สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 73
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 73
เนื้อหา
• สุมาอี้ชิงตีเมืองหลิวเซียได้ก่อนโจจิ๋น• ขงเบ้งดีดพิณลวงสุมาอี้
• จูล่งตีกองทัพที่ติดตามขงเบ้ง
• ขงเบ้งลงโทษม้าเจ๊ก
ขณะ นั้นโจจิ๋นซึ่งรักษาเมืองไปเซีย รู้ข่าวว่าสุมาอี้ตีได้เกเต๋งแล้ว ก็คิดว่าสุมาอี้มีความชอบครั้งนี้เปนอันมาก จึงแต่งให้โกฉุยคุมทหารยกมาจะชิงเอาเมืองหลิวเซียแบ่งเอาความชอบบ้าง พอมาถึงกลางทางก็พบโกเสียงอองเป๋งกับอุยเอี๋ยนแตกมา ก็ขับทหารเข้ารบพุ่งล้มตายลงทั้งสองฝ่าย โกเสียงอองเป๋งอุยเอี๋ยนเสียกำลังทหารเบาบางลงจะสู้โกฉุยมิได้ ก็พาทหารหนีจะไปเข้าด่านยังเบงก๋วน
โกฉุยเห็นอุยเอี๋ยนพ่ายไปแล้ว จึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ครั้งนี้ถึงมาทว่ามิได้เกเต๋ง แต่ได้เมืองหลิวเซียก็เปนความชอบมากอยู่ จึงขับทหารให้รีบไป ครั้นถึงเชิงกำแพงแลเห็นธงปักไสวอยู่บนเสมาก็รอทหารไว้ สุมาอี้รู้ว่าโกฉุยยกมาก็ขึ้นบนหอรบเยี่ยมหน้าร้องสัพยอกออกไปว่า เปนไฉนโกฉุยท่านจึงยกมาช้าล้าหลังฉนี้เล่า
โกฉุยเห็นสุมาอี้อยู่บนหอรบร้องออกมาก็อายใจ คิดว่าสุมาอี้นี้สามารถดังเทพดา ที่ไหนความคิดเราจะเสมอด้วย โกฉุยก็เข้าไปในเมืองคำนับสุมาอี้ตามประเพณี สุมาอี้บอกว่า บัดนี้เกเต๋งเปนที่สำคัญนักเราก็ได้แล้ว เห็นขงเบ้งจะยกหนีเปนมั่นคง ท่านกับโจจิ๋นจงคุมทหารยกไปติดตามจับตัวขงเบ้งให้จงได้ โกฉุยรับคำสุมาอี้คำนับแล้วก็กลับมา
สุมาอี้จึงว่ากับเตียวคับว่า โจจิ๋นให้โกฉุยยกมาทั้งนี้ปราถนาจะแบ่งเอาความชอบของเราก็ค้างอยู่ ตัวเราเล่าก็มิได้ตั้งใจที่จะเอาความชอบแต่ผู้เดียว เปนบุญของเราก็ได้ตลอดโดยสดวกเอง แลบัดนี้โกเสียงอุยเอี๋ยนอองเป๋งม้าเจ๊กสี่คนแตกไปนั้น เห็นจะเข้าไปตั้งอยู่ด่านยังเบงก๋วน ครั้นเราจะยกไปตีบัดนี้เล่าก็เกรงขงเบ้งจะยกทหารตีประทับหลังเข้าจะเสียที ท่านจงคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่กลางทางที่จะเข้าไปค่ายยังเบงก๋วน เราจะยกกองทัพไปตีขงเบ้งตำบลจำก๊ก แต่ทว่าจะเดิรกองทัพไปทางเมืองเสเสียจึงจะได้ ด้วยเมืองเสเสียนั้นขงเบ้งซ่องสุมสเบียงอาหารไว้เปนอันมากเปนที่สำคัญอยู่ ถ้าเราได้เมืองเสเสียแล้ว ก็จะได้เมืองลำอั๋นเมืองเทียนซุยด้วย เพราะเปนทางร่วมตลอดถึงกัน ถ้าแลขงเบ้งหนีมาถึงที่ท่านซุ่มทหารอยู่ จงยกออกตีตัดเอาสเบียงให้จงได้ เตียวคับรับคำก็คำนับลายกทหารไป สุมาอี้จึงแต่งให้ซินต๋ำซินหงีอยู่รักษาเมืองหลิวเซีย จัดแจงกองทัพแล้วก็ยกมา
ฝ่ายคนใช้ซึ่งอ๋องเป๋งให้เอาแผนที่ไปแจ้งแก่ขงเบ้งนั้นมาถึง จึงเอาแผนที่ให้แล้วแจ้งเนื้อความที่รู้เห็นทุกประการ ขงเบ้งคลี่แผนที่ออกพิเคราะห์ดูแล้วก็เอาฝ่ามือตีลงตํ้าผางว่า ไฉนม้าเจ๊กจึงไปตั้งค่ายบนเขาฉนี้ แม้ข้าศึกยกมาล้อมไว้ปิดทางน้ำเสีย ทหารทั้งปวงก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองจะมิเสียการแล้วหรือ ทำทั้งนี้จะแกล้งฆ่าทหารเราตายสิ้น เอียวหงีจึงว่า ถ้าม้าเจ๊กจะทำให้เสียการฉนี้ ข้าพเจ้าจะอาสาไปรักษาเกเต๋งเอง จะเปลี่ยนให้ม้าเจ๊กกลับมาเสีย
