Ebook หนังสือสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 76
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 76
เนื้อหา
• ขงเบ้งขาดการศึก• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่สี่
• สุมาอี้คิดกลอุบายให้ขงเบ้งต้องเลิกทัพ
• ขงเบ้งยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่ห้า
• เตียวคับถูกกลขงเบ้งตายในที่รบ
ครั้น รุ่งขึ้นปีใหม่โจจิ๋นจึงกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมากระทำยํ่ายีถึงขอบขัณฑเสมาเนือง ๆ กองทัพเมืองลกเอี๋ยงนี้ก็เสียทีเปนหลายครั้ง ทหารเมืองเสฉวนนั้นก็กำเริบใหญ่หลวงนัก จะนิ่งอยู่บัดนี้ก็มิได้ นานไปกองทัพเมืองเสฉวนก็จะทำอันตรายให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนอีก แลเทศกาลนี้ก็เปนคิมหันตฤดูแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพไปกับสุมาอี้ ตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งให้จงได้ กำจัดศัตรูเสียอย่าให้มีภัยมาถึงเมืองเรา
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงตั้งให้โจจิ๋นเปนแม่ทัพฝ่ายขวา สุมาอี้เปนฝ่ายซ้าย เล่าฮวนเปนที่ปรึกษา ถือพลทหารสิบสี่หมื่นยกไปทางด่านเกียมก๊ก จะไปตีเมืองฮันต๋ง ม้าใช้จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่ขงเบ้ง
ขณะนั้นขงเบ้งให้ซักซ้อมทหารหัดปรือกันอยู่ จะไปตีเมืองลกเอี๋ยงอีก พอม้าใช้เข้ามาบอกจึงให้หาเตียวหงีกับอองเป๋งเข้ามาสั่งว่า ท่านคุมทหารพันหนึ่งยกไปตั้งตำบลตันฉองรับทัพสุมาอี้ไว้ แล้วเราจึงจะยกกองทัพไปช่วย อองเป๋งกับเตียวหงียกมือขึ้นคำนับแล้วจึงว่า บัดนี้กิตติศัพท์ว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาถึงห้าสิบหมื่นหกสิบหมื่น มหาอุปราชจะให้พลข้าพเจ้าทั้งสองไปแต่พันหนึ่งนี้ ที่ไหนจะต่อสู้ทหารสุมาอี้ได้ จะมิเสียการไปหรือ
ขงเบ้งจึงว่า เปนไฉนท่านมาวิตกฉนี้เล่า เราหาลวงท่านให้สุมาอี้ฆ่าเสียไม่ ถึงมาทว่าท่านไปเสียทีแก่ข้าศึกมาเราก็มิเอาโทษ อองเป๋งเตียวหงีก็มิอาจรับ แต่อ้อนวอนขงเบ้งเปนหลายครั้ง ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตก อันเราใช้ไปครั้งนี้ ด้วยเราพิเคราะห์ดูในอากาศเห็นดาวฤกษ์มีรัศมีหม่นหมองนัก ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ตกเปนหลายวัน เราเห็นว่ากองทัพสุมาอี้จะล่วงแดนเข้ามามิได้ ด้วยน้ำป่าจะหนักมาท่วมทหารสุมาอี้ก็จะกลับไปเอง เราจึงให้ทหารท่านไปแต่น้อย ครั้นจะให้ไปมากก็จะลำบากเสียเปล่า ตัวเราก็จะไปซ่องสุมทหารเมืองฮันต๋งไว้ให้พร้อม ถ้าสุมาอี้ถอยทัพแล้ว เราก็จะยกทหารออกโจมตีซํ้าหลังไป มิพักให้ยากแก่ทแกล้วทหาร กองทัพเมืองลกเอี๋ยงก็จะเสียทีแก่เรา อองเป๋งเตียวหงีก็มีความยินดีคำนับแล้วก็ยกทหารไป
ฝ่ายขงเบ้งก็ไปกะเกณฑ์ทหารเมืองฮันต๋งให้ตระเตรียมสเบียงอาหารหาเข้าตาก ใส่ไถ้ไว้ทุกคน กำหนดให้พอกินเดือนหนึ่งกว่าจะสิ้นระดูฝน หวังมิให้ทหารทั้งปวงหุงเข้ากิน จะได้ทำการรบพุ่งโดยสดวก
ฝ่ายสุมาอี้กับโจจิ๋นยกทหารมาถึงตำบลตันฉองมิได้เห็นผู้คนเย่าเรือนเหลือ อยู่ จึงให้หาชาวบ้านนอกมาถาม ชาวบ้านนอกจึงบอกว่า เมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกไปนั้นให้ทหารจุดเผาเสียสิ้น โจจิ๋นได้แจ้งดังนั้นแล้วปรึกษากับสุมาอี้จะรีบยกกองทัพไป
สุมาอี้จึงว่า อันจะยกกองทัพล่วงไปนั้นยังมิได้ ด้วยเวลาคืนนี้เราเห็นดาวฤกษ์รัศมีมัวอยู่ ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ จะยกไปนั้นทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากมากนัก ขอให้ท่านยกกองทัพตั้งอยู่ที่นี่ก่อน เมื่อพ้นเทศกาลฝนแล้วจึงค่อยยกไป โจจิ๋นเห็นชอบด้วยจึงยั้งกองทัพไว้ ครั้นอยู่มาประมาณสิบวันฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมามิได้เหือดถึงสามสิบวัน น้ำในที่นั้นลึกประมาณสามศอกท่วมสเบียงอาหารเสียสิ้น ทแกล้วทหารก็มิรู้ที่จะอาศรัยนั่งนอนแห่งใด ได้ความลำบากก็ร้องไห้อื้ออึงไป กิตติศัพท์ก็แจ้งไปถึงเมืองลกเอี๋ยง ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยขอให้หากองทัพกลับมา พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปหากองทัพให้เลิกกลับมา
ฝ่ายขงเบ้งจับยามดูรู้ว่าสุมาอี้ยกกองทัพกลับไปแล้ว จึงว่าแก่ทแกล้วทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ชรอยพระเจ้าโจยอยให้มีหนังสือมาหากองทัพกลับไปเปนมั่นคง พอสิ้นคำลงคนถือหนังสือซึ่งอองเป๋งเตียวหงีใช้มานั้น เข้ามาแจ้งว่ากองทัพสุมาอี้เลิกไปแล้ว ขงเบ้งมีความยินดี จึงสั่งผู้ถือหนังสือให้เร่งกลับไปบอกแก่อองเป๋งเตียวหงีว่า อย่าให้ยกทหารตามไปเลย
ขุนนางทั้งปวงจึงว่า สุมาอี้ถอยทัพไปได้ทีอยู่แล้ว เหตุใดมหาอุปราชจึงมิให้ยกไปโจมตีเล่า ขงเบ้งจึงว่า อันสุมาอี้นี้ชำนาญในการสงครามนัก ถึงมาทว่าล่าไปครั้งนี้ก็มิไปเปล่า เห็นจะแต่กองทหารซุ่มไว้คอยรับทัพตามไปมั่นคง เราจะตามไปก็จะต้องด้วยกลของสุมาอี้ ปล่อยให้ไปเถิด แล้วเราจึงค่อยยกทหารไปจำก๊กออกเอาตำบลกิสานอย่าให้ทันสุมาอี้รู้ตัว ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชไปเมืองเตียงอั๋นนั้นจะไปทางอื่นไม่ได้หรือ จำเพาะจะยกไปแต่เขากิสาน ข้าพเจ้าทั้งปวงมิเต็มใจเลย ด้วยเห็นว่าไปถึงสามครั้งแล้วก็มิได้การ
ขงเบ้งจึงบอกว่า ตำบลกิสานนั้นเปนหัวใจเมืองเตียงอั๋น ด้วยจะกะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลสเบียงทั้งปวงก็อาศรัยเมืองหลงเส ๆ นั้นก็มารวมในปากทางกิสาน อนึ่งก็เปนซอกห้วยธารเขาที่จะซุ่มทหารไว้ได้มาก ถึงจะทำการสงครามก็ถนัด เราจึงจะยกไปทางกิสานเพราะเห็นเหตุฉนี้ ทหารได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับ สรรเสริญขงเบ้งว่าปัญญาดังเทพดา
ขณะนั้นขงเบ้งก็ให้อุยเอี๋ยนเตียวหงีเตาเขงตันเซ็กคุมทหารยกไปทางกิก๊ก แล้วให้ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ็กม้าตงคุมทหารไปตั้งตำบลจำก๊ก กำหนดให้ออกพร้อมกัน ณ เขากิสาน ครั้นจัดแจงนายทัพนายกองให้ยกไปแล้ว ก็ตั้งให้กวนหินเลียวฮัวเปนกองหน้า ขงเบ้งจึงยกทหารเปนทัพหลวงไป
แลขณะเมื่อสุมาอี้กับโจจิ๋นยกมาตำบลตันฉองนั้น กลัวกองทัพขงเบ้งจะตามมา จึงค่อยเลื่อนกองทัพมาเปนปรกติ มิได้รีบรัดทหารโดยเร็ว ม้าใช้มาบอกถึงสองครั้งว่า มิได้เห็นกองทัพขงเบ้งยกตามมา โจจิ๋นว่าแก่สุมาอี้ว่า เราจะเดิรกองทัพรออยู่ฉนี้ ทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากนัก กองทัพขงเบ้งก็มิได้ติดตามแล้ว เราจงยกทหารรีบไปเถิด
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งขงเบ้งมิได้ยกกองทัพตามเราฉนี้ เพราะเหตุว่ากลัวเราจะซุ่มทหารไว้ จึงปล่อยให้เรามาโดยสดวก แลกองทัพลาดมาก็ได้หลายวันแล้วก็มิตาม เห็นขงเบ้งจะยกทหารมาตั้งเขากิสาน โจจิ๋นจึงว่าเราไม่เห็นด้วย สุมาอี้จึงว่า ท่านมิเชื่อก็ขอให้แยกกองทัพไปคนละทางเถิด ท่านจงไปรักษาจำก๊กด้านตวันตก ข้าพเจ้าจะไปรักษากิก๊กทิศตวันออก ถ้าในสิบวันกองทัพขงเบ้งไม่ยกมา ข้าพเจ้าจะไปคำนับท่านถึงค่าย ขอให้ท่านเอาแป้งทาหน้าข้าพเจ้าเสีย แล้วเอาเสื้อผู้หญิงใส่ประจานให้ได้อายแก่ทหารทั้งปวงเถิด
โจจิ๋นจึงว่า ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเหมือนปากท่านว่า เราก็จะเอาปั่นเหน่งหยกกับม้าดีที่พระเจ้าโจยอยประทานเรานั้นให้แก่ท่าน สุมาอี้กับโจจิ๋นสัญญากันแล้ว ต่างคนต่างก็ยกทหารแยกไป ครั้นถึงตำบลกิก๊กแล้ว สุมาอี้จึงแต่งตัวปลอมเปนทหารไปเที่ยวตรวจค่าย เห็นทหารคนหนึ่งนั่งทอดใจใหญ่เปนทุกข์บ่นว่า ฝนตกถึงสามสิบวันได้ความลำบากหนักหนา แล้วมิหนำซ้ำมาตั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ยากไปอีกเล่า เหมือนมานั่งคอยถ้าหาความทุกข์ใส่ตัว แม้จะกลับไปเมืองให้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะมิดีหรือ
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นกลับมาค่าย ให้หานายทัพนายกองมาพร้อมแล้วจึงให้เอาทหารซึ่งเจรจามิชอบนั้นมาถามว่า เรามาทำการทั้งนี้ใช่จะปราถนาเอาความสุขแต่ตัวก็หามิได้ คิดจะให้เปนสุขแก่บุตรภรรยาท่านทั้งปวง เหตุใดมาเจรจาฉนี้มิได้มีความภักดีต่อเจ้า กินเบี้ยหวัดมาร้อยวันพันวันจะเอาการแต่วันเดียวก็มิได้ ซึ่งจะเอาไว้ในกองทัพนี้มิได้ นานไปจะกลับเปนศัตรู จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารก็ตัดสีสะเข้ามาในทันใด
ขณะนั้นทหารทั้งปวงก็ตกใจ สุมาอี้จึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ อุตส่าห์ทำการสนองคุณเจ้าเถิด ถ้าได้ยินเสียงประทัดใหญ่เราจุดขึ้นในกลางค่ายเมื่อใด ก็เร่งรบพุ่งข้าศึกจงสามารถ อย่าได้กลัวแก่ความตาย ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนก็ถอยไป
ขณะเมื่ออุยเอี๋ยนเตียวหงีตันเซ็กเตาเขงยกมาใกล้ถึงกิก๊ก พอขงเบ้งใช้เตงจี๋ตามาทันเข้า สี่นายจึงถามว่า ท่านมาด้วยกิจสิ่งใด เตงจี๋จึงบอกว่า มหาอุปราชมิไว้ใจใช้ให้เราตามมากำชับท่าน ว่าให้ระวังกลสุมาอี้จงได้ เกลือกจะวางผู้คนซุ่มไว้ อย่าให้รีบยกล่วงเข้าไปก่อน ซับทราบดูให้จงดี อุยเอี๋ยนแลทหารสามนายจึงว่า มหาอุปราชนี้วิตกหาต้องการไม่ เมื่อแลทหารสุมาอี้ตรำฝนอยู่ถึงสามสิบวัน เกราะนวมแลสเบียงอาหารก็เปียกสิ้น จะรีบไปบ้านเหมือนใจจะขาดหรือจะมาซุ่มอยู่นั้นผิดไป ได้ทีกระทำแก่ข้าศึกแล้วมหาอุปราชมาคิดกลัวให้ถอยหลังอยู่ฉนี้เล่า
เตงจี๋จึงว่า อันมหาอุปราชนี้จะว่าสิ่งใดแต่ก่อนมาก็มิได้ผิดสักครั้ง เหตุไฉนท่านจึงมาติมหาอุปราชนั้นหาควรไม่ ตันเซ็กได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า มหาอุปราชความคิดดีแล้วเหตุใดครั้งก่อนจึงให้เสียตำบลเกเต๋งเล่า อุยเอี๋ยนจึงว่า แต่ก่อนเราได้คิดการให้มหาอุปราชครั้งหนึ่ง แม้ทำตามความคิดเราก็มิได้เมืองลกเอี๋ยงนานแล้วหรือ ที่ไหนจะได้ยกทัพมาได้ความลำบากแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง
ตันเซ็กจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชสิไม่ไว้ใจให้มาห้ามแล้วกระนั้นข้าพเจ้าจะคุมทหารพันหนึ่งไปแต่ผู้ เดียว รีบออกไปกิก๊กไปตั้งค่าย ถ้ามหาอุปราชอยู่ ณ เขากิสาน ให้มหาอุปราชอายจงได้ ตันเซ็กก็คุมทหารรีบไปผู้เดียว เตงจี๋ก็รีบกลับมา
ขณะนั้นตันเซ็กยกทหารมาทางประมาณหกสิบเส้น พอทหารสุมาอี้ตั้งซุ่มอยู่เห็นได้ทีก็จุดประทัดโห่ร้องขึ้น ยกเข้าล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ตันเซ็กอยู่ในท่ามกลางก็ขับทหารฝ่าฟันเปนสามารถ ล้มตายลงในที่รบเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยก็รบพุ่งตลุมบอนกันอยู่จะหักออกมิได้ ทหารสุมาอี้ล้อมกระชั้นเข้าไปจะจับเอาตัว อุยเอี๋ยนได้ยินเสียงทหารรบพุ่งกันเอิกเกริกดังนั้น ก็ยกทหารรีบไปช่วยโจมตีเข้าไปแก้เอาตัวตันเซ็กออกมาจากที่ล้อมได้ ทหารสุมาอี้ก็รบพุ่งติดพันมา เตาเขงเตียวหงีก็ขับทหารขึ้นไปช่วยกันเอาอุยเอี๋ยนแลตันเซ็กไว้ได้ ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ถอยกลับไป ทั้งสี่นายก็พากันมาค่าย จึงคิดว่ามหาอุปราชมีปัญญาจริง
ฝ่ายเตงจี๋ครั้นถึงจึงบอกแก่ขงเบ้งว่า มหาอุปราชใช้ให้ข้าพเจ้าไปห้ามปรามนั้น อุยเอี๋ยนกับตันเซ็กชวนกันหัวเราะเยาะมหาอุปราชเสียอีก ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า อุยเอี๋ยนนี้เปนคนใจมิตรง ครั้นจะกำจัดเสียก็เสียดายฝีมือ จำเปนจำเอาไว้ใช้ไปพลาง นานไปอุยเอี๋ยนจะเปนขบถต่อแผ่นดินเปนมั่นคง พอพูดกันสิ้นคำลงม้าใช้มาบอกว่า ตันเซ็กยกทหารล่วงขึ้นไปเสียทีแก่สุมาอี้ ผู้คนล้มตายเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยคน บัดนี้กองทัพมาตั้งอยู่ต้นทางกิก๊ก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า ถ้าจะเอาโทษกับนายทัพนายกองบัดนี้ก็จะเอาใจออกหากไปเข้าด้วยข้าศึกเสีย จึงให้เตงจี๋ไปเอาใจอย่าให้วิตกทุกข์ร้อนเลย เรามิได้เอาโทษ จงอุตส่าห์คิดอ่านทำราชการแก้เอาชัยชนะเถิด แล้วขงเบ้งจึงให้ทหารรีบไปสั่งม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กทั้งสี่นายให้ แยกกันไปเปนสองกอง ม้าต้ายกับอองเป๋งนั้นให้ยกทหารไปทางขวามือ ม้าตงกับเตียวเอ๊กจงคุมทหารไปทางซ้ายมือ กลางวันให้ซุ่มอยู่เดิรต่อเวลากลางคืน ถ้ารีบออกจากกิก๊กถึงตำบลกิสานแล้ว จึงกองเพลิงไว้ปากทางเปนสำคัญ ให้เข้าตีเอาค่ายโจจิ๋นจงได้ ฝ่ายเราก็จะยกทหารไปช่วยตีกระหนาบเข้าเปนสามด้าน
ม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กแจ้งดังนั้นก็รีบยกทหารมา ขงเบ้งให้หากวนหินเลียวฮัวเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับแล้วให้ยกทหารไป ครั้นขงเบ้งยกกองทัพล่วงมาถึงกลางทาง จึงสั่งให้งออี้งอปันยกทหารล่วงขึ้นไปก่อน
ฝ่ายโจจิ๋นมาตั้งค่ายอยู่ตำบลจำก๊กนั้น ก็ประมาทมิได้ตรวจตรารักษาแลตระเตรียมทหารทั้งปวง เพราะมิได้เชื่อคำสุมาอี้ สำคัญว่าถึงกำหนดสิบวันแล้ว ก็จะทำประจานสุมาอี้ตามซึ่งสัญญากันไว้
ครั้นอยู่ได้เจ็ดวันทหารมาบอกว่า บัดนี้ทหารเมืองเสฉวนรายมาตามทางน้อยข้างซอกเขา จึงสั่งจิ๋นเหลียงให้คุมทหารห้าพันไปตะเวนทางป้องกันอย่าให้ทหารเสฉวนล่วง เข้ามาในแดนได้ ครั้นจิ๋นเหลียงคุมทหารยกไปถึงกลางทางพบทหารขงเบ้งยกมา ก็ให้ทหารรีบสวนทางขึ้นไป ทหารขงเบ้งก็ชวนกันถอยหลังกลับลงมา จิ๋นเหลียงก็ขับทหารรีบตามไปจะให้ทัน ทหารขงเบ้งก็เข้าซุ่มเสีย จิ๋นเหลียงตามไปมิได้เห็นทหารเมืองเสฉวนก็คิดสงสัย จึงให้ทหารหยุดอยู่ ม้าใช้มาบอกว่ากองทัพตั้งซุ่มอยู่ข้างหน้า จิ๋นเหลียงแจ้งดังนั้นก็ตระเตรียมทหารให้ระมัดระวังตัวไว้พร้อมกัน
ขณะนั้นพองออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กตีกระหนาบหลังเข้ามา ทหารจิ๋นเหลียงมิทันรู้ตัวจะหลบหลีกมิได้ ด้วยสองข้างทางมีเขากระหนาบอยู่ ทหารงออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กก็ร้องว่า ผู้ใดเข้ามานบนอบด้วยเราแล้วก็ไม่ฆ่าเสีย ทหารจิ๋นเหลียงจวนตัวกลัวความตาย ก็เข้ามานบนอบด้วยงออี้งอปันเปนอันมาก
