eBook สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 77
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 77
เนื้อหา
• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หก• ขงเบ้งให้ตีค่ายเสียทีสุมาอี้
• ขงเบ้งทำโคยนตร์
• พระเจ้าซุนกวนยกกองทัพไปตีวุยก๊ก
ขณะ นั้นขงเบ้งตั้งทำนุบำรุงทแกล้วทหารซ่องสุมอาหารอยู่สามปี อาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งทำมาหากินเปนสุข ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเอ็ดปี (๑) (พ.ศ. ๗๗๖) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งจึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ตัวข้าพเจ้าผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เปนสุข ก็ได้ปรนปรือทแกล้วทหารซ่องสุมสเบียงอาหารว่างศึกมาถึงสามปีแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลายกกองทัพไปปราบปรามข้าศึกเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเปน เสี้ยนหนามให้ราบคาบ แม้ไม่สมคิดข้าพเจ้าก็ไม่กลับมาดูหน้าชาวเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็ตกใจจึงตรัสห้ามว่า บัดนี้เมืองเราก็ราบคาบมีภูมิ์ฐานแผ่ไปกว้างขวาง แลเมืองลกเอี๋ยงเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่ยกมากระทำยํ่ายีแก่เราได้ แม้ท่านจะนิ่งอยู่แต่เมืองนี้ก็พอจะเปนสุขสืบไป เหตุใดจะยกกองทัพไปให้ลำบากกายเล่า
ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า พระเจ้าเล่าปี่มีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้า แล้วได้สั่งไว้ให้คิดอ่านปราบปรามศัตรูในเมืองลกเอี๋ยงให้ราบคาบ แล้วจะยกเปนเมืองหลวงขึ้นดังเก่า แลเนื้อความทั้งปวงก็ยังไม่สมความคิด ข้าพเจ้าก็ยังนอนตาไม่หลับ ข้าพเจ้าจึงจะยกไปทำการให้สำเร็จ
เจียวจิ๋วโหรได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้น จึงทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าดูในตำราแล้วเห็นดาวมหาอุปราชเมืองเรานี้เสร้าหมอง อันดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือนั้นรุ่งเรือง อนึ่งชาวเมืองเราเลื่องลือกันว่า เวลากลางคืนได้ยินใบสนธิ์ซึ่งต้องลมนั้น เหมือนเสียงคนร้องไห้อื้ออึงอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปครั้งนี้ขอให้งดไว้ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังมิได้ตรัสประการใด
ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวจิ๋วว่า ตัวเราได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ว่าจะคิดอ่านบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบ ซึ่งท่านจะเอานิมิตมะโนสาเร่มาขัดไว้นั้นไม่ได้ จำเราจะยกไปทำการตามรับสั่งจึงจะควร แล้วขงเบ้งก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระศพพระเจ้าเล่าปี่ จึงกราบลงแล้วร้องไห้รํ่าว่า ตัวข้าพเจ้าได้รับสั่งพระองค์ให้ปราบปรามศัตรูราชสมบัติเสียให้ราบคาบ ข้าพเจ้าก็ได้ยกไปทำการกับเหล่าศัตรูแผ่นดิน ณ เขากิสานถึงห้าครั้งก็ยังไม่ สำเร็จตามรับสั่งก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปอีก แม้ไม่สมความคิดก็จะมิได้กลับมาเลย แล้วก็ลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปเมืองฮันต๋ง ให้จัดแจงทแกล้วทหารได้สามสิบสี่หมื่น แลตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ทุกกอง
พอทหารมาบอกว่า กวนหินป่วยปัจจุบันถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักกวนหินจนสลบไป ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าแก้ฟื้นขึ้น ขงเบ้งจึงว่า กวนหินนี้เปนทหารเอก ทั้งมีใจสัตย์ซื่อเหมือนกวนอูผู้บิดา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ซึ่งกวนหินมาถึงแก่ความตายครั้งนี้ เหมือนเราเสียกำลังไปแก่ข้าศึกกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารเปนกองหน้า ให้ลิอิ๋นคุมสะเบียง ขงเบ้งเปนกองหลวง นายทหารยกเปนห้ากองไปบัญจบกัน ณ เขากิสาน
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เข้าไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้ขงเบ้งคุมทหารประมาณสี่สิบหมื่น (๒) ยกมาเขากิสานอีก พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษาแก่สุมาอี้ว่า ถึงสามปีแล้วกองทัพเมืองเสฉวนมิได้ยกมาทำอันตรายเมืองเรา บัดนี้ขงเบ้งยกมาจะใกล้ถึงเขากิสาน ท่านจะคิดประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า ข้าพเจ้าดูดาวแลตำราเห็นว่าฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเสร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้ แต่ข้าพเจ้าจะขอแฮฮัวป๋าแฮฮัวหุยแฮฮัวฮุยแฮฮัวโหสี่คน ซึ่งเปนบุตรแฮหัวเอี๋ยนไปด้วย จะได้เปนใจทำการสงครามแก้แค้นขงเบ้งซึ่งฆ่าแฮฮัวเอี๋ยนเสีย
พระเจ้าโจยอยจึงตอบว่า ครั้งก่อนนั้นแฮฮัวหลิมบุตรแฮฮัวตุ้นยกไปทำการศึกเสียทีมา ก็มีความละอายมิได้เข้ามาทำราชการในเมืองหลวง ซึ่งท่านจะเอาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนสี่คนไปครั้งนี้ เราเกรงว่าจะเหมือนแฮฮัวหลิม สุมาอี้จึงทูลว่า อันนํ้าใจบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนนี้กล้าหาญนัก จะทำการสิ่งใดเห็นองค์อาจ แล้วก็มีใจเจ็บพยาบาทขงเบ้งอยู่ เห็นจะไม่ย่อท้อข้าศึกเหมือนแฮฮัวหลิม พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ถ้าท่านเห็นได้การแล้วจะเอาไปก็ตามเถิด อันการทั้งปวงซึ่งจะยกไปนั้น ถ้าเห็นผู้ใดมีความคิดหลักแหลมกล้าหาญพอจะทำการสงครามได้ ก็ให้ท่านตั้งแต่งเปนขุนนางตามสมควรเถิด
สุมาอี้ก็ลาพระเจ้าโจยอยพาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนไป ณ เมืองเตียงอั๋น แล้วก็เกณฑ์ทหารได้ประมาณสี่สิบหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ให้แฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารเปนกองหน้า ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกไปถึงแม่น้ำฮุยโห จึงให้แฮฮัวป่าแฮฮัวฮุยข้ามไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำสองค่าย ให้ทำกำแพงไว้สำหรับได้ป้องกันข้าศึก แลสุมาอี้นั้นตั้งค่ายใหญ่อยู่ฟากข้างหนึ่ง แล้วให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำไว้ถึงเก้าตำบล โกฉุยซุนเลจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า กองทัพเมืองเสฉวนมาอยู่ ณ เขากิสาน ข้าพเจ้าคิดเกรงว่าขงเบ้งจะลอบไปตีเอาหัวเมืองหลงเส แม้เสียเมืองหลงเสข้าศึกก็จะมีกำลังมากขึ้น ท่านจงคิดป้องกันไว้ให้ได้ สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงว่าท่านว่านี้ควรนัก ท่านทั้งสองจงจัดทหารไปตั้งค่ายอยู่ ณ ปากทางเมืองหลงเส
ขณะเมื่อขงเบ้งยกกองทัพมานั้น ให้ตั้งค่ายรายทางแต่ด่านเกียมโก๊ะมาจนถึงเขากิสานประมาณสิบสี่สิบห้าค่าย หวังจะได้ทำการศึกค้างปี แล้วให้ตั้งค่ายมั่น ณ เขากิสานห้าค่าย ขงเบ้งจึงปรึกษาแก่นายทหารทั้งปวงว่า สุมาอี้ตั้งอยู่ฟากตวันออก กองหน้านั้นตั้งอยู่ฟากตวันตก ให้ทำสะพานข้ามเปนหลายตำบล แล้วให้ทหารไปตั้งสกัดปากทางปักหงวน หวังมิให้เราไปทำอันตรายเมืองหลงเส แลกองทัพเราตั้งอยู่บัดนี้เปนเหนือน้ำ เราจะให้ทำแพสักร้อยเศษ ขนเอาหญ้าฟางลงทำเชื้อเพลิงไว้หลังแพทั้งสิ้น จะเกณฑ์ทหารห้าพันซึ่งมีฝีมือชำนาญการเรือแพลงเตรียมไว้ แต่งทหารยกตามไปตีค่ายปักหงวน แลกองทัพเราจะเข้าตีค่ายหน้าซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำนั้นให้พร้อมกัน ฝ่ายสุมาอี้ก็จะเปนกังวลหน้าหลัง แล้วเราจึงวางแพลอยลงไป ถึงสะพานเข้าเมื่อใดจึงให้ทหารจุดเชื้อเพลิงขึ้น สะพานทั้งนั้นก็จะทำลายลงสิ้น ถึงจะให้ทหารหนุนเพิ่มเติมไปช่วยกันก็เห็นจะไม่ทัน แม้สุมาอี้เสียทีดังนี้เห็นการเราก็จะสำเร็จเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงกะเกณฑ์ทหารแล้วให้ไปตัดไม้ทำแพ เอาหญ้าฟางลงเตรียมไว้ทุกแพ
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้ทำแพเตรียมไว้ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งคิดกลศึกจะให้เปนกังวลหน้าหลัง แล้วก็จะลอยแพมาทำลายสะพานเราเสีย จำจะคิดป้องกันมิให้กองทัพเราเปนอันตรายได้ จึงให้ม้าใช้ไปบอกแก่โกฉุยซุนเลว่า ทหารขงเบ้งจะยกมาตีก็อย่าให้สะดุ้งสะเทือน ให้โกฉุยซุนเลคุมทหารออกมาซุ่มอยู่กลางทาง ถ้าเห็นทหารขงเบ้งยกมาเมื่อใดก็ให้ออกโจมตี เราจึงจะยกหนุนไปช่วยรบพุ่งมิให้ทหารขงเบ้งตั้งตัวได้ แล้วให้หาแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยมาสั่งว่า แม้ได้ยินเสียงโห่ร้องข้างตำบลปักหงวนเมื่อใด ท่านทั้งสองจงคุมทหารซุ่มอยู่นอกค่ายทิศข้างใต้ แม้เห็นขงเบ้งยกมาตีค่ายหน้าจึงให้ยกเข้าโจมตีอย่าให้ตั้งตัวได้ แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารเกาทัณฑ์คนละพันลงไปซุ่มอยู่ ณ เชิงสะพาน ทั้งสองฟาก แม้เห็นทหารขงเบ้งวางแพลอยมาให้เอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไป อย่าให้ทันจุดเชื้อเพลิงขึ้นทำลายสะพานได้ แล้วสั่งสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรว่า ตัวเราจะยกไปตำบลปักหงวน เจ้าทั้งสองจงอยู่รักษาค่ายแทนบิดา แม้ข้าศึกยกมาปล้นค่ายหน้าก็ให้พากันคุมทหารข้ามไปตีกระหนาบให้ได้ชัยชนะ ครั้นสั่งให้จัดแจงสำเร็จแล้ว สุมาอี้ก็คุมทหารลอบออกข้างหลังค่าย ลัดทางไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลปักหงวน
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้อุยเอี๋ยนม้าต้ายคุมทหารยกไปตีเอาค่ายปัก หงวน ให้งออี้งอปันคุมทหารสำหรับคุมแพ แลให้อองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กคุมทหารเปนสามกองไปตี ค่ายหน้าสุมาอี้ ฝ่ายอุยเอี๋ยนม้าต้ายยกข้ามแม่น้ำมาถึงปากทาง ครั้นเวลาพลบคํ่าจะยกเข้าตีค่ายปักหงวน โกฉุยกับซุนเลก็แกล้งทิ้งค่ายเสีย พาทหารออกมาซุ่มอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ห้ามทหารไว้มิให้เข้าค่าย ด้วยคิดเกรงเกลือกจะเปนกลศึก พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องขึ้นทั้งสองกอง ข้างขวานั้นสุมาอี้ข้างซ้ายโกฉุยซุนเลคุมทหารตีกระหนาบออกมาฆ่าฟันทหารเมือง เสฉวนเสียเปนอันมาก อุยเอี๋ยนม้าต้ายต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นฝ่าหนีออกมาถึงริมแม่น้ำ พอพบงออี้ งออี้จึงรับอุยเอี๋ยนม้าต้ายลงแพข้ามฟากมา ฝ่ายงอปั้นนั้นวางแพรีบลงไปจะใกล้ถึงสะพาน พอทหารสุมาอี้ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาดังห่าฝน เกาทัณฑ์ถูกงอปั้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงก็ล้มตายเปนอันมาก แพนั้นก็พัดเข้าตลิ่งเปนหลายแพ เตียวฮองงักหลิมแลทหารทั้งปวงจับทหารเมืองเสฉวนไว้ได้บ้าง โจนหนีไปบ้าง ตกน้ำตายบ้าง
ฝ่ายอองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กทั้งหกนายยกมาใกล้ ค่ายหน้าสุมาอี้จึงปรึกษากันว่า กองทัพซึ่งขงเบ้งให้ไปตีค่ายปักหงวนนั้นก็ยังไม่รู้เหตุ มาบัดนี้เวลายามเศษแล้ว เราจะยกเข้าตีเถิดหรือประการใด ปรึกษายังมิตกลงพอม้าใช้มาบอกว่า กองทัพซึ่งยกไปตีค่ายปักหงวนแลแพเชื้อเพลิงนั้นเสียแก่ข้าศึกแล้ว ขงเบ้งให้หาท่านกลับไป นายทหารทั้งหกคนก็ตกใจจะถอยกลับมา พอได้ยินเสียงโห่แล้วเห็นแสงเพลิงทั้งสี่ด้าน แลสุมาสูสุมาเจียวแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาไล่ฆ่าฟันทหารล้ม ตายเปนอันมากประมาณกึ่งหนึ่ง นายทหารทั้งหกคนต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกไป ครั้นถึงค่ายใหญ่ก็เข้าไปบอกแก่ขงเบ้งตามจริงทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก จึงตรวจตราทหารให้รักษาค่ายไว้มั่นคง พอบิฮุยมาแต่เมืองเสฉวน ขงเบ้งจึงแต่งหนังสือไปถึงซุนกวน สั่งให้บิฮุยรับเอาหนังสือแล้วก็ลาไปเมืองกังตั๋ง ขุนนางก็พาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน ๆ ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งคำนับมาถึงพระเจ้าซุนกวน ด้วยเมืองลกเอี๋ยงร่วงโรยมาแต่ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพราะโจโฉเปนศัตรูแผ่นดินคิดทำร้ายให้ได้ความเดือดร้อน อันโจโฉนั้นก็ตายแล้ว แลลูกหลานว่านเครือมันทำจลาจลต่อ ๆ มา แลตัวข้าพเจ้านี้ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ให้กำจัดเหล่าศัตรูแผ่นดินเสีย ข้าพเจ้าก็ได้ยกกองทัพไปทำสงครามเปนหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปทำการศึกอีก ก็เสียทแกล้วทหารเปนอันมาก อันเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เปนไมตรีกันมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ให้พระเจ้าซุนกวนเห็นแก่พระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์ ขอกองทัพเมืองกังตั๋งมาช่วยรบเมืองลกเอี๋ยงเปนทัพกระหนาบ แม้สำเร็จราชการสงครามแล้วจะแบ่งเมืองลกเอี๋ยงให้กึ่งหนึ่ง
พระเจ้าซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงตรัสแก่บิฮุยว่า เราคิดอยู่ว่าจะใคร่ยกไปกำจัดโจยอยเสีย พอขงเบ้งให้มีหนังสือมาขอกองทัพนี้ก็สมปราถนาเรา จึงให้ลกซุนกับจูกัดกิ๋นอยู่รักษาปากนํ้าเมืองกังแฮไว้ให้มั่นคง แล้วให้จัดแจงทหารไว้ประมาณสามสิบหมื่นเสร็จ ครั้นเวลารุ่งเช้าให้หาตัวบิฮุยเข้ามากินโต๊ะกับขุนนางทั้งปวง พระเจ้าซุนกวนจึงถามบิฮุยว่า ขงเบ้งยกไปทำการสงครามนั้นให้ผู้ใดเปนกองหน้า บิฮุยจึงทูลว่าให้อุยเอี๋ยนเปนกองหน้า พระเจ้าซุนกวนทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า อันอุยเอี๋ยนนั้นมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่น้ำใจมิได้สัตย์ซื่อมักคิดทรยศ แม้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ววันใด อุยเอี๋ยนก็จะเอาใจออกหากเล่าเสี้ยนเมื่อนั้น แลตัวเราจะยกไปช่วยขงเบ้งเอง
บิฮุยจึงทูลว่า พระองค์ตรัสนี้สมควรนัก แล้วคำนับลาพระเจ้าซุนกวนไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้ง ว่าซุนกวนจะยกกองทัพมาเอง แล้วเล่าซึ่งซุนกวนว่ากล่าวถึงอุยเอี๋ยนให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงสรรเสริญซุนกวนว่ามีสติปัญญาหลักแหลมสมควรเปนเจ้า แลตัวเราทุกวันนี้ใช่จะไม่เล็งเห็นใจแลพยศอุยเอี๋ยนหามิได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือกล้าหาญจึงเลี้ยงไว้แต่พอเปนเพื่อนทหารเลว
บิฮุยจึงว่า ท่านเห็นประจักษ์อยู่ฉนี้แล้ว เลี้ยงไว้ป่วยการเสียเปล่า ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสียอย่าให้มีราคีในกองทัพดีกว่า ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลยเราคิดไว้พร้อมอยู่แล้ว บิฮุยก็ลาขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวน พอนายประตูเข้าไปบอกขงเบ้งว่า มีทหารคนหนึ่งจะเข้ามาหาท่าน ขงเบ้งจึงให้เข้ามาแล้วถามว่า ตัวเปนทหารใครมาด้วยเหตุสิ่งใด ทหารนั้นแกล้งอุบายบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อแต้บุ๋นเปนข้าโจยอย ๆ ให้ข้าพเจ้ากับจีนล่งคุมทหารมาเปนลูกกองสุมาอี้ จีนล่งนั้นเปนคนประสมประสาน สุมาอี้ชอบใจใช้สอยตั้งแต่งจีนล่งขึ้นเปนขุนนาง แลสุมาอี้กับจีนล่งข่มเหงดูหมิ่นหยาบช้าแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ข้าพเจ้ามีใจเจ็บแค้นจึงลอบหนีมา หวังจะอยู่พึ่งบุญท่านจะได้ทำการศึกสืบไป ขงเบ้งยังไม่ทันว่าประการใด พอทหารเข้ามาบอกว่า จีนล่งคุมทหารเข้ามาร้องท้าทายถึงหน้าค่ายเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าจะตามจับตัวแต้บุ๋น
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงถามแต้บุ๋นว่า ฝีมือท่านกับจีนล่งนั้นเปนกะไรกัน แต้บุ๋นจึงแกล้งบอกว่า ฝีมือข้าพเจ้าดีกว่าจีนล่ง ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปตัดสีสะจีนล่งมาให้ท่านจงได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าทำได้ดังนั้นเราก็จะสิ้นสงสัยท่าน แต้บุ๋นก็ขึ้นม้าถือง้าวออกไป ขงเบ้งก็ตามออกไปดูถึงหน้าค่าย ฝ่ายจีนล่งเห็นแต้บุ๋นออกมาก็แกล้งร้องด่าว่า เหตุใดมึงจึงลักเอาม้าของกูมา ถ้ามึงกลัวความตายจงเร่งส่งม้ามาให้กูโดยดี แม้ขัดขวางอยู่กูจะตัดสีสะมึงเสีย แล้วขับม้าเข้าปลอมทหารอยู่ ให้จีนเบ้งผู้น้องขับม้าออกไปรบกับแต้บุ๋นได้เพลงหนึ่ง แต้บุ๋นก็เอาง้าวฟันถูกจีนเบ้งตกม้าตาย จีนล่งกับทหารก็ทำถอยแตกไป แต้บุ๋นจึงตัดเอาสีสะจีนเบ้งเข้ามาให้ขงเบ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้สีสะจีนล่งมาให้ท่าน
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โกรธจึงว่า จีนล่งนั้นกูรู้จักอยู่ เหตุใดมึงจึงแกล้งแต่งกลอุบายมาล่อลวงหวังจะให้ไว้ใจ จะได้อยู่เปนไส้ศึกเอาความลับลอบไปบอกแก่สุมาอี้หรือ แม้มึงไม่บอกความจริงก็จะให้ตัดสีสะเสียบไว้หน้าค่าย แต้บุ๋นจึงร้องไห้ขอชีวิตว่าตัวข้าพเจ้าลวงท่านจริง ด้วยสุมาอี้ใช้มาให้อ่อนน้อมอยู่ด้วยท่านหวังจะได้เปนไส้ศึก ท่านอย่าฆ่าเสียเลย ข้าพเจ้าจะขออยู่แทนคุณท่านโดยสุจริต
ขงเบ้งจึงว่า ถ้าตัวรักชีวิตอยู่เราก็จะไม่ฆ่าเสีย แต่ให้เขียนหนังสือเปนลายมือของตัว นัดแนะให้แก่สุมาอี้ออกมาปล้นค่ายเรา แม้เราจับตัวสุมาอี้ได้ก็จะปูนบำเหน็จตั้งให้ตัวเปนทหารเอก แต้บุ๋นจำเปนจำรับคำ จึงเขียนหนังสือตามคำขงเบ้งว่าแล้วส่งให้ ขงเบ้งรับเอาหนังสือมาแล้วให้เอาตัวแต้บุ๋นจำไว้ อ้วนเกี๋ยนจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าแต้บุ๋นทำกลอุบายมาลวงท่าน ขงเบ้งจึงว่า สุมาอี้นั้นมักใช้คนดีมีฝีมือ แลจีนล่งก็กล้าแขงตั้งให้เปนนายทหาร เราพิเคราะห์ดูเมื่อจีนล่งออกมารบกับแต้บุ๋นได้เพลงเดียวก็ถูกง้าวตาย เราจึงเห็นว่าผิดฝีมือทหารเอก
