้ปีต๋อง ต้านท่ายไปถึงปีต๋องแล้วกราบลงร้องไห้จึงว่า ข้าพเจ้าทำราชการด้วยกวยหวยมีความชอบหนักหนา กวยหวยมิได้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย ตั้งตัวเปนใหญ่แล้วคิดกำจัดข้าพเจ้าเสียอีกเล่า ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงสมัคเข้ามาเปนข้าท่าน ด้วยแจ้งอยู่แต่ก่อนว่าท่านมีสติปัญญารู้เลี้ยงคนดี ข้าพเจ้าจึงมาเข้าด้วยท่าน แลซึ่งจะตีเอาเมืองเองจิ๋วเปนพนักงานข้าพเจ้าผู้เดียวมิให้ท่านลำบากเลย ขอให้ยกกองทัพไปในเวลาคํ่าวันนี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอไปแก้ความแค้น ปีต๋องก็เชื่อ จึงสั่งให้โงโหกับเสียวกั้วยกกองทัพไปกับต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็ให้ทหารต้านท่ายอยู่รั้งหลัง เอาแต่ตัวต้านท่ายไปก่อน เวลาสองยามก็ถึงเมืองเองจิ๋ว แลไปเห็นประตูเปิดอยู่ ต้านท่ายก็ควบม้าไปบอกกวยหวยซึ่งตระเตรียมกองทัพไว้นั้นพากันออกมาตีวกหลัง ทหารต้านท่ายซึ่งตามมานั้นก็ไล่ฟันตามหลังเข้าไป ทหารโงโหเสียวกั้วก็ตกลงในหลุมทั้งม้าทั้งคน เหยียบกันเจ็บปวดล้มตายเปนอันมาก ทหารซึ่งเหลือตายก็ยอมเข้าด้วยต้านท่าย
ฝ่ายโงโหเสียวกั้วก็เอาดาบเชือดฅอตายทั้งสองคน ครั้นรุ่งเช้ากวยหวยกับต้านท่ายก็ยกเข้าไปตีปีต๋องเจ้าเมืองเกี๋ยง ซึ่งตั้งอยู่แดนเมืองอันหนำนั้น ปีต๋องเห็นทัพต้านท่ายกับกวยหวยมีความแค้นนัก ขี่ม้าคุมทหารออกมานอกค่าย ฝ่ายทหารกวยหวยต้านท่ายเห็นทหารปีต๋องน้อยนักก็เข้ากลุ้มรุมจับตัวปีต๋องได้ มัดเอามาให้กวยหวย ๆ เห็นทำเปนตกใจลงจากม้าขมีขมันไปแก้ปีต๋องออกเสียแล้วจึงว่า พระเจ้าโจฮองทรงพระเมตตาท่านนักว่าเปนคนสัตย์ซื่อ ตั้งพระทัยคอยจะชุบเลี้ยงท่าน เหตุใดท่านจึงเข้าด้วยเกียงอุยซึ่งเปนคนหยาบช้า ปีต๋องก็นบนอบขอชีวิตแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอเปนข้าพระเจ้าโจฮอง กวยหวยจึงว่า ถ้ากระนั้นท่านจงเปนทัพหน้ายกไปตีเกียงอุยซึ่งล้อมสุมาเจียวไว้นั้น ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะทูลยกความชอบให้ ปีต๋องก็รับอาสา เวลาค่ำก็คุมทหารยกไปเปนทัพหน้า ครั้นเวลาสามยามใกล้ค่ายเกียงอุยเข้า จึงใช้ทหารไปบอกเกียงอุยว่าทัพปีต๋องมาถึงแล้ว เกียงอุยดีใจนักก็สั่งว่าให้เชิญปีต๋องเข้ามาเถิด ปีต๋องก็พาทหารซองตัวแลทหารกวยหวยเข้าไปด้วยเปนอันมาก เกียงอุยเห็นประหลาทใจจึงว่า ให้ทหารตั้งค่ายอยู่แต่นอกเถิด เชิญแต่ท่านกับทหารซึ่งตามหลังนั้นเข้ามา ปีต๋องก็พาทหารกวยหวยแลทหารของตัวซึ่งมีฝีมือประมาณร้อยหนึ่งเข้าไปในค่าย เกียงอุยกับแฮหัวป๋าออกมารับเข้าไปในค่าย ปีต๋องยังมิทันสั่งให้ทำการ ทหารได้ทีแล้วก็ไล่บุกบันฆ่าทหารเกียงอุยวุ่นวายขึ้น ทหารข้างนอกก็แหกค่ายเข้าไปช่วยกัน
เกียงอุยตกใจนักมิทันฉวยอาวุธเผ่นขึ้นม้าหนีไป ทหารทั้งปวงก็วิ่งออกจากค่ายกระจัดกระจายหนีไป เกียงอุยไม่มีอาวุธถือคว้าหาเกาทัณฑ์ที่สะเอวได้แต่คันลูกนั้นตกเสียแล้ว กวยหวยเห็นเกียงอุยก็ควบม้าไล่เกียงอุยก็ยิงแต่สายเกาทัณฑ์เปล่า กวยหวยได้ยินแต่เสียงเกาทัณฑ์หาเห็นลูกไม่ กวยหวยจึงเอาหอกซัดทำเปนลูกเกาทัณฑ์ยิงไป เกียงอุยฉวยได้ก็รออยู่ ให้กวยหวยเข้าไปใกล้คะเนได้ทีก็ยิงถูกกวยหวยตกม้าลง เกียงอุยก็กลับมาชิงได้ทวนสำหรับมือกวยหวยจะแทง พอทหารกวยหวยตามมาทันเกียงอุยก็หนีไป ทหารก็พากวยหวยเข้าไปค่าย แต่พอชักหอกออกได้โลหิตก็ไหลออกมากวยหวยก็ตาย สุมาเจียวก็พาทหารลงมาจากเขาช่วยกันไล่ติดตามข้าศึก
ฝ่ายแฮหัวป๋าหนีไปพบเกียงอุยเข้าก็พากันกลับไปเมึองฮันต๋ง จึงปรึกษากันว่าเราไปทัพครั้งนี้เสียทหารมากมาย แต่ว่าได้เปรียบด้วยล้างนายทหารใหญ่มีฝีมือได้สองคน ทหารเลวนั้นก็ล้มตายลงเปนอันมาก ความผิดเราก็มีความชอบเราก็มี ถึงจะเข้าไปเฝ้าเห็นมิพอเปนไร ว่าแล้วก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน
ฝ่ายสุมาเจียวก็ให้รางวัลแก่ปีต๋องแลทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วจึงสั่งว่าท่านจงกลับไปเมืองเถิด ข้าพเจ้าไปเฝ้าจะทูลความชอบให้ ปีต๋องก็ลาพาทหารกลับไปเมืองเกี๋ยง สุมาเจียวก็ยกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายสุมาสูแลสุมาเจียวได้ว่าราชการเมืองวุยก๊ก บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็อยู่ในบังคับบัญชาสิ้นทั้งนั้น จะผิดแลชอบประการใดก็หาผู้ทัดทานได้ไม่
กรุณาแสดงความคิดเห็น