จิ๋นเหลียงเห็นดังนั้นก็คิดมานะ ขับม้าเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเสฉวนจะหักออกมา เลียวฮัวก็ขับม้าเข้าสู้ด้วยได้สองเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกจิ๋นเหลียงตัวขาดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็เข้าด้วยขงเบ้งสิ้น ขงเบ้งจึงถอดเอาเสื้อแลเกราะของทหารจิ๋นเหลียงนั้นมาให้ทหารเมืองเสฉวนใส่ แล้วเกณฑ์ทหารเกลี้ยกล่อมลงมาเปนกองหลัง จึงให้กวนหินเลียวฮัวงออี้งอปันคุมทหารห้าพันซึ่งแต่งตัวปลอมเปนทหารจิ๋น เหลียงยกรีบมาค่ายโจจิ๋น ครั้นงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินยกมาใกล้ค่ายแล้ว ก็หยุดทหารไว้ จึงให้ทหารขึ้นม้ารีบไปบอกแก่โจจิ๋นว่า ทหารขงเบ้งซึ่งรายกันมานั้นไล่แตกไปสิ้นแล้ว
ขณะนั้นพอสุมาอี้ใช้คนมาบอกว่า ทหารเมืองเสฉวนยกมาตั้งซุ่มอยู่ลอบฆ่าทหารเราตายถึงพันเศษแล้ว ให้ระวังตรวจตรารักษาค่ายอย่าประมาท โจจิ๋นแจ้งดังนั้นจึงว่า ที่จำก๊กนี้เรามิได้เห็นทหารเสฉวนแว่วมาสักคนหนึ่ง ท่านจงกลับไปบอกนายท่านเถิด คนใช้ก็รีบกลับไป พอทหารงออี้งอปันปลอมเข้ามาถึงบอกว่า ทหารขงเบ้งแตกไปแล้ว โจจิ๋นมีความยินดีสำคัญว่าจิ๋นเหลียงกลับมาถึงแล้วให้คนเข้ามาบอก ก็ยกทหารออกจากค่ายจะไปรับ
ฝ่ายงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินเห็นโจจิ๋นออกไป ก็กรูกันเข้าในค่ายได้ ให้ทหารเอาเพลิงจุดขึ้นในทันใด ม้าต้ายอองเป๋งก็ขับทหารไล่ตามฟันไปข้างหลัง เตียวเอ๊กกับม้าตงก็คุมทหารตีด้านหน้าขึ้นมา ทหารโจจิ๋นเหลือกำลังทานมิได้ก็แตกกระจัดกระจายกันไป ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ๊กม้าตงก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก โจจิ๋นจวนตัวเข้าก็รบหักออกไปกับทหารห้าสิบคน พอพบกองทัพสุมาอี้ยกมาช่วย สุมาอี้รับเอาตัวโจจิ๋นมาค่ายกิก๊ก
ขณะนั้นโจจิ๋นมีความอัปยศแก่สุมาอี้ มิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดเลย สุมาอี้จึงว่าแก่โจจิ๋นว่า บัดนี้กองทัพขงเบ้งตีเข้ามาตั้งอยู่ตำบลกิสานได้แล้ว ฝ่ายเราจะตั้งรับในที่กิก๊กนี้เห็นเสียเปรียบมากจะสู้มิได้ จำจะยกกองทัพไปตั้งรับ ณ แม่น้ำฮุยโห เปนที่ชอบกลดีจะไม่เสียเปรียบขงเบ้ง สุมาอี้ปรึกษาแล้วก็ให้ยกกองทัพไปตั้ง ณ แม่น้ำฮุยโห
ขณะนั้นโจจิ๋นจึงถามสุมาอี้ว่า เหตุไฉนท่านจึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงได้ยกทหารมาช่วย สุมาอี้จึงว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าขงเบ้งจะยกมาตีท่าน จึงให้คนไปกำชับให้ตรวจตราป้องกันรักษาตัว ครั้นคนกลับมาบอกข้าพเจ้าตามถ้อยคำซึ่งท่านว่ามานั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าท่านรู้มิถึงการจะเสียทีเปนมั่นคง จึงรีบยกมาช่วยท่านก็สมคะเนเหมือนข้าพเจ้าคิดไว้
โจจิ๋นได้ฟังก็ยิ่งมีความอายใจนัก แต่ทุกข์ ๆ ตรอม ๆ จนเปนไข้ป่วยหนักลง สุมาอี้เห็นโจจิ๋นป่วยหนัก ครั้นจะยกทหารกลับมาเมือง ก็กลัวทหารทั้งปวงจะสดุ้งสเทือนเสียนํ้าใจก็ตั้งรอทัพอยู่
ฝ่ายขงเบ้งครั้นตีเข้ามาถึงเขากิสานแล้ว ก็ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามความชอบ ขณะนั้นอุยเอี๋ยนตันเซ็กเตาเขงเตียวหงียกมาถึงก็เข้าไปคำนับสารภาพโทษแก่ ขงเบ้ง ๆ จึงถามว่า ผู้ใดซึ่งมิได้อยู่ในบังคับบัญชาเราซึ่งเปนแม่ทัพทำให้เสียการครั้งนี้ อุยเอี๋ยนจึงบอกว่า ตันเซ็กมิได้ฟังบังคับท่าน ยกล่วงไปให้เสียการ ตันเซ็กจึงว่า ข้าพเจ้าเลมิดทำการทั้งนี้เพราะอุยเอี๋ยนใช้ให้ข้าพเจ้ายกไปก่อน
ขงเบ้งจึงว่า อุยเอี๋ยนยกทหารไปช่วยท่านอีกจึงรอดจากความตายมา เหตุไฉนท่านจึงซัดเอาอุยเอี๋ยนเล่า ซึ่งท่านมิได้อยู่ในบังคับเราทำให้เสียการทั้งนี้ ครั้นจะยกโทษเสียก็มิได้ ไปเบื้องหน้าทหารก็จะเอาเยี่ยงอย่างสืบไป จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ซึ่งขงเบ้งมิได้ฆ่าอุยเอี๋ยนเสียด้วยนั้นเพราะคิดว่าอุยเอี๋ยนนี้เปนคนมี ฝีมืออยู่ ยังจะทำการสงครามสืบไปก็จะได้ใช้ให้ไปตายภายหน้า
ฝ่ายม้าใช้ซึ่งไปสอดแนมเอากิจการทั้งปวง จึงเอาเนื้อความมาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้โจจิ๋นป่วยรักษาตัวอยู่ ณ ค่ายแม่น้ำฮุยโห ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า แม้โจจิ๋นป่วยเปนประมาณที่ไหนสุมาอี้จะอยู่ คงจะยกกองทัพกลับไป นี่ชรอยโจจิ๋นป่วยหนักอยู่แล้วสุมาอี้จึงมิยกไป เพราะกลัวทแกล้วทหารทั้งปวงจะเสียใจ เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นฉบับหนึ่ง แม้ได้เห็นหนังสือนี้แล้วก็จะตรอมใจตายเปนมั่นคง จึงให้เรียกทหารจิ๋นเหลียงที่ได้ไว้เปนเชลยนั้นเข้ามาแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงเปนชาวเมืองลกเอี๋ยง ต่างคนต่างมีญาติพี่น้องบุตรภรรยาอยู่สิ้น ซึ่งจะไปอยู่ด้วยเรานั้นก็จะไกล เหมือนหนึ่งเราแกล้งพรากให้พลัดกัน ก็เปนบาปกรรมแก่เรามากนัก เราจะให้ท่านทั้งปวงกลับไปบ้านเมืองผู้ใดจะไปก็ตามเถิด แต่ทว่าโจจิ๋นมีหนังสือมาก็ช้านานแล้ว ยังมิได้ตอบไปเลย เราจะฝากหนังสือไปให้โจจิ๋นด้วย ถ้าท่านทั้งปวงถือหนังสือไปให้แก่โจจิ๋นแล้วก็จะมีบำเหน็จรางวัลอีก ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ดีใจชวนกันคำนับแล้วก็ลาไป
ครั้นมาถึงแม่น้ำฮุยโหจึงเข้าไปคำนับโจจิ๋น แล้วเอาหนังสือให้บอกว่าขงเบ้งฝากมาถึงท่าน โจจิ๋นป่วยหนักอุตส่าห์พยุงตัวขึ้นรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดู เปนใจความว่า มหาอุปราชให้มาถึงโจจิ๋นผู้เปนแม่ทัพใหญ่ ด้วยโบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนมาว่า ถ้าผู้ใดจะเปนแม่ทัพถือพลทหารไปทำการสงครามนั้น ให้พึงรู้ลักษณะในกลศึกจงทุกประการ อนึ่งให้มีปัญญารู้ผ่อนปรนแก้ไขเอาชัยชนะเปนต้น แลตัวท่านเปนแม่ทัพใหญ่มิได้รู้ในกลสงครามทั้งปวงเสียทีแก่เรา เสียทแกล้วทหารเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากฉนี้ ท่านจะกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงนั้น ถึงมาทว่าพระเจ้าโจยอยจะมิเอาโทษก็ดี ก็จะไม่อายแก่อาณาประชาราษฎรทแกล้วทหารทั้งปวงหรือ จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด จงเร่งนบนอบแก่เราเสียโดยดี ถ้าท่านมิคำนับเรา ๆ จะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองลกเอี๋ยงเสีย ตัวท่านเหมือนฝูงแพะอันเข้าอยู่ในปากเสือ สำหรับจะฉิบหายไปด้วยฝีมือทหารทั้งปวง โจจิ๋นแจ้งดังนั้นก็โกรธหนัก โรคซึ่งป่วยก็กำเริบหนักขึ้นถึงแก่ความตายในเวลากลางคืนวันนั้น
สุมาอี้ครั้นแจ้งว่าโจจิ๋นตายแล้ว ก็เอาศพใส่เกวียนมีหนังสือบอกขึ้นไปยังเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยก็ให้แต่งการศพโดยสมควรตามประเพณี แล้วมีหนังสือไปถึงสุมาอี้ให้เร่งทำการรบพุ่งเอาชัยชนะแก่ขงเบ้งให้จงได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือรับสั่งแล้วก็ตระเตรียมพลทหารทั้งปวง จึงให้คนถือหนังสือไปบอกแก่ขงเบ้ง กำหนดว่าเวลาพรุ่งนี้ให้ยกพลทหารออกรบกัน
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า บัดนี้ชรอยโจจิ๋นตายแล้ว สุมาอี้จึงให้คนถือหนังสือมากำหนดรบด้วยเรา ครั้นเวลาคํ่าก็เรียกเกียงอุยกับกวนหินเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับ เกียงอุยกับกวนหินรับคำแล้วก็ยกทหารไปแต่ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าขงเบ้งก็ยกทหารออกจากค่ายกิสานสิ้น มาถึงริมแม่น้ำฮุยโหเปนทำเลที่กลางทุ่ง
ฝ่ายสุมาอี้ก็ยกทหารมาปะทะกันเข้า แลเห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยแต่งตัวโอ่โถง ถือพัดขนนกมาในกลางทหาร ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าจึงร้องว่า เจ้าเราได้เสวยราชย์ในเมืองหลวงถึงสองชั่วพระองค์แล้ว ก็มิได้ไปทำร้ายแก่เมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋ง ละให้ตั้งอยู่เปนสุขมาช้านาน เพราะว่ามีความเอนดูกรุณาแก่ราษฎรมิให้ได้ความเดือดร้อน แลตัวขงเบ้งนี้ เปนชาวบ้านนอกอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองลำหยง ควรหรือจะมาขืนแข่งให้เกินชาติภูมิของตัว บังอาจยกทหารล่วงเข้ามายํ่ายีถึงแดนเมืองเราเปนหลายครั้งมิบังควรนัก ให้ท่านเร่งคิดห้ามใจอย่าได้กำเริบ จงยกพลทหารกลับไปรักษาเมืองตามประเพณีจะดีกว่า แม้มิกลับไปจะขืนล่วงเข้ามายํ่ายีขอบขัณฑเสมาให้ได้ ชีวิตท่านก็จะมิได้คืนไปเมืองด้วยฝีมือทหารของเรา
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตัวเราเปนข้าพระเจ้าเล่าปี่ ๆ พระราชทานเบี้ยหวัดผ้าปีชุบเลี้ยงเรามาก็ช้านาน แลเมื่อพระองค์ประชวรจะสิ้นพระชนม์นั้น ได้ตรัสสั่งไว้แก่เราว่าให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ผู้มี คุณสืบไป ตัวเราก็ได้รับคำไว้เปนข้อใหญ่ ควรหรือจะมานอนนิ่งเสียมิได้คิดอ่านทำการกำจัดศัตรูแผ่นดินดังคนหากตัญญูมิ ได้ ตัวท่านนี้บิดามารดาก็เปนข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแต่ก่อน ควรที่จะเจ็บร้อนด้วยเจ้าอีก มากลับเข้าด้วยอ้ายศัตรูแผ่นดินนี้หาควรไม่
สุมาอี้ได้ฟังขงเบ้งว่าก็อดสูแก่ใจมิรู้ที่จะตอบ จึงว่าถ้าฉนั้นท่านจะรบกับเราก็รบเถิด ขงเบ้งจึงว่า ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวก็ตาม หรือจะรบด้วยฝีมือทหารเราก็มิกลัว สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นเราจะรบกับท่านด้วยกลพยุหก่อน ขงเบ้งจึงว่าให้ท่านทำมาให้เราดูก่อนเถิด สุมาอี้กลับเข้าไปข้างในทหารทั้งปวงจึงเอาธงแดงนั้นปักขึ้น ทหารก็ตั้งพยุหเข้าพร้อมกันชื่อว่าอิคุยติ๋นพยุห แล้วจึงร้องถามขงเบ้งว่ากลพยุหของเรานี้ท่านรู้จักหรือไม่ ขงเบ้งจึงบอกว่ารู้จักอยู่ชื่ออิคุยติ๋นกลพยุห
สุมาอี้จึงว่า ท่านรู้จักพยุหของเราแล้ว จงตั้งพยุหของท่านมาเราจะขอดูบ้าง ขงเบ้งก็กลับเข้ามาเอาพัดโบกทีเดียว ทหารทั้งปวงก็ตั้งเปนพยุหเข้าในทันใด จึงออกมาร้องถามสุมาอี้ว่า ท่านรู้จักหรือไม่ สุมาอี้จึงบอกว่า พยุหปักกัวติ๋นเรารู้จักอยู่ ขงเบ้งจึงว่าท่านรู้จักแล้วจะตีได้หรือมิได้ สุมาอี้จึงบอกว่าเราจะตีให้ได้ ขงเบ้งจึงว่าท่านจงเร่งเข้าตีเถิด สุมาอี้ก็ขึ้นม้าจัดแจงทหารจะออกตี จึงเรียกไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายเข้ามาสั่งว่า อันพยุหของขงเบ้งตั้งบัดนี้มีประตูแปดแห่ง คือประตูเปนแลตายประตูออกประตูไขประตูสูญประตูตกใจประตูลวงประตูซุ่ม ท่านจงตีเข้าไปประตูตวันออกมาประตูตวันตกแล้วมาทิศเหนือ อันประตูทิศใต้นั้นอย่าล่วงตีเข้าไปเลย ถ้าทำตามเราสั่งนี้ได้แล้วทหารขงเบ้งก็จะแตกไปเอง
ไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายรับคำแล้ว ก็คุมทหารสามร้อยยกตีเข้าไปทางประตูทิศตวันออก ทหารขงเบ้งก็กลับพยุหเสียในทันใด ให้เปนประตูแต่สิบประตู ทหารสุมาอี้ก็มิรู้ที่จะตีเข้าไปได้วิ่งกระทบกันอยู่ ทหารขงเบ้งก็จับมัดเอาตัวไปทั้งสิ้น ขงเบ้งจึงว่า นายทหารทั้งสามกับทหารเลวนี้ เราจะฆ่าเสียก็หาต้องการไม่ จึงให้ทหารเปลื้องเอาเสื้อหมวกไว้กับม้า แล้วให้เอาดินหม้อทาหน้าเสียทุกคนจึงสั่งว่า ท่านกลับไปบอกสุมาอี้นายท่านเถิด ว่าให้ไปศึกษาเล่าเรียนอาจารย์ที่ดีเสียอีกก่อนจึงมาสู้กับเรา ว่าแล้วก็ปล่อยให้กลับไป
ครั้นทหารทั้งนั้นมาถึง จึงบอกแก่สุมาอี้ตามคำขงเบ้งทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งทำหยาบช้าแก่เราให้ได้ความอัปยศนัก แม้เรามิเอาชัยชนะได้ครั้งนี้ที่ไหนจะมีหน้ากลับไปเมืองลกเอี๋ยงได้ ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ช่วยกันเอาชัยชนะให้ได้ สุมาอี้ก็ถือกระบี่สำหรับมือให้ยกทหารออกจากค่าย แล้วก็คุมทหารหนุนออกมา
กวนหินตั้งซุ่มอยู่ข้างหลังได้ทีก็ยกทหารโห่ร้องตีเข้ามา สุมาอี้ก็แยกทหารออกตีด้านหลัง ฝ่ายกองทัพขงเบ้งก็ตีกระทบหน้าเข้าไป เกียงอุยก็ตีกระหนาบข้างขวาเปนสามด้านระดมรบเปนอลหม่าน ทหารสุมาอี้เข้าอยู่กลาง ต้องอาวุธรอบตัวล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้เห็นเหลือกำลังสู้มิได้ทหารตายประมาณส่วนหนึ่ง ก็รบหักออกมาได้พาทหารข้ามฟากหนีไปตั้งค่ายทิศตวันตก ตั้งแต่วันนั้นมาสุมาอี้ก็ตั้งมั่นมิได้ออกรบพุ่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่สุมาอี้แล้ว ก็ให้เลิกทหารกลับมาตั้งอยู่ ณ เขากิสาน พอลิเงียมใช้ให้กิอั๋นคุมสเบียงมาส่งพ้นกำหนดไปถึงสิบวัน ด้วยกิอั๋นเปนคนนักเลงสุราสารวลจะกินเหล้าเมาอยู่มิได้เร่งรัดมาให้ทันที ขงเบ้งก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เตียวหงีจึงว่า ซึ่งกิอั๋นส่งสเบียงมิทันกำหนด มหาอปราชจะฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ว่าราชการศึกจะมีไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ใดซึ่งจะรับคุมสเบียงอาหารมาส่งนั้นขัดสนนัก ขอให้งดโทษครั้งหนึ่งก่อน ขงเบ้งก็เห็นชอบด้วยแต่ว่ายังโกรธนักอยู่ จึงให้ทหารเอาตัวไปตีแปดสิบที กิอั๋นก็มีความเจ็บแค้นนัก ครั้นเวลากลางคืนก็พาบ่าวของตัวซึ่งเปนคนสนิธไปหาสุมาอี้ถึงค่าย ทหารจึงเข้าไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ จึงให้หาตัวกิอั๋นเข้ามาข้างใน กิอั๋นก็เล่าเนื้อความให้สุมาอี้ฟังทุกประการ สุมาอี้จึงว่า อันขงเบ้งนี้มีกลอุบายมาก เรายังไม่เชื่อท่านก่อน ถ้าแลท่านทำการให้เราเห็นความสักสิ่งหนึ่งเราจึงจะเชื่อ กิอั๋นจึงว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ข้าพเจ้าก็จะอุตส่าห์ทำตามให้ท่านเห็นความจริง สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจงรีบกลับไปเมืองเสฉวน ไปเล่าแก่คนทั้งปวงให้ปรากฎไปว่า ขงเบ้งคิดขบถจะจับพระเจ้าเล่าเสี้ยนฆ่าเสีย จะชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเปนใหญ่ ถ้ามีผู้เลื่องลือเอิกเกริกไปรู้ถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็จะมิไว้ใจขงเบ้ง ดีร้ายจะมีตราให้หากองทัพเลิกกลับไป ถ้าท่านทำได้ฉนี้เราจะทูลพระเจ้าโจยอยตามความชอบ ให้ตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่
กิอั๋นได้ฟังดังนั้นก็รับคำนับลารีบกลับไปเมืองเสฉวน จึงพูดกับขันทีทั้งปวงตามคำสุมาอี้สั่งทุกประการ ขันทีทั้งนั้นก็เอาเนื้อความทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็ตกใจสำคัญว่าจริง จึงปรึกษาแก่ขันทีทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดดี ขันทีจึงทูลว่า บัดนี้พระองค์ให้อาญาสิทธิ์แก่ขงเบ้ง คนทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสิ้น ขงเบ้งจะว่าสิ่งใดก็จะกระทำตาม ขอพระองคํให้มีตราหาตัวขงเบ้งกลับมา เรียกตราอาญาสิทธิ์ซึ่งมอบให้คืนเอามาเสีย แล้วก็เห็นว่าขงเบ้งจะไม่ทำอันตรายได้ เพราะคนทั้งปวงมิได้ยำเกรงก็จะจนอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย จึงให้มีตราไปหากองทัพจะให้กลับมา