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาเปนอันมาก ขงเบ้งจึงเรียกกิตุ้นซึ่งมีความคิดพูดจาหลักแหลมเข้ามากระซิบสั่งเนื้อความ ทั้งปวงแล้วส่งหนังสือให้ กิตุ้นรับคำแลหนังสือแล้วก็ไป ณ ค่ายสุมาอี้ จึงบอกแก่ทหารว่าเราถือหนังสือลับแต้บุ๋นจะมาให้สุมาอี้ ทหารก็เข้าไปบอกสุมาอี้
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ให้หาตัวเข้ามาแล้วว่า เหตุใดตัวจึงได้ถือหนังสือของแต้บุ๋นมา กิตุ้นจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเปนชาวเมืองลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเปนทหารเลวมาในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเปนอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเปนนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน สุมาอี้ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยามให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบออกไป
สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็อ่านทวนไปทวนมาเปนหลายกลับ จำได้ว่าลายมือแต้บุ๋นมิได้มีความสงสัย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกิตุ้นแล้วว่า ท่านจงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ แม้สำเร็จการครั้งนี้เราจะตั้งท่านให้เปนนายทหารเอก กิตุ้นรับคำแล้วก็ลาไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้งทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่ออกมากลางแจ้ง คำนับเทพดาแล้วร่ายมนตร์ไปเปนอันมาก จึงเรียกอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายอุยเอี๋ยนเกียงอุยเข้ามากระซิบสั่งความ ลับ ครั้นเวลาบ่ายขงเบ้งก็พาทหารประมาณห้าสิบขึ้นไปอยู่บนเนินเขาหวังจะดูการ ทั้งปวง แลนายทหารทั้งหกคนนั้นก็จัดแจงการเตรียมไว้ตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายสุมาอี้จัดแจงทหารแล้ว ก็พาสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรไปปล้นค่ายขงเบ้ง สุมาสูจึงว่า ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเปนกองหน้ายกไปปล้นค่ายขงเบ้ง จีนล่งก็คุมทหารมาถึงกลางทาง สุมาอี้นั้นก็ยกหนุนไป พอเกิดพายุพยับฝน สุมาอี้จึงคิดว่าการครั้งนี้เทพดาช่วยเรา เห็นจะสำเร็จเปนมั่นคง
ครั้นเวลาสองยามจีนล่งมาใกล้ค่ายขงเบ้ง ก็คุมทหารตีเข้าไปถึงในค่ายมิได้เห็นผู้ใดก็ตกใจ คิดว่าครั้งนี้เห็นขงเบ้งจะซ้อนกลเปนมั่นคง ครั้นถอยกลับออกมาถึงหน้าค่าย พอไต้ยินเสียงโห่ขึ้นทั้งสี่ด้าน แสงเพลิงก็จุดล้อมเข้ามา แล้วเห็นอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารจีนล่งล้มตายเปนอันมาก จีนล่งนั้นรบพุ่งป้องกันอยู่ในหว่างทหารขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้เห็นแสงเพลิงแลได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ก็ยังไม่แจ้งว่าจีนล่งจะได้ค่ายหรือยัง จึงขับทหารรีบหนุนไปช่วยจีนล่ง พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างหลังแล้วจุดเพลิงเผาสกัดไว้ สุมาอี้แลไปเห็นเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีเข้ามา ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายจีนล่งกับทหารหมื่นหนึ่งนั้นต้องเกาทัณฑ์แลอาวุธต่าง ๆ ตายสิ้นทั้งนายแลไพร่ แลสุมาอี้พาทหารซึ่งเหลือตายนั้นกลับไปค่าย พอพยับฝนนั้นสว่างขึ้นก็พอเวลาจะใกล้รุ่ง
ขงเบ้งครั้นมีชัยชนะแล้วก็ตีม้าฬ่อเรียกทหารกลับเข้าค่าย นายทหารทั้งปวงจึงถามขงเบ้งว่า เมื่อเวลายามเศษให้เกิดพายุพยับฝนนั้น ท่านทำความรู้สิ่งใดหรือ ขงเบ้งจึงบอกว่า เราขึ้นไปดูบนเนินเขานั้น เราอ่านมนตร์เรียกลมแลฝนให้มีมาจึงได้ทำการถนัด นายทหารทั้งปวงสรรเสริญวิชาความคิดขงเบ้งซึ่งทำการนี้เสมอเทพดา ขงเบ้งจึงให้เอาตัวแต้บุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วคิดการซึ่งจะรบพุ่งให้ได้ชัยชนะ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารไปร้องท้าทายต่าง ๆ สุมาอี้ก็มิได้ออกรบพุ่ง
อยู่มาวันหนึ่งขงเบ้งขี่เกวียนน้อยพาทหารไปเที่ยวดูณะเนินเขากิสาน เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งชอบกล ทางหน้าหลังแคบแต่พอจุม้าตัวหนึ่ง ที่กลางนั้นกว้างขวางเปนที่ลับสงัด คนจะอยู่ได้ประมาณพันเศษ ขงเบ้งมีความยินดีด้วยจะทำการลับได้ จึงพากันกลับมา ณ ค่าย แลถามชาวบ้านนอกว่า ตำบลซอกเขานั้นชื่อใด ชาวบ้านบอกว่าชื่อเฮาโลก๊ก ขงเบ้งจึงเรียกตอยอยอาวต๋งเข้ามากระซิบสั่งให้คุมช่างพันหนึ่งไปซ่อนทำโค ยนตร์ณเฮาโลก๊ก ตอยอยอาวต๋งก็จัดช่างแล้วไปทำการอยู่ตามขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงให้ม้าต้ายคุมทหารห้าร้อยไปคอยรักษาอยู่ ณ ะปากซอกเขาเฮาโลก๊ก อย่าให้ผู้ใดเข้าออกเห็นการซึ่งทำนั้นได้
ขณะเมื่อช่างไปซ่อนทำการอยู่นั้น ขงเบ้งก็ไปดูวันละสองครั้ง เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า อันสะเบียงซึ่งซ่องสุมไว้ณด่านเกียมโก๊ะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโคกระบือจะลากเข็นมาส่งกองทัพเรานี้ขัดสนด้วยทางไกลกันดาร นัก ขอท่านจงดำริห์การให้ส่งสะเบียงได้โดยง่าย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราได้จัดแจงให้ช่างทำโคยนตร์สำหรับจะได้เข็นสะเบียงทั้งกลางวันกลางคืนมิ ให้ลำบากด้วยโคกระบือ แล้วขงเบ้งก็เอาตำราอย่างโคยนตร์มาให้ดู เตียวหงีแลขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ว่าพึ่งได้เห็นครั้งนี้ แล้วสรรเสริญว่าสติปัญญามหาอุปราชคิดได้ฉนี้ดังเทพดามาดลใจท่าน
ครั้นได้สิบสี่สิบห้าวันช่างทำการแล้ว ตอยอยอาวต๋งก็เอาโคยนตร์พันหนึ่งมาให้ขงเบ้ง ๆ ก็เอาโคยนตร์นั้นลองดู ทหารเข้ารุนแต่พอให้พ้นจากที่ โคยนตร์นั้นก็เดิรไปขึ้นเนินเขาลงลุ่มได้ดังเปน ขงเบ้งจึงว่า ถ้าเดินแต่ตัวเดียวไปได้ทางประมาณสามร้อยเส้น แม้ไปทั้งพวกเดิรทางได้ถึงเจ็ดร้อยแปดร้อยเส้น ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญเปนอันมาก ขงเบ้งจึงให้ทหารคุมไปเข็นเกวียนสะเบียงณด่านเกียมโก๊ะมาส่งถึงค่ายเขากิสาน เปนหลายเที่ยว แลในกองทัพขงเบ้งนั้นมิได้ขาดสะเบียงอาหาร
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เราให้หน่วงไว้ไม่ออกรบพุ่งหวังจะให้กองทัพขงเบ้งขาดสะเบียง บัดนี้ขงเบ้งให้ทำโคยนตร์เข็นเกวียนสะเบียงมาส่งกันมิได้ขาด เห็นการสงครามนี้จะยืดยาวไป จำจะคิดอ่านให้ทหารไปตีเอาโคยนตร์มาดูอย่างจะได้ทำเข็นเกวียนสะเบียงเราบ้าง แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารห้าร้อยลัดไปทางจำก๊กให้เข้าโจมตีเอาโค ยนตร์มาให้ได้สักสี่ตัวห้าตัว เตียวฮองงักหลิมก็คุมทหารห้าร้อยแต่งตัวปลอมเปนทหารเมืองเสฉวนรีบลัดทางจำ ก๊กไปซุ่มอยู่ ครั้นเห็นทหารขงเบ้งคุมเกวียนสะเบียงมาก็เข้าโจมตีเอา โกเสียงกับทหารทั้งปวงต้านทานมิได้ ก็ทิ้งเกวียนสะเบียงเสียแตกหนีไป เตียวฮองงักหลิมก็ให้ทหารเอาโคยนตร์มาห้าตัว ครั้นถึงค่ายก็เอาเข้าไปให้สุมาอี้ ๆ เห็นโคยนตร์นั้นดังเปน ก็ชมว่าขงเบ้งนั้นคิดอ่านให้ทำดีนัก แล้วสุมาอี้ให้หาช่างมาประมาณร้อยเศษให้รื้อโคยนตร์นั้นออกดูจำกำหนดที่ใหญ่ น้อยหนาบาง แลส่วนสั้นยาวพร้อมกัน ก็ให้ช่างทำโคยนตร์ประมาณห้าสิบวันก็ได้โคยนตร์ถึงสองพัน จึงให้งิมอุ๋ยคุมทหารพันหนึ่งเอาโคยนตร์ไปขนสะเบียง ณ เมืองหลงเสมิได้ขาด
ฝ่ายโกเสียงซึ่งแตกไปนั้น ครั้นเห็นทหารสุมาอี้ไปแล้วก็รีบเข็นเกวียนสะเบียงมาถึงค่าย จึงบอกแก่ขงเบ้งว่า โทษข้าพเจ้านี้ผิดนัก ด้วยทหารสุมาอี้ตีชิงเอาโคยนตร์ไปได้ห้าตัว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งสุมาอี้ได้โคยนตร์ไปนั้นเรามีความยินดีนัก เห็นเราจะได้สเบียงไว้เปนกำลังอีกเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ถามขงเบ้งว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าจะได้สะเบียง ขงเบ้งจึงบอกว่า ซึ่งทหารสุมาอี้ตีชิงโคยนตร์ไปได้นั้นสมความคิดเรา สุมาอี้ก็จะให้ทำโคยนตร์ไปขนสะเบียงบ้าง แล้วเราจะคิดกลอุบายให้ทหารไปตีเอาสะเบียงมาให้ได้