ขงเบ้งจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบ ถ้ากระนั้นอย่าช้าเลย จงเร่งจัดทหารรีบยกไปเถิด เอียวหงีก็รับคำมาจัดแจงทหารยกไป พอม้าใช้เข้ามาแจ้งว่า บัดนี้เกเต๋งแลเมืองหลิวเซียนั้นแตกแล้ว ขงเบ้งรู้ดังนั้นก็กระทืบเท้าร้องไห้ว่า การใหญ่ของเราครั้งนี้เสียแล้ว จะเสียทหารทั้งปวงสิ้น จึงสั่งกวนหินเตียวเปาให้คุมทหารนายละสามพันยกไปซุ่มอยู่ที่ทางน้อยริมเขาบุ กองสันแล้วกำชับว่า ถ้าเห็นทหารสุมาอี้ยกมาก็อย่าให้ออกรบพุ่งเลย แต่ตีม้าฬ่อโห่ร้องไว้ให้กลัว แม้ว่าทหารสุมาอี้กลับถอยไปก็อย่าให้ติดตาม จงยกทหารรีบไปด่านยังเบงก๋วน
ขงเบ้งก็ให้ทหารทั้งปวงตระเตรียมสเบียงอาหารให้พร้อม จึงให้เตียวเอ๊กคุมทหารเปนกองหน้า สำหรับจะได้ชำระทางให้ทหารไปได้โดยสดวก เกณฑ์เกียงอุยม้าต้ายสองนายเปนกองหลัง ให้ตั้งรอปากทางป้องกันทหารทั้งปวงซึ่งจะยกไปอย่าให้มีอันตราย จึงแต่งคนให้รีบไปบอกผู้ซึ่งรักษาเมืองเทียนซุยเมืองลำอั๋นเมืองเสเสีย ทั้งสามเมืองให้ทิ้งเมืองเสีย ให้รีบยกหนีเข้าไปเมืองฮันต๋งเถิด แล้วจึงใช้ทหารไปรับมารดาเกียงอุยซึ่งเข้ามาเกลี้ยกล่อมนั้นเข้าไปเมืองด้วย ขงเบ้งจัดแจงเสร็จแล้วก็คุมทหารห้าพันยกไปเมืองเสเสีย ครั้นถึงจึงเกณฑ์ทหารสองพันห้าร้อยไปขนเข้าปลาอาหารทุกตำบล แล้วตัวขงเบ้งนั้นก็คุมทหารกึ่งหนึ่งเข้าตั้งอยู่ในเมือง
ขณะนั้นม้าใช้มาบอกว่า สุมาอี้ยกทหารมาแล้ว ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจ ทหารทั้งปวงก็หน้าซีดไปสิ้นทุกคน ขงเบ้งน้อยตัวแลทหารผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด จึงขึ้นไปดูบนเชิงเทิน เห็นทหารสุมาอี้ยกมาเปนอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย จึงให้ทหารรื้อถอนธงที่ปักไว้บนกำแพงนั้นลงเสียสิ้น แล้วให้เปิดประตูเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน จัดทหารแลชาวบ้านให้กวาดทางประตูเมืองเปนปรกติอยู่ประตูละยี่สิบคน มิให้สดุ้งสเทือน แล้วก็ขับให้ทหารทั้งปวงเข้าซุ่มเสียมิให้พูดจากันเปนปากเสียง จึงว่าเราจะคิดกลอุบายอันหนึ่งให้สุมาอี้ถอยไปจงได้ ถ้าผู้ใดเจรจากันอื้ออึงไปจะตัดสีสะเสีย สั่งแล้วขงเบ้งก็แต่งตัวอ่าโถงพาเด็กน้อยสองคนขึ้นไปบนหอรบให้เด็กนั้นถือ กระบี่คนหนึ่ง ๆ ถือแซ่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง แล้วตั้งกระถางธูปบูชาไว้ข้างหน้า ก็นั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่
ฝ่ายทหารกองหน้าสุมาอี้ยกเข้ามาใกล้เชิงกำแพงเมือง แลขึ้นไปดูบนหอรบเห็นขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่อยู่ก็คร้ามใจ กลับออกไปบอกสุมาอี้ว่า บัดนี้ข้าพเจ้ายกเข้าถึงเชิงกำแพง เห็นเมืองเงียบอยู่ มีแต่คนประตูละยี่สิบคนนั่งกวาดหยากเยื่อเฉยอยู่ แล้วตัวขงเบ้งนั้นขึ้นนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่บนหอรบเห็นประหลาทนัก จะเข้าเมืองนั้นก็เกรงจะถูกกลขงเบ้ง จึงกลับมาบอกท่าน
สุมาอี้ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจึงว่า ขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อจะไปดูเอง สุมาอี้ขึ้นม้าพาทหารไปประมาณยี่สิบคน ยืนอยู่แต่ไกลเชิงกำแพง แลขึ้นไปเห็นขงเบ้งแต่งตัวอ่าโถง หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเปนการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเปนมั่นคง คิดฉนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป ความกลัวมิทันจะจัดแจงทหาร ก็ให้กองหน้าเปนกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา
สุมาเจียวผู้บุตรจึงห้ามว่า เหตุไฉนบิดาจึงมากลัวขงเบ้งดังนี้ ขงเบ้งนี้เปนคนสิ้นทหารสุดความคิดสู้เรามิได้แล้ว ก็ซังตายแขงใจทำกลเปล่า ๆ อยู่
สุมาอี้จึงว่า ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเปนคนมีสติปัญญาชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเปนผู้ใหญ่แก่ในการศึกนั้นมิ บังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไปก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้งพากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่าเราจะเชื่อฟังมิได้ แล้วก็เร่งขับทหารทั้งปวงให้รีบไป
ขงเบ้งเห็นสุมาอี้ยกทหารกลับไปก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงจึงถามว่า สุมาอี้ยกทหารมาถึงสิบห้าหมื่นจะทำร้ายท่าน การจวนตัวอยู่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านจึงมิกลัวยังตบมือหัวเราะเสียอีกเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะเห็นสุมาอี้รู้มิเท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำ ด้วยจนใจจวนตัวอยู่แล้วก็จำเปน แลสุมาอี้กลับไปครั้งนี้เห็นจะไปทางน้อยริมเขาบุกองสันเปนมั่นคง ก็จะพบกองทัพกวนหินเตียวเปาซึ่งไปซุ่มอยู่ จะต้องด้วยกลของเราทำไว้จะไม่เสียทีเปล่า
ทหารทั้งปวงได้ฟังขงเบ้งว่าก็ยินดี ชวนกันลงมาคำนับแล้วว่า ถ้าเปนใจข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ที่ไหนจะแข็งใจอยู่ได้ ก็จะทิ้งเมืองเสียพากันหนีไป ขงเบ้งจึงว่า ถ้าจะทำใจอ่อนทิ้งเมืองเสียเหมือนท่านว่านั้น ทหารเราสองพันห้าร้อยสักหยิบมือหนึ่งหรือจะหนีทหารสิบห้าหมื่นพ้น เขาก็จะไล่จับเอาดังหนู ประเดี๋ยวหนึ่งก็จะจูงจมูกมาได้สิ้น ว่าแล้วก็ตบมือหัวเราะ ทหารทั้งปวงก็ดีใจ ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้สุมาอี้ถอยทัพไปด้วยกลของเรานั้น ดีร้ายก็จะยกกลับมาทำร้ายอีกจะไว้ใจมิได้ ก็ให้กวาดครอบครัวอพยพชาวเมืองทั้งปวงลาดถอยทัพมายังเมืองฮันต๋งสิ้น
ฝ่ายสุมาอี้ยกมาถึงตำบลเขาบุกองสัน ได้ยินเสียงทหารกวนหินเตียวเปา ซึ่งตั้งซุ่มอยู่บนเขานั้นโห่ร้องสนั่นลงมาก็ตกใจ จึงว่าแก่สุมาหูสุมาเจียวผู้บุตรว่า แม้เรามิรีบหนีมาก็จะต้องกลของขงเบ้งจริง ว่ายังมิทันขาดคำก็แลไปเห็นกองทัพยกลงมาจากเนินเขา มีธงดำแม่ทัพจารึกอักษรปรากฎชื่อว่าเตียวเปาทหารใหญ่ ทหารทั้งปวงตกใจกลัวทิ้งศัสตราวุธเสีย วิ่งหนีร่นถอยหลังมาถึงปากทางจะออกทางใหญ่ เห็นกองทัพยกสกัดลงมาอีกกองหนึ่ง มีธงแดงจารึกชื่อว่ากวนหินนายทหาร แล้วได้ยินเสียงโห่สนั่นอยู่ในป่านั้นบ้าง
สุมาอี้สำคัญว่าขงเบ้งทำกลอุบายซุ่มทหารไว้ก็ตกใจ ทหารทั้งปวงกลัวทิ้งสเบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธเสียเปนอันมาก แตกตื่นกันเปนอลหม่าน กวนหินเตียวเปาสองนายก็มิได้ไล่ติดตามไปตามขงเบ้งสั่ง เก็บได้สเบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธทั้งปวงแล้วก็รีบลาดทัพถอยมา