ขณะนั้นเจียวอ้วนจึงเข้ามาทูลว่า มหาอุปราชยกไปครั้งนี้เห็นทำการได้ท่วงทีนักจะได้เมืองลกเอี๋ยงเปนมั่นคง เหตุไฉนพระองค์จะให้หากลับมาเสียเล่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า เรามีธุระเปนความลับจะหามหาอุปราชมาจะปรึกษาด้วย แล้วเร่งให้คนรีบถือหนังสือไป ครั้นขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ว่า เจ้าเรานี้หนุ่มแก่ความนัก มาเชื่อถ้อยคำขุนนางสอพลอยุยงฉนี้ ที่ไหนเราจะทำการต่อไปได้ ครั้นเรามิไปบัดนี้ก็จะเปนข้อขัดรับสั่ง ถ้าจะไปบัดนี้ก็เสียดายนัก สืบไปเบื้องหน้าจะกลับมาทำการสักร้อยครั้งก็มิอาจล่วงเข้ามาถึงที่นี้ได้
เกียงอุยจึงถามว่า มหาอุปราชจะล่าทัพไปครังนี้ ถ้าสุมาอี้รู้ยกทหารตามมารบพุ่งจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันเราจะยกไปครั้งนี้จะทำกลอุบายอันหนึ่ง มิให้สุมาอี้ตามมาได้ เราจะยกทหารเดิรเปนห้ากอง ถ้าไปพักอยู่ที่ใดเราจะให้ทำเตาไฟเพิ่มขึ้นให้มากทุกวันไป สุมาอี้ก็จะสงสัยอยู่
เตียวหงีจึงว่า ครั้งซุนปินทำศึกกับบังก๋วนนั้น ซ่อนเตาไฟเสียจึงเอาชัยชนะได้(๑) เหตุไฉนครั้งนี้มหาอุปราชจะเพิ่มเตาไฟเข้าอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ครั้งนั้นจะลวงให้เห็นว่าคนน้อยจึงซ่อนเตาเพลิงเสีย บัดนี้เราจะทำให้เห็นว่าทหารเราเพิ่มมาทุกวัน ด้วยสุมาอี้มีปัญญาหลักแหลมนัก ถ้าเห็นกลเราทำไว้ก็จะสำคัญว่าทหารเราหนุนมามากแกล้งถอยเสีย ทำกลไว้จะลวงให้ตามก็คร้ามใจอยู่ เราก็ยกไปโดยสดวก ครั้นปรึกษาแล้วขงเบ้งก็ให้เลิกกองทัพล่ากลับไป
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งใจคอยกิอั๋น พอม้าใช้มาบอกว่ากองทัพเมืองเสฉวนเลิกไปแล้ว สุมาอี้มิเชื่อจึงให้คนสกดไปดูท่วงทีขงเบ้ง ครั้นรุ่งขึ้นวันใดทหารก็เอาเนื้อความมาบอกตามระยะทางว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกไปถึงตำบลนั้น ๆ เห็นเตาเพลิงหุงเข้ามากขึ้นทุกวัน สุมาอี้จึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทหารขงเบ้งยกตามหนุนมาทุกวันมิได้ขาด แต่ทว่าเห็นเราตั้งมั่นอยู่จะทำมิสดวก ซึ่งล่าไปบัดนี้เห็นจะวางทหารซุ่มไว้ ถ้าเราเบาความคิดมิได้หนักหน่วงก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง
ครั้นอยู่สองวันสามวันชาวบ้านบอกว่า ขงเบ้งล่าทัพไปนั้นแกล้งทำเตาเพลิงไว้ให้เห็นว่าทหารมากดอก สุมาอี้ก็ทอดใจใหญ่เอามือตบอกแล้วว่า ขงเบ้งทำกลลวงเราครั้งนี้รู้มิทันเลย ตัวเรามีปัญญาน้อย ซึ่งจะทำศึกไปเบื้องหน้านั้นยาก ที่จะประมาณกลศึกขงเบ้งได้ สุมาอี้ก็ให้ยกทหารกลับมาเมืองลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งยกมาถึงเมืองฮันต๋งก็ให้พักทแกล้วทหารอยู่ แล้วยกล่วงเข้าไปในเมืองเสฉวน จึงกราบทูลถามพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปถึงเขากิสาน หวังจะตีเอาเมืองเตียงอั๋น พระองค์ให้มีหนังสือไปหาตัวข้าพเจ้ามานี้ด้วยประสงค์สิ่งใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่ามิได้มีการสิ่งใด เราระลึกถึงมหาอุปราชจึงให้หากลับมา ขงเบ้งจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อ้ายเหล่าสอพลอทูลยุยงพระองค์ว่า ข้าพเจ้าเอาใจออกหากพระองค์จึงให้หากลับมา
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด ขงเบ้งจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชราถึงเพียงนี้แล้ว แล้วก็ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ จึงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินของพระองค์ บัดนี้ศัตรูยุยงอยู่เหมือนวัณโรคอันมีพิษกำเริบอยู่ในอกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูภายนอกเสียนั้นเห็นขัดสน พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า อันเหตุทั้งนี้เพราะเราเบาความเชื่อฟังคำคนชั่ว หากมหาอุปราชมาว่ากล่าวออกเราจึงรู้เหตุ ซึ่งท่านจะถือโทษนั้นไม่ควร ด้วยทุกวันนี้ตัวเราเหมือนหนึ่งคนจักขุมืด ท่านช่วยนำทางให้จึงค่อยเดิรตามไปได้บ้าง ครั้งนี้เราคิดผิดท่านจึงต้องยกทัพกลับมา
ขงเบ้งจึงสืบสาวขุนนางทั้งปวง ได้เนื้อความว่ากิอั๋นพิททูลยุยง ขงเบ้งจะให้เอาตัว พอรู้ว่ากิอั๋นหนีไปเข้าด้วยสุมาอี้แล้ว ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวอ้วนบิฮุยซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อกิอั๋นทูลยุยงนั้นเหตุใดท่านทั้งสองจึงมิได้พิททูลทัดทาน จนให้มีหนังสือรับสั่งไปหาเรามา เจียวอ้วนบิฮุยสารภาพโทษว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้พิททูลทัดทานโทษข้าพเจ้าผิดอยู่ ขงเบ้งก็ให้คาดโทษไว้ จึงสั่งให้ลิเงียมเปนนายกองสำหรับลำเลียงกองทัพเราอย่าให้ขาดได้ แล้วก็ถวายบังคมลาไป ณ เมืองฮันต๋ง จึงจัดแจงทแกล้วทหารจะยกไปตีเมืองเตียงอั๋น
เอียวหงีจึงว่า ทหารในกองทัพเรานี้ถึงยี่สิบหมื่น ยกไปทำศึกครั้งก่อนนั้นก็อิดโรยอยู่ ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ขอให้เอาใจทหารไว้ จงแบ่งเปนสองผลัดให้ยกไปตีสิบหมื่น ต่อถึงกำหนดร้อยวันจึงให้ทหารสิบหมื่นนั้นไปเปลี่ยนกัน จะได้มีกำลังทำการศึกสืบไป ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้ต้องความคิดเรา ซึ่งจะทำการสงครามใช่จะสำเร็จในวันเดียวสองวันหามิได้ จำจะคิดเปนการปีจึงจะได้เมืองเตียงอั๋น แล้วก็ให้กำหนดทหารทั้งปวงตามคำเอียวหงี ถ้าถึงกำหนดแล้วผู้ซึ่งจะไปผลัดนั้นไม่ทันเราจะให้ฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชได้เก้าปี (พ.ศ.๗๗๔) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งคุมทหารสิบหมื่นยกกองทัพไปจากเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้ห้าปี พอม้าใช้มาบอกให้ทูลว่า บัดนี้ขงเบ้งให้ยกกองทัพมาถึงเขากิสาน พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับสุมาอี้ว่า ขงเบ้งยกมานี้เราจะคิดอ่านประการใดดี สุมาอี้จึงทูลว่าโจจิ๋นก็ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้ไว้เปนพนักงานข้าพเจ้า จะอาสาคิดอ่านเอาชัยชนะให้ได้ พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้สุมาอี้เร่งไปทำการเถิด สุมาอี้จึงให้จัดทหารแล้วกราบถวายบังคมลาออกจากเมืองลกเอี๋ยง ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยทรงรถออกไปส่งสุมาอี้ถึงประตูเมือง
สุมาอี้ครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋น จึงให้จัดแจงทแกล้วทหารกองทัพใหญ่จะยกไป เตียวคับจึงว่า การศึกครั้งนี้แต่ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอาชัยชนะขงเบ้งให้ ได้ สุมาอี้จึงตอบว่า ขงเบ้งยกมานี้เปนทัพใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้นเห็นจะสู้ความคิดขงเบ้งไฝได้ ถ้าท่านจะรับเปนกองหน้าแล้วเราจะแต่งกองหลังให้ไปตั้งอยู่รักษาเมืองหลงเส แลท่านทั้งปวงจงยกเปนกอง ๆ ไปคิดอ่านรบพุ่งกับขงเบ้ง ณ เขากิสาน เตียวคับก็ดีใจจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้านั้น จะขออาสาทำการไปกว่าจะสิ้นชีวิต สุมาอี้จึงให้โกฉุยคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองหลงเส ให้เตียวคับถืออาญาสิทธิ์เปนกองหน้าบังคับนายทหารทุกกอง แล้วให้พากันยกไปก่อน
พอม้าใช้มาบอกสุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้อองเป๋งเตียวหงีกองหน้ายกมาทางเกียมโก๊ะก่อน แลทางนั้นมาบัญจบกัน ณ เขากิสาน แล้วขงเบ้งยกกองหลวงหนุนมา สุมาอี้แจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เตียวคับว่า ซึ่งขงเบ้งยกมาทางเกียมโก๊ะนั้น หวังจะให้ทหารไปลอบเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีณแดนเมืองหลงเส ท่านเร่งยกไปตั้งสกัดอยู่ ณ เขากิสาน เรากับโกฉุยจะบัญจบกันยกไปป้องกันเมืองหลงเสไว้ มิให้ทหารขงเบ้งเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีได้ เตียวคับรับคำสุมาอี้แล้วก็คุมทหารสี่หมื่นยกไปตั้งอยู่ ณ เขากิสาน สุมาอี้ก็ยกไปบัญจบกันกับโกฉุยตั้งอยู่ ณ แดนเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งยกมาถึงเขากิสานจึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้ ครั้นเห็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาก็คิดว่า จะออกรบพุ่งบัดนี้สเบียงในกองทัพเราก็ขัดสน ด้วยลิเงียมมิเอาสเบียงมาส่งทัน จึงให้อองเป๋งเตียวหงีอยู่รักษาค่าย ขงเบ้งก็พาเกียงอุยอุยเอี๋ยนกับทหารเปนอันมาก ยกลัดไปถึงเมืองโลเสีย กินอเจ้าเมืองโลเสียแจ้งว่าขงเบ้งยกมา คิดเกรงก็ออกมาคำนับรับเข้าไปในเมือง ขงเบ้งจึงถามกินอว่าตำบลใดเข้าโภชน์สาลีมีชุม กินอจึงบอกว่า แดนเมืองหลงเสนั้นเข้าโภชน์สาลีสุกเปนอันมาก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เตียวเอ๊กม้าตงอยู่รักษาเมืองโลเสีย ขงเบ้งก็คุมทหารยกไปหวังจะเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีในแดนเมืองหลงเส ในขณะนั้นทหารกองหน้าก็เอาเนื้อความมาบอกแก่ขงเบ้งว่า สุมาอี้คุมทหารมาตั้งป้องกันอยู่ ณ ะแดนเมืองหลงเส ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า สุมาอี้นั้นล่วงรู้ความคิดเรา จึงยกมาป้องกันเข้าโภชน์สาลีไว้
แลเมื่อขงเบ้งจะยกมาจากเมืองฮันต๋งนั้น ให้ทำเกวียนเหมือนกันกับเกวียนขงเบ้งซึ่งเคยขี่นั้นสามเล่มด้วยกัน แล้วให้ทำหุ่นสองตัวเหมือนรูปขงเบ้งซ่อนมาด้วย ขณะนั้นขงเบ้งอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ให้เอาเกวียนหุ่นทั้งสองนั้นมา เกณฑ์ทหารสำหรับชักเกวียนนุ่งขาวห่มขาวสยายผมเล่มละสิบสี่คน ทหารสำหรับตีฆ้องกลองโห่ร้องเล่มละห้าร้อย แลทหารสำหรับล้อมวงเล่มละพัน เกวียนหนึ่งให้เกียงอุยเปนนายบังคับทหารทั้งปวง เกวียนหนึ่งนั้นให้ม้าต้ายอุยเอี๋ยนคุมทหาร แลขงเบ้งนุ่งห่มเหมือนกันกับหุ่นทั้งสองตัว จึงเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือชักเกวียนยี่สิบสี่คนสยายผมนุ่งขาวห่มขาว ให้กวนหินบุตรกวนอูแต่งตัวดังเทพดาถือธงนำหน้าเกวียน ให้ทหารสามหมื่นถือเคียวครบมือสำหรับเกี่ยวเข้าโภชน์สาลี แล้วยกไปณะแดนเมืองหลงเส จึงให้เกวียนหุ่นสองเล่มนั้นเข้าซุ่มอยู่สองข้างทาง
ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดสงสัยว่าจะเปนเทพดาหรือผีป่าประการใด จึงรีบไปบอกแก่สุมาอี้ตามซึ่งเห็นนั้นทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ออกมายืนดูหน้าค่าย เห็นขงเบ้งขี่เกวียนถือพัดขนนกโบกไปมา สุมาอี้จึงว่า ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายมาอีก แล้วสั่งทหารม้าสองพันให้เร่งไปจับเอาตัวขงเบ้งแลเกวียนมาให้ได้ ทหารทั้งสองพันนั้นก็ขับม้าออกไปจากหน้าค่าย
ฝ่ายขงเบ้งเห็นดังนั้นก็อ่านมนตร์เป่ากันทางไว้ มิให้ข้าศึกไล่มาทัน แล้วให้ทหารบ่ายหน้าเกวียนเดิรไปโดยปรกติ แลทหารม้าทั้งนั้นก็รีบขับควบไปตาม กำลังทางประมาณสามร้อยเส้น ระยะไล่แลหนีนั้นคงอยู่มิได้ใกล้เข้าไป ขงเบ้งจึงให้กลับหน้าเกวียนหวังจะยั่วทหารสุมาอี้ให้ไล่มาอีก
ทหารสุมาอี้เห็นดังนั้นก็รีบขับม้าตามไปอีกสองร้อยเส้นก็มิได้ทัน อันไกลแลใกล้นั้นก็คงอยู่ดังเก่าจึงหยุดอยู่ คิดสงสัยว่าขงเบ้งเดิรเปนปรกติอยู่ เหตุใดเราควบม้าด้วยกำลังม้าจึงไม่ทัน ครั้นเห็นขงเบ้งกลับเกวียนมาก็รีบขับม้าไล่ไปก็มิได้ทันข้าศึก สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ควบม้าพาทหารรีบตามไปแล้วว่าแก่ทหารม้าว่า ขงเบ้งได้เรียนมนตร์ป้องกันตัวไว้จึงไล่ไม่ทัน ทหารทั้งปวงอย่าไล่ไปเลยเราพากันถอยไปค่ายเถิด พอได้ยินเสียงโห่ขึ้นข้างขวาอื้ออึงออกมา สุมาอี้แลไปเห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียน ทหารชักเกวียนก็มีเหมือนกัน สุมาอี้ตกใจคิดว่าขงเบ้งสิหนีไปข้างหน้ายังเห็นทหารแลธงอยู่ เหตุใดขงเบ้งจึงขี่เกวียนอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งเล่า แล้วได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างซ้ายทาง เห็นเกวียนรูปขงเบ้งทหารอุตลุดออกมา เหมือนกับข้างขวาดังนั้น ก็ยิ่งตกใจมีความสงสัยเปนอันมาก จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อขงเบ้งขี่เกวียนทั้งสามแห่งนี้ ชรอยผีโขมดป่าแกล้งมาหลอกหลอนเรา ขณะเมื่อทหารทั้งหลายเห็นแลได้ยินสุมาอี้ว่าดังนั้น ก็ตกใจจะแตกตื่นไป สุมาอี้ร้องห้ามแล้วก็พาทหารทั้งปวงหนีเข้าในเมืองหลงเส ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็กลับมาให้ทหารสามหมื่นเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีอยู่สองวัน ครั้นได้เปนอันมากแล้วก็พากันกลับไปเมืองโลเสีย
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อหนีเข้ามาอยู่ในเมืองหลงเสถึงสามวัน ครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกกลับไป ก็ให้ทหารออกไปตะเวนนอกเมือง จับได้ทหารขงเบ้งคนหนึ่ง สุมาอี้จึงถามว่าเหตุใดมึงจึงให้พวกกูจับมาได้ ทหารก็บอกว่าข้าพเจ้าตกม้าลงป่วยอยู่ทหารท่านจึงจับมาได้
สุมาอี้จึงถามว่า ขงเบ้งทำความรู้ประการใด เราจึงเห็นขงเบ้งอยู่บนเกวียนทั้งสามคน แลพาผีโขมดป่ามาทำการด้วยหรือ เราจึงไม่สำคัญได้ว่าขงเบ้งอยู่บนเกวียนไหน ทหารนั้นกลัวก็บอกตามขงเบ้งทำทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า ขงเบ้งทำการครั้งนี้ดังเทพดามาช่วย เหลือความคิดเราจะหยั่งรู้ถึง พอโกฉุยยกมาสุมาอี้จึงเล่าเนื้อความให้โกฉุยฟังทุกประการ
โกฉุยจึงว่า ขงเบ้งทำได้แต่ท่านไม่ทันรู้ เมื่อรู้ฉนี้แล้วจะกลัวอะไรเล่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าขงเบ้งสารวลให้ทหารนวดเข้าอยู่ในเมืองโลเสีย ขอให้ท่านแยกทหารออกเปนสองกองตีกระหนาบเข้าไป ก็จะจับขงเบ้งได้โดยง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทหารออกเปนสองกอง แล้วยกไปจากเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้เข้าโภชน์สาลีมาแล้ว ก็ให้ทหารนวดเข้าอยู่ จึงว่าแก่ขุนนางนายทหารทั้งปวงว่า เวลาคํ่าวันนี้จะมีผู้มาตีเมืองโลเสีย แลนอกเมืองนี้เปนที่นากว้างขวางนัก ผู้ใดจะอาสาคุมทหารไปซุ่มอยู่ข้างตวันตกตวันออกคอยตีกระหนาบข้าศึกได้ เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายสี่นายรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปซุ่มอยู่ ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันตก ให้ม้าตงม้าต้ายคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันออก แล้วสั่งว่าถ้าได้ยินเสียงประทัดเมื่อใด ก็ให้คุมทหารแยกกันตีเข้ามาทั้งสี่ด้าน นายทหารทั้งสี่คนนั้นก็ไปซุ่มอยู่ตามคำขงเบ้งสั่งทุกประการ ขงเบ้งจึงให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ครั้นเวลาเย็นขงเบ้งจึงให้ทหารร้อยหนึ่งถือประทัดครบมือ ออกไปซุ่มอยู่นอกประตูข้างทิศเหนือ