ครั้นอยู่มาประมาณยี่สิบวัน ม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ทำโคยนตร์ไปเข็นเกวียนสะเบียงมาส่ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงสั่งอองเป๋งให้คุมทหารพันหนึ่ง แต่งตัวปลอมเปนทหารสุมาอี้ไปซุ่มอยู่กลางทาง เวลากลางคืนเห็นทหารสุมาอี้เข็นเกวียนสะเบียงมาจึงเรี่ยรายกันเข้าไปบอกว่า สุมาอี้ให้มาช่วยป้องกันสะเบียง แม้เหล่ากองลำเลียงนั้นไว้ใจแล้ว ตัวท่านกับทหารทั้งปวงเข้าไปพร้อมกัน จึงไล่ฆ่าฟันเหล่ากองลำเลียงเสียแล้วเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แม้สุมาอี้จะให้ทหารติดตาม ท่านจงให้พลิกลิ้นโคยนตร์ทั้งนั้นอย่าให้เดิรได้ ถึงมาทว่าทหารสุมาอี้จะเข็นเกวียนสะเบียงไปก็จะไม่ทันที เราจึงจะให้ยกเปนทัพผีไปหลอกหลอนสุมาอี้ก็จะตกใจหนีไป เราจึงจะกลับลิ้นโคยนตร์นั้นลงดังเก่าจะได้เข็นสะเบียงมาโดยง่าย แล้วขงเบ้งจึงสั่งเตียวหงีให้คุมทหารห้าร้อย แต่งตัวเขียนหน้าปลอมเปนทัพผีมือหนึ่งถือธงมือหนึ่งถือกระบี่ ให้เอาดินประสิวสุพรรณถันใส่หม้อสะพายไปซุ่มอยู่ทุกคน แม้เห็นทหารสุมาอี้ตามอองเป๋งมา ก็ให้จุดดินประสิวสุพรรณถันขึ้นทุกคน แล้วโห่ร้องคุกคามหลอกหลอนเปนทัพผีออกมา ถ้าทหารสุมาอี้หนีไปก็ให้กลับลิ้นโคยนตร์ลงเสียเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แล้วสั่งเกียงอุยให้คุมทหารหมื่นหนึ่ง ให้คอยป้องกันเกวียนสะเบียงอย่าให้เปนอันตราย อันเตียวเอ๊กกับเลียวฮัวนั้นให้คุมทหารห้าพันไปซุ่มสกัดตีทหารสุมาอี้อย่า ให้ช่วยกันได้ แล้วให้ม้าต้ายม้าตงคุมทหารห้าพันไปร้องท้าทายยั่วสุมาอี้ไว้อย่าให้ยกไป ช่วยกันได้ นายทหารทั้งปวงรับคำแล้วไปทำตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายงิมอุ๋ยซึ่งคุมเกวียนสะเบียงมาถึงกลางทาง พอเวลาคํ่าได้ฟังทหารขงเบ้งมาบอกว่า สุมาอี้ให้ทหารมาช่วยป้องกันสะเบียงก็คิดว่าจริง ครั้นเวลาประมาณยามเศษ อองเป๋งกับทหารทั้งปวงได้ทีก็ไล่ฆ่าฟันกองลำเลียงล้มตายเปนอันมาก งิมอุ๋ยเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขับม้าเข้ารบกับอองเป๋งได้สามเพลง อองเป๋งเอาทวนแทงถูกงิมอุ๋ยตกม้าตาย แลทหารซึ่งเหลือตายนั้นก็แตกไป อองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสเบียงมา
ฝ่ายไพร่ในกองลำเลียงซึ่งแตกมาถึงค่ายปักหงวน จึงเอาเนื้อความบอกแก่โกฉุยทุกประการ โกฉุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงคุมทหารไปไล่โจมตีทหารขงเบ้ง อองเป๋งเห็นดังนั้นก็ให้ทหารพลิกลิ้นโคยนตร์ลงเสียแล้วพากันทำเปนถอยหนีไป โกฉุยมิได้ติดตามให้ทหารเข้าไสโคยนตร์ก็ไม่เคลื่อนจากที่ ครั้นจะให้ขนสะเบียงก็ไม่ทันที โกฉุยนั้นมีความสงสัยนัก พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นอื้ออึง แล้วเห็นอองเป๋งเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีกระหนาบมาเปนสามด้าน โกฉุยต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา
อองเป๋งจึงให้ทหารกลับลิ้นโคยนตร์ขึ้นเข็นเกวียนสะเบียงไปได้ดังเก่า โกฉุยเห็นดังนั้นก็มีความโกรธเปนอันมาก จึงคุมทหารรื้อกลับไปจะตีเอาเกวียนสะเบียง พอได้ยินเสียงโห่บนเนินเขา แล้วเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้น ทหารทั้งปวงร้องตวาดคุกคามลงมา โกฉุยเห็นทหารนุ่งห่มผิดประหลาท สยายผมหน้าตานั้นเปนผีโขมดป่า แลทหารทั้งปวงนั้นตกใจกลัวตัวสั่น โกฉุยจึงพาทหารถอยกลับมา แล้วคิดว่าเทพดาแลปีศาจแกล้งมาช่วยขงเบ้งเปนมั่นคง
ฝ่ายสุมาอี้รู้ว่าสะเบียงแลกองทัพโกฉุยเปนอันตรายก็คุมทหารมาช่วย ครั้นมาถึงซอกเขากลางทาง พอได้ยินเสียงประทัดแลโห่ร้องอื้ออึง ข้างขวานั้นเตียวเอ๊กข้างซ้ายเลียวฮัวคุมทหารตีกระหนาบออกมา สุมาอี้กับทหารทั้งปวงไม่ทันรู้ตัวก็แตกหนีไป ขณะเมื่อสุมาอี้หนีนั้น เตียวเอ๊กกันทหารไว้มิให้ตามสุมาอี้ไปได้ สุมาอี้ควบม้าหนีไปแต่ผู้เดียว เลียวฮัวควบม้าตามไปถึงในป่าจะใกล้ทันสุมาอี้ เลียวฮัวจึงเอาง้าวฟันถูกต้นไม้ติดอยู่ สุมาอี้ขับม้าหนีไปข้างทิศใต้ เลียวฮัวชักง้าวขึ้นได้ก็ขับม้าไล่ตามไปไม่ทัน ได้แต่หมวกทองของสุมาอี้ซึ่งตกอยู่ ครั้นกลับม้าออกมาถึงปากทาง พอพบเกียงอุยอุยเอี๋ยนเตียวหงีอองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสะเบียงไปถึงค่าย แล้วบอกเนื้อความตามซึ่งได้ทำการให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แต่เลียวฮัวบอกเนื้อความแล้วเอาหมวกทองของสุมาอี้ให้ขงเบ้ง อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็มีใจริษยาแลดูเลียวฮัวไม่วางตา ขงเบ้งเห็นกิริยาอุยเอี๋ยนริษยาเลียวฮัวดังนั้น ก็ทำเมินเสีย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นหนีมาได้ถึงค่ายก็มีความทุกข์วิตกอยู่ ด้วยเสียทหารแลสะเบียงเปนอันมาก พอมีหนังสือพระเจ้าโจยอยบอกมาเปนใจความว่า ซุนกวนยกกองทัพเปนสามทางจะมาทำอันตรายแดนเมืองเรา ให้สุมาอี้ตั้งค่ายมั่นไว้อย่าออกรบพุ่งกับขงเบ้ง เราจะจัดแจงกองทัพยกไปต้านทานซุนกวนไว้ให้ได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก ให้ตรวจตรากำชับทหารรักษาค่ายไว้มิได้ออกรบพุ่งกับขงเบ้ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยจึงให้เล่าเซียวคุมทหารไปช่วยเมืองกังแฮ ให้เตียวอี้คุมทหารไปช่วยเมืองซงหยง พระเจ้าโจยอยกับหมันทองยกกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองหับป๋า หมันทองจึงคุมทหารไปเที่ยวดูริมชายทเล เห็นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งมาตั้งอยู่ ณ ปากอ่าวฟากตวันออกเปนอันมาก ก็กลับเข้ามาทูลพระเจ้าโจยอย แล้วว่ากองทัพซุนกวนจะประมาทอยู่ว่าเราพึ่งยกมาถึง เวลาคํ่าวันนี้ขอให้แต่งกองทัพเรือไปปล้นเผาเรือซุนกวนเสียเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวกิ๋วคุมทหารห้าพันถือคบเพลิงครบมือลงเรือเร็วไปเปนหลายลำ ให้หมันทองคุมทหารยกไปปล้นค่ายบกปากน้ำเมืองกังแฮ หมันทองกับเตียวกิ๋วคุมทหารแยกกันไป ครั้นเวลาสองยามเศษก็เข้าโจมตีปล้นค่ายบกค่ายเรือ แล้วเอาคบเพลิงจุดเผาขึ้น ทหารเมืองกังตั๋งไม่ทันรู้ตัว เสียเรือรบแลเครื่องศัสตราวุธกับสะเบียงอหารเปนอันมาก แลจูกัดกิ๋นซึ่งอยู่รักษาค่ายหน้าปากน้ำเมืองกังแฮนั้นก็แตกหนีไป หมันทองเตียวกิ๋วครั้นเผาค่ายบกเรือแล้ว ก็พาทหารกลับมาทูลพระเจ้าโจยอย
ฝ่ายลกซุนซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายแฮเค้ารู้ดังนั้น ก็ปรึกษากันกับนายทหารทั้งปวงว่า เราจะให้มีหนังสือไปทูลขอกองทัพพระเจ้าซุนกวน ณ เมืองซินเสีย ให้ยกมาตีท้ายโจยอย เราจะคุมทหารเข้าตีกระหนาบหน้ากองทัพโจยอยก็จะแตกไป นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามเรื่องราวซึ่งปรึกษา แล้วให้ทหารลอบลัดทางไป ฝ่ายกองตะเวนจับได้ผู้ถือหนังสือก็เอาไปส่ง ณ ค่ายหลวง พระเจ้าโจยอยจึงให้ค้นได้หนังสือมาอ่านดู ก็รู้เนื้อความทั้งปวงแล้วว่า ลกซุนคนนี้มีความคิดหลักแหลมนัก ให้เอาผู้ถือหนังสือไปจำไว้ แล้วให้ม้าใช้ไปสั่งเล่าเซียวว่า ให้เล่าเซียวคุมทหารไปตั้งสกัดทางไว้ อย่าให้ซุนกวนยกมาทำอันตรายข้างท้ายกองทัพเราได้
ฝ่ายจูกัดกิ๋นเห็นทหารโจยอยกลับไปแล้ว จึงพาทหารคืนมา ณ ค่าย ขณะนั้นเปนเทศกาลร้อน ทหารทั้งปวงซึ่งต้องอาวุธแลอดเข้าปลาอาหารล้มตายเปนอันมาก จูกัดกิ๋นจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้ลกซุนว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งนั้นเห็นขัดสนนัก ท่านกับเราจะพากันกลับไปเมืองกังตั๋งดีกว่า ลกซุนแจ้งดังนั้นก็สั่งผู้ถือหนังสือว่า เราคำนับไปถึงจูกัดกิ๋นอย่าให้วิตกเลย ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในค่ายเถิด การทั้งปวงเราคิดไว้พร้อมแล้วผู้ถือหนังสือนั้นก็กลับมาบอกจูกัดกิ๋น ๆ จึงถามว่า เห็นลกซุนทำประการใดบ้าง ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นลกซุนให้ปลูกถั่วปลูกมันแลผักไว้ริมค่ายเปนอันมาก แล้วลกซุนพาทหารออกมาซ้อมหัดอาวุธแลม้าอยู่หน้าค่าย
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ลกซุนจะคิดอ่านสู้รบแล้วเหตุใดมาปลูกผักดังนี้เล่า จึงพาทหารไป ณ ค่ายลกซุนแล้วถามวา ท่านจะคิดสู้รบประการใด ลกซุนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือไปขอกองทัพพระเจ้าซุนกวนให้ยกมาช่วยเปนทัพกระหนาบ ทหารโจยอยก็จับผู้ถือหนังสือไปได้ การซึ่งคิดไว้นั้นเสียไปแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าได้ซ้ำบอกไปถึงพระเจ้าซุนกวนอีกว่า จะขอยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จูกัดกิ๋นจึงว่า ถ้าท่านคิดดังนั้นก็เร่งยกกลับไปเถิด ลกซุนจึงตอบว่า ครั้นเราจะยกไปบัดนี้ทหารโจยอยรู้ก็จะยกมาโจมตี ท่านเปนกองหน้าจงไปจัดเรือรบให้เห็นเปนทียกไปทำการด้วยข้าศึก แล้วเราจะเถิกทัพกลับไป จูกัดกิ๋นก็ลาลกซุนกลับมาถึงค่ายจึงจัดแจงเรือรบเตรียมไว้
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอย ๆ แจ้งดังนั้นก็ว่า อันความคิดลกซุนนั้นลึกซึ้งนัก ครั้นเราจะยกไปต่อสู้บัดนี้ ก็เกรงกลศึกลกซุนอยู่ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้รักษาค่ายไว้เปนมั่นคง ครั้นอยู่มาประมาณห้าวัน พอม้าใช้มาบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอยว่า ทหารซุนกวนทั้งทัพบกทัพเรือเลิกกลับไปเมืองกังตั๋งแล้ว พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ยังไม่เชื่อ ให้ทหารไปสืบดูก็รู้ว่าจริงเหมือนคำม้าใช้ จึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้รักษาด่านทางไว้เปนมั่นคง พระเจ้าโจยอยนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองหับป๋า หวังจะดูท่วงทีกองทัพเมืองกังตั๋ง