ฝ่ายโจจิ๋นรู้ว่ากองทัพของขงเบ้งเลิกไป ก็รีบยกทหารตามมาถึงปากทาง ซึ่งเกียงอุยม้าต้ายตั้งสกัดอยู่ ก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ เกียงอุยม้าต้ายฆ่าฟันทหารโจจิ๋นล้มตายเปนอันมาก โจจิ๋นเสียทีสู้มิได้ก็ถอยทัพกลับหลังไป เกียงอุยม้าต้ายได้ชัยชนะแล้วก็ยกทหารกลับมาเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายจูล่งเตงจี๋ซึ่งยกมาตั้งอยู่ตำบลกิก๊กนั้น แจ้งว่าขงเบ้งเลิกทัพมาจากเขาบุกองสันแล้ว ก็ปรึกษากันกับเตงจี๋ว่า บัดนี้กองทัพตำบลเขาบุกองสันก็เลิกไปแล้ว เห็นว่าสุมาอี้จะยกติดตามมามั่นคง ท่านจงจารึกธงลงอักษรเปนชื่อเรา ถ้าเห็นสุมาอี้ตามมาจงคุมทหารรีบหนีไปทางใหญ่ ตัวเราจะคุมทหารซุ่มเดิรตามราวป่า ทหารสุมาอี้เห็นน้อยตัวก็จะไล่กระชั้นไป เราจะบากทางออกตีกระทบหลัง ท่านจงกลับหน้าลงมารบต้านไว้ ทหารสุมาอี้ก็จะแตกไป ครั้นปรึกษากันแล้วก็ยกทหารออกเดิรตามกำหนดกัน
ฝ่ายโกฉุยยกมาตามคำสุมาอี้ครั้งนั้น ก็กำชับเชาหูว่าตัวท่านคุมทหารเปนกองหน้าไปบัดนี้ จงดูอัชฌาสัยอย่าประมาทแก่ข้าศึก ถ้าเห็นทหารจูล่งหนีแล้วจงอย่าได้กระชั้นไล่ขึ้นไป รอรั้งทหารดูท่วงทีก่อน ด้วยจูล่งนั้นเปนคนเจ้าความคิด มักแต่งกลล่อลวงข้าศึกให้เสียที แล้วก็มีฝีมือเข้มแขงนัก ให้เร่งถอยเสีย
เชาหูจึงว่า ท่านอย่าปรารมภ์เลย ทำไมกับฝีมือจูล่ง ข้าพเจ้ามิได้กลัว ขอให้ท่านยกทหารหนุนไปให้ทันทีเถิด ถ้าพบจูล่งแล้วข้าพเจ้าจะจับเอาตัวให้ได้ เชาหูก็ยกทหารสามพันรีบมาถึงตำบลกิก๊ก เห็นทัพเตงจี๋เดิรรีบหนีไปตามทางใหญ่มีธงสำคัญชื่อจูล่ง ก็คิดว่ากองทัพจูล่งจริง จึงขับทหารตามกระชั้นไปทางประมาณสามสิบเส้น
จูล่งเห็นเชาหูไล่ล่วงขึ้นไป ก็ให้ทหารจุดประทัดโห่ร้องออกมาข้างหลังร้องว่า กูชื่อจูล่งรู้จักหรือไม่ เชาหูเหลียวหลังมาเห็นจูล่งก็ตกใจ ชักม้าจะกลับหน้าออกมาสู้กำลังขวางตัวอยู่ จูล่งก็แทงด้วยทวน เชาหูปัดมิทันถูกสีข้างตกม้าตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็แตกหนีเข้าป่าสิ้น จูล่งก็ขับทหารรีบตามเตงจี๋มา
แลขณะเมื่อจูล่งรบกับเชาหูนั้น ได้ยินเสียงโห่เอิกเกริกอยู่ข้างหน้า โกฉุยก็ใช้ให้บั้นเจ้งคุมทหารรีบยกขึ้นไปดู จูล่งเห็นทหารยกตามมาก็รออยู่แต่ผู้เดียว จนเตงจี๋ยกทหารไปไกลทางประมาณสามร้อยเส้น บั้นเจ้งแลไปจำสำคัญได้ว่าจูล่งก็กลัวมิอาจจะตามไป จึงให้หยุดทหารอยู่ จูล่งคอยอยู่จนเวลาเย็นแล้ว ไม่เห็นทหารตามมาก็ขับม้าเดิรไปเปนปรกติ
ครั้นโกฉุยยกมาทันบั้นเจ้ง ๆ จึงบอกว่าข้าพเจ้ามาพบจูล่ง ครั้นจะขับทหารติดตามรบพุ่งไปก็เกรงอยู่ ด้วยจูล่งนั้นมีฝีมือกล้าแขงนัก จึงรอท่าท่านอยู่ โกฉุยแจ้งดังนั้นก็มิฟังให้บั้นเจ้งขับทหารรีบตามไป บั้นเจ้งก็คุมทหารร้อยหนึ่งติดตามมาถึงทางซอกเขา ได้ยินเสียงจูล่งร้องตวาดขึ้นแล้วขับทหารทลวงออกมา ทหารทั้งปวงเห็นก็ตกใจพากันวิ่งหนีบุกเข้าไปในป่า บั้นเจ้งก็แขงใจชักม้าเข้าไปต่อสู้จูล่ง ๆ ยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกหมวกบั้นเจ้งพลัดตกจากสีสะก็สดุ้งกลัวตกลงมาจากม้า จูล่งก็ขับม้าสอึกเข้าไปเอาปลายทวนจ่อหัวอกไว้แล้วจึงว่า แม้จะฆ่ามึงเสียบัดนี้ก็เหมือนฆ่าสตรีหาต้องการไม่ กูปล่อยเสียให้ทานชีวิต แล้วมึงเร่งกลับไปบอกให้นายมึงรีบยกมาสู้กับกูเถิดกูจะคอยท่าอยู่ บั้นเจ้งมีความยินดี ก็ขึ้นม้ากลับไปบอกแก่โกฉุยทุกประการ โกฉุยแจ้งดังนั้นก็กลัวมิได้ยกทหารตามไป จูล่งก็ขับม้าตามเตงจี๋ป้องกันทหารทั้งปวงมิได้มีอันตรายสิ่งใดจนถึงเมือง ฮันต๋ง ฝ่ายโจจิ๋นกับโกฉุยก็พากันยกกลับมาจะตีเอาเมืองเทียนซุยกับเมืองลำอั๋นเมือง ฮันต๋ง