ฝ่ายสุมาอี้ยกออกมาใกล้เชิงกำแพงเมืองโลเสีย ครั้นเวลาพลบคํ่าจึงปรึกษากับโกฉุยว่า เราจะเข้าตีเอาเมืองโลเสียให้ได้ในกลางคืนวันนี้ โกฉุยเห็นชอบด้วย สุมาอี้ก็ขับทหารเข้าล้อมเมืองโลเสียไว้ ครั้นเวลายามเศษสุมาอี้ก็ให้ม้าใช้ควบไปบอกให้จุดประทัดต่อ ๆ กันตามสัญญา ทหารทั้งปวงก็โห่ร้องยิงเกาทัณฑ์เข้าไปเปนอันมาก เหล่าทหารหน้าที่เชิงเทินก็รบพุ่งป้องกันไว้
ฝ่ายขงเบ้งเห็นได้ทีก็ให้ทหารจุดประทัดสัญญาขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายเกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน เหล่าทหารซึ่งอยู่ในเมืองโลเสียนั้นก็เปิดประตูออกมา ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก
ฝ่ายสุมาอี้กับโกฉุยพลัดกัน ต่างคนต่างพาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกมา สุมาอี้กับโกฉุยพอพบกันเข้าก็พากันไปตั้งอยู่ ณ เนินเขาแห่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้าย ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทั้งสี่ด้านหวังจะป้องกันข้าศึก
ฝ่ายโกฉุยจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า แต่เราทำสงครามกับขงเบ้งมาก็หลายครั้งยังไม่สำเร็จเพราะมิได้ตัวขงเบ้ง ครั้งนี้ขงเบ้งคิดกลศึกฆ่าทหารเราเสียเปนอันมาก แม้ท่านไม่คิดอ่านกำจัดขงเบ้งเสียให้ได้นานไปก็จะกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเมืองเลียงจิ๋ว แลเมืองเลงจิ๋วให้ยกทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารไปตีเอาตำบลเกียมโก๊ะ ซึ่งเปนด่านเมืองฮันต๋งให้ได้ กองทัพขงเบ้งก็จะขาดสเบียงลง ท่านจงคุมทหารเข้าตีจะมีชัยชนะแก่ขงเบ้งเปนมั่นคง
สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงให้มีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋วแลเมืองเลงจิ๋วตาม คำโกฉุยว่า ฝ่ายซุนเลแจ้งในหนังสือดังนั้นก็จัดแจงทหาร แล้วยกมาถึงสุมาอี้แดนเมืองโลเสีย สุมาอี้จึงให้โกฉุยกับซุนเลแบ่งทหารไปตีเอาด่านเกียมโก๊ะ
ฝ่ายขงเบ้งมิได้เห็นสุมาอี้ออกรบเปนหลายวัน จึงหาเกียงอุยกับม้าต้ายมาว่า ซึ่งสุมาอี้มิได้ออกรบพุ่งเห็นจะแกล้งหน่วงไว้ให้เราขาดสเบียง ประการหนึ่งเกรงสุมาอี้จะให้ทหารยกไปคอยตีตัดสเบียงเรา ท่านทั้งสองจงคุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดไว้ อย่าให้ทหารสุมาอี้ทำอันตรายได้ เกียงอุยม้าต้ายก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดทางไว้ก่อน
ฝ่ายม้าใช้ถือหนังสือมาให้แก่เอียวหงี ๆ แจ้งดังนั้นก็ไปบอกแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งท่านให้กำหนดไว้แก่ทหารทั้งปวงว่า แม้ถึงร้อยวันให้ทหารสิบหมื่นซึ่งอยู่เมืองฮันต๋งนั้นมาผลัด บัดนี้ก็ครบกำหนดแล้ว ทหารทั้งนั้นยกมาถึงกลางทางให้หนังสือบอกมาจะขอให้ทหารไปรับ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า เนื้อความข้อนี้เราได้สั่งไว้แต่เราลืมไป จำจะให้ทหารซึ่งออกนั้นกลับไปจึงจะชอบ ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ดีใจชวนกันจัดแจงเตรียมตัวจะกลับไป
พอม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า ซุนเลคุมทหารประมาณยี่สิบหมื่นมาช่วยสุมาอี้ ๆ เกณฑ์ทหารกองหนึ่งให้ไปตีด่านเกียมโก๊ะ แลตัวสุมาอี้นั้นยกกองทัพจะมาตีเอาเมืองโลเสีย ขงเบ้งยังมิทันตอบประการใด ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ
เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้กองทัพสุมาอี้ยกมาเปนการจวนตัวด้วยกันอยู่แล้ว ซึ่งท่านจะให้ทหารเหล่านี้ออกไปก่อนนั้นไม่ได้ ถ้าทหารเกณฑ์ผลัดมาถึงเมื่อใด จึงให้ทหารซึ่งออกนั้นไป ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวเราได้ออกปากแล้ว ครั้นจะคืนคำเสียทหารทั้งปวงก็จะดูหมิ่นได้ ตัวเราถืออาญาสิทธิ์อยู่ ถึงมาทว่าเพลี่ยงพลํ้าแก่ข้าศึกเราจะรักษาวาจาให้คงไว้ ซึ่งจะขัดเขาไว้นั้นเห็นไม่ชอบ ด้วยบิดามารดาบุตรภรรยาเขาจะคอยหากัน แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถึงกำหนดผลัดเปลี่ยนแล้วจงเร่งพากันไปเถิด
ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ว่า ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอเอาชีวิตอยู่แทนคุณอาสาท่าน ทำการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกให้จงได้ก่อนจึงจะไป ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ทหารทั้งปวงเปนใจแก่ราชการครั้งนี้เราขอบใจนัก จึงพาทหารทั้งปวงนั้นออกไปรักษาค่ายอยู่นอกเมืองแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นกองทัพสุมาอี้มาเมื่อใด ก็เร่งออกตีอย่าให้ตั้งอยู่ได้
ฝ่ายสุมาอี้ยกมาใกล้จะถึงเชิงกำแพงเมืองโลเสีย จะให้ทหารเข้าตั้งค่ายลง เหล่าทหารขงเบ้งก็ชวนกันออกโจมตีฆ่าฟันทหารสุมาอี้ ซึ่งมาแต่เมืองเลงจิ๋วล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นแตกหนีไป
ขงเบ้งก็เลิกกลับเข้าเมือง แล้วปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามสมควร พอม้าใช้เอาหนังสือลิเงียมซึ่งส่งสเบียงไม่ทัน จึงบอกลวงมานั้นให้ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ อ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าลิเงียมแจ้งกิตติศัพท์ว่าซุนกวนให้หนังสือไปถึงโจยอยว่า ให้ยกกองทัพบัญจบกันจะมาตีเอาเมืองเสฉวน โจยอยให้มีหนังสือตอบไปว่า ให้ซุนกวนยกกองทัพไปทำการก่อนโจยอยจึงจะยกหนุนไป บัดนี้ทัพซุนกวนนั้นยังสงบอยู่ ข้าพเจ้าจะไว้ใจแก่ข้าศึกไม่ได้จึงบอกมาให้แจ้ง
ขงเบ้งเห็นในหนังสือดังนั้นก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้นเราจะทำศึกอยู่กับสุมาอี้บัดนี้ก็เปนกังวลหลัง ด้วยซุนกวนจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน เราจำจะเลิกทัพกลับไปรักษาเมืองไว้จึงจะควร นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย ขงเบ้งจึงให้ม้าใช้ไปบอกกองทัพซึ่งตั้งอยู่ ณ เขากิสานให้เลิกถอยไปก่อน เราจะอยู่ป้องกันสุมาอี้แล้วจึงจะยกไปภายหลัง
ฝ่ายนายทัพนายกอง ณ เขากิสานแจ้งดังนั้นก็เลิกทัพกลับไป เตียวคับเห็นดังนั้นก็มิได้ยกติดตามไป ด้วยเกรงกลศึกขงเบ้งอยู่ จึงกลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาอี้ ๆ จึงว่า อันกลศึกขงเบ้งนั้นลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่เขากิสานเถิด แม้กองทัพขงเบ้งขาดสเบียงอาหารเมื่อใดก็จะยกกลับไปเอง
งุยเป๋งจึงว่า ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตามจะมานิ่งอยู่ดังนี้ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะ เยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวนเหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพตามตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายจึงจะได้ทีทำการสืบไป สุมาอี้ก็มิได้ทำตาม
ฝ่ายขงเบ้งครั้นรู้ว่ากองทัพเขากิสานเลิกกลับไปแล้ว ก็ให้หาเอียวหงีกับม้าตงเข้ามาสั่งว่า ให้ท่านทั้งสองคุมทหารเกาทัณฑ์หมื่นหนึ่งรีบไปซุ่มอยู่ตำบลบิตกบอกบุ๋นปาก ทางจะไปด่านเกียมโก๊ะ แม้ทหารสุมาอี้ตามไปได้ยินเสียงประทัดสัญญาเมื่อใด ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลาสมทบปากทางเสีย แล้วให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงออกมาทั้งสองข้างทางจับเอาข้าศึกให้ได้ เอียวหงีม้าตงก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปจากเมืองโลเสีย
ขงเบ้งจึงสั่งอุยเอี๋ยนกวนหินให้คุมทหารเปนกองหลัง ให้เก็บเอาฟืนมาสุมเพลิงไว้ให้ข้าศึกเห็นควันเพลิง แลธงหน้าที่เชิงเทินอย่าให้ลดเสีย แม้กองทัพเรายกออกจากเมืองแล้ว ท่านทั้งสองจึงยกตามไปตำบลบอกบุ๋น ถ้าสุมาอี้ยกตามจงรบล่อไป ครันสั่งเสร็จแล้วขงเบ้งก็พากินอแลชาวเมืองทั้งนั้นยกออกจากเมืองโลเสีย อุยเอี๋ยนกับกวนหินก็ทำตามขงเบ้งสั่ง แล้วคุมทหารตามไปทางบอกบุ๋น
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ว่า กองทัพขงเบ้งนั้นเลิกไปจากเมืองโลเสียแล้ว สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ไปดูใกล้เชิงกำแพงเมือง เห็นธงทิวปักอยู่บนหน้าที่เชิงเทินเปนอันมาก แลควันเพลิงนั้นก็มีปรกติอยู่ สุมาอี้หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งเลิกกองทัพกลับไปแล้ว ยังทำอุบายไว้ฉนี้อีกเล่า จึงให้ทหารเข้าไปดูมิได้เห็นผู้คน แล้วกลับออกมาบอกว่ามีแต่เปลือกเมืองเปล่า สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าครั้งนี้ขงเบ้งยกไปแล้ว ผู้ใดจะอาสาตามไปตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายได้
เตียวคับจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปโจมตีตัดท้ายขงเบ้งให้แตกขึ้นไปจนทัพหน้า สุมาอี้จึงตอบว่าใจท่านรวดเร็วนัก ซึ่งจะไปนั้นเกรงจะเสียท่วงที เตียวคับจึงว่า ท่านเกณฑ์ให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้า หวังจะได้รบพุ่งต้านทานข้าศึก บัดนี้ขงเบ้งถอยทัพไปเปนธรรมเนียมกองหน้าจะได้ติดตาม เหตุใดท่านจึงห้ามไว้ฉนี้เล่า
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งข้าศึกถอยไปเปนธรรมเนียมกองหน้าได้ติดตามนั้นก็จริงอยู่ แต่ทางซึ่งจะไปนั้นเปนซอกธารเขากันดารนัก เราเกรงว่าขงเบ้งจะให้ซุ่มทหารอยู่คอยตีกระหนาบ เราจึงห้ามท่านไว้หวังจะให้มีสติ ท่านจะไปก็ตามเถิดแต่จงประหยัดอย่าเบาความ แม้ครั้งนี้เสียทีมาภายหน้าจะทำการสืบไปท่านก็จะย่อท้อต่อข้าศึก เตียวคับจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนชาติทหารจะอาสาเจ้าโดยสุจริตถึงมาทว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สุมาอี้จึงเกณฑ์ทหารให้เตียวคับห้าพันแล้วให้งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นหนุนไป ด้วย แล้วสุมาอี้นั้นก็คุมทหารสามพันยกไปเปนกองหลัง
ฝ่ายเตียวคับคุมทหารรีบตามไปทางประมาณสี่ร้อยเส้น พอเห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องมาจากป่าสนธิ์ อุยเอี๋ยนท้าทายเปนข้อหยาบช้า เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้สิบห้าเพลง อุยเอี๋ยนทำควบม้าหนี เตียวคับขับม้าไล่ตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้นก็ไม่เห็นอุยเอี๋ยน
พอกวนหินคุมทหารโห่ร้องออกขวางหน้าไว้ เตียวคับเห็นดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบด้วยกวนหินได้สิบเพลง กวนหินก็แกล้งควบม้าหนี เตียวคับขับม้าตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้น กวนหินลับเนินเขาไป พออุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องออกมา รบกับเตียวคับได้เก้าเพลงสิบเพลง อุยเอี๋ยนแกล้งให้ทหารทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย แล้วควบม้าหนีต่อไป เหล่าทหารเตียวคับมิได้รู้กลอุบาย ก็ชวนกันลงจากม้าทิ้งเครื่องศัสตราวุธไว้เปนอันมาก แลเตียวคับกับทหารประมาณร้อยเศษขับม้ารีบตามอุยเอี๋ยนไปถึงซอกเขาทางบอกบุ๋น ได้รบพุ่งกับอุยเอี๋ยนเปนสามารถ อุยเอี๋ยนก็แกล้งขับม้าหนีต่อไป พอเวลาเย็นเตียวคับเห็นแสงเพลิงไหม้ขึ้นทั้งสองข้างทาง ครั้นจะชักม้าถอยมาทหารขงเบ้งก็เอาก้อนศิลาสมทบปากทางไว้ เตียวคับตกใจได้คิดว่าตัวกูครั้งนี้เสียความคิดแก่ข้าศึกเสียแล้ว พอทหารบนเนินเขายิงเกาทัณฑ์แลทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ไม่รู้ที่จะหนีออกแห่งใดได้ เตียวคับถูกเกาทัณฑ์หลายแห่ง ยิ่งมีใจโกรธพิษเกาทัณฑ์นั้นก็กำเริบขึ้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงซึ่งตามมาทันนั้นก็ถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาตายสิ้น
ฝ่ายทหารเตียวคับได้เครื่องศัสตราวุธแล้วก็รีบตามเตียวคับไป เห็นก้อนศิลาสมทบปากทางบอกบุ๋นอยู่ ก็คิดว่าเตียวคับนี้จะมีอันตรายเปนมั่นคง ครั้นจะตามเข้าไปก็กลัวความตาย พอได้ยินเสียงขงเบ้งร้องลงมาแต่เนินเขาว่า อ้ายเหล่าทหารเตียวคับอย่าตกใจกลัวเลย กูหาทำอันตรายไม่ มึงจงเร่งพากันกลับไปบอกแก่สุมาอี้เถิดว่า กูคิดอ่านทำการครั้งนี้หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศก็ไม่สมควรคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัวกูจะคิดอ่านจับให้ได้ ทหารทั้งปวงแจ้งดังนั้นก็ตกใจทั้งยินดี พากันคำนับรีบกลับมา พบสุมาอี้ก็เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ตกใจคิดสงสารเตียวคับแล้วว่า ซึ่งเตียวคับเปนเหตุทั้งนี้เพราะเราใจเบาให้ไปจึงถึงแก่ความตาย แล้วให้เลิกกองทัพกลับมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยตามซึ่งได้ทำสงครามจนเตียวคับถึงแก่ความตาย ตำบลทางบอกบุ๋น
พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโศกตรัสว่า เตียวคับนี้เปนทหารเอกแต่ครั้งพระไอยกาแลพระบิดาจนมาถึงเรา บัดนี้มาถึงแก่ความตายในท่ามกลางศึก สมควรเปนชาติทหาร แล้วก็ให้ทหารไปเอาศพเตียวคับมาได้พระราชทานเงินทองให้แต่งศพฝังไว้ณะเมือง ลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งมีชัยชนะสุมาอี้แล้ว ก็ยกกองทัพกลับเข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋ง ฝ่ายลิเงียมแจ้งว่าขงเบ้งยกทัพกลับมาก็ตกใจ เข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าจัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้วจะไปส่งกองทัพ พอมหาอุปราชยกมาถึงฮันต๋ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงให้บิฮุยไปถามขงเบ้ง ณ เมืองฮันต๋งว่า ขัดสนสิ่งใดหรือจึงเลิกกองทัพกลับมา ขงเบ้งจึงบอกว่า ตัวเราทำการสงครามอยู่ พอลิเงียมมีหนังสือไปว่าซุนกวนจะยกไปตีเมืองเสฉวน เราตกใจด้วยเปนกังวลหลังจึงยกกองทัพกลับมาหวังจะป้องกันเมืองไว้