(๑) ในฉบับภาษาจีนว่า ๑๒ ปี
(๒) ฉบับภาษาจีนว่าประมาณสามสิบหมื่นเศษ
ขณะ นั้นขงเบ้งตั้งทำนุบำรุงทแกล้วทหารซ่องสุมอาหารอยู่สามปี อาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งทำมาหากินเปนสุข ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเอ็ดปี (๑) (พ.ศ. ๗๗๖) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งจึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ตัวข้าพเจ้าผู้จะทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เปนสุข ก็ได้ปรนปรือทแกล้วทหารซ่องสุมสเบียงอาหารว่างศึกมาถึงสามปีแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลายกกองทัพไปปราบปรามข้าศึกเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเปน เสี้ยนหนามให้ราบคาบ แม้ไม่สมคิดข้าพเจ้าก็ไม่กลับมาดูหน้าชาวเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็ตกใจจึงตรัสห้ามว่า บัดนี้เมืองเราก็ราบคาบมีภูมิ์ฐานแผ่ไปกว้างขวาง แลเมืองลกเอี๋ยงเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่ยกมากระทำยํ่ายีแก่เราได้ แม้ท่านจะนิ่งอยู่แต่เมืองนี้ก็พอจะเปนสุขสืบไป เหตุใดจะยกกองทัพไปให้ลำบากกายเล่า
ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า พระเจ้าเล่าปี่มีพระคุณชุบเลี้ยงข้าพเจ้า แล้วได้สั่งไว้ให้คิดอ่านปราบปรามศัตรูในเมืองลกเอี๋ยงให้ราบคาบ แล้วจะยกเปนเมืองหลวงขึ้นดังเก่า แลเนื้อความทั้งปวงก็ยังไม่สมความคิด ข้าพเจ้าก็ยังนอนตาไม่หลับ ข้าพเจ้าจึงจะยกไปทำการให้สำเร็จ
เจียวจิ๋วโหรได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้น จึงทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าดูในตำราแล้วเห็นดาวมหาอุปราชเมืองเรานี้เสร้าหมอง อันดาวประจำเมืองฝ่ายเหนือนั้นรุ่งเรือง อนึ่งชาวเมืองเราเลื่องลือกันว่า เวลากลางคืนได้ยินใบสนธิ์ซึ่งต้องลมนั้น เหมือนเสียงคนร้องไห้อื้ออึงอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปครั้งนี้ขอให้งดไว้ก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนยังมิได้ตรัสประการใด
ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวจิ๋วว่า ตัวเราได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ว่าจะคิดอ่านบำรุงแผ่นดินให้ราบคาบ ซึ่งท่านจะเอานิมิตมะโนสาเร่มาขัดไว้นั้นไม่ได้ จำเราจะยกไปทำการตามรับสั่งจึงจะควร แล้วขงเบ้งก็เอาธูปเทียนไปจุดบูชาพระศพพระเจ้าเล่าปี่ จึงกราบลงแล้วร้องไห้รํ่าว่า ตัวข้าพเจ้าได้รับสั่งพระองค์ให้ปราบปรามศัตรูราชสมบัติเสียให้ราบคาบ ข้าพเจ้าก็ได้ยกไปทำการกับเหล่าศัตรูแผ่นดิน ณ เขากิสานถึงห้าครั้งก็ยังไม่ สำเร็จตามรับสั่งก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะยกกองทัพไปอีก แม้ไม่สมความคิดก็จะมิได้กลับมาเลย แล้วก็ลาพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปเมืองฮันต๋ง ให้จัดแจงทแกล้วทหารได้สามสิบสี่หมื่น แลตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ทุกกอง
พอทหารมาบอกว่า กวนหินป่วยปัจจุบันถึงแก่ความตายแล้ว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจร้องไห้รักกวนหินจนสลบไป ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าแก้ฟื้นขึ้น ขงเบ้งจึงว่า กวนหินนี้เปนทหารเอก ทั้งมีใจสัตย์ซื่อเหมือนกวนอูผู้บิดา ควรที่จะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ซึ่งกวนหินมาถึงแก่ความตายครั้งนี้ เหมือนเราเสียกำลังไปแก่ข้าศึกกึ่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารเปนกองหน้า ให้ลิอิ๋นคุมสะเบียง ขงเบ้งเปนกองหลวง นายทหารยกเปนห้ากองไปบัญจบกัน ณ เขากิสาน
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เข้าไปบอกให้กราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า บัดนี้ขงเบ้งคุมทหารประมาณสี่สิบหมื่น (๒) ยกมาเขากิสานอีก พระเจ้าโจยอยจึงปรึกษาแก่สุมาอี้ว่า ถึงสามปีแล้วกองทัพเมืองเสฉวนมิได้ยกมาทำอันตรายเมืองเรา บัดนี้ขงเบ้งยกมาจะใกล้ถึงเขากิสาน ท่านจะคิดประการใด สุมาอี้จึงทูลว่า ข้าพเจ้าดูดาวแลตำราเห็นว่าฝ่ายเมืองเรารุ่งเรืองสุกใสอยู่ อันดาวสำหรับเมืองเสฉวนนั้นเสร้าหมองนัก ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้เหมือนหนึ่งหาภัยใส่ตัว พระองค์อย่าคิดวิตกเลย ไว้ข้าพเจ้าจะอาสาไปต้านทานเอาชัยชนะให้ได้ แต่ข้าพเจ้าจะขอแฮฮัวป๋าแฮฮัวหุยแฮฮัวฮุยแฮฮัวโหสี่คน ซึ่งเปนบุตรแฮหัวเอี๋ยนไปด้วย จะได้เปนใจทำการสงครามแก้แค้นขงเบ้งซึ่งฆ่าแฮฮัวเอี๋ยนเสีย
พระเจ้าโจยอยจึงตอบว่า ครั้งก่อนนั้นแฮฮัวหลิมบุตรแฮฮัวตุ้นยกไปทำการศึกเสียทีมา ก็มีความละอายมิได้เข้ามาทำราชการในเมืองหลวง ซึ่งท่านจะเอาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนสี่คนไปครั้งนี้ เราเกรงว่าจะเหมือนแฮฮัวหลิม สุมาอี้จึงทูลว่า อันนํ้าใจบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนนี้กล้าหาญนัก จะทำการสิ่งใดเห็นองค์อาจ แล้วก็มีใจเจ็บพยาบาทขงเบ้งอยู่ เห็นจะไม่ย่อท้อข้าศึกเหมือนแฮฮัวหลิม พระเจ้าโจยอยจึงตรัสว่า ถ้าท่านเห็นได้การแล้วจะเอาไปก็ตามเถิด อันการทั้งปวงซึ่งจะยกไปนั้น ถ้าเห็นผู้ใดมีความคิดหลักแหลมกล้าหาญพอจะทำการสงครามได้ ก็ให้ท่านตั้งแต่งเปนขุนนางตามสมควรเถิด
สุมาอี้ก็ลาพระเจ้าโจยอยพาบุตรแฮฮัวเอี๋ยนทั้งสี่คนไป ณ เมืองเตียงอั๋น แล้วก็เกณฑ์ทหารได้ประมาณสี่สิบหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ให้แฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารเปนกองหน้า ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกไปถึงแม่น้ำฮุยโห จึงให้แฮฮัวป่าแฮฮัวฮุยข้ามไปตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำสองค่าย ให้ทำกำแพงไว้สำหรับได้ป้องกันข้าศึก แลสุมาอี้นั้นตั้งค่ายใหญ่อยู่ฟากข้างหนึ่ง แล้วให้ทำสะพานข้ามแม่น้ำไว้ถึงเก้าตำบล โกฉุยซุนเลจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า กองทัพเมืองเสฉวนมาอยู่ ณ เขากิสาน ข้าพเจ้าคิดเกรงว่าขงเบ้งจะลอบไปตีเอาหัวเมืองหลงเส แม้เสียเมืองหลงเสข้าศึกก็จะมีกำลังมากขึ้น ท่านจงคิดป้องกันไว้ให้ได้ สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงว่าท่านว่านี้ควรนัก ท่านทั้งสองจงจัดทหารไปตั้งค่ายอยู่ ณ ปากทางเมืองหลงเส
ขณะเมื่อขงเบ้งยกกองทัพมานั้น ให้ตั้งค่ายรายทางแต่ด่านเกียมโก๊ะมาจนถึงเขากิสานประมาณสิบสี่สิบห้าค่าย หวังจะได้ทำการศึกค้างปี แล้วให้ตั้งค่ายมั่น ณ เขากิสานห้าค่าย ขงเบ้งจึงปรึกษาแก่นายทหารทั้งปวงว่า สุมาอี้ตั้งอยู่ฟากตวันออก กองหน้านั้นตั้งอยู่ฟากตวันตก ให้ทำสะพานข้ามเปนหลายตำบล แล้วให้ทหารไปตั้งสกัดปากทางปักหงวน หวังมิให้เราไปทำอันตรายเมืองหลงเส แลกองทัพเราตั้งอยู่บัดนี้เปนเหนือน้ำ เราจะให้ทำแพสักร้อยเศษ ขนเอาหญ้าฟางลงทำเชื้อเพลิงไว้หลังแพทั้งสิ้น จะเกณฑ์ทหารห้าพันซึ่งมีฝีมือชำนาญการเรือแพลงเตรียมไว้ แต่งทหารยกตามไปตีค่ายปักหงวน แลกองทัพเราจะเข้าตีค่ายหน้าซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำนั้นให้พร้อมกัน ฝ่ายสุมาอี้ก็จะเปนกังวลหน้าหลัง แล้วเราจึงวางแพลอยลงไป ถึงสะพานเข้าเมื่อใดจึงให้ทหารจุดเชื้อเพลิงขึ้น สะพานทั้งนั้นก็จะทำลายลงสิ้น ถึงจะให้ทหารหนุนเพิ่มเติมไปช่วยกันก็เห็นจะไม่ทัน แม้สุมาอี้เสียทีดังนี้เห็นการเราก็จะสำเร็จเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงกะเกณฑ์ทหารแล้วให้ไปตัดไม้ทำแพ เอาหญ้าฟางลงเตรียมไว้ทุกแพ
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบไปบอกแก่สุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้ทำแพเตรียมไว้ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งคิดกลศึกจะให้เปนกังวลหน้าหลัง แล้วก็จะลอยแพมาทำลายสะพานเราเสีย จำจะคิดป้องกันมิให้กองทัพเราเปนอันตรายได้ จึงให้ม้าใช้ไปบอกแก่โกฉุยซุนเลว่า ทหารขงเบ้งจะยกมาตีก็อย่าให้สะดุ้งสะเทือน ให้โกฉุยซุนเลคุมทหารออกมาซุ่มอยู่กลางทาง ถ้าเห็นทหารขงเบ้งยกมาเมื่อใดก็ให้ออกโจมตี เราจึงจะยกหนุนไปช่วยรบพุ่งมิให้ทหารขงเบ้งตั้งตัวได้ แล้วให้หาแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยมาสั่งว่า แม้ได้ยินเสียงโห่ร้องข้างตำบลปักหงวนเมื่อใด ท่านทั้งสองจงคุมทหารซุ่มอยู่นอกค่ายทิศข้างใต้ แม้เห็นขงเบ้งยกมาตีค่ายหน้าจึงให้ยกเข้าโจมตีอย่าให้ตั้งตัวได้ แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารเกาทัณฑ์คนละพันลงไปซุ่มอยู่ ณ เชิงสะพาน ทั้งสองฟาก แม้เห็นทหารขงเบ้งวางแพลอยมาให้เอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไป อย่าให้ทันจุดเชื้อเพลิงขึ้นทำลายสะพานได้ แล้วสั่งสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรว่า ตัวเราจะยกไปตำบลปักหงวน เจ้าทั้งสองจงอยู่รักษาค่ายแทนบิดา แม้ข้าศึกยกมาปล้นค่ายหน้าก็ให้พากันคุมทหารข้ามไปตีกระหนาบให้ได้ชัยชนะ ครั้นสั่งให้จัดแจงสำเร็จแล้ว สุมาอี้ก็คุมทหารลอบออกข้างหลังค่าย ลัดทางไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลปักหงวน
ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้อุยเอี๋ยนม้าต้ายคุมทหารยกไปตีเอาค่ายปัก หงวน ให้งออี้งอปันคุมทหารสำหรับคุมแพ แลให้อองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กคุมทหารเปนสามกองไปตี ค่ายหน้าสุมาอี้ ฝ่ายอุยเอี๋ยนม้าต้ายยกข้ามแม่น้ำมาถึงปากทาง ครั้นเวลาพลบคํ่าจะยกเข้าตีค่ายปักหงวน โกฉุยกับซุนเลก็แกล้งทิ้งค่ายเสีย พาทหารออกมาซุ่มอยู่ข้างเนินเขาแห่งหนึ่ง อุยเอี๋ยนกับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ห้ามทหารไว้มิให้เข้าค่าย ด้วยคิดเกรงเกลือกจะเปนกลศึก พอได้ยินเสียงทหารโห่ร้องขึ้นทั้งสองกอง ข้างขวานั้นสุมาอี้ข้างซ้ายโกฉุยซุนเลคุมทหารตีกระหนาบออกมาฆ่าฟันทหารเมือง เสฉวนเสียเปนอันมาก อุยเอี๋ยนม้าต้ายต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นฝ่าหนีออกมาถึงริมแม่น้ำ พอพบงออี้ งออี้จึงรับอุยเอี๋ยนม้าต้ายลงแพข้ามฟากมา ฝ่ายงอปั้นนั้นวางแพรีบลงไปจะใกล้ถึงสะพาน พอทหารสุมาอี้ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาดังห่าฝน เกาทัณฑ์ถูกงอปั้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงก็ล้มตายเปนอันมาก แพนั้นก็พัดเข้าตลิ่งเปนหลายแพ เตียวฮองงักหลิมแลทหารทั้งปวงจับทหารเมืองเสฉวนไว้ได้บ้าง โจนหนีไปบ้าง ตกน้ำตายบ้าง
ฝ่ายอองเป๋งเตียวหงีเกียงอุยม้าตงเลียวฮัวเตียวเอ๊กทั้งหกนายยกมาใกล้ ค่ายหน้าสุมาอี้จึงปรึกษากันว่า กองทัพซึ่งขงเบ้งให้ไปตีค่ายปักหงวนนั้นก็ยังไม่รู้เหตุ มาบัดนี้เวลายามเศษแล้ว เราจะยกเข้าตีเถิดหรือประการใด ปรึกษายังมิตกลงพอม้าใช้มาบอกว่า กองทัพซึ่งยกไปตีค่ายปักหงวนแลแพเชื้อเพลิงนั้นเสียแก่ข้าศึกแล้ว ขงเบ้งให้หาท่านกลับไป นายทหารทั้งหกคนก็ตกใจจะถอยกลับมา พอได้ยินเสียงโห่แล้วเห็นแสงเพลิงทั้งสี่ด้าน แลสุมาสูสุมาเจียวแฮฮัวป๋าแฮฮัวฮุยคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาไล่ฆ่าฟันทหารล้ม ตายเปนอันมากประมาณกึ่งหนึ่ง นายทหารทั้งหกคนต้านทานมิได้ ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกไป ครั้นถึงค่ายใหญ่ก็เข้าไปบอกแก่ขงเบ้งตามจริงทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก จึงตรวจตราทหารให้รักษาค่ายไว้มั่นคง พอบิฮุยมาแต่เมืองเสฉวน ขงเบ้งจึงแต่งหนังสือไปถึงซุนกวน สั่งให้บิฮุยรับเอาหนังสือแล้วก็ลาไปเมืองกังตั๋ง ขุนนางก็พาเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน ๆ ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าขงเบ้งคำนับมาถึงพระเจ้าซุนกวน ด้วยเมืองลกเอี๋ยงร่วงโรยมาแต่ครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพราะโจโฉเปนศัตรูแผ่นดินคิดทำร้ายให้ได้ความเดือดร้อน อันโจโฉนั้นก็ตายแล้ว แลลูกหลานว่านเครือมันทำจลาจลต่อ ๆ มา แลตัวข้าพเจ้านี้ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ให้กำจัดเหล่าศัตรูแผ่นดินเสีย ข้าพเจ้าก็ได้ยกกองทัพไปทำสงครามเปนหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปทำการศึกอีก ก็เสียทแกล้วทหารเปนอันมาก อันเมืองกังตั๋งกับเมืองเสฉวนก็เปนไมตรีกันมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ ให้พระเจ้าซุนกวนเห็นแก่พระเจ้าเล่าปี่ซึ่งเปนเชื้อพระวงศ์ ขอกองทัพเมืองกังตั๋งมาช่วยรบเมืองลกเอี๋ยงเปนทัพกระหนาบ แม้สำเร็จราชการสงครามแล้วจะแบ่งเมืองลกเอี๋ยงให้กึ่งหนึ่ง
พระเจ้าซุนกวนแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงตรัสแก่บิฮุยว่า เราคิดอยู่ว่าจะใคร่ยกไปกำจัดโจยอยเสีย พอขงเบ้งให้มีหนังสือมาขอกองทัพนี้ก็สมปราถนาเรา จึงให้ลกซุนกับจูกัดกิ๋นอยู่รักษาปากนํ้าเมืองกังแฮไว้ให้มั่นคง แล้วให้จัดแจงทหารไว้ประมาณสามสิบหมื่นเสร็จ ครั้นเวลารุ่งเช้าให้หาตัวบิฮุยเข้ามากินโต๊ะกับขุนนางทั้งปวง พระเจ้าซุนกวนจึงถามบิฮุยว่า ขงเบ้งยกไปทำการสงครามนั้นให้ผู้ใดเปนกองหน้า บิฮุยจึงทูลว่าให้อุยเอี๋ยนเปนกองหน้า พระเจ้าซุนกวนทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า อันอุยเอี๋ยนนั้นมีกำลังกล้าหาญก็จริง แต่น้ำใจมิได้สัตย์ซื่อมักคิดทรยศ แม้หาบุญขงเบ้งไม่แล้ววันใด อุยเอี๋ยนก็จะเอาใจออกหากเล่าเสี้ยนเมื่อนั้น แลตัวเราจะยกไปช่วยขงเบ้งเอง
บิฮุยจึงทูลว่า พระองค์ตรัสนี้สมควรนัก แล้วคำนับลาพระเจ้าซุนกวนไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้ง ว่าซุนกวนจะยกกองทัพมาเอง แล้วเล่าซึ่งซุนกวนว่ากล่าวถึงอุยเอี๋ยนให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงสรรเสริญซุนกวนว่ามีสติปัญญาหลักแหลมสมควรเปนเจ้า แลตัวเราทุกวันนี้ใช่จะไม่เล็งเห็นใจแลพยศอุยเอี๋ยนหามิได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือกล้าหาญจึงเลี้ยงไว้แต่พอเปนเพื่อนทหารเลว
บิฮุยจึงว่า ท่านเห็นประจักษ์อยู่ฉนี้แล้ว เลี้ยงไว้ป่วยการเสียเปล่า ท่านจงคิดอ่านกำจัดเสียอย่าให้มีราคีในกองทัพดีกว่า ขงเบ้งจึงตอบว่า ท่านอย่าวิตกเลยเราคิดไว้พร้อมอยู่แล้ว บิฮุยก็ลาขงเบ้งกลับไปเมืองเสฉวน พอนายประตูเข้าไปบอกขงเบ้งว่า มีทหารคนหนึ่งจะเข้ามาหาท่าน ขงเบ้งจึงให้เข้ามาแล้วถามว่า ตัวเปนทหารใครมาด้วยเหตุสิ่งใด ทหารนั้นแกล้งอุบายบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อแต้บุ๋นเปนข้าโจยอย ๆ ให้ข้าพเจ้ากับจีนล่งคุมทหารมาเปนลูกกองสุมาอี้ จีนล่งนั้นเปนคนประสมประสาน สุมาอี้ชอบใจใช้สอยตั้งแต่งจีนล่งขึ้นเปนขุนนาง แลสุมาอี้กับจีนล่งข่มเหงดูหมิ่นหยาบช้าแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ข้าพเจ้ามีใจเจ็บแค้นจึงลอบหนีมา หวังจะอยู่พึ่งบุญท่านจะได้ทำการศึกสืบไป ขงเบ้งยังไม่ทันว่าประการใด พอทหารเข้ามาบอกว่า จีนล่งคุมทหารเข้ามาร้องท้าทายถึงหน้าค่ายเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าจะตามจับตัวแต้บุ๋น
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นจึงถามแต้บุ๋นว่า ฝีมือท่านกับจีนล่งนั้นเปนกะไรกัน แต้บุ๋นจึงแกล้งบอกว่า ฝีมือข้าพเจ้าดีกว่าจีนล่ง ข้าพเจ้าจะอาสาออกไปตัดสีสะจีนล่งมาให้ท่านจงได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าทำได้ดังนั้นเราก็จะสิ้นสงสัยท่าน แต้บุ๋นก็ขึ้นม้าถือง้าวออกไป ขงเบ้งก็ตามออกไปดูถึงหน้าค่าย ฝ่ายจีนล่งเห็นแต้บุ๋นออกมาก็แกล้งร้องด่าว่า เหตุใดมึงจึงลักเอาม้าของกูมา ถ้ามึงกลัวความตายจงเร่งส่งม้ามาให้กูโดยดี แม้ขัดขวางอยู่กูจะตัดสีสะมึงเสีย แล้วขับม้าเข้าปลอมทหารอยู่ ให้จีนเบ้งผู้น้องขับม้าออกไปรบกับแต้บุ๋นได้เพลงหนึ่ง แต้บุ๋นก็เอาง้าวฟันถูกจีนเบ้งตกม้าตาย จีนล่งกับทหารก็ทำถอยแตกไป แต้บุ๋นจึงตัดเอาสีสะจีนเบ้งเข้ามาให้ขงเบ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้สีสะจีนล่งมาให้ท่าน
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็โกรธจึงว่า จีนล่งนั้นกูรู้จักอยู่ เหตุใดมึงจึงแกล้งแต่งกลอุบายมาล่อลวงหวังจะให้ไว้ใจ จะได้อยู่เปนไส้ศึกเอาความลับลอบไปบอกแก่สุมาอี้หรือ แม้มึงไม่บอกความจริงก็จะให้ตัดสีสะเสียบไว้หน้าค่าย แต้บุ๋นจึงร้องไห้ขอชีวิตว่าตัวข้าพเจ้าลวงท่านจริง ด้วยสุมาอี้ใช้มาให้อ่อนน้อมอยู่ด้วยท่านหวังจะได้เปนไส้ศึก ท่านอย่าฆ่าเสียเลย ข้าพเจ้าจะขออยู่แทนคุณท่านโดยสุจริต
ขงเบ้งจึงว่า ถ้าตัวรักชีวิตอยู่เราก็จะไม่ฆ่าเสีย แต่ให้เขียนหนังสือเปนลายมือของตัว นัดแนะให้แก่สุมาอี้ออกมาปล้นค่ายเรา แม้เราจับตัวสุมาอี้ได้ก็จะปูนบำเหน็จตั้งให้ตัวเปนทหารเอก แต้บุ๋นจำเปนจำรับคำ จึงเขียนหนังสือตามคำขงเบ้งว่าแล้วส่งให้ ขงเบ้งรับเอาหนังสือมาแล้วให้เอาตัวแต้บุ๋นจำไว้ อ้วนเกี๋ยนจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าแต้บุ๋นทำกลอุบายมาลวงท่าน ขงเบ้งจึงว่า สุมาอี้นั้นมักใช้คนดีมีฝีมือ แลจีนล่งก็กล้าแขงตั้งให้เปนนายทหาร เราพิเคราะห์ดูเมื่อจีนล่งออกมารบกับแต้บุ๋นได้เพลงเดียวก็ถูกง้าวตาย เราจึงเห็นว่าผิดฝีมือทหารเอก
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญาเปนอันมาก ขงเบ้งจึงเรียกกิตุ้นซึ่งมีความคิดพูดจาหลักแหลมเข้ามากระซิบสั่งเนื้อความ ทั้งปวงแล้วส่งหนังสือให้ กิตุ้นรับคำแลหนังสือแล้วก็ไป ณ ค่ายสุมาอี้ จึงบอกแก่ทหารว่าเราถือหนังสือลับแต้บุ๋นจะมาให้สุมาอี้ ทหารก็เข้าไปบอกสุมาอี้