ขณะนั้นสุมาอี้ยกทหารมาถึงกลางทาง แจ้งกิตติศัพท์ว่าขงเบ้งยกทหารเลิกไปจากเมืองเสเสียแล้ว ก็ให้กลับพลทหารคืนมาเข้าเมืองเสเสีย จึงให้สืบถามชาวบ้านชาวเมืองทั้งปวงว่า ขงเบ้งมาตั้งอยู่ในเมืองเสเสียนี้มีทหารอยู่สักเท่าใด หญิงชายทั้งนั้นจึงบอกว่า เมื่อขงเบ้งยกทหารมาตั้งอยู่นั้นมีทหารสองพันห้าร้อยแต่ล้วนพลเรือน ทหารที่มีฝีมือนั้นก็หามีไม่
อนึ่งกวนหินเตียวเปาซึ่งไปตั้งอยู่ตำบลเขาบุกองสันนั้นเล่า ก็มีทหารนายละสามพันทำกลวิ่งสับสนเปลี่ยนกันไปหัวเขาท้ายเขา จะได้มีทหารอื่นซุ่มซ่อนอยู่นอกนั้นอีกหามิได้ สุมาอี้แจ้งดังนั้นก็เอามือตบอกเข้าว่า เรามิรู้เท่าความคิดขงเบ้งเลย ครั้นสุมาอี้พักทหารอยู่เมืองเสเสียจัดแจงบ้านเมืองเปนปรกติแล้ว ก็ยกทหารกลับไปเมืองเตียงอั๋น จึงทูลพระเจ้าโจยอยตามซึ่งได้ทำการรบพุ่งนั้นทุกประการ
พระเจ้าโจยอยได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดีจึงตรัสว่า ซึ่งท่านยกทหารไปกำจัดศัตรูกลับคืนเอาหัวเมืองได้ครั้งนี้ ก็เปนความชอบของท่านใหญ่หลวงนัก สุมาอี้จึงกราบทูลว่า ซึ่งข้าพเจ้ายกไปทำการกำจัดข้าศึกครั้งนี้ก็ยังมิราบคาบทีเดียว ด้วยทหารขงเบ้งนั้นแตกหนีกลับเข้าไปพักอยู่ในเมืองฮันต๋งนั้นได้มาก เห็นขงเบ้งจะซ่องสุมผู้คนกลับมาทำการอีก ข้าพเจ้าจะยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งเสีย ถ้าได้เมืองฮันต๋งแล้ว เห็นว่าในขอบขัณธเสมานี้จะมีความสุขสืบไป
พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วยมีพระทัยยินดี จึงให้เกณฑ์ทหารทั้งปวงทุกหัวเมืองให้แก่สุมาอี้นั้นสิ้นเชิง ขณะนั้นซุนจู้เปนขุนนางผู้ใหญ่ จึงเข้ามาทูลห้ามพระเจ้าโจยอยว่า ครั้งพระอัยกาของพระองค์เมื่อยังเปนมหาอุปราชอยู่ ยกพลทหารไปตีเอาเมืองฮันต๋งนั้น ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสไว้ว่า เมืองฮันต๋งคับขันนัก ประดุจหนึ่งตั้งอยู่ในปากเหว หากบุญของเราจึงได้สำเร็จ แม้วาสนาหาไม่ก็จะพาทหารทั้งปวงตายเสียเหมือนหนึ่งตกลงในเหว พระองค์ก็มีสติปัญญาชำนาญในการสงครามยังออกโอษฐ์ถึงเพียงนี้
อนึ่งข้าพเจ้ามาเห็นว่าตำบลจำก๊กนั้นเล่าก็เปนเมืองแดนต่อแดน มีจังหวัดโดยรอบคอบทางถึงห้าพันเส้น แต่ล้วนซอกห้วยธารเขาป่าดงรกชัฏ หนทางที่จะยกพลทหารเดิรขบวรทัพไปนั้นก็ยากขัดสน ซึ่งจะยกไปเห็นจะได้ความลำบาก ขอให้งดกองทัพไว้ก่อน จงกะเกณฑ์ทหารซึ่งมีฝีมือเปนผู้ใหญ่คุมทหารไปตั้งรักษาด่านทางให้มั่นคงจง ทุกตำบล อย่าให้ศัตรูล่วงเข้ามาได้ พักศึกอยู่ปลูกเลี้ยงบำรุงทหารทั้งปวงให้มีกำลังแกลัวกล้าขึ้นไว้ คอยดูท่วงทีเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง ด้วยเปนอริกันอยู่ เห็นว่าเมืองสองเมืองนี้ก็จะเกิดจลาจลกันขึ้นเองเปนมั่นคง ฝ่ายเราเห็นได้ทีแล้วจึงยกทหารเดิรสบายเข้าไปเอาเมืองเสฉวน ก็จะได้เปรียบดีกว่ารีบยกไปบัดนี้อีก