บิฮุยจึงบอกว่า บัดนี้ลิเงียมเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า จัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้ว จะไปส่งพอท่านยกมาถึง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ข้าพเจ้ามาถามดู ขงเบ้งจึงให้ทหารไปดูสเบียงอาหารจะพร้อมอยู่เหมือนคำลิเงียมหรือไม่ ทหารได้เนื้อความแล้วกลับมาบอกขงเบ้งว่า ลิเงียมจัดแจงสเบียงไม่ทันจึงให้มีหนังสือมาลวงท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงให้ทหารขึ้นไปณะเมืองเสฉวน จับเอาตัวลิเงียมมาได้ ขงเบ้งจึงว่าพนักงานของตัวแต่งส่งลำเลียงก็ทำไม่ได้ แล้วแกล้งแต่งหนังสือมาลวงเรา โทษตัวถึงแก่ความตาย แล้วสั่งทหารให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย
บิฮุยจึงว่า อันโทษลิเงียมก็ถึงตาย แต่ท่านจงคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งได้ฝากลิเงียมแลราชการไว้แก่ท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็น้ำตาไหล ด้วยคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่จึงให้ยกโทษลิเงียมไว้ ขงเบ้งจึงให้ลิเงียมบิฮุยไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน บิฮุยกราบทูลตามลิเงียมทำมหาอุปราชจึงกลับมา พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสสั่งจะให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงกราบทูลขอโทษลิเงียมไว้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ถอดลิเงียมออกเสียจากที่ขุนนาง ขงเบ้งคิดเอนดูลิเงียม จึงเอาลิหลวงบุตรมาตั้งเปนขุนนางแทนที่ลิเงียมผู้บิดา
(๑) มีในเรื่องเลียดก๊ก
ครั้น รุ่งขึ้นปีใหม่โจจิ๋นจึงกราบทูลพระเจ้าโจยอยว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกมากระทำยํ่ายีถึงขอบขัณฑเสมาเนือง ๆ กองทัพเมืองลกเอี๋ยงนี้ก็เสียทีเปนหลายครั้ง ทหารเมืองเสฉวนนั้นก็กำเริบใหญ่หลวงนัก จะนิ่งอยู่บัดนี้ก็มิได้ นานไปกองทัพเมืองเสฉวนก็จะทำอันตรายให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนอีก แลเทศกาลนี้ก็เปนคิมหันตฤดูแล้ว ข้าพเจ้าจะขอยกกองทัพไปกับสุมาอี้ ตีเอาเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งให้จงได้ กำจัดศัตรูเสียอย่าให้มีภัยมาถึงเมืองเรา
พระเจ้าโจยอยเห็นชอบด้วย จึงตั้งให้โจจิ๋นเปนแม่ทัพฝ่ายขวา สุมาอี้เปนฝ่ายซ้าย เล่าฮวนเปนที่ปรึกษา ถือพลทหารสิบสี่หมื่นยกไปทางด่านเกียมก๊ก จะไปตีเมืองฮันต๋ง ม้าใช้จึงเอาเนื้อความแจ้งแก่ขงเบ้ง
ขณะนั้นขงเบ้งให้ซักซ้อมทหารหัดปรือกันอยู่ จะไปตีเมืองลกเอี๋ยงอีก พอม้าใช้เข้ามาบอกจึงให้หาเตียวหงีกับอองเป๋งเข้ามาสั่งว่า ท่านคุมทหารพันหนึ่งยกไปตั้งตำบลตันฉองรับทัพสุมาอี้ไว้ แล้วเราจึงจะยกกองทัพไปช่วย อองเป๋งกับเตียวหงียกมือขึ้นคำนับแล้วจึงว่า บัดนี้กิตติศัพท์ว่าสุมาอี้ยกกองทัพมาถึงห้าสิบหมื่นหกสิบหมื่น มหาอุปราชจะให้พลข้าพเจ้าทั้งสองไปแต่พันหนึ่งนี้ ที่ไหนจะต่อสู้ทหารสุมาอี้ได้ จะมิเสียการไปหรือ
ขงเบ้งจึงว่า เปนไฉนท่านมาวิตกฉนี้เล่า เราหาลวงท่านให้สุมาอี้ฆ่าเสียไม่ ถึงมาทว่าท่านไปเสียทีแก่ข้าศึกมาเราก็มิเอาโทษ อองเป๋งเตียวหงีก็มิอาจรับ แต่อ้อนวอนขงเบ้งเปนหลายครั้ง ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตก อันเราใช้ไปครั้งนี้ ด้วยเราพิเคราะห์ดูในอากาศเห็นดาวฤกษ์มีรัศมีหม่นหมองนัก ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ตกเปนหลายวัน เราเห็นว่ากองทัพสุมาอี้จะล่วงแดนเข้ามามิได้ ด้วยน้ำป่าจะหนักมาท่วมทหารสุมาอี้ก็จะกลับไปเอง เราจึงให้ทหารท่านไปแต่น้อย ครั้นจะให้ไปมากก็จะลำบากเสียเปล่า ตัวเราก็จะไปซ่องสุมทหารเมืองฮันต๋งไว้ให้พร้อม ถ้าสุมาอี้ถอยทัพแล้ว เราก็จะยกทหารออกโจมตีซํ้าหลังไป มิพักให้ยากแก่ทแกล้วทหาร กองทัพเมืองลกเอี๋ยงก็จะเสียทีแก่เรา อองเป๋งเตียวหงีก็มีความยินดีคำนับแล้วก็ยกทหารไป
ฝ่ายขงเบ้งก็ไปกะเกณฑ์ทหารเมืองฮันต๋งให้ตระเตรียมสเบียงอาหารหาเข้าตาก ใส่ไถ้ไว้ทุกคน กำหนดให้พอกินเดือนหนึ่งกว่าจะสิ้นระดูฝน หวังมิให้ทหารทั้งปวงหุงเข้ากิน จะได้ทำการรบพุ่งโดยสดวก
ฝ่ายสุมาอี้กับโจจิ๋นยกทหารมาถึงตำบลตันฉองมิได้เห็นผู้คนเย่าเรือนเหลือ อยู่ จึงให้หาชาวบ้านนอกมาถาม ชาวบ้านนอกจึงบอกว่า เมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกไปนั้นให้ทหารจุดเผาเสียสิ้น โจจิ๋นได้แจ้งดังนั้นแล้วปรึกษากับสุมาอี้จะรีบยกกองทัพไป
สุมาอี้จึงว่า อันจะยกกองทัพล่วงไปนั้นยังมิได้ ด้วยเวลาคืนนี้เราเห็นดาวฤกษ์รัศมีมัวอยู่ ในเดือนนี้จะมีฝนห่าใหญ่ จะยกไปนั้นทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากมากนัก ขอให้ท่านยกกองทัพตั้งอยู่ที่นี่ก่อน เมื่อพ้นเทศกาลฝนแล้วจึงค่อยยกไป โจจิ๋นเห็นชอบด้วยจึงยั้งกองทัพไว้ ครั้นอยู่มาประมาณสิบวันฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมามิได้เหือดถึงสามสิบวัน น้ำในที่นั้นลึกประมาณสามศอกท่วมสเบียงอาหารเสียสิ้น ทแกล้วทหารก็มิรู้ที่จะอาศรัยนั่งนอนแห่งใด ได้ความลำบากก็ร้องไห้อื้ออึงไป กิตติศัพท์ก็แจ้งไปถึงเมืองลกเอี๋ยง ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยขอให้หากองทัพกลับมา พระเจ้าโจยอยก็เห็นชอบด้วย จึงให้มีหนังสือไปหากองทัพให้เลิกกลับมา
ฝ่ายขงเบ้งจับยามดูรู้ว่าสุมาอี้ยกกองทัพกลับไปแล้ว จึงว่าแก่ทแกล้วทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ชรอยพระเจ้าโจยอยให้มีหนังสือมาหากองทัพกลับไปเปนมั่นคง พอสิ้นคำลงคนถือหนังสือซึ่งอองเป๋งเตียวหงีใช้มานั้น เข้ามาแจ้งว่ากองทัพสุมาอี้เลิกไปแล้ว ขงเบ้งมีความยินดี จึงสั่งผู้ถือหนังสือให้เร่งกลับไปบอกแก่อองเป๋งเตียวหงีว่า อย่าให้ยกทหารตามไปเลย
ขุนนางทั้งปวงจึงว่า สุมาอี้ถอยทัพไปได้ทีอยู่แล้ว เหตุใดมหาอุปราชจึงมิให้ยกไปโจมตีเล่า ขงเบ้งจึงว่า อันสุมาอี้นี้ชำนาญในการสงครามนัก ถึงมาทว่าล่าไปครั้งนี้ก็มิไปเปล่า เห็นจะแต่กองทหารซุ่มไว้คอยรับทัพตามไปมั่นคง เราจะตามไปก็จะต้องด้วยกลของสุมาอี้ ปล่อยให้ไปเถิด แล้วเราจึงค่อยยกทหารไปจำก๊กออกเอาตำบลกิสานอย่าให้ทันสุมาอี้รู้ตัว ขุนนางทั้งปวงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชไปเมืองเตียงอั๋นนั้นจะไปทางอื่นไม่ได้หรือ จำเพาะจะยกไปแต่เขากิสาน ข้าพเจ้าทั้งปวงมิเต็มใจเลย ด้วยเห็นว่าไปถึงสามครั้งแล้วก็มิได้การ
ขงเบ้งจึงบอกว่า ตำบลกิสานนั้นเปนหัวใจเมืองเตียงอั๋น ด้วยจะกะเกณฑ์ทแกล้วทหารแลสเบียงทั้งปวงก็อาศรัยเมืองหลงเส ๆ นั้นก็มารวมในปากทางกิสาน อนึ่งก็เปนซอกห้วยธารเขาที่จะซุ่มทหารไว้ได้มาก ถึงจะทำการสงครามก็ถนัด เราจึงจะยกไปทางกิสานเพราะเห็นเหตุฉนี้ ทหารได้ฟังดังนั้นก็ยกมือขึ้นคำนับ สรรเสริญขงเบ้งว่าปัญญาดังเทพดา
ขณะนั้นขงเบ้งก็ให้อุยเอี๋ยนเตียวหงีเตาเขงตันเซ็กคุมทหารยกไปทางกิก๊ก แล้วให้ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ็กม้าตงคุมทหารไปตั้งตำบลจำก๊ก กำหนดให้ออกพร้อมกัน ณ เขากิสาน ครั้นจัดแจงนายทัพนายกองให้ยกไปแล้ว ก็ตั้งให้กวนหินเลียวฮัวเปนกองหน้า ขงเบ้งจึงยกทหารเปนทัพหลวงไป
แลขณะเมื่อสุมาอี้กับโจจิ๋นยกมาตำบลตันฉองนั้น กลัวกองทัพขงเบ้งจะตามมา จึงค่อยเลื่อนกองทัพมาเปนปรกติ มิได้รีบรัดทหารโดยเร็ว ม้าใช้มาบอกถึงสองครั้งว่า มิได้เห็นกองทัพขงเบ้งยกตามมา โจจิ๋นว่าแก่สุมาอี้ว่า เราจะเดิรกองทัพรออยู่ฉนี้ ทแกล้วทหารทั้งปวงจะลำบากนัก กองทัพขงเบ้งก็มิได้ติดตามแล้ว เราจงยกทหารรีบไปเถิด
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งขงเบ้งมิได้ยกกองทัพตามเราฉนี้ เพราะเหตุว่ากลัวเราจะซุ่มทหารไว้ จึงปล่อยให้เรามาโดยสดวก แลกองทัพลาดมาก็ได้หลายวันแล้วก็มิตาม เห็นขงเบ้งจะยกทหารมาตั้งเขากิสาน โจจิ๋นจึงว่าเราไม่เห็นด้วย สุมาอี้จึงว่า ท่านมิเชื่อก็ขอให้แยกกองทัพไปคนละทางเถิด ท่านจงไปรักษาจำก๊กด้านตวันตก ข้าพเจ้าจะไปรักษากิก๊กทิศตวันออก ถ้าในสิบวันกองทัพขงเบ้งไม่ยกมา ข้าพเจ้าจะไปคำนับท่านถึงค่าย ขอให้ท่านเอาแป้งทาหน้าข้าพเจ้าเสีย แล้วเอาเสื้อผู้หญิงใส่ประจานให้ได้อายแก่ทหารทั้งปวงเถิด
โจจิ๋นจึงว่า ถ้าขงเบ้งยกทหารมาเหมือนปากท่านว่า เราก็จะเอาปั่นเหน่งหยกกับม้าดีที่พระเจ้าโจยอยประทานเรานั้นให้แก่ท่าน สุมาอี้กับโจจิ๋นสัญญากันแล้ว ต่างคนต่างก็ยกทหารแยกไป ครั้นถึงตำบลกิก๊กแล้ว สุมาอี้จึงแต่งตัวปลอมเปนทหารไปเที่ยวตรวจค่าย เห็นทหารคนหนึ่งนั่งทอดใจใหญ่เปนทุกข์บ่นว่า ฝนตกถึงสามสิบวันได้ความลำบากหนักหนา แล้วมิหนำซ้ำมาตั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ยากไปอีกเล่า เหมือนมานั่งคอยถ้าหาความทุกข์ใส่ตัว แม้จะกลับไปเมืองให้เห็นหน้าบุตรภรรยาจะมิดีหรือ
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นกลับมาค่าย ให้หานายทัพนายกองมาพร้อมแล้วจึงให้เอาทหารซึ่งเจรจามิชอบนั้นมาถามว่า เรามาทำการทั้งนี้ใช่จะปราถนาเอาความสุขแต่ตัวก็หามิได้ คิดจะให้เปนสุขแก่บุตรภรรยาท่านทั้งปวง เหตุใดมาเจรจาฉนี้มิได้มีความภักดีต่อเจ้า กินเบี้ยหวัดมาร้อยวันพันวันจะเอาการแต่วันเดียวก็มิได้ ซึ่งจะเอาไว้ในกองทัพนี้มิได้ นานไปจะกลับเปนศัตรู จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ทหารก็ตัดสีสะเข้ามาในทันใด
ขณะนั้นทหารทั้งปวงก็ตกใจ สุมาอี้จึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าตกใจ อุตส่าห์ทำการสนองคุณเจ้าเถิด ถ้าได้ยินเสียงประทัดใหญ่เราจุดขึ้นในกลางค่ายเมื่อใด ก็เร่งรบพุ่งข้าศึกจงสามารถ อย่าได้กลัวแก่ความตาย ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนก็ถอยไป
ขณะเมื่ออุยเอี๋ยนเตียวหงีตันเซ็กเตาเขงยกมาใกล้ถึงกิก๊ก พอขงเบ้งใช้เตงจี๋ตามาทันเข้า สี่นายจึงถามว่า ท่านมาด้วยกิจสิ่งใด เตงจี๋จึงบอกว่า มหาอุปราชมิไว้ใจใช้ให้เราตามมากำชับท่าน ว่าให้ระวังกลสุมาอี้จงได้ เกลือกจะวางผู้คนซุ่มไว้ อย่าให้รีบยกล่วงเข้าไปก่อน ซับทราบดูให้จงดี อุยเอี๋ยนแลทหารสามนายจึงว่า มหาอุปราชนี้วิตกหาต้องการไม่ เมื่อแลทหารสุมาอี้ตรำฝนอยู่ถึงสามสิบวัน เกราะนวมแลสเบียงอาหารก็เปียกสิ้น จะรีบไปบ้านเหมือนใจจะขาดหรือจะมาซุ่มอยู่นั้นผิดไป ได้ทีกระทำแก่ข้าศึกแล้วมหาอุปราชมาคิดกลัวให้ถอยหลังอยู่ฉนี้เล่า
เตงจี๋จึงว่า อันมหาอุปราชนี้จะว่าสิ่งใดแต่ก่อนมาก็มิได้ผิดสักครั้ง เหตุไฉนท่านจึงมาติมหาอุปราชนั้นหาควรไม่ ตันเซ็กได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะแล้วว่า มหาอุปราชความคิดดีแล้วเหตุใดครั้งก่อนจึงให้เสียตำบลเกเต๋งเล่า อุยเอี๋ยนจึงว่า แต่ก่อนเราได้คิดการให้มหาอุปราชครั้งหนึ่ง แม้ทำตามความคิดเราก็มิได้เมืองลกเอี๋ยงนานแล้วหรือ ที่ไหนจะได้ยกทัพมาได้ความลำบากแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง
ตันเซ็กจึงว่าแก่อุยเอี๋ยนว่า มหาอุปราชสิไม่ไว้ใจให้มาห้ามแล้วกระนั้นข้าพเจ้าจะคุมทหารพันหนึ่งไปแต่ผู้ เดียว รีบออกไปกิก๊กไปตั้งค่าย ถ้ามหาอุปราชอยู่ ณ เขากิสาน ให้มหาอุปราชอายจงได้ ตันเซ็กก็คุมทหารรีบไปผู้เดียว เตงจี๋ก็รีบกลับมา
ขณะนั้นตันเซ็กยกทหารมาทางประมาณหกสิบเส้น พอทหารสุมาอี้ตั้งซุ่มอยู่เห็นได้ทีก็จุดประทัดโห่ร้องขึ้น ยกเข้าล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน ตันเซ็กอยู่ในท่ามกลางก็ขับทหารฝ่าฟันเปนสามารถ ล้มตายลงในที่รบเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยก็รบพุ่งตลุมบอนกันอยู่จะหักออกมิได้ ทหารสุมาอี้ล้อมกระชั้นเข้าไปจะจับเอาตัว อุยเอี๋ยนได้ยินเสียงทหารรบพุ่งกันเอิกเกริกดังนั้น ก็ยกทหารรีบไปช่วยโจมตีเข้าไปแก้เอาตัวตันเซ็กออกมาจากที่ล้อมได้ ทหารสุมาอี้ก็รบพุ่งติดพันมา เตาเขงเตียวหงีก็ขับทหารขึ้นไปช่วยกันเอาอุยเอี๋ยนแลตันเซ็กไว้ได้ ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ถอยกลับไป ทั้งสี่นายก็พากันมาค่าย จึงคิดว่ามหาอุปราชมีปัญญาจริง
ฝ่ายเตงจี๋ครั้นถึงจึงบอกแก่ขงเบ้งว่า มหาอุปราชใช้ให้ข้าพเจ้าไปห้ามปรามนั้น อุยเอี๋ยนกับตันเซ็กชวนกันหัวเราะเยาะมหาอุปราชเสียอีก ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า อุยเอี๋ยนนี้เปนคนใจมิตรง ครั้นจะกำจัดเสียก็เสียดายฝีมือ จำเปนจำเอาไว้ใช้ไปพลาง นานไปอุยเอี๋ยนจะเปนขบถต่อแผ่นดินเปนมั่นคง พอพูดกันสิ้นคำลงม้าใช้มาบอกว่า ตันเซ็กยกทหารล่วงขึ้นไปเสียทีแก่สุมาอี้ ผู้คนล้มตายเปนอันมาก เหลือทหารอยู่ประมาณหกร้อยคน บัดนี้กองทัพมาตั้งอยู่ต้นทางกิก๊ก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า ถ้าจะเอาโทษกับนายทัพนายกองบัดนี้ก็จะเอาใจออกหากไปเข้าด้วยข้าศึกเสีย จึงให้เตงจี๋ไปเอาใจอย่าให้วิตกทุกข์ร้อนเลย เรามิได้เอาโทษ จงอุตส่าห์คิดอ่านทำราชการแก้เอาชัยชนะเถิด แล้วขงเบ้งจึงให้ทหารรีบไปสั่งม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กทั้งสี่นายให้ แยกกันไปเปนสองกอง ม้าต้ายกับอองเป๋งนั้นให้ยกทหารไปทางขวามือ ม้าตงกับเตียวเอ๊กจงคุมทหารไปทางซ้ายมือ กลางวันให้ซุ่มอยู่เดิรต่อเวลากลางคืน ถ้ารีบออกจากกิก๊กถึงตำบลกิสานแล้ว จึงกองเพลิงไว้ปากทางเปนสำคัญ ให้เข้าตีเอาค่ายโจจิ๋นจงได้ ฝ่ายเราก็จะยกทหารไปช่วยตีกระหนาบเข้าเปนสามด้าน
ม้าต้ายม้าตงอองเป๋งเตียวเอ๊กแจ้งดังนั้นก็รีบยกทหารมา ขงเบ้งให้หากวนหินเลียวฮัวเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับแล้วให้ยกทหารไป ครั้นขงเบ้งยกกองทัพล่วงมาถึงกลางทาง จึงสั่งให้งออี้งอปันยกทหารล่วงขึ้นไปก่อน
ฝ่ายโจจิ๋นมาตั้งค่ายอยู่ตำบลจำก๊กนั้น ก็ประมาทมิได้ตรวจตรารักษาแลตระเตรียมทหารทั้งปวง เพราะมิได้เชื่อคำสุมาอี้ สำคัญว่าถึงกำหนดสิบวันแล้ว ก็จะทำประจานสุมาอี้ตามซึ่งสัญญากันไว้
ครั้นอยู่ได้เจ็ดวันทหารมาบอกว่า บัดนี้ทหารเมืองเสฉวนรายมาตามทางน้อยข้างซอกเขา จึงสั่งจิ๋นเหลียงให้คุมทหารห้าพันไปตะเวนทางป้องกันอย่าให้ทหารเสฉวนล่วง เข้ามาในแดนได้ ครั้นจิ๋นเหลียงคุมทหารยกไปถึงกลางทางพบทหารขงเบ้งยกมา ก็ให้ทหารรีบสวนทางขึ้นไป ทหารขงเบ้งก็ชวนกันถอยหลังกลับลงมา จิ๋นเหลียงก็ขับทหารรีบตามไปจะให้ทัน ทหารขงเบ้งก็เข้าซุ่มเสีย จิ๋นเหลียงตามไปมิได้เห็นทหารเมืองเสฉวนก็คิดสงสัย จึงให้ทหารหยุดอยู่ ม้าใช้มาบอกว่ากองทัพตั้งซุ่มอยู่ข้างหน้า จิ๋นเหลียงแจ้งดังนั้นก็ตระเตรียมทหารให้ระมัดระวังตัวไว้พร้อมกัน