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ให้หาตัวเข้ามาแล้วว่า เหตุใดตัวจึงได้ถือหนังสือของแต้บุ๋นมา กิตุ้นจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้ากับแต้บุ๋นเปนชาวเมืองลกเอี๋ยงด้วยกัน ครั้นข้าพเจ้าพลัดไปอยู่เมืองเสฉวน เข้าเปนทหารเลวมาในกองทัพขงเบ้ง บัดนี้แต้บุ๋นทำความชอบต่อขงเบ้งเปนอันมาก ขงเบ้งตั้งให้แต้บุ๋นเปนนายทหารเอก แต้บุ๋นจึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาให้ท่าน สุมาอี้ก็รับเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าแต้บุ๋นขอคำนับมาถึงสุมาอี้ด้วยการทั้งปวงนั้นได้ทีอยู่แล้ว พรุ่งนี้เวลาสองยามให้ท่านยกมาปล้นค่ายขงเบ้งเถิด ข้าพเจ้าจะจุดเพลิงขึ้นในค่าย แล้วจึงจะตีกระหนาบออกไป
สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็อ่านทวนไปทวนมาเปนหลายกลับ จำได้ว่าลายมือแต้บุ๋นมิได้มีความสงสัย จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงกิตุ้นแล้วว่า ท่านจงกลับไปบอกแต้บุ๋นให้เตรียมการไว้จงพร้อม พรุ่งนี้เวลาสองยามเราจะยกไปปล้นค่ายขงเบ้งให้ได้ แม้สำเร็จการครั้งนี้เราจะตั้งท่านให้เปนนายทหารเอก กิตุ้นรับคำแล้วก็ลาไปบอกเนื้อความแก่ขงเบ้งทุกประการ
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นเวลารุ่งเช้าก็ถือกระบี่ออกมากลางแจ้ง คำนับเทพดาแล้วร่ายมนตร์ไปเปนอันมาก จึงเรียกอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายอุยเอี๋ยนเกียงอุยเข้ามากระซิบสั่งความ ลับ ครั้นเวลาบ่ายขงเบ้งก็พาทหารประมาณห้าสิบขึ้นไปอยู่บนเนินเขาหวังจะดูการ ทั้งปวง แลนายทหารทั้งหกคนนั้นก็จัดแจงการเตรียมไว้ตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายสุมาอี้จัดแจงทหารแล้ว ก็พาสุมาสูสุมาเจียวผู้บุตรไปปล้นค่ายขงเบ้ง สุมาสูจึงว่า ซึ่งบิดาจะทำการครั้งนี้อย่าเพ่อเชื่อหนังสือแต้บุ๋นก่อน เกลือกขงเบ้งคิดอ่านซ้อนกลก็จะมีอันตรายถึงท่าน ขอให้แต่งนายทหารยกไปปล้นค่าย ท่านจงยกหนุนไปข้างหลัง ถึงอับจนก็จะได้แก้ไขง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วย จึงให้จีนล่งคุมทหารหมื่นหนึ่งเปนกองหน้ายกไปปล้นค่ายขงเบ้ง จีนล่งก็คุมทหารมาถึงกลางทาง สุมาอี้นั้นก็ยกหนุนไป พอเกิดพายุพยับฝน สุมาอี้จึงคิดว่าการครั้งนี้เทพดาช่วยเรา เห็นจะสำเร็จเปนมั่นคง
ครั้นเวลาสองยามจีนล่งมาใกล้ค่ายขงเบ้ง ก็คุมทหารตีเข้าไปถึงในค่ายมิได้เห็นผู้ใดก็ตกใจ คิดว่าครั้งนี้เห็นขงเบ้งจะซ้อนกลเปนมั่นคง ครั้นถอยกลับออกมาถึงหน้าค่าย พอไต้ยินเสียงโห่ขึ้นทั้งสี่ด้าน แสงเพลิงก็จุดล้อมเข้ามา แล้วเห็นอองเป๋งเตียวหงีม้าตงม้าต้ายคุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน ฆ่าฟันทหารจีนล่งล้มตายเปนอันมาก จีนล่งนั้นรบพุ่งป้องกันอยู่ในหว่างทหารขงเบ้ง
ฝ่ายสุมาอี้เห็นแสงเพลิงแลได้ยินเสียงโห่ร้องอื้ออึง ก็ยังไม่แจ้งว่าจีนล่งจะได้ค่ายหรือยัง จึงขับทหารรีบหนุนไปช่วยจีนล่ง พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างหลังแล้วจุดเพลิงเผาสกัดไว้ สุมาอี้แลไปเห็นเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีเข้ามา ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก ฝ่ายจีนล่งกับทหารหมื่นหนึ่งนั้นต้องเกาทัณฑ์แลอาวุธต่าง ๆ ตายสิ้นทั้งนายแลไพร่ แลสุมาอี้พาทหารซึ่งเหลือตายนั้นกลับไปค่าย พอพยับฝนนั้นสว่างขึ้นก็พอเวลาจะใกล้รุ่ง
ขงเบ้งครั้นมีชัยชนะแล้วก็ตีม้าฬ่อเรียกทหารกลับเข้าค่าย นายทหารทั้งปวงจึงถามขงเบ้งว่า เมื่อเวลายามเศษให้เกิดพายุพยับฝนนั้น ท่านทำความรู้สิ่งใดหรือ ขงเบ้งจึงบอกว่า เราขึ้นไปดูบนเนินเขานั้น เราอ่านมนตร์เรียกลมแลฝนให้มีมาจึงได้ทำการถนัด นายทหารทั้งปวงสรรเสริญวิชาความคิดขงเบ้งซึ่งทำการนี้เสมอเทพดา ขงเบ้งจึงให้เอาตัวแต้บุ๋นไปฆ่าเสีย แล้วคิดการซึ่งจะรบพุ่งให้ได้ชัยชนะ ครั้นเวลารุ่งเช้าจึงให้ทหารไปร้องท้าทายต่าง ๆ สุมาอี้ก็มิได้ออกรบพุ่ง
อยู่มาวันหนึ่งขงเบ้งขี่เกวียนน้อยพาทหารไปเที่ยวดูณะเนินเขากิสาน เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งชอบกล ทางหน้าหลังแคบแต่พอจุม้าตัวหนึ่ง ที่กลางนั้นกว้างขวางเปนที่ลับสงัด คนจะอยู่ได้ประมาณพันเศษ ขงเบ้งมีความยินดีด้วยจะทำการลับได้ จึงพากันกลับมา ณ ค่าย แลถามชาวบ้านนอกว่า ตำบลซอกเขานั้นชื่อใด ชาวบ้านบอกว่าชื่อเฮาโลก๊ก ขงเบ้งจึงเรียกตอยอยอาวต๋งเข้ามากระซิบสั่งให้คุมช่างพันหนึ่งไปซ่อนทำโค ยนตร์ณเฮาโลก๊ก ตอยอยอาวต๋งก็จัดช่างแล้วไปทำการอยู่ตามขงเบ้งสั่ง ขงเบ้งจึงให้ม้าต้ายคุมทหารห้าร้อยไปคอยรักษาอยู่ ณ ะปากซอกเขาเฮาโลก๊ก อย่าให้ผู้ใดเข้าออกเห็นการซึ่งทำนั้นได้
ขณะเมื่อช่างไปซ่อนทำการอยู่นั้น ขงเบ้งก็ไปดูวันละสองครั้ง เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า อันสะเบียงซึ่งซ่องสุมไว้ณด่านเกียมโก๊ะนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าโคกระบือจะลากเข็นมาส่งกองทัพเรานี้ขัดสนด้วยทางไกลกันดาร นัก ขอท่านจงดำริห์การให้ส่งสะเบียงได้โดยง่าย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราได้จัดแจงให้ช่างทำโคยนตร์สำหรับจะได้เข็นสะเบียงทั้งกลางวันกลางคืนมิ ให้ลำบากด้วยโคกระบือ แล้วขงเบ้งก็เอาตำราอย่างโคยนตร์มาให้ดู เตียวหงีแลขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ว่าพึ่งได้เห็นครั้งนี้ แล้วสรรเสริญว่าสติปัญญามหาอุปราชคิดได้ฉนี้ดังเทพดามาดลใจท่าน
ครั้นได้สิบสี่สิบห้าวันช่างทำการแล้ว ตอยอยอาวต๋งก็เอาโคยนตร์พันหนึ่งมาให้ขงเบ้ง ๆ ก็เอาโคยนตร์นั้นลองดู ทหารเข้ารุนแต่พอให้พ้นจากที่ โคยนตร์นั้นก็เดิรไปขึ้นเนินเขาลงลุ่มได้ดังเปน ขงเบ้งจึงว่า ถ้าเดินแต่ตัวเดียวไปได้ทางประมาณสามร้อยเส้น แม้ไปทั้งพวกเดิรทางได้ถึงเจ็ดร้อยแปดร้อยเส้น ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็สรรเสริญเปนอันมาก ขงเบ้งจึงให้ทหารคุมไปเข็นเกวียนสะเบียงณด่านเกียมโก๊ะมาส่งถึงค่ายเขากิสาน เปนหลายเที่ยว แลในกองทัพขงเบ้งนั้นมิได้ขาดสะเบียงอาหาร
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงว่า เราให้หน่วงไว้ไม่ออกรบพุ่งหวังจะให้กองทัพขงเบ้งขาดสะเบียง บัดนี้ขงเบ้งให้ทำโคยนตร์เข็นเกวียนสะเบียงมาส่งกันมิได้ขาด เห็นการสงครามนี้จะยืดยาวไป จำจะคิดอ่านให้ทหารไปตีเอาโคยนตร์มาดูอย่างจะได้ทำเข็นเกวียนสะเบียงเราบ้าง แล้วสั่งเตียวฮองงักหลิมให้คุมทหารห้าร้อยลัดไปทางจำก๊กให้เข้าโจมตีเอาโค ยนตร์มาให้ได้สักสี่ตัวห้าตัว เตียวฮองงักหลิมก็คุมทหารห้าร้อยแต่งตัวปลอมเปนทหารเมืองเสฉวนรีบลัดทางจำ ก๊กไปซุ่มอยู่ ครั้นเห็นทหารขงเบ้งคุมเกวียนสะเบียงมาก็เข้าโจมตีเอา โกเสียงกับทหารทั้งปวงต้านทานมิได้ ก็ทิ้งเกวียนสะเบียงเสียแตกหนีไป เตียวฮองงักหลิมก็ให้ทหารเอาโคยนตร์มาห้าตัว ครั้นถึงค่ายก็เอาเข้าไปให้สุมาอี้ ๆ เห็นโคยนตร์นั้นดังเปน ก็ชมว่าขงเบ้งนั้นคิดอ่านให้ทำดีนัก แล้วสุมาอี้ให้หาช่างมาประมาณร้อยเศษให้รื้อโคยนตร์นั้นออกดูจำกำหนดที่ใหญ่ น้อยหนาบาง แลส่วนสั้นยาวพร้อมกัน ก็ให้ช่างทำโคยนตร์ประมาณห้าสิบวันก็ได้โคยนตร์ถึงสองพัน จึงให้งิมอุ๋ยคุมทหารพันหนึ่งเอาโคยนตร์ไปขนสะเบียง ณ เมืองหลงเสมิได้ขาด
ฝ่ายโกเสียงซึ่งแตกไปนั้น ครั้นเห็นทหารสุมาอี้ไปแล้วก็รีบเข็นเกวียนสะเบียงมาถึงค่าย จึงบอกแก่ขงเบ้งว่า โทษข้าพเจ้านี้ผิดนัก ด้วยทหารสุมาอี้ตีชิงเอาโคยนตร์ไปได้ห้าตัว ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งสุมาอี้ได้โคยนตร์ไปนั้นเรามีความยินดีนัก เห็นเราจะได้สเบียงไว้เปนกำลังอีกเปนมั่นคง นายทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ถามขงเบ้งว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าจะได้สะเบียง ขงเบ้งจึงบอกว่า ซึ่งทหารสุมาอี้ตีชิงโคยนตร์ไปได้นั้นสมความคิดเรา สุมาอี้ก็จะให้ทำโคยนตร์ไปขนสะเบียงบ้าง แล้วเราจะคิดกลอุบายให้ทหารไปตีเอาสะเบียงมาให้ได้