พระเจ้าโจยอยจึงถามสุมาอี้ว่า ซุนจู้ว่าดังนี้ท่านจะเห็นประการใด สุมาอี้จึงว่าซุนจู้ว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ พระเจ้าโจยอยก็ให้สุมาอี้กะเกณฑ์ทหารยกไปรักษาด่านทางทุกตำบล แล้วก็ให้โกฉุยเตียวคับสองนายคุมทหารอยู่รักษาเมืองเตียงอั๋น จัดแจงบ้านเมืองสำเร็จแล้ว สุมาอี้ก็เชิญเสด็จพระเจ้าโจยอยยกไปอยู่เมืองลกเอี๋ยงเปนเมืองหลวง
ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกมาถึงเมืองฮันต๋งแล้ว จึงตรวจตรานายทหารทั้งปวงมิได้เห็นจูล่งกับเตงจี๋ก็ทุกข์ใจมีความวิตกนัก พอทหารเข้ามาบอกว่าจูล่งกับเตงจี๋คุมทหารยกมาข้างหลัง ผู้ใดมิได้เปนอันตรายแต่ม้าตัวหนึ่งก็มิได้ตาย ขงเบ้งได้ฟังก็ดีใจพาทหารทั้งปวงออกมารับจูล่งเตงจี๋ถึงประตูเมือง จูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจโจนลงจากม้าวิ่งไปคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ตัวข้าพเจ้าเปนทหารล่าทัพเสียทีข้าศึกมา เหตุไฉนมหาอุปราชจึงออกมารับ
ขงเบ้งเห็นจูล่งคำนับก็มีความยินดี จึงเอามือทั้งสองเข้าประคองตัวจูล่งแล้วก็ว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าผิดมิได้พินิจว่าคนดีแลชั่วใช้ไปจึงทำให้เสียการ ท่านทั้งหลายจึงได้ความลำบากทั้งนี้ก็เพราะเราผู้เดียว เสียทแกล้วทหารทุกหมวดทุกกองเปนอันมาก แต่ท่านผู้เดียวทำประการใดจึงมิได้มีอันตราย เตงจี๋จึงบอกความให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้แจ้งก็สรรเสริญว่า จูล่งนี้เปนทหารเอกหาผู้เสมอมิได้ แล้วก็พากันเข้ามา เอาทองสิบชั่งมาปูนบำเหน็จแก่จูล่ง กับแพรดีหมื่นพับให้แจกทหารทั้งปวง
จูล่งคำนับแล้วก็มิได้รับสิ่งของทั้งปวง ว่าตัวข้าพเจ้าเปนคนทัพแตกเสียการมา ก็หาความชอบสิ่งใดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าจะรับเอาสิ่งของทั้งนี้มิบังควร ขอมหาอุปราชให้เอาคืนเข้าไว้ในท้องพระคลังเถิด ถ้าถึงกำหนดเบี้ยหวัดแล้วจงเอาแจกทหารทั้งปวง ขงเบ้งจึงคิดว่า พระเจ้าเล่าปี่ว่าไว้ว่า จูล่งนี้เปนคนซื่อก็จริงทุกประการ แต่วันนั้นไปขงเบ้งก็มีความคารวะจูล่งเปนอันมาก ขณะนั้นพอคนเข้ามาบอกว่า บัดนี้ม้าเจ๊กอองเป๋งอุยเอี๋ยนโกเสียงมาถึงแล้ว
ขงเบ้งให้อองเป๋งเข้ามาแล้วถามว่า ตัวท่านเปนผู้ใหญ่ เราไว้ใจให้ไปรักษาตำบลเกเต๋งด้วยม้าเจ๊กได้กำชับว่ากล่าวไป เหตุไฉนมิได้ห้ามปราม ละให้ม้าเจ๊กขึ้นไปทั้งค่ายอยู่บนเขาให้เสียการทั้งนี้ อองเป๋งคำนับแล้วจึงบอกว่า ซึ่งมหาอุปราชกำชับแก่ข้าพเจ้าไปนั้นจะได้ละลืมเสียหามิได้ เมื่อไปถึงตำบลเกเต๋งนั้นข้าพเจ้าได้ทัดทานเปนหลายครั้ง ม้าเจ๊กขึ้งโกรธมิฟังข้าพเจ้าจึงเสียการไป แล้วอองเป๋งก็แจ้งเนื้อความให้ฟังสิ้นทุกประการ
ขงเบ้งแจ้งแล้วก็ขับอองเป๋งออกไปเสีย จึงให้หาม้าเจ๊ก ๆ รู้ว่าโทษตัวผิดใหญ่หลวง จึงมัดตัวเองเข้ามาหน้าขุนนางทั้งปวง ขงเบ้งจึงถามว่า ตัวท่านมีสติปัญญาได้เรียนรู้ในกลสงครามมาแต่น้อยจนใหญ่ แลขันอาสาไปครั้งนี้เราก็ได้กำชับเปนกวดขัน ว่าตำบลเกเต๋งนั้นเปนที่สำคัญอยู่ ท่านอวดรู้ทำทานบนให้แก่เรา บัดนี้ก็ไม่เหมือนทานบนทำให้เสียการทั้งนี้โทษท่านก็ใหญ่หลวง ครั้นจะมิเอาโทษตามพระอัยการศึกนั้น สืบไปเบื้องหน้าทหารทั้งปวงก็จะดูเบาแก่ราชการ แม้ท่านตายเสียผู้เดียวก็จะเปนกฎหมายอย่างธรรมเนียมไป ราชการก็ไม่แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย ท่านอย่าน้อยใจเราเลย อันบุตรภรรยาอยู่ภายหลัง เราจะช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงไปดังตัวท่านยังอยู่ เกิดมาเปนชาติทหารแล้ว อย่าได้อาลัยแก่ชีวิตเลย จงสู้ตายตามโทษานุโทษนั้นเถิด แล้วก็สั่งให้เอาม้าเจ๊กไปฆ่าเสีย ม้าเจ๊กก็ร้องไห้อ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ
ขงเบ้งเห็นม้าเจ๊กร้องไห้อ้อนวอนก็กลั้นน้ำตามิได้ ร้องไห้แล้วจึงว่าตัวท่านกับเรารักกันอยู่เหมือนพี่กับน้อง ซึ่งเราทำทั้งนี้ก็ตามกฎหมายอย่างธรรมเนียม ใช่จะมีใจชิงชังท่านหามิได้ อันบุตรภรรยาของท่านนั้นเราจะเลี้ยงไว้
พอว่าสิ้นคำลงทหารก็คุมเอาม้าเจ๊กออกไป ขณะเมื่อทหารจะลงดาบนั้น พอเจียวอ้วนมาแต่เมืองเสฉวนจึงห้ามให้งดไว้ ก็เข้าไปว่าแก่ขงเบ้งว่า ซึ่งม้าเจ๊กกระทำให้เสียการครั้งนี้โทษถึงตายอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองยังมิราบคาบ แลมหาอุปราชจะมาฆ่าทหารเอกเสียฉนี้หาเสียดายไม่หรือ ขงเบ้งจึงว่าเราทำทั้งนี้ใช่จะมีความขึ้งโกรธหามิได้ แม้จะละโทษม้าเจ๊กเสียทหารทั้งปวงก็จะเอาเยี่ยงอย่าง พอว่ายังมิขาดคำทหารก็เอาสีสะม้าเจ๊กเข้ามาให้แก่ขงเบ้ง ๆ เห็นสีสะม้าเจ๊กก็ระลึกถึงคำเล่าปี่ว่าไว้แต่ก่อนก็ร้องไห้
เจียวอ้วนจึงถามว่า ม้าเจ๊กทำผิดท่านสั่งให้เอาไปประหารชีวิตเสีย แล้วเหตุใดจึงร้องไห้เล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราร้องไห้ทั้งนี้ใช่จะอาลัยด้วยรักม้าเจ๊กหามิได้ เราคิดถึงคำพระเจ้าเล่าปี่เมื่อมาพักอยู่เมืองเป๊กเต้นั้น จะใกล้ตายได้ว่าไว้แก่เราว่า ม้าเจ๊กนี้ปากรู้มากกว่าใจ ซึ่งจะใช้การใหญ่ไปภายหน้ามิได้ เราลืมไปมิได้คิด ครั้นเห็นสีสะม้าเจ๊กระลึกได้จึงร้องไห้
ขงเบ้งบอกดังนั้นแล้วก็ให้ทหารเอาสีสะไปเที่ยวตะเวนรอบเมือง จึงให้แต่งการศพตามประเพณีแล้ว ก็ให้เงินทองแก่บุตรภรรยาม้าเจ๊กเปนอันมาก ยิ่งกว่าตัวม้าเจ๊กยังมีชีวิตอยู่ ครั้นแล้วก็แต่งเปนเรื่องราวให้เจียวอ้วนไปทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนเปนใจความ ว่า ข้าพเจ้ายกทหารไปทำการรบพุ่งด้วยสุมาอี้ครั้งนี้ เบาแก่การรู้มิถึงความเสียทีแก่ข้าศึก ให้ทหารเสียในสงครามเปนอันมาก โทษข้าพเจ้าใหญ่หลวงนัก แลบัดนี้ข้าพเจ้าจะขอถอดตัวออกจากที่ตามโทษานุโทษ
ครั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งดังนั้น จึงตรัสแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อันการสงครามนี้ก็เปนประเพณีแพ้แลชนะมาแต่ก่อน ซึ่งมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกนั้น จะถอดเสียจากที่ฐานาศักดิ์ก็มิบังควร เหตุไฉนมหาอุปราชจึงมาเจรจาดังนี้
บิฮุยซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า อันกฎหมายอย่างธรรมเนียมสำหรับแผ่นดินมาแต่ก่อนนั้นข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่า นายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งพระเจ้าหมื่นปีตรัสใช้ให้ถือพลไปทำการสงคราม ก็ย่อมถือกฎหมายเปนบันทัด แลซึ่งขงเบ้งเปนมหาอุปราชเสียทีแก่ข้าศึกมาทั้งนี้ ก็ต้องด้วยกฎหมายอย่างธรรมเนียมอยู่แล้ว ครั้นพระองค์จะยกโทษเสียมิทำตามขนบธรรมเนียมบัดนี้ ประเพณีแผ่นดินก็จะฟั่นเฟือนไป ขอให้กระทำตามเรื่องราวมหาอุปราชเถิด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังก็เห็นชอบ จึงให้มีตราไปถอดขงเบ้งออกจากที่มหาอุปราช ตํ่าศักดิ์ลงมาสามสถาน ให้เปนแต่ที่อิ้วจงกุ๋น ได้บังคับบัญชาทหารทั้งปวงเหมือนกันกับมหาอุปราช แล้วก็ให้บิฮุยถือไป ครั้นบิฮุยมาถึงเมืองฮันต๋ง เข้าไปคำนับขงเบ้งแล้วจึงเอาตราส่งให้ แล้วคิดกลัวขงเบ้งจะได้ความอัปยศจึงว่า แต่แรกมหาอุปราชยกทหารไปตีหัวเมืองได้ถึงสิบตำบลนั้น พระเจ้าเล่าเสี้ยนแลเสนาบดีอาณาประชาราษฎรมีความยินดีสรรเสริญปัญญาความคิด ท่านทั้งเมือง
ขงเบ้งได้ยินบิฮุยว่าดังนั้นก็โกรธหน้าตึงขึ้น จึงว่าแต่แรกเราตีได้หัวเมืองก็จริง ครั้นมาภายหลังก็กลับเสียมิได้เปนสิทธิ์แก่ตัวก็รู้อยู่ด้วยกัน ท่านมาเจรจาฉนี้มิเยาะเราหรือ บิฮุยเห็นขงเบ้งโกรธก็แกล้งเฉยเสียทำเปนไม่รู้จึงไถลว่า พระเจ้าเล่าเสี้ยนแจ้งไปว่ามหาอุปราชได้เกียงอุยทหารพระเจ้าโจยอยมาไว้ก็ ยินดีนักหนา ขงเบ้งจึงว่าเราไปทำการครั้งนี้ ก็เสียทแกล้วทหารเปนอันมาก เสียเปรียบข้าศึกถึงร้อยเท่า แลได้ทหารมาแต่ผู้เดียวนี้จะเกื้อหนุนสิ่งใด ใช่ว่าเขาจะเปลืองทหารลงก็หาไม่ ท่านจะว่าให้เราอัปยศหรือ
บิฮุยจึงถามต่อไปว่า ปัดนี้มหาอุปราชซ่องสุมทหารไว้ได้อีกสามสิบสี่สิบหมื่นนี้ยังจะคิดทำการแก้ มืออีกหรือประการใด ขงเบ้งจึงว่าครั้งก่อนเรายกทหารไปทำเสียการแก่ข้าศึกที่ตำบลกิก๊กนั้นเปนอัน มาก ทุกวันนี้เหมือนเปนฝีอยู่ในอกช้ำใจนัก ก็คิดจะไปทำการแก้แค้นให้ได้ ท่านอุตส่าห์ทำการด้วยเราเถิด บิฮุยได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีด้วย คำนับแล้วก็ลากลับไปเมืองเสฉวน ฝ่ายขงเบ้งก็ซ่องสุมทแกล้วทหารทั้งปวงซ้อมหัดการตามกระบวรสงคราม แลตระเตรียมพรักพร้อมไว้ทุกประการ
ขณะนั้นกิตติศัพท์แจ้งไปถึงเมืองลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยจึงให้หาสุมาอี้เข้ามาปรึกษาว่าจะยกไปตีเมืองเสฉวน สุมาอี้จึงว่า อันเทศกาลนี้ก็เปนฤดูคิมหันต์ร้อนนัก ซึ่งกองทัพเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งจะยกมาทำอันตรายนั้นก็เห็นยังจะมามิได้ ฝ่ายเราจะยกไปตีเมืองเสฉวนแลเมืองฮันต๋งเล่าก็มิสดวก ด้วยขงเบ้งรู้ตัวก็จะยกทหารมาตั้งสลักทางเสีย
พระเจ้าโจยอยจึงว่า ซึ่งท่านจะรอกองทัพมิยกไปนั้นก็ชอบอยู่ แม้ว่าข้าศึกจะมาทำอันตรายแก่เราก่อนท่านจะคิดประการใด สุมาอี้จึงว่าอย่าปรารมภ์เลยข้าพเจ้าแจ้งอยู่สิ้นแล้ว แม้ว่าขงเบ้งจะกล้ายกมาทำอันตรายแก่เราครั้งนี้ ก็เห็นจะไม่มาทางเขากิสาน จะยกทหารลัดทางตันฉองเปนมั่นคง ข้าพเจ้าจะแต่งทหารให้ออกไปตั้งค่ายก่อกำแพงปิดปากทางไว้ มิให้ล่วงเข้ามาถึงเมืองได้ พระเจ้าโจยอยก็มีความยินดี จึงถามว่าท่านจะแต่งให้ทหารผู้ใดออกไป
สุมาอี้จึงบอกว่า เฮกเจียวซึ่งเปนที่จบป๋าจงกุ๋นเจ้าเมืองโหไสนี้มีกำลังตัวสูงได้หกศอกเศษ แล้วประกอบด้วยปัญญาความคิดมาก เห็นจะต่อสู้กับขงเบ้งนั้นได้ ข้าพเจ้าจะแต่งให้ออกไปตั้งขัดทัพอยู่ พระเจ้าโจยอยก็เห็นด้วย จึงให้คนถือหนังสือไปถึงเฮกเจียวณะเมืองโหไส ให้ยกทหารมาตั้งขัดทัพอยู่ตำบลตันฉองตามคำสุมาอี้ทุกประการ
กรุณาแสดงความคิดเห็น