ขณะนั้นพองออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กตีกระหนาบหลังเข้ามา ทหารจิ๋นเหลียงมิทันรู้ตัวจะหลบหลีกมิได้ ด้วยสองข้างทางมีเขากระหนาบอยู่ ทหารงออี้งอปันกวนหินเตียวเอ๊กก็ร้องว่า ผู้ใดเข้ามานบนอบด้วยเราแล้วก็ไม่ฆ่าเสีย ทหารจิ๋นเหลียงจวนตัวกลัวความตาย ก็เข้ามานบนอบด้วยงออี้งอปันเปนอันมาก
จิ๋นเหลียงเห็นดังนั้นก็คิดมานะ ขับม้าเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเสฉวนจะหักออกมา เลียวฮัวก็ขับม้าเข้าสู้ด้วยได้สองเพลง ก็เอาง้าวฟันถูกจิ๋นเหลียงตัวขาดตกม้าตาย ทหารทั้งปวงก็เข้าด้วยขงเบ้งสิ้น ขงเบ้งจึงถอดเอาเสื้อแลเกราะของทหารจิ๋นเหลียงนั้นมาให้ทหารเมืองเสฉวนใส่ แล้วเกณฑ์ทหารเกลี้ยกล่อมลงมาเปนกองหลัง จึงให้กวนหินเลียวฮัวงออี้งอปันคุมทหารห้าพันซึ่งแต่งตัวปลอมเปนทหารจิ๋น เหลียงยกรีบมาค่ายโจจิ๋น ครั้นงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินยกมาใกล้ค่ายแล้ว ก็หยุดทหารไว้ จึงให้ทหารขึ้นม้ารีบไปบอกแก่โจจิ๋นว่า ทหารขงเบ้งซึ่งรายกันมานั้นไล่แตกไปสิ้นแล้ว
ขณะนั้นพอสุมาอี้ใช้คนมาบอกว่า ทหารเมืองเสฉวนยกมาตั้งซุ่มอยู่ลอบฆ่าทหารเราตายถึงพันเศษแล้ว ให้ระวังตรวจตรารักษาค่ายอย่าประมาท โจจิ๋นแจ้งดังนั้นจึงว่า ที่จำก๊กนี้เรามิได้เห็นทหารเสฉวนแว่วมาสักคนหนึ่ง ท่านจงกลับไปบอกนายท่านเถิด คนใช้ก็รีบกลับไป พอทหารงออี้งอปันปลอมเข้ามาถึงบอกว่า ทหารขงเบ้งแตกไปแล้ว โจจิ๋นมีความยินดีสำคัญว่าจิ๋นเหลียงกลับมาถึงแล้วให้คนเข้ามาบอก ก็ยกทหารออกจากค่ายจะไปรับ
ฝ่ายงออี้งอปันเลียวฮัวกวนหินเห็นโจจิ๋นออกไป ก็กรูกันเข้าในค่ายได้ ให้ทหารเอาเพลิงจุดขึ้นในทันใด ม้าต้ายอองเป๋งก็ขับทหารไล่ตามฟันไปข้างหลัง เตียวเอ๊กกับม้าตงก็คุมทหารตีด้านหน้าขึ้นมา ทหารโจจิ๋นเหลือกำลังทานมิได้ก็แตกกระจัดกระจายกันไป ม้าต้ายอองเป๋งเตียวเอ๊กม้าตงก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก โจจิ๋นจวนตัวเข้าก็รบหักออกไปกับทหารห้าสิบคน พอพบกองทัพสุมาอี้ยกมาช่วย สุมาอี้รับเอาตัวโจจิ๋นมาค่ายกิก๊ก
ขณะนั้นโจจิ๋นมีความอัปยศแก่สุมาอี้ มิรู้ที่จะไว้หน้าแห่งใดเลย สุมาอี้จึงว่าแก่โจจิ๋นว่า บัดนี้กองทัพขงเบ้งตีเข้ามาตั้งอยู่ตำบลกิสานได้แล้ว ฝ่ายเราจะตั้งรับในที่กิก๊กนี้เห็นเสียเปรียบมากจะสู้มิได้ จำจะยกกองทัพไปตั้งรับ ณ แม่น้ำฮุยโห เปนที่ชอบกลดีจะไม่เสียเปรียบขงเบ้ง สุมาอี้ปรึกษาแล้วก็ให้ยกกองทัพไปตั้ง ณ แม่น้ำฮุยโห
ขณะนั้นโจจิ๋นจึงถามสุมาอี้ว่า เหตุไฉนท่านจึงรู้ว่าข้าพเจ้าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงได้ยกทหารมาช่วย สุมาอี้จึงว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าขงเบ้งจะยกมาตีท่าน จึงให้คนไปกำชับให้ตรวจตราป้องกันรักษาตัว ครั้นคนกลับมาบอกข้าพเจ้าตามถ้อยคำซึ่งท่านว่ามานั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าท่านรู้มิถึงการจะเสียทีเปนมั่นคง จึงรีบยกมาช่วยท่านก็สมคะเนเหมือนข้าพเจ้าคิดไว้
โจจิ๋นได้ฟังก็ยิ่งมีความอายใจนัก แต่ทุกข์ ๆ ตรอม ๆ จนเปนไข้ป่วยหนักลง สุมาอี้เห็นโจจิ๋นป่วยหนัก ครั้นจะยกทหารกลับมาเมือง ก็กลัวทหารทั้งปวงจะสดุ้งสเทือนเสียนํ้าใจก็ตั้งรอทัพอยู่
ฝ่ายขงเบ้งครั้นตีเข้ามาถึงเขากิสานแล้ว ก็ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามความชอบ ขณะนั้นอุยเอี๋ยนตันเซ็กเตาเขงเตียวหงียกมาถึงก็เข้าไปคำนับสารภาพโทษแก่ ขงเบ้ง ๆ จึงถามว่า ผู้ใดซึ่งมิได้อยู่ในบังคับบัญชาเราซึ่งเปนแม่ทัพทำให้เสียการครั้งนี้ อุยเอี๋ยนจึงบอกว่า ตันเซ็กมิได้ฟังบังคับท่าน ยกล่วงไปให้เสียการ ตันเซ็กจึงว่า ข้าพเจ้าเลมิดทำการทั้งนี้เพราะอุยเอี๋ยนใช้ให้ข้าพเจ้ายกไปก่อน
ขงเบ้งจึงว่า อุยเอี๋ยนยกทหารไปช่วยท่านอีกจึงรอดจากความตายมา เหตุไฉนท่านจึงซัดเอาอุยเอี๋ยนเล่า ซึ่งท่านมิได้อยู่ในบังคับเราทำให้เสียการทั้งนี้ ครั้นจะยกโทษเสียก็มิได้ ไปเบื้องหน้าทหารก็จะเอาเยี่ยงอย่างสืบไป จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย ซึ่งขงเบ้งมิได้ฆ่าอุยเอี๋ยนเสียด้วยนั้นเพราะคิดว่าอุยเอี๋ยนนี้เปนคนมี ฝีมืออยู่ ยังจะทำการสงครามสืบไปก็จะได้ใช้ให้ไปตายภายหน้า
ฝ่ายม้าใช้ซึ่งไปสอดแนมเอากิจการทั้งปวง จึงเอาเนื้อความมาบอกขงเบ้งว่า บัดนี้โจจิ๋นป่วยรักษาตัวอยู่ ณ ค่ายแม่น้ำฮุยโห ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า แม้โจจิ๋นป่วยเปนประมาณที่ไหนสุมาอี้จะอยู่ คงจะยกกองทัพกลับไป นี่ชรอยโจจิ๋นป่วยหนักอยู่แล้วสุมาอี้จึงมิยกไป เพราะกลัวทแกล้วทหารทั้งปวงจะเสียใจ เราจะให้มีหนังสือไปถึงโจจิ๋นฉบับหนึ่ง แม้ได้เห็นหนังสือนี้แล้วก็จะตรอมใจตายเปนมั่นคง จึงให้เรียกทหารจิ๋นเหลียงที่ได้ไว้เปนเชลยนั้นเข้ามาแล้วจึงว่า ท่านทั้งปวงเปนชาวเมืองลกเอี๋ยง ต่างคนต่างมีญาติพี่น้องบุตรภรรยาอยู่สิ้น ซึ่งจะไปอยู่ด้วยเรานั้นก็จะไกล เหมือนหนึ่งเราแกล้งพรากให้พลัดกัน ก็เปนบาปกรรมแก่เรามากนัก เราจะให้ท่านทั้งปวงกลับไปบ้านเมืองผู้ใดจะไปก็ตามเถิด แต่ทว่าโจจิ๋นมีหนังสือมาก็ช้านานแล้ว ยังมิได้ตอบไปเลย เราจะฝากหนังสือไปให้โจจิ๋นด้วย ถ้าท่านทั้งปวงถือหนังสือไปให้แก่โจจิ๋นแล้วก็จะมีบำเหน็จรางวัลอีก ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ดีใจชวนกันคำนับแล้วก็ลาไป
ครั้นมาถึงแม่น้ำฮุยโหจึงเข้าไปคำนับโจจิ๋น แล้วเอาหนังสือให้บอกว่าขงเบ้งฝากมาถึงท่าน โจจิ๋นป่วยหนักอุตส่าห์พยุงตัวขึ้นรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดู เปนใจความว่า มหาอุปราชให้มาถึงโจจิ๋นผู้เปนแม่ทัพใหญ่ ด้วยโบราณท่านว่าไว้แต่ก่อนมาว่า ถ้าผู้ใดจะเปนแม่ทัพถือพลทหารไปทำการสงครามนั้น ให้พึงรู้ลักษณะในกลศึกจงทุกประการ อนึ่งให้มีปัญญารู้ผ่อนปรนแก้ไขเอาชัยชนะเปนต้น แลตัวท่านเปนแม่ทัพใหญ่มิได้รู้ในกลสงครามทั้งปวงเสียทีแก่เรา เสียทแกล้วทหารเครื่องศัสตราวุธเปนอันมากฉนี้ ท่านจะกลับคืนไปเมืองลกเอี๋ยงนั้น ถึงมาทว่าพระเจ้าโจยอยจะมิเอาโทษก็ดี ก็จะไม่อายแก่อาณาประชาราษฎรทแกล้วทหารทั้งปวงหรือ จะเอาหน้าไปไว้แห่งใด จงเร่งนบนอบแก่เราเสียโดยดี ถ้าท่านมิคำนับเรา ๆ จะยกทหารเข้าไปเหยียบเมืองลกเอี๋ยงเสีย ตัวท่านเหมือนฝูงแพะอันเข้าอยู่ในปากเสือ สำหรับจะฉิบหายไปด้วยฝีมือทหารทั้งปวง โจจิ๋นแจ้งดังนั้นก็โกรธหนัก โรคซึ่งป่วยก็กำเริบหนักขึ้นถึงแก่ความตายในเวลากลางคืนวันนั้น
สุมาอี้ครั้นแจ้งว่าโจจิ๋นตายแล้ว ก็เอาศพใส่เกวียนมีหนังสือบอกขึ้นไปยังเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยก็ให้แต่งการศพโดยสมควรตามประเพณี แล้วมีหนังสือไปถึงสุมาอี้ให้เร่งทำการรบพุ่งเอาชัยชนะแก่ขงเบ้งให้จงได้ สุมาอี้แจ้งในหนังสือรับสั่งแล้วก็ตระเตรียมพลทหารทั้งปวง จึงให้คนถือหนังสือไปบอกแก่ขงเบ้ง กำหนดว่าเวลาพรุ่งนี้ให้ยกพลทหารออกรบกัน
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นจึงว่า บัดนี้ชรอยโจจิ๋นตายแล้ว สุมาอี้จึงให้คนถือหนังสือมากำหนดรบด้วยเรา ครั้นเวลาคํ่าก็เรียกเกียงอุยกับกวนหินเข้ามากระซิบสั่งเปนความลับ เกียงอุยกับกวนหินรับคำแล้วก็ยกทหารไปแต่ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้าขงเบ้งก็ยกทหารออกจากค่ายกิสานสิ้น มาถึงริมแม่น้ำฮุยโหเปนทำเลที่กลางทุ่ง
ฝ่ายสุมาอี้ก็ยกทหารมาปะทะกันเข้า แลเห็นขงเบ้งขี่เกวียนน้อยแต่งตัวโอ่โถง ถือพัดขนนกมาในกลางทหาร ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าจึงร้องว่า เจ้าเราได้เสวยราชย์ในเมืองหลวงถึงสองชั่วพระองค์แล้ว ก็มิได้ไปทำร้ายแก่เมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋ง ละให้ตั้งอยู่เปนสุขมาช้านาน เพราะว่ามีความเอนดูกรุณาแก่ราษฎรมิให้ได้ความเดือดร้อน แลตัวขงเบ้งนี้ เปนชาวบ้านนอกอยู่ในแว่นแคว้นแดนเมืองลำหยง ควรหรือจะมาขืนแข่งให้เกินชาติภูมิของตัว บังอาจยกทหารล่วงเข้ามายํ่ายีถึงแดนเมืองเราเปนหลายครั้งมิบังควรนัก ให้ท่านเร่งคิดห้ามใจอย่าได้กำเริบ จงยกพลทหารกลับไปรักษาเมืองตามประเพณีจะดีกว่า แม้มิกลับไปจะขืนล่วงเข้ามายํ่ายีขอบขัณฑเสมาให้ได้ ชีวิตท่านก็จะมิได้คืนไปเมืองด้วยฝีมือทหารของเรา
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตัวเราเปนข้าพระเจ้าเล่าปี่ ๆ พระราชทานเบี้ยหวัดผ้าปีชุบเลี้ยงเรามาก็ช้านาน แลเมื่อพระองค์ประชวรจะสิ้นพระชนม์นั้น ได้ตรัสสั่งไว้แก่เราว่าให้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินของพระเจ้าเหี้ยนเต้ผู้มี คุณสืบไป ตัวเราก็ได้รับคำไว้เปนข้อใหญ่ ควรหรือจะมานอนนิ่งเสียมิได้คิดอ่านทำการกำจัดศัตรูแผ่นดินดังคนหากตัญญูมิ ได้ ตัวท่านนี้บิดามารดาก็เปนข้าของพระเจ้าเหี้ยนเต้มาแต่ก่อน ควรที่จะเจ็บร้อนด้วยเจ้าอีก มากลับเข้าด้วยอ้ายศัตรูแผ่นดินนี้หาควรไม่
สุมาอี้ได้ฟังขงเบ้งว่าก็อดสูแก่ใจมิรู้ที่จะตอบ จึงว่าถ้าฉนั้นท่านจะรบกับเราก็รบเถิด ขงเบ้งจึงว่า ท่านจะรบกับเราตัวต่อตัวก็ตาม หรือจะรบด้วยฝีมือทหารเราก็มิกลัว สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นเราจะรบกับท่านด้วยกลพยุหก่อน ขงเบ้งจึงว่าให้ท่านทำมาให้เราดูก่อนเถิด สุมาอี้กลับเข้าไปข้างในทหารทั้งปวงจึงเอาธงแดงนั้นปักขึ้น ทหารก็ตั้งพยุหเข้าพร้อมกันชื่อว่าอิคุยติ๋นพยุห แล้วจึงร้องถามขงเบ้งว่ากลพยุหของเรานี้ท่านรู้จักหรือไม่ ขงเบ้งจึงบอกว่ารู้จักอยู่ชื่ออิคุยติ๋นกลพยุห
สุมาอี้จึงว่า ท่านรู้จักพยุหของเราแล้ว จงตั้งพยุหของท่านมาเราจะขอดูบ้าง ขงเบ้งก็กลับเข้ามาเอาพัดโบกทีเดียว ทหารทั้งปวงก็ตั้งเปนพยุหเข้าในทันใด จึงออกมาร้องถามสุมาอี้ว่า ท่านรู้จักหรือไม่ สุมาอี้จึงบอกว่า พยุหปักกัวติ๋นเรารู้จักอยู่ ขงเบ้งจึงว่าท่านรู้จักแล้วจะตีได้หรือมิได้ สุมาอี้จึงบอกว่าเราจะตีให้ได้ ขงเบ้งจึงว่าท่านจงเร่งเข้าตีเถิด สุมาอี้ก็ขึ้นม้าจัดแจงทหารจะออกตี จึงเรียกไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายเข้ามาสั่งว่า อันพยุหของขงเบ้งตั้งบัดนี้มีประตูแปดแห่ง คือประตูเปนแลตายประตูออกประตูไขประตูสูญประตูตกใจประตูลวงประตูซุ่ม ท่านจงตีเข้าไปประตูตวันออกมาประตูตวันตกแล้วมาทิศเหนือ อันประตูทิศใต้นั้นอย่าล่วงตีเข้าไปเลย ถ้าทำตามเราสั่งนี้ได้แล้วทหารขงเบ้งก็จะแตกไปเอง
ไต้เหลียงเตียวฮองงักหลิมสามนายรับคำแล้ว ก็คุมทหารสามร้อยยกตีเข้าไปทางประตูทิศตวันออก ทหารขงเบ้งก็กลับพยุหเสียในทันใด ให้เปนประตูแต่สิบประตู ทหารสุมาอี้ก็มิรู้ที่จะตีเข้าไปได้วิ่งกระทบกันอยู่ ทหารขงเบ้งก็จับมัดเอาตัวไปทั้งสิ้น ขงเบ้งจึงว่า นายทหารทั้งสามกับทหารเลวนี้ เราจะฆ่าเสียก็หาต้องการไม่ จึงให้ทหารเปลื้องเอาเสื้อหมวกไว้กับม้า แล้วให้เอาดินหม้อทาหน้าเสียทุกคนจึงสั่งว่า ท่านกลับไปบอกสุมาอี้นายท่านเถิด ว่าให้ไปศึกษาเล่าเรียนอาจารย์ที่ดีเสียอีกก่อนจึงมาสู้กับเรา ว่าแล้วก็ปล่อยให้กลับไป
ครั้นทหารทั้งนั้นมาถึง จึงบอกแก่สุมาอี้ตามคำขงเบ้งทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ขงเบ้งทำหยาบช้าแก่เราให้ได้ความอัปยศนัก แม้เรามิเอาชัยชนะได้ครั้งนี้ที่ไหนจะมีหน้ากลับไปเมืองลกเอี๋ยงได้ ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์ช่วยกันเอาชัยชนะให้ได้ สุมาอี้ก็ถือกระบี่สำหรับมือให้ยกทหารออกจากค่าย แล้วก็คุมทหารหนุนออกมา
กวนหินตั้งซุ่มอยู่ข้างหลังได้ทีก็ยกทหารโห่ร้องตีเข้ามา สุมาอี้ก็แยกทหารออกตีด้านหลัง ฝ่ายกองทัพขงเบ้งก็ตีกระทบหน้าเข้าไป เกียงอุยก็ตีกระหนาบข้างขวาเปนสามด้านระดมรบเปนอลหม่าน ทหารสุมาอี้เข้าอยู่กลาง ต้องอาวุธรอบตัวล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้เห็นเหลือกำลังสู้มิได้ทหารตายประมาณส่วนหนึ่ง ก็รบหักออกมาได้พาทหารข้ามฟากหนีไปตั้งค่ายทิศตวันตก ตั้งแต่วันนั้นมาสุมาอี้ก็ตั้งมั่นมิได้ออกรบพุ่ง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้ชัยชนะแก่สุมาอี้แล้ว ก็ให้เลิกทหารกลับมาตั้งอยู่ ณ เขากิสาน พอลิเงียมใช้ให้กิอั๋นคุมสเบียงมาส่งพ้นกำหนดไปถึงสิบวัน ด้วยกิอั๋นเปนคนนักเลงสุราสารวลจะกินเหล้าเมาอยู่มิได้เร่งรัดมาให้ทันที ขงเบ้งก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวไปฆ่าเสีย เตียวหงีจึงว่า ซึ่งกิอั๋นส่งสเบียงมิทันกำหนด มหาอปราชจะฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ว่าราชการศึกจะมีไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ใดซึ่งจะรับคุมสเบียงอาหารมาส่งนั้นขัดสนนัก ขอให้งดโทษครั้งหนึ่งก่อน ขงเบ้งก็เห็นชอบด้วยแต่ว่ายังโกรธนักอยู่ จึงให้ทหารเอาตัวไปตีแปดสิบที กิอั๋นก็มีความเจ็บแค้นนัก ครั้นเวลากลางคืนก็พาบ่าวของตัวซึ่งเปนคนสนิธไปหาสุมาอี้ถึงค่าย ทหารจึงเข้าไปบอกแก่สุมาอี้ ๆ จึงให้หาตัวกิอั๋นเข้ามาข้างใน กิอั๋นก็เล่าเนื้อความให้สุมาอี้ฟังทุกประการ สุมาอี้จึงว่า อันขงเบ้งนี้มีกลอุบายมาก เรายังไม่เชื่อท่านก่อน ถ้าแลท่านทำการให้เราเห็นความสักสิ่งหนึ่งเราจึงจะเชื่อ กิอั๋นจึงว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำประการใด ข้าพเจ้าก็จะอุตส่าห์ทำตามให้ท่านเห็นความจริง สุมาอี้จึงว่า ถ้าฉนั้นท่านจงรีบกลับไปเมืองเสฉวน ไปเล่าแก่คนทั้งปวงให้ปรากฎไปว่า ขงเบ้งคิดขบถจะจับพระเจ้าเล่าเสี้ยนฆ่าเสีย จะชิงเอาราชสมบัติตั้งตัวเปนใหญ่ ถ้ามีผู้เลื่องลือเอิกเกริกไปรู้ถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็จะมิไว้ใจขงเบ้ง ดีร้ายจะมีตราให้หากองทัพเลิกกลับไป ถ้าท่านทำได้ฉนี้เราจะทูลพระเจ้าโจยอยตามความชอบ ให้ตั้งเปนขุนนางผู้ใหญ่
กิอั๋นได้ฟังดังนั้นก็รับคำนับลารีบกลับไปเมืองเสฉวน จึงพูดกับขันทีทั้งปวงตามคำสุมาอี้สั่งทุกประการ ขันทีทั้งนั้นก็เอาเนื้อความทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยน ๆ ก็ตกใจสำคัญว่าจริง จึงปรึกษาแก่ขันทีทั้งปวงว่า เราจะคิดประการใดดี ขันทีจึงทูลว่า บัดนี้พระองค์ให้อาญาสิทธิ์แก่ขงเบ้ง คนทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจสิ้น ขงเบ้งจะว่าสิ่งใดก็จะกระทำตาม ขอพระองคํให้มีตราหาตัวขงเบ้งกลับมา เรียกตราอาญาสิทธิ์ซึ่งมอบให้คืนเอามาเสีย แล้วก็เห็นว่าขงเบ้งจะไม่ทำอันตรายได้ เพราะคนทั้งปวงมิได้ยำเกรงก็จะจนอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เห็นด้วย จึงให้มีตราไปหากองทัพจะให้กลับมา