ครั้นอยู่มาประมาณยี่สิบวัน ม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ทำโคยนตร์ไปเข็นเกวียนสะเบียงมาส่ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงสั่งอองเป๋งให้คุมทหารพันหนึ่ง แต่งตัวปลอมเปนทหารสุมาอี้ไปซุ่มอยู่กลางทาง เวลากลางคืนเห็นทหารสุมาอี้เข็นเกวียนสะเบียงมาจึงเรี่ยรายกันเข้าไปบอกว่า สุมาอี้ให้มาช่วยป้องกันสะเบียง แม้เหล่ากองลำเลียงนั้นไว้ใจแล้ว ตัวท่านกับทหารทั้งปวงเข้าไปพร้อมกัน จึงไล่ฆ่าฟันเหล่ากองลำเลียงเสียแล้วเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แม้สุมาอี้จะให้ทหารติดตาม ท่านจงให้พลิกลิ้นโคยนตร์ทั้งนั้นอย่าให้เดิรได้ ถึงมาทว่าทหารสุมาอี้จะเข็นเกวียนสะเบียงไปก็จะไม่ทันที เราจึงจะให้ยกเปนทัพผีไปหลอกหลอนสุมาอี้ก็จะตกใจหนีไป เราจึงจะกลับลิ้นโคยนตร์นั้นลงดังเก่าจะได้เข็นสะเบียงมาโดยง่าย แล้วขงเบ้งจึงสั่งเตียวหงีให้คุมทหารห้าร้อย แต่งตัวเขียนหน้าปลอมเปนทัพผีมือหนึ่งถือธงมือหนึ่งถือกระบี่ ให้เอาดินประสิวสุพรรณถันใส่หม้อสะพายไปซุ่มอยู่ทุกคน แม้เห็นทหารสุมาอี้ตามอองเป๋งมา ก็ให้จุดดินประสิวสุพรรณถันขึ้นทุกคน แล้วโห่ร้องคุกคามหลอกหลอนเปนทัพผีออกมา ถ้าทหารสุมาอี้หนีไปก็ให้กลับลิ้นโคยนตร์ลงเสียเข็นเอาเกวียนสะเบียงมา แล้วสั่งเกียงอุยให้คุมทหารหมื่นหนึ่ง ให้คอยป้องกันเกวียนสะเบียงอย่าให้เปนอันตราย อันเตียวเอ๊กกับเลียวฮัวนั้นให้คุมทหารห้าพันไปซุ่มสกัดตีทหารสุมาอี้อย่า ให้ช่วยกันได้ แล้วให้ม้าต้ายม้าตงคุมทหารห้าพันไปร้องท้าทายยั่วสุมาอี้ไว้อย่าให้ยกไป ช่วยกันได้ นายทหารทั้งปวงรับคำแล้วไปทำตามขงเบ้งสั่ง
ฝ่ายงิมอุ๋ยซึ่งคุมเกวียนสะเบียงมาถึงกลางทาง พอเวลาคํ่าได้ฟังทหารขงเบ้งมาบอกว่า สุมาอี้ให้ทหารมาช่วยป้องกันสะเบียงก็คิดว่าจริง ครั้นเวลาประมาณยามเศษ อองเป๋งกับทหารทั้งปวงได้ทีก็ไล่ฆ่าฟันกองลำเลียงล้มตายเปนอันมาก งิมอุ๋ยเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงขับม้าเข้ารบกับอองเป๋งได้สามเพลง อองเป๋งเอาทวนแทงถูกงิมอุ๋ยตกม้าตาย แลทหารซึ่งเหลือตายนั้นก็แตกไป อองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสเบียงมา
ฝ่ายไพร่ในกองลำเลียงซึ่งแตกมาถึงค่ายปักหงวน จึงเอาเนื้อความบอกแก่โกฉุยทุกประการ โกฉุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงคุมทหารไปไล่โจมตีทหารขงเบ้ง อองเป๋งเห็นดังนั้นก็ให้ทหารพลิกลิ้นโคยนตร์ลงเสียแล้วพากันทำเปนถอยหนีไป โกฉุยมิได้ติดตามให้ทหารเข้าไสโคยนตร์ก็ไม่เคลื่อนจากที่ ครั้นจะให้ขนสะเบียงก็ไม่ทันที โกฉุยนั้นมีความสงสัยนัก พอได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นอื้ออึง แล้วเห็นอองเป๋งเกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารตีกระหนาบมาเปนสามด้าน โกฉุยต้านทานมิได้ก็พาทหารถอยมา
อองเป๋งจึงให้ทหารกลับลิ้นโคยนตร์ขึ้นเข็นเกวียนสะเบียงไปได้ดังเก่า โกฉุยเห็นดังนั้นก็มีความโกรธเปนอันมาก จึงคุมทหารรื้อกลับไปจะตีเอาเกวียนสะเบียง พอได้ยินเสียงโห่บนเนินเขา แล้วเห็นควันเพลิงพลุ่งขึ้น ทหารทั้งปวงร้องตวาดคุกคามลงมา โกฉุยเห็นทหารนุ่งห่มผิดประหลาท สยายผมหน้าตานั้นเปนผีโขมดป่า แลทหารทั้งปวงนั้นตกใจกลัวตัวสั่น โกฉุยจึงพาทหารถอยกลับมา แล้วคิดว่าเทพดาแลปีศาจแกล้งมาช่วยขงเบ้งเปนมั่นคง
ฝ่ายสุมาอี้รู้ว่าสะเบียงแลกองทัพโกฉุยเปนอันตรายก็คุมทหารมาช่วย ครั้นมาถึงซอกเขากลางทาง พอได้ยินเสียงประทัดแลโห่ร้องอื้ออึง ข้างขวานั้นเตียวเอ๊กข้างซ้ายเลียวฮัวคุมทหารตีกระหนาบออกมา สุมาอี้กับทหารทั้งปวงไม่ทันรู้ตัวก็แตกหนีไป ขณะเมื่อสุมาอี้หนีนั้น เตียวเอ๊กกันทหารไว้มิให้ตามสุมาอี้ไปได้ สุมาอี้ควบม้าหนีไปแต่ผู้เดียว เลียวฮัวควบม้าตามไปถึงในป่าจะใกล้ทันสุมาอี้ เลียวฮัวจึงเอาง้าวฟันถูกต้นไม้ติดอยู่ สุมาอี้ขับม้าหนีไปข้างทิศใต้ เลียวฮัวชักง้าวขึ้นได้ก็ขับม้าไล่ตามไปไม่ทัน ได้แต่หมวกทองของสุมาอี้ซึ่งตกอยู่ ครั้นกลับม้าออกมาถึงปากทาง พอพบเกียงอุยอุยเอี๋ยนเตียวหงีอองเป๋งจึงให้ทหารขับเกวียนสะเบียงไปถึงค่าย แล้วบอกเนื้อความตามซึ่งได้ทำการให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แต่เลียวฮัวบอกเนื้อความแล้วเอาหมวกทองของสุมาอี้ให้ขงเบ้ง อุยเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็มีใจริษยาแลดูเลียวฮัวไม่วางตา ขงเบ้งเห็นกิริยาอุยเอี๋ยนริษยาเลียวฮัวดังนั้น ก็ทำเมินเสีย
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นหนีมาได้ถึงค่ายก็มีความทุกข์วิตกอยู่ ด้วยเสียทหารแลสะเบียงเปนอันมาก พอมีหนังสือพระเจ้าโจยอยบอกมาเปนใจความว่า ซุนกวนยกกองทัพเปนสามทางจะมาทำอันตรายแดนเมืองเรา ให้สุมาอี้ตั้งค่ายมั่นไว้อย่าออกรบพุ่งกับขงเบ้ง เราจะจัดแจงกองทัพยกไปต้านทานซุนกวนไว้ให้ได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ยิ่งมีความทุกข์เปนอันมาก ให้ตรวจตรากำชับทหารรักษาค่ายไว้มิได้ออกรบพุ่งกับขงเบ้ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยจึงให้เล่าเซียวคุมทหารไปช่วยเมืองกังแฮ ให้เตียวอี้คุมทหารไปช่วยเมืองซงหยง พระเจ้าโจยอยกับหมันทองยกกองทัพไปตั้งอยู่ ณ เมืองหับป๋า หมันทองจึงคุมทหารไปเที่ยวดูริมชายทเล เห็นกองทัพเรือเมืองกังตั๋งมาตั้งอยู่ ณ ปากอ่าวฟากตวันออกเปนอันมาก ก็กลับเข้ามาทูลพระเจ้าโจยอย แล้วว่ากองทัพซุนกวนจะประมาทอยู่ว่าเราพึ่งยกมาถึง เวลาคํ่าวันนี้ขอให้แต่งกองทัพเรือไปปล้นเผาเรือซุนกวนเสียเห็นจะได้โดยง่าย
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงให้เตียวกิ๋วคุมทหารห้าพันถือคบเพลิงครบมือลงเรือเร็วไปเปนหลายลำ ให้หมันทองคุมทหารยกไปปล้นค่ายบกปากน้ำเมืองกังแฮ หมันทองกับเตียวกิ๋วคุมทหารแยกกันไป ครั้นเวลาสองยามเศษก็เข้าโจมตีปล้นค่ายบกค่ายเรือ แล้วเอาคบเพลิงจุดเผาขึ้น ทหารเมืองกังตั๋งไม่ทันรู้ตัว เสียเรือรบแลเครื่องศัสตราวุธกับสะเบียงอหารเปนอันมาก แลจูกัดกิ๋นซึ่งอยู่รักษาค่ายหน้าปากน้ำเมืองกังแฮนั้นก็แตกหนีไป หมันทองเตียวกิ๋วครั้นเผาค่ายบกเรือแล้ว ก็พาทหารกลับมาทูลพระเจ้าโจยอย
ฝ่ายลกซุนซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายแฮเค้ารู้ดังนั้น ก็ปรึกษากันกับนายทหารทั้งปวงว่า เราจะให้มีหนังสือไปทูลขอกองทัพพระเจ้าซุนกวน ณ เมืองซินเสีย ให้ยกมาตีท้ายโจยอย เราจะคุมทหารเข้าตีกระหนาบหน้ากองทัพโจยอยก็จะแตกไป นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย จึงให้แต่งหนังสือตามเรื่องราวซึ่งปรึกษา แล้วให้ทหารลอบลัดทางไป ฝ่ายกองตะเวนจับได้ผู้ถือหนังสือก็เอาไปส่ง ณ ค่ายหลวง พระเจ้าโจยอยจึงให้ค้นได้หนังสือมาอ่านดู ก็รู้เนื้อความทั้งปวงแล้วว่า ลกซุนคนนี้มีความคิดหลักแหลมนัก ให้เอาผู้ถือหนังสือไปจำไว้ แล้วให้ม้าใช้ไปสั่งเล่าเซียวว่า ให้เล่าเซียวคุมทหารไปตั้งสกัดทางไว้ อย่าให้ซุนกวนยกมาทำอันตรายข้างท้ายกองทัพเราได้
ฝ่ายจูกัดกิ๋นเห็นทหารโจยอยกลับไปแล้ว จึงพาทหารคืนมา ณ ค่าย ขณะนั้นเปนเทศกาลร้อน ทหารทั้งปวงซึ่งต้องอาวุธแลอดเข้าปลาอาหารล้มตายเปนอันมาก จูกัดกิ๋นจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้ลกซุนว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งนั้นเห็นขัดสนนัก ท่านกับเราจะพากันกลับไปเมืองกังตั๋งดีกว่า ลกซุนแจ้งดังนั้นก็สั่งผู้ถือหนังสือว่า เราคำนับไปถึงจูกัดกิ๋นอย่าให้วิตกเลย ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในค่ายเถิด การทั้งปวงเราคิดไว้พร้อมแล้วผู้ถือหนังสือนั้นก็กลับมาบอกจูกัดกิ๋น ๆ จึงถามว่า เห็นลกซุนทำประการใดบ้าง ผู้ถือหนังสือจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นลกซุนให้ปลูกถั่วปลูกมันแลผักไว้ริมค่ายเปนอันมาก แล้วลกซุนพาทหารออกมาซ้อมหัดอาวุธแลม้าอยู่หน้าค่าย
จูกัดกิ๋นได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ลกซุนจะคิดอ่านสู้รบแล้วเหตุใดมาปลูกผักดังนี้เล่า จึงพาทหารไป ณ ค่ายลกซุนแล้วถามวา ท่านจะคิดสู้รบประการใด ลกซุนจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือไปขอกองทัพพระเจ้าซุนกวนให้ยกมาช่วยเปนทัพกระหนาบ ทหารโจยอยก็จับผู้ถือหนังสือไปได้ การซึ่งคิดไว้นั้นเสียไปแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าได้ซ้ำบอกไปถึงพระเจ้าซุนกวนอีกว่า จะขอยกกลับไปเมืองกังตั๋ง จูกัดกิ๋นจึงว่า ถ้าท่านคิดดังนั้นก็เร่งยกกลับไปเถิด ลกซุนจึงตอบว่า ครั้นเราจะยกไปบัดนี้ทหารโจยอยรู้ก็จะยกมาโจมตี ท่านเปนกองหน้าจงไปจัดเรือรบให้เห็นเปนทียกไปทำการด้วยข้าศึก แล้วเราจะเถิกทัพกลับไป จูกัดกิ๋นก็ลาลกซุนกลับมาถึงค่ายจึงจัดแจงเรือรบเตรียมไว้
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอย ๆ แจ้งดังนั้นก็ว่า อันความคิดลกซุนนั้นลึกซึ้งนัก ครั้นเราจะยกไปต่อสู้บัดนี้ ก็เกรงกลศึกลกซุนอยู่ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้รักษาค่ายไว้เปนมั่นคง ครั้นอยู่มาประมาณห้าวัน พอม้าใช้มาบอกให้ทูลพระเจ้าโจยอยว่า ทหารซุนกวนทั้งทัพบกทัพเรือเลิกกลับไปเมืองกังตั๋งแล้ว พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ยังไม่เชื่อ ให้ทหารไปสืบดูก็รู้ว่าจริงเหมือนคำม้าใช้ จึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้รักษาด่านทางไว้เปนมั่นคง พระเจ้าโจยอยนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ ณ เมืองหับป๋า หวังจะดูท่วงทีกองทัพเมืองกังตั๋ง
(๑) ในฉบับภาษาจีนว่า ๑๒ ปี
(๒) ฉบับภาษาจีนว่าประมาณสามสิบหมื่นเศษ
กรุณาแสดงความคิดเห็น