สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 63
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 63
เนื้อหา
• โจผีเนรเทศพระเจ้าเหี้ยนเต้จากราชสมบัติ• พระเจ้าโจผีย้ายไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง
• ชาวเมืองเสฉวนยกเล่าปี่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
• พระเจ้าเล่าปี่เตรียมทัพจะไปรบกับซุนกวน
• เตียวหุยถูกฆ่า
ฝ่ายโจผีเมื่อได้เปนเจ้าขึ้น ชื่อว่าวุยอ๋องแทนที่บิดาแล้ว ก็รางวัลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควรแก่บันดาศักดิ์ จึงให้เกณฑ์ทหารสามสิบหมื่น ยกออกจากเมือง ไปเยียนบ้านเจียวก๋วนอยู่แดนเมืองไผก๊กซึ่งเคยอยู่แต่ก่อนนั้น พรางจะไปเที่ยวให้สบายด้วย ครั้นไปถึงเมืองไผก๊กก็ตั้งยศอย่างให้สง่าสูงศักดิ์
ฝ่ายชาวเมืองทั้งปวงมีความยินดียิ่งนัก ก็แต่งเครื่องบรรณาการออกมาถวายเปนอันมาก มีคนมาทูลแก่วุยอ๋องว่า บัดนี้แฮหัวตุ้นไข้หนักเห็นจะไม่รอดแล้ว วุยอ๋องได้ยินก็ตกใจคิดเสียดายแฮหัวตุ้นนัก ก็ยกกลับมาแต่พอถึงเมืองเงียบกุ๋น แฮหัวตุ้นก็ตาย วุยอ๋องก็ให้แต่งการศพตามบันดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่เชิญศพไปฝังเสีย
เมื่อโจผีได้เปนที่วุยอ๋องแทนบิดามาช้านานประมาณหกปี (๑) ครั้นถึงเดือนสิบหงส์บินมาร้องร่อนอยู่ตรงเมืองเซงเซ็ก แลมีราชสีห์เข้ามาเที่ยวในเมืองลิมโฉแล้วกลับไป คนก็เอาเหตุทั้งสองนี้ไปทูลแก่วุยอ๋อง อนึ่งพญามังกรมีสีตัวเหลืองมีศักดานุภาพนัก มาสำแดงฤทธิ์เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ เปนอัศจรรย์ใหญ่ ชาวเมืองทั้งปวงก็เห็นโจผีก็เห็นด้วย
วุยอ๋องเห็นเหตุสามประการนี้เปนอัศจรรย์นัก จึงให้หาลิต๊กเคาจีซึ่งเปนขุนนางผู้เฒ่าแลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยที่ปรึกษา ทั้งปวงมาพร้อมแล้วจึงถามว่า เหตุใหญ่สามประการเปนอัศจรรย์ปรากฎในเมืองเราดังนี้ จะร้ายดีประการใด ลิต๊กแลเคาจีจึงทูลว่า เกิดอัศจรรย์ปรากฎในเมืองเราดังนี้เปนมงคลอันใหญ่ จะให้จำเริญศรีสวัสดิ์แก่ท่าน บุญนำมาเกิดที่วุยอ๋องในชาตินั้นใหญ่หลวงนัก ควรจะได้ราชสมบัติเปนเจ้าแผ่นดิน จึงนิยมดลใจคนทั้งปวงให้มีความยินดีรักใคร่ท่านนัก จะใคร่ให้ท่านเปนเจ้า
ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจึงปรึกษาพร้อมกันว่า เราจะไปทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ควรที่จะมอบราชสมบัติให้แก่โจผี แล้วฮัวหิมอองลองซินเลียกกาเซี่ยงเล่าอี้เล่าฮัวตันเกียวตันกุนเต๊งไก่ขุน นางผู้ใหญ่ กับนายทหารประมาณสี่สิบคน พากันเข้าไปยังเมืองฮูโต๋ เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮัวหิมจึงทูลว่า โจผีเปนวุยอ๋องแทนโจโฉบิดานั้นมีบุญมาก แล้วก็มีสติปัญญารู้รอบคอบโอบอ้อมไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ราษฎรทั้งปวงก็อยู่เย็นเปนสุข ข้าพเจ้าขุนนางทั้งปวง แลทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินปรึกษาพร้อมกันเห็นสมควรแล้วที่ จะปกป้องรักษาแผ่นดินสืบไปได้ ขอให้พระองค์มอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด พระองค์ก็จะได้เปนสุขหามีความทุกข์ธุระไม่