ขณะนั้นเจียวอ้วนจึงเข้ามาทูลว่า มหาอุปราชยกไปครั้งนี้เห็นทำการได้ท่วงทีนักจะได้เมืองลกเอี๋ยงเปนมั่นคง เหตุไฉนพระองค์จะให้หากลับมาเสียเล่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า เรามีธุระเปนความลับจะหามหาอุปราชมาจะปรึกษาด้วย แล้วเร่งให้คนรีบถือหนังสือไป ครั้นขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ว่า เจ้าเรานี้หนุ่มแก่ความนัก มาเชื่อถ้อยคำขุนนางสอพลอยุยงฉนี้ ที่ไหนเราจะทำการต่อไปได้ ครั้นเรามิไปบัดนี้ก็จะเปนข้อขัดรับสั่ง ถ้าจะไปบัดนี้ก็เสียดายนัก สืบไปเบื้องหน้าจะกลับมาทำการสักร้อยครั้งก็มิอาจล่วงเข้ามาถึงที่นี้ได้
เกียงอุยจึงถามว่า มหาอุปราชจะล่าทัพไปครังนี้ ถ้าสุมาอี้รู้ยกทหารตามมารบพุ่งจะคิดประการใด ขงเบ้งจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย อันเราจะยกไปครั้งนี้จะทำกลอุบายอันหนึ่ง มิให้สุมาอี้ตามมาได้ เราจะยกทหารเดิรเปนห้ากอง ถ้าไปพักอยู่ที่ใดเราจะให้ทำเตาไฟเพิ่มขึ้นให้มากทุกวันไป สุมาอี้ก็จะสงสัยอยู่
เตียวหงีจึงว่า ครั้งซุนปินทำศึกกับบังก๋วนนั้น ซ่อนเตาไฟเสียจึงเอาชัยชนะได้(๑) เหตุไฉนครั้งนี้มหาอุปราชจะเพิ่มเตาไฟเข้าอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ครั้งนั้นจะลวงให้เห็นว่าคนน้อยจึงซ่อนเตาเพลิงเสีย บัดนี้เราจะทำให้เห็นว่าทหารเราเพิ่มมาทุกวัน ด้วยสุมาอี้มีปัญญาหลักแหลมนัก ถ้าเห็นกลเราทำไว้ก็จะสำคัญว่าทหารเราหนุนมามากแกล้งถอยเสีย ทำกลไว้จะลวงให้ตามก็คร้ามใจอยู่ เราก็ยกไปโดยสดวก ครั้นปรึกษาแล้วขงเบ้งก็ให้เลิกกองทัพล่ากลับไป
ฝ่ายสุมาอี้ตั้งใจคอยกิอั๋น พอม้าใช้มาบอกว่ากองทัพเมืองเสฉวนเลิกไปแล้ว สุมาอี้มิเชื่อจึงให้คนสกดไปดูท่วงทีขงเบ้ง ครั้นรุ่งขึ้นวันใดทหารก็เอาเนื้อความมาบอกตามระยะทางว่า กองทัพเมืองเสฉวนยกไปถึงตำบลนั้น ๆ เห็นเตาเพลิงหุงเข้ามากขึ้นทุกวัน สุมาอี้จึงว่าแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทหารขงเบ้งยกตามหนุนมาทุกวันมิได้ขาด แต่ทว่าเห็นเราตั้งมั่นอยู่จะทำมิสดวก ซึ่งล่าไปบัดนี้เห็นจะวางทหารซุ่มไว้ ถ้าเราเบาความคิดมิได้หนักหน่วงก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง
ครั้นอยู่สองวันสามวันชาวบ้านบอกว่า ขงเบ้งล่าทัพไปนั้นแกล้งทำเตาเพลิงไว้ให้เห็นว่าทหารมากดอก สุมาอี้ก็ทอดใจใหญ่เอามือตบอกแล้วว่า ขงเบ้งทำกลลวงเราครั้งนี้รู้มิทันเลย ตัวเรามีปัญญาน้อย ซึ่งจะทำศึกไปเบื้องหน้านั้นยาก ที่จะประมาณกลศึกขงเบ้งได้ สุมาอี้ก็ให้ยกทหารกลับมาเมืองลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งยกมาถึงเมืองฮันต๋งก็ให้พักทแกล้วทหารอยู่ แล้วยกล่วงเข้าไปในเมืองเสฉวน จึงกราบทูลถามพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้ายกไปถึงเขากิสาน หวังจะตีเอาเมืองเตียงอั๋น พระองค์ให้มีหนังสือไปหาตัวข้าพเจ้ามานี้ด้วยประสงค์สิ่งใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่ามิได้มีการสิ่งใด เราระลึกถึงมหาอุปราชจึงให้หากลับมา ขงเบ้งจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ อ้ายเหล่าสอพลอทูลยุยงพระองค์ว่า ข้าพเจ้าเอาใจออกหากพระองค์จึงให้หากลับมา
พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด ขงเบ้งจึงทูลว่า ตัวข้าพเจ้าชราถึงเพียงนี้แล้ว แล้วก็ได้รับสั่งพระเจ้าเล่าปี่ไว้ จึงตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดินของพระองค์ บัดนี้ศัตรูยุยงอยู่เหมือนวัณโรคอันมีพิษกำเริบอยู่ในอกข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูภายนอกเสียนั้นเห็นขัดสน พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงตรัสว่า อันเหตุทั้งนี้เพราะเราเบาความเชื่อฟังคำคนชั่ว หากมหาอุปราชมาว่ากล่าวออกเราจึงรู้เหตุ ซึ่งท่านจะถือโทษนั้นไม่ควร ด้วยทุกวันนี้ตัวเราเหมือนหนึ่งคนจักขุมืด ท่านช่วยนำทางให้จึงค่อยเดิรตามไปได้บ้าง ครั้งนี้เราคิดผิดท่านจึงต้องยกทัพกลับมา
ขงเบ้งจึงสืบสาวขุนนางทั้งปวง ได้เนื้อความว่ากิอั๋นพิททูลยุยง ขงเบ้งจะให้เอาตัว พอรู้ว่ากิอั๋นหนีไปเข้าด้วยสุมาอี้แล้ว ขงเบ้งจึงว่าแก่เจียวอ้วนบิฮุยซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อกิอั๋นทูลยุยงนั้นเหตุใดท่านทั้งสองจึงมิได้พิททูลทัดทาน จนให้มีหนังสือรับสั่งไปหาเรามา เจียวอ้วนบิฮุยสารภาพโทษว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้พิททูลทัดทานโทษข้าพเจ้าผิดอยู่ ขงเบ้งก็ให้คาดโทษไว้ จึงสั่งให้ลิเงียมเปนนายกองสำหรับลำเลียงกองทัพเราอย่าให้ขาดได้ แล้วก็ถวายบังคมลาไป ณ เมืองฮันต๋ง จึงจัดแจงทแกล้วทหารจะยกไปตีเมืองเตียงอั๋น
เอียวหงีจึงว่า ทหารในกองทัพเรานี้ถึงยี่สิบหมื่น ยกไปทำศึกครั้งก่อนนั้นก็อิดโรยอยู่ ซึ่งท่านจะยกไปครั้งนี้ขอให้เอาใจทหารไว้ จงแบ่งเปนสองผลัดให้ยกไปตีสิบหมื่น ต่อถึงกำหนดร้อยวันจึงให้ทหารสิบหมื่นนั้นไปเปลี่ยนกัน จะได้มีกำลังทำการศึกสืบไป ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้ต้องความคิดเรา ซึ่งจะทำการสงครามใช่จะสำเร็จในวันเดียวสองวันหามิได้ จำจะคิดเปนการปีจึงจะได้เมืองเตียงอั๋น แล้วก็ให้กำหนดทหารทั้งปวงตามคำเอียวหงี ถ้าถึงกำหนดแล้วผู้ซึ่งจะไปผลัดนั้นไม่ทันเราจะให้ฆ่าเสีย ขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชได้เก้าปี (พ.ศ.๗๗๔) เปนเทศกาลเดือนสี่ ขงเบ้งคุมทหารสิบหมื่นยกกองทัพไปจากเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้ห้าปี พอม้าใช้มาบอกให้ทูลว่า บัดนี้ขงเบ้งให้ยกกองทัพมาถึงเขากิสาน พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับสุมาอี้ว่า ขงเบ้งยกมานี้เราจะคิดอ่านประการใดดี สุมาอี้จึงทูลว่าโจจิ๋นก็ถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งขงเบ้งยกมาครั้งนี้ไว้เปนพนักงานข้าพเจ้า จะอาสาคิดอ่านเอาชัยชนะให้ได้ พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้สุมาอี้เร่งไปทำการเถิด สุมาอี้จึงให้จัดทหารแล้วกราบถวายบังคมลาออกจากเมืองลกเอี๋ยง ขณะนั้นพระเจ้าโจยอยทรงรถออกไปส่งสุมาอี้ถึงประตูเมือง
สุมาอี้ครั้นมาถึงเมืองเตียงอั๋น จึงให้จัดแจงทแกล้วทหารกองทัพใหญ่จะยกไป เตียวคับจึงว่า การศึกครั้งนี้แต่ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเอาชัยชนะขงเบ้งให้ ได้ สุมาอี้จึงตอบว่า ขงเบ้งยกมานี้เปนทัพใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้นเห็นจะสู้ความคิดขงเบ้งไฝได้ ถ้าท่านจะรับเปนกองหน้าแล้วเราจะแต่งกองหลังให้ไปตั้งอยู่รักษาเมืองหลงเส แลท่านทั้งปวงจงยกเปนกอง ๆ ไปคิดอ่านรบพุ่งกับขงเบ้ง ณ เขากิสาน เตียวคับก็ดีใจจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้านั้น จะขออาสาทำการไปกว่าจะสิ้นชีวิต สุมาอี้จึงให้โกฉุยคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองหลงเส ให้เตียวคับถืออาญาสิทธิ์เปนกองหน้าบังคับนายทหารทุกกอง แล้วให้พากันยกไปก่อน
พอม้าใช้มาบอกสุมาอี้ว่า ขงเบ้งให้อองเป๋งเตียวหงีกองหน้ายกมาทางเกียมโก๊ะก่อน แลทางนั้นมาบัญจบกัน ณ เขากิสาน แล้วขงเบ้งยกกองหลวงหนุนมา สุมาอี้แจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เตียวคับว่า ซึ่งขงเบ้งยกมาทางเกียมโก๊ะนั้น หวังจะให้ทหารไปลอบเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีณแดนเมืองหลงเส ท่านเร่งยกไปตั้งสกัดอยู่ ณ เขากิสาน เรากับโกฉุยจะบัญจบกันยกไปป้องกันเมืองหลงเสไว้ มิให้ทหารขงเบ้งเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีได้ เตียวคับรับคำสุมาอี้แล้วก็คุมทหารสี่หมื่นยกไปตั้งอยู่ ณ เขากิสาน สุมาอี้ก็ยกไปบัญจบกันกับโกฉุยตั้งอยู่ ณ แดนเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งยกมาถึงเขากิสานจึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้ ครั้นเห็นกองทัพเมืองลกเอี๋ยงยกมาก็คิดว่า จะออกรบพุ่งบัดนี้สเบียงในกองทัพเราก็ขัดสน ด้วยลิเงียมมิเอาสเบียงมาส่งทัน จึงให้อองเป๋งเตียวหงีอยู่รักษาค่าย ขงเบ้งก็พาเกียงอุยอุยเอี๋ยนกับทหารเปนอันมาก ยกลัดไปถึงเมืองโลเสีย กินอเจ้าเมืองโลเสียแจ้งว่าขงเบ้งยกมา คิดเกรงก็ออกมาคำนับรับเข้าไปในเมือง ขงเบ้งจึงถามกินอว่าตำบลใดเข้าโภชน์สาลีมีชุม กินอจึงบอกว่า แดนเมืองหลงเสนั้นเข้าโภชน์สาลีสุกเปนอันมาก
ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้เตียวเอ๊กม้าตงอยู่รักษาเมืองโลเสีย ขงเบ้งก็คุมทหารยกไปหวังจะเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีในแดนเมืองหลงเส ในขณะนั้นทหารกองหน้าก็เอาเนื้อความมาบอกแก่ขงเบ้งว่า สุมาอี้คุมทหารมาตั้งป้องกันอยู่ ณ ะแดนเมืองหลงเส ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า สุมาอี้นั้นล่วงรู้ความคิดเรา จึงยกมาป้องกันเข้าโภชน์สาลีไว้
แลเมื่อขงเบ้งจะยกมาจากเมืองฮันต๋งนั้น ให้ทำเกวียนเหมือนกันกับเกวียนขงเบ้งซึ่งเคยขี่นั้นสามเล่มด้วยกัน แล้วให้ทำหุ่นสองตัวเหมือนรูปขงเบ้งซ่อนมาด้วย ขณะนั้นขงเบ้งอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ให้เอาเกวียนหุ่นทั้งสองนั้นมา เกณฑ์ทหารสำหรับชักเกวียนนุ่งขาวห่มขาวสยายผมเล่มละสิบสี่คน ทหารสำหรับตีฆ้องกลองโห่ร้องเล่มละห้าร้อย แลทหารสำหรับล้อมวงเล่มละพัน เกวียนหนึ่งให้เกียงอุยเปนนายบังคับทหารทั้งปวง เกวียนหนึ่งนั้นให้ม้าต้ายอุยเอี๋ยนคุมทหาร แลขงเบ้งนุ่งห่มเหมือนกันกับหุ่นทั้งสองตัว จึงเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือชักเกวียนยี่สิบสี่คนสยายผมนุ่งขาวห่มขาว ให้กวนหินบุตรกวนอูแต่งตัวดังเทพดาถือธงนำหน้าเกวียน ให้ทหารสามหมื่นถือเคียวครบมือสำหรับเกี่ยวเข้าโภชน์สาลี แล้วยกไปณะแดนเมืองหลงเส จึงให้เกวียนหุ่นสองเล่มนั้นเข้าซุ่มอยู่สองข้างทาง
ฝ่ายม้าใช้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดสงสัยว่าจะเปนเทพดาหรือผีป่าประการใด จึงรีบไปบอกแก่สุมาอี้ตามซึ่งเห็นนั้นทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ออกมายืนดูหน้าค่าย เห็นขงเบ้งขี่เกวียนถือพัดขนนกโบกไปมา สุมาอี้จึงว่า ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายมาอีก แล้วสั่งทหารม้าสองพันให้เร่งไปจับเอาตัวขงเบ้งแลเกวียนมาให้ได้ ทหารทั้งสองพันนั้นก็ขับม้าออกไปจากหน้าค่าย
ฝ่ายขงเบ้งเห็นดังนั้นก็อ่านมนตร์เป่ากันทางไว้ มิให้ข้าศึกไล่มาทัน แล้วให้ทหารบ่ายหน้าเกวียนเดิรไปโดยปรกติ แลทหารม้าทั้งนั้นก็รีบขับควบไปตาม กำลังทางประมาณสามร้อยเส้น ระยะไล่แลหนีนั้นคงอยู่มิได้ใกล้เข้าไป ขงเบ้งจึงให้กลับหน้าเกวียนหวังจะยั่วทหารสุมาอี้ให้ไล่มาอีก
ทหารสุมาอี้เห็นดังนั้นก็รีบขับม้าตามไปอีกสองร้อยเส้นก็มิได้ทัน อันไกลแลใกล้นั้นก็คงอยู่ดังเก่าจึงหยุดอยู่ คิดสงสัยว่าขงเบ้งเดิรเปนปรกติอยู่ เหตุใดเราควบม้าด้วยกำลังม้าจึงไม่ทัน ครั้นเห็นขงเบ้งกลับเกวียนมาก็รีบขับม้าไล่ไปก็มิได้ทันข้าศึก สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ควบม้าพาทหารรีบตามไปแล้วว่าแก่ทหารม้าว่า ขงเบ้งได้เรียนมนตร์ป้องกันตัวไว้จึงไล่ไม่ทัน ทหารทั้งปวงอย่าไล่ไปเลยเราพากันถอยไปค่ายเถิด พอได้ยินเสียงโห่ขึ้นข้างขวาอื้ออึงออกมา สุมาอี้แลไปเห็นขงเบ้งนั่งอยู่บนเกวียน ทหารชักเกวียนก็มีเหมือนกัน สุมาอี้ตกใจคิดว่าขงเบ้งสิหนีไปข้างหน้ายังเห็นทหารแลธงอยู่ เหตุใดขงเบ้งจึงขี่เกวียนอยู่ที่นี่อีกคนหนึ่งเล่า แล้วได้ยินเสียงโห่ร้องขึ้นข้างซ้ายทาง เห็นเกวียนรูปขงเบ้งทหารอุตลุดออกมา เหมือนกับข้างขวาดังนั้น ก็ยิ่งตกใจมีความสงสัยเปนอันมาก จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อขงเบ้งขี่เกวียนทั้งสามแห่งนี้ ชรอยผีโขมดป่าแกล้งมาหลอกหลอนเรา ขณะเมื่อทหารทั้งหลายเห็นแลได้ยินสุมาอี้ว่าดังนั้น ก็ตกใจจะแตกตื่นไป สุมาอี้ร้องห้ามแล้วก็พาทหารทั้งปวงหนีเข้าในเมืองหลงเส ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็กลับมาให้ทหารสามหมื่นเกี่ยวเข้าโภชน์สาลีอยู่สองวัน ครั้นได้เปนอันมากแล้วก็พากันกลับไปเมืองโลเสีย
ฝ่ายสุมาอี้เมื่อหนีเข้ามาอยู่ในเมืองหลงเสถึงสามวัน ครั้นรู้ว่าขงเบ้งยกกลับไป ก็ให้ทหารออกไปตะเวนนอกเมือง จับได้ทหารขงเบ้งคนหนึ่ง สุมาอี้จึงถามว่าเหตุใดมึงจึงให้พวกกูจับมาได้ ทหารก็บอกว่าข้าพเจ้าตกม้าลงป่วยอยู่ทหารท่านจึงจับมาได้
สุมาอี้จึงถามว่า ขงเบ้งทำความรู้ประการใด เราจึงเห็นขงเบ้งอยู่บนเกวียนทั้งสามคน แลพาผีโขมดป่ามาทำการด้วยหรือ เราจึงไม่สำคัญได้ว่าขงเบ้งอยู่บนเกวียนไหน ทหารนั้นกลัวก็บอกตามขงเบ้งทำทุกประการ สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า ขงเบ้งทำการครั้งนี้ดังเทพดามาช่วย เหลือความคิดเราจะหยั่งรู้ถึง พอโกฉุยยกมาสุมาอี้จึงเล่าเนื้อความให้โกฉุยฟังทุกประการ
โกฉุยจึงว่า ขงเบ้งทำได้แต่ท่านไม่ทันรู้ เมื่อรู้ฉนี้แล้วจะกลัวอะไรเล่า บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าขงเบ้งสารวลให้ทหารนวดเข้าอยู่ในเมืองโลเสีย ขอให้ท่านแยกทหารออกเปนสองกองตีกระหนาบเข้าไป ก็จะจับขงเบ้งได้โดยง่าย สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทหารออกเปนสองกอง แล้วยกไปจากเมืองหลงเส
ฝ่ายขงเบ้งครั้นได้เข้าโภชน์สาลีมาแล้ว ก็ให้ทหารนวดเข้าอยู่ จึงว่าแก่ขุนนางนายทหารทั้งปวงว่า เวลาคํ่าวันนี้จะมีผู้มาตีเมืองโลเสีย แลนอกเมืองนี้เปนที่นากว้างขวางนัก ผู้ใดจะอาสาคุมทหารไปซุ่มอยู่ข้างตวันตกตวันออกคอยตีกระหนาบข้าศึกได้ เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายสี่นายรับว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปซุ่มอยู่ ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันตก ให้ม้าตงม้าต้ายคุมทหารคนละพันไปซุ่มอยู่ข้างทิศตวันออก แล้วสั่งว่าถ้าได้ยินเสียงประทัดเมื่อใด ก็ให้คุมทหารแยกกันตีเข้ามาทั้งสี่ด้าน นายทหารทั้งสี่คนนั้นก็ไปซุ่มอยู่ตามคำขงเบ้งสั่งทุกประการ ขงเบ้งจึงให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ ครั้นเวลาเย็นขงเบ้งจึงให้ทหารร้อยหนึ่งถือประทัดครบมือ ออกไปซุ่มอยู่นอกประตูข้างทิศเหนือ
ฝ่ายสุมาอี้ยกออกมาใกล้เชิงกำแพงเมืองโลเสีย ครั้นเวลาพลบคํ่าจึงปรึกษากับโกฉุยว่า เราจะเข้าตีเอาเมืองโลเสียให้ได้ในกลางคืนวันนี้ โกฉุยเห็นชอบด้วย สุมาอี้ก็ขับทหารเข้าล้อมเมืองโลเสียไว้ ครั้นเวลายามเศษสุมาอี้ก็ให้ม้าใช้ควบไปบอกให้จุดประทัดต่อ ๆ กันตามสัญญา ทหารทั้งปวงก็โห่ร้องยิงเกาทัณฑ์เข้าไปเปนอันมาก เหล่าทหารหน้าที่เชิงเทินก็รบพุ่งป้องกันไว้
ฝ่ายขงเบ้งเห็นได้ทีก็ให้ทหารจุดประทัดสัญญาขึ้นพร้อมกัน ฝ่ายเกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้ายได้ยินเสียงประทัดสัญญา ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามาทั้งสี่ด้าน เหล่าทหารซึ่งอยู่ในเมืองโลเสียนั้นก็เปิดประตูออกมา ไล่ฆ่าฟันทหารสุมาอี้ล้มตายเปนอันมาก
ฝ่ายสุมาอี้กับโกฉุยพลัดกัน ต่างคนต่างพาทหารซึ่งเหลือนั้นรบฝ่าหนีออกมา สุมาอี้กับโกฉุยพอพบกันเข้าก็พากันไปตั้งอยู่ ณ เนินเขาแห่งหนึ่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าขงเบ้งจึงให้เกียงอุยอุยเอี๋ยนม้าตงม้าต้าย ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทั้งสี่ด้านหวังจะป้องกันข้าศึก
ฝ่ายโกฉุยจึงว่าแก่สุมาอี้ว่า แต่เราทำสงครามกับขงเบ้งมาก็หลายครั้งยังไม่สำเร็จเพราะมิได้ตัวขงเบ้ง ครั้งนี้ขงเบ้งคิดกลศึกฆ่าทหารเราเสียเปนอันมาก แม้ท่านไม่คิดอ่านกำจัดขงเบ้งเสียให้ได้นานไปก็จะกำเริบใหญ่หลวงขึ้น ขอให้ท่านมีหนังสือไปเมืองเลียงจิ๋ว แลเมืองเลงจิ๋วให้ยกทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจะอาสาคุมทหารไปตีเอาตำบลเกียมโก๊ะ ซึ่งเปนด่านเมืองฮันต๋งให้ได้ กองทัพขงเบ้งก็จะขาดสเบียงลง ท่านจงคุมทหารเข้าตีจะมีชัยชนะแก่ขงเบ้งเปนมั่นคง
สุมาอี้เห็นชอบด้วยจึงให้มีหนังสือไปถึงเมืองเลียงจิ๋วแลเมืองเลงจิ๋วตาม คำโกฉุยว่า ฝ่ายซุนเลแจ้งในหนังสือดังนั้นก็จัดแจงทหาร แล้วยกมาถึงสุมาอี้แดนเมืองโลเสีย สุมาอี้จึงให้โกฉุยกับซุนเลแบ่งทหารไปตีเอาด่านเกียมโก๊ะ
ฝ่ายขงเบ้งมิได้เห็นสุมาอี้ออกรบเปนหลายวัน จึงหาเกียงอุยกับม้าต้ายมาว่า ซึ่งสุมาอี้มิได้ออกรบพุ่งเห็นจะแกล้งหน่วงไว้ให้เราขาดสเบียง ประการหนึ่งเกรงสุมาอี้จะให้ทหารยกไปคอยตีตัดสเบียงเรา ท่านทั้งสองจงคุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดไว้ อย่าให้ทหารสุมาอี้ทำอันตรายได้ เกียงอุยม้าต้ายก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปสกัดทางไว้ก่อน
ฝ่ายม้าใช้ถือหนังสือมาให้แก่เอียวหงี ๆ แจ้งดังนั้นก็ไปบอกแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งท่านให้กำหนดไว้แก่ทหารทั้งปวงว่า แม้ถึงร้อยวันให้ทหารสิบหมื่นซึ่งอยู่เมืองฮันต๋งนั้นมาผลัด บัดนี้ก็ครบกำหนดแล้ว ทหารทั้งนั้นยกมาถึงกลางทางให้หนังสือบอกมาจะขอให้ทหารไปรับ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่า เนื้อความข้อนี้เราได้สั่งไว้แต่เราลืมไป จำจะให้ทหารซึ่งออกนั้นกลับไปจึงจะชอบ ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ดีใจชวนกันจัดแจงเตรียมตัวจะกลับไป
พอม้าใช้มาบอกขงเบ้งว่า ซุนเลคุมทหารประมาณยี่สิบหมื่นมาช่วยสุมาอี้ ๆ เกณฑ์ทหารกองหนึ่งให้ไปตีด่านเกียมโก๊ะ แลตัวสุมาอี้นั้นยกกองทัพจะมาตีเอาเมืองโลเสีย ขงเบ้งยังมิทันตอบประการใด ทหารทั้งปวงรู้ดังนั้นก็ตกใจ
เตียวหงีจึงว่าแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้กองทัพสุมาอี้ยกมาเปนการจวนตัวด้วยกันอยู่แล้ว ซึ่งท่านจะให้ทหารเหล่านี้ออกไปก่อนนั้นไม่ได้ ถ้าทหารเกณฑ์ผลัดมาถึงเมื่อใด จึงให้ทหารซึ่งออกนั้นไป ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวเราได้ออกปากแล้ว ครั้นจะคืนคำเสียทหารทั้งปวงก็จะดูหมิ่นได้ ตัวเราถืออาญาสิทธิ์อยู่ ถึงมาทว่าเพลี่ยงพลํ้าแก่ข้าศึกเราจะรักษาวาจาให้คงไว้ ซึ่งจะขัดเขาไว้นั้นเห็นไม่ชอบ ด้วยบิดามารดาบุตรภรรยาเขาจะคอยหากัน แล้วประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถึงกำหนดผลัดเปลี่ยนแล้วจงเร่งพากันไปเถิด
ทหารทั้งปวงได้ฟังก็ว่า ข้าพเจ้าทั้งนี้จะขอเอาชีวิตอยู่แทนคุณอาสาท่าน ทำการเอาชัยชนะแก่ข้าศึกให้จงได้ก่อนจึงจะไป ขงเบ้งได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ทหารทั้งปวงเปนใจแก่ราชการครั้งนี้เราขอบใจนัก จึงพาทหารทั้งปวงนั้นออกไปรักษาค่ายอยู่นอกเมืองแล้วสั่งว่า ถ้าเห็นกองทัพสุมาอี้มาเมื่อใด ก็เร่งออกตีอย่าให้ตั้งอยู่ได้
ฝ่ายสุมาอี้ยกมาใกล้จะถึงเชิงกำแพงเมืองโลเสีย จะให้ทหารเข้าตั้งค่ายลง เหล่าทหารขงเบ้งก็ชวนกันออกโจมตีฆ่าฟันทหารสุมาอี้ ซึ่งมาแต่เมืองเลงจิ๋วล้มตายเปนอันมาก สุมาอี้ก็พาทหารซึ่งเหลือนั้นแตกหนีไป
ขงเบ้งก็เลิกกลับเข้าเมือง แล้วปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามสมควร พอม้าใช้เอาหนังสือลิเงียมซึ่งส่งสเบียงไม่ทัน จึงบอกลวงมานั้นให้ขงเบ้ง ๆ ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ อ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าลิเงียมแจ้งกิตติศัพท์ว่าซุนกวนให้หนังสือไปถึงโจยอยว่า ให้ยกกองทัพบัญจบกันจะมาตีเอาเมืองเสฉวน โจยอยให้มีหนังสือตอบไปว่า ให้ซุนกวนยกกองทัพไปทำการก่อนโจยอยจึงจะยกหนุนไป บัดนี้ทัพซุนกวนนั้นยังสงบอยู่ ข้าพเจ้าจะไว้ใจแก่ข้าศึกไม่ได้จึงบอกมาให้แจ้ง
ขงเบ้งเห็นในหนังสือดังนั้นก็ยิ่งตกใจเปนอันมาก จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้นเราจะทำศึกอยู่กับสุมาอี้บัดนี้ก็เปนกังวลหลัง ด้วยซุนกวนจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน เราจำจะเลิกทัพกลับไปรักษาเมืองไว้จึงจะควร นายทหารทั้งปวงเห็นชอบด้วย ขงเบ้งจึงให้ม้าใช้ไปบอกกองทัพซึ่งตั้งอยู่ ณ เขากิสานให้เลิกถอยไปก่อน เราจะอยู่ป้องกันสุมาอี้แล้วจึงจะยกไปภายหลัง
ฝ่ายนายทัพนายกอง ณ เขากิสานแจ้งดังนั้นก็เลิกทัพกลับไป เตียวคับเห็นดังนั้นก็มิได้ยกติดตามไป ด้วยเกรงกลศึกขงเบ้งอยู่ จึงกลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่สุมาอี้ ๆ จึงว่า อันกลศึกขงเบ้งนั้นลึกลับนัก ท่านอย่าตามไปรบพุ่งเลย จงไปตั้งอยู่เขากิสานเถิด แม้กองทัพขงเบ้งขาดสเบียงอาหารเมื่อใดก็จะยกกลับไปเอง
งุยเป๋งจึงว่า ข้าศึกถอยไปท่านมิได้ติดตามจะมานิ่งอยู่ดังนี้ไพร่บ้านพลเมืองก็จะหัวเราะ เยาะ ว่าท่านคิดเกรงทหารเมืองเสฉวนเหมือนหนึ่งฝูงเนื้ออันกลัวเสือ ขอให้ยกกองทัพตามตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายจึงจะได้ทีทำการสืบไป สุมาอี้ก็มิได้ทำตาม
ฝ่ายขงเบ้งครั้นรู้ว่ากองทัพเขากิสานเลิกกลับไปแล้ว ก็ให้หาเอียวหงีกับม้าตงเข้ามาสั่งว่า ให้ท่านทั้งสองคุมทหารเกาทัณฑ์หมื่นหนึ่งรีบไปซุ่มอยู่ตำบลบิตกบอกบุ๋นปาก ทางจะไปด่านเกียมโก๊ะ แม้ทหารสุมาอี้ตามไปได้ยินเสียงประทัดสัญญาเมื่อใด ก็ให้ทหารขนเอาก้อนศิลาสมทบปากทางเสีย แล้วให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงออกมาทั้งสองข้างทางจับเอาข้าศึกให้ได้ เอียวหงีม้าตงก็คุมทหารหมื่นหนึ่งรีบไปจากเมืองโลเสีย
ขงเบ้งจึงสั่งอุยเอี๋ยนกวนหินให้คุมทหารเปนกองหลัง ให้เก็บเอาฟืนมาสุมเพลิงไว้ให้ข้าศึกเห็นควันเพลิง แลธงหน้าที่เชิงเทินอย่าให้ลดเสีย แม้กองทัพเรายกออกจากเมืองแล้ว ท่านทั้งสองจึงยกตามไปตำบลบอกบุ๋น ถ้าสุมาอี้ยกตามจงรบล่อไป ครันสั่งเสร็จแล้วขงเบ้งก็พากินอแลชาวเมืองทั้งนั้นยกออกจากเมืองโลเสีย อุยเอี๋ยนกับกวนหินก็ทำตามขงเบ้งสั่ง แล้วคุมทหารตามไปทางบอกบุ๋น
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกแก่สุมาอี้ว่า กองทัพขงเบ้งนั้นเลิกไปจากเมืองโลเสียแล้ว สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ไปดูใกล้เชิงกำแพงเมือง เห็นธงทิวปักอยู่บนหน้าที่เชิงเทินเปนอันมาก แลควันเพลิงนั้นก็มีปรกติอยู่ สุมาอี้หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งเลิกกองทัพกลับไปแล้ว ยังทำอุบายไว้ฉนี้อีกเล่า จึงให้ทหารเข้าไปดูมิได้เห็นผู้คน แล้วกลับออกมาบอกว่ามีแต่เปลือกเมืองเปล่า สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าครั้งนี้ขงเบ้งยกไปแล้ว ผู้ใดจะอาสาตามไปตีให้ทหารขงเบ้งระสํ่าระสายได้
เตียวคับจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปโจมตีตัดท้ายขงเบ้งให้แตกขึ้นไปจนทัพหน้า สุมาอี้จึงตอบว่าใจท่านรวดเร็วนัก ซึ่งจะไปนั้นเกรงจะเสียท่วงที เตียวคับจึงว่า ท่านเกณฑ์ให้ข้าพเจ้าเปนกองหน้า หวังจะได้รบพุ่งต้านทานข้าศึก บัดนี้ขงเบ้งถอยทัพไปเปนธรรมเนียมกองหน้าจะได้ติดตาม เหตุใดท่านจึงห้ามไว้ฉนี้เล่า
สุมาอี้จึงว่า ซึ่งข้าศึกถอยไปเปนธรรมเนียมกองหน้าได้ติดตามนั้นก็จริงอยู่ แต่ทางซึ่งจะไปนั้นเปนซอกธารเขากันดารนัก เราเกรงว่าขงเบ้งจะให้ซุ่มทหารอยู่คอยตีกระหนาบ เราจึงห้ามท่านไว้หวังจะให้มีสติ ท่านจะไปก็ตามเถิดแต่จงประหยัดอย่าเบาความ แม้ครั้งนี้เสียทีมาภายหน้าจะทำการสืบไปท่านก็จะย่อท้อต่อข้าศึก เตียวคับจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเปนชาติทหารจะอาสาเจ้าโดยสุจริตถึงมาทว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สุมาอี้จึงเกณฑ์ทหารให้เตียวคับห้าพันแล้วให้งุยเป๋งคุมทหารสองหมื่นหนุนไป ด้วย แล้วสุมาอี้นั้นก็คุมทหารสามพันยกไปเปนกองหลัง
ฝ่ายเตียวคับคุมทหารรีบตามไปทางประมาณสี่ร้อยเส้น พอเห็นอุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องมาจากป่าสนธิ์ อุยเอี๋ยนท้าทายเปนข้อหยาบช้า เตียวคับได้ฟังดังนั้นก็โกรธขับม้าเข้ารบกับอุยเอี๋ยนได้สิบห้าเพลง อุยเอี๋ยนทำควบม้าหนี เตียวคับขับม้าไล่ตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้นก็ไม่เห็นอุยเอี๋ยน
พอกวนหินคุมทหารโห่ร้องออกขวางหน้าไว้ เตียวคับเห็นดังนั้นก็โกรธ ขับม้าเข้ารบด้วยกวนหินได้สิบเพลง กวนหินก็แกล้งควบม้าหนี เตียวคับขับม้าตามไปอีกทางประมาณหกร้อยเส้น กวนหินลับเนินเขาไป พออุยเอี๋ยนคุมทหารโห่ร้องออกมา รบกับเตียวคับได้เก้าเพลงสิบเพลง อุยเอี๋ยนแกล้งให้ทหารทิ้งเครื่องศัสตราวุธเสีย แล้วควบม้าหนีต่อไป เหล่าทหารเตียวคับมิได้รู้กลอุบาย ก็ชวนกันลงจากม้าทิ้งเครื่องศัสตราวุธไว้เปนอันมาก แลเตียวคับกับทหารประมาณร้อยเศษขับม้ารีบตามอุยเอี๋ยนไปถึงซอกเขาทางบอกบุ๋น ได้รบพุ่งกับอุยเอี๋ยนเปนสามารถ อุยเอี๋ยนก็แกล้งขับม้าหนีต่อไป พอเวลาเย็นเตียวคับเห็นแสงเพลิงไหม้ขึ้นทั้งสองข้างทาง ครั้นจะชักม้าถอยมาทหารขงเบ้งก็เอาก้อนศิลาสมทบปากทางไว้ เตียวคับตกใจได้คิดว่าตัวกูครั้งนี้เสียความคิดแก่ข้าศึกเสียแล้ว พอทหารบนเนินเขายิงเกาทัณฑ์แลทิ้งก้อนศิลาลงมาดังห่าฝน ไม่รู้ที่จะหนีออกแห่งใดได้ เตียวคับถูกเกาทัณฑ์หลายแห่ง ยิ่งมีใจโกรธพิษเกาทัณฑ์นั้นก็กำเริบขึ้นถึงแก่ความตาย แลทหารทั้งปวงซึ่งตามมาทันนั้นก็ถูกเกาทัณฑ์แลก้อนศิลาตายสิ้น
ฝ่ายทหารเตียวคับได้เครื่องศัสตราวุธแล้วก็รีบตามเตียวคับไป เห็นก้อนศิลาสมทบปากทางบอกบุ๋นอยู่ ก็คิดว่าเตียวคับนี้จะมีอันตรายเปนมั่นคง ครั้นจะตามเข้าไปก็กลัวความตาย พอได้ยินเสียงขงเบ้งร้องลงมาแต่เนินเขาว่า อ้ายเหล่าทหารเตียวคับอย่าตกใจกลัวเลย กูหาทำอันตรายไม่ มึงจงเร่งพากันกลับไปบอกแก่สุมาอี้เถิดว่า กูคิดอ่านทำการครั้งนี้หวังจะจับม้าตัวหนึ่งอันมีพยศก็ไม่สมควรคิด บัดนี้จับได้แต่เสือร้ายตัวหนึ่ง มึงจงกำชับสุมาอี้ให้ระวังตัวกูจะคิดอ่านจับให้ได้ ทหารทั้งปวงแจ้งดังนั้นก็ตกใจทั้งยินดี พากันคำนับรีบกลับมา พบสุมาอี้ก็เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ
สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็ตกใจคิดสงสารเตียวคับแล้วว่า ซึ่งเตียวคับเปนเหตุทั้งนี้เพราะเราใจเบาให้ไปจึงถึงแก่ความตาย แล้วให้เลิกกองทัพกลับมาถึงเมืองลกเอี๋ยง จึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าโจยอยตามซึ่งได้ทำสงครามจนเตียวคับถึงแก่ความตาย ตำบลทางบอกบุ๋น
พระเจ้าโจยอยแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโศกตรัสว่า เตียวคับนี้เปนทหารเอกแต่ครั้งพระไอยกาแลพระบิดาจนมาถึงเรา บัดนี้มาถึงแก่ความตายในท่ามกลางศึก สมควรเปนชาติทหาร แล้วก็ให้ทหารไปเอาศพเตียวคับมาได้พระราชทานเงินทองให้แต่งศพฝังไว้ณะเมือง ลกเอี๋ยง
ขณะเมื่อขงเบ้งมีชัยชนะสุมาอี้แล้ว ก็ยกกองทัพกลับเข้าไปตั้งอยู่ ณ เมืองฮันต๋ง ฝ่ายลิเงียมแจ้งว่าขงเบ้งยกทัพกลับมาก็ตกใจ เข้าไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพเจ้าจัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้วจะไปส่งกองทัพ พอมหาอุปราชยกมาถึงฮันต๋ง พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงให้บิฮุยไปถามขงเบ้ง ณ เมืองฮันต๋งว่า ขัดสนสิ่งใดหรือจึงเลิกกองทัพกลับมา ขงเบ้งจึงบอกว่า ตัวเราทำการสงครามอยู่ พอลิเงียมมีหนังสือไปว่าซุนกวนจะยกไปตีเมืองเสฉวน เราตกใจด้วยเปนกังวลหลังจึงยกกองทัพกลับมาหวังจะป้องกันเมืองไว้
บิฮุยจึงบอกว่า บัดนี้ลิเงียมเข้าไปกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า จัดแจงสเบียงไว้พร้อมอยู่แล้ว จะไปส่งพอท่านยกมาถึง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ข้าพเจ้ามาถามดู ขงเบ้งจึงให้ทหารไปดูสเบียงอาหารจะพร้อมอยู่เหมือนคำลิเงียมหรือไม่ ทหารได้เนื้อความแล้วกลับมาบอกขงเบ้งว่า ลิเงียมจัดแจงสเบียงไม่ทันจึงให้มีหนังสือมาลวงท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงให้ทหารขึ้นไปณะเมืองเสฉวน จับเอาตัวลิเงียมมาได้ ขงเบ้งจึงว่าพนักงานของตัวแต่งส่งลำเลียงก็ทำไม่ได้ แล้วแกล้งแต่งหนังสือมาลวงเรา โทษตัวถึงแก่ความตาย แล้วสั่งทหารให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย
บิฮุยจึงว่า อันโทษลิเงียมก็ถึงตาย แต่ท่านจงคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่ซึ่งได้ฝากลิเงียมแลราชการไว้แก่ท่าน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็น้ำตาไหล ด้วยคิดถึงพระเจ้าเล่าปี่จึงให้ยกโทษลิเงียมไว้ ขงเบ้งจึงให้ลิเงียมบิฮุยไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ณ เมืองเสฉวน บิฮุยกราบทูลตามลิเงียมทำมหาอุปราชจึงกลับมา พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้นก็ทรงพระโกรธ ตรัสสั่งจะให้เอาตัวลิเงียมไปฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงกราบทูลขอโทษลิเงียมไว้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงให้ถอดลิเงียมออกเสียจากที่ขุนนาง ขงเบ้งคิดเอนดูลิเงียม จึงเอาลิหลวงบุตรมาตั้งเปนขุนนางแทนที่ลิเงียมผู้บิดา
(๑) มีในเรื่องเลียดก๊ก
กรุณาแสดงความคิดเห็น