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนิ่งไปเปนครู่ แลดูหน้าขุนนางทั้งปวงแล้วก็ร้องไห้จึงว่า เราคิดถึงพระเจ้าฮั่นโกโจซึ่งเปนต้นเชื้อพระวงศ์ของเรา แลพระญาติพระวงศ์ได้ราชสมบัติสืบ ๆ กันมาช้านานประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้วจึงถึงเรา ๆ นี้เปนเด็กอ่อนศักดิ์ก็จริงแต่ว่าได้รักษาสมบัติของท่านแต่ก่อนไว้โดยสัตย์ โดยธรรม ยังหามีความผิดไม่เลย ซึ่งเราจะยกราชสมบัติให้แก่ผู้อื่นนั้นเห็นไม่บังควร ขอให้ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันปรึกษาอีกครั้งหนึ่งก่อน
ฮัวหิมได้ฟังดังนั้นก็ออกไปพาลิต๊กเคาจีขุนนางผู้เฒ่าเข้าไปเฝ้าพระเจ้า เหี้ยนเต้แล้วจึงทูลว่า พระองค์จงปรึกษาท่านผู้เฒ่าสองคนนี้เถิด ถ้าจะควรมิควรประการใดก็จะเชื่อฟังได้ ลิต๊กจึงทูลว่า แต่โจผีได้เปนวุยอ๋องแทนที่บิดามานี้ ข้าพเจ้าเห็นบ้านเมืองก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุข เข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ หงส์ก็มาร้องในเมือง ราชสีห์ก็เข้ามาเที่ยวในขอบขัณธเสมา พระยามังกรก็มาเลื้อยลอยอยู่ในอากาศกลางเมืองอัศจรรย์ใหญ่นัก ข้าพเจ้าเห็นว่าโจผีมีบุญนักควรแล้วแก่ราชสมบัติ เคาจีจึงทูลว่า เวลากลางคืนข้าพเจ้าเห็นดาวประจำพระองค์รัศมีก็เสร้าหมองวิปริตนัก สำแดงเหตุว่าพระองค์สิ้นบุญแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีดวงใหญ่มีรัศมีสว่างนัก สำแดงเหตุว่าโจผีมีบุญนักพ้นที่จะพรรณนา อนึ่งเทพดาก็นิยมยินดียกย่องโจผี จึงสำแดงอัศจรรย์อันใหญ่ทั้งสามประการให้ปรากฎแก่คนทั้งปวง สมควรที่พระองค์จะยกราชสมบัติให้แก่โจผีแล้ว
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่า ท่านว่าทั้งนี้เปนความไกลตา เรายังหาเชื่อไม่ ซึ่งเราจะยกราชสมบัติอันเปนของพระญาติวงศ์สืบต่อกันมานั้นให้แก่เขา เรายังไม่เห็นควร อองลองจึงว่า เปนประเพณีมีมาแต่โบราณ ที่ดีกลับเปนชั่วที่ชั่วกลับเปนดีก็มี เหมือนหนึ่งบ้านเมืองมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่แล้ว เกิดศึกกลับยับเยินไปก็มี ที่ยับเยินไปแล้วกลับมั่งคั่งบริบูรณ์อยู่เย็นเปนสุขไปก็มี สมบัติซึ่งได้สืบต่อแต่ต้นวงศ์ของพระองค์มาช้านานประมาณสี่ห้าร้อยปีแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าวงศ์ของพระองค์จะขาดแล้ว ขอให้พระองค์ละราชสมบัติมอบให้โจผีเถิด ถ้าพระองค์จะขัดขืนไป เห็นจะเปนอันตรายเปนมั่นคง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้กลับเข้าไป ขุนนางทั้งปวงก็หัวเราะอื้ออึงขึ้น แล้วก็พากันกลับออกไป ครั้นเวลาเช้าขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปพร้อมกันที่เสด็จออก จึงใช้ให้ขันทีเข้าไปเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็กลัวมิได้เสด็จออก นางโจเฮาน้องสาวโจผีซึ่งเปนพระมเหษีจึงทูลถามว่า ขุนนางให้มาเชิญพระองค์ออกไป เหตุใดพระองค์จึงไม่ออกไป พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกรรแสงจึงเล่าให้นางฟังว่า พี่ชายของท่านคิดอ่านจะชิงสมบัติ จึงใช้ให้ขุนนางมาว่ากล่าวข่มเหง จะให้เรามอบราชสมบัติให้แก่พี่ชายท่าน เหตุดังนี้เราจึงไม่ออกไป
นางโจเฮาได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ว่าพี่ข้าพเจ้าเปนไรจึงมาคิดขบถดังนี้เล่า ว่ายังมิทันขาดคำ พอโจหองโจฮิวเหน็บกระบี่เข้ามาทูลเชิญเสด็จให้ออกไป นางโจเฮาจึงด่าว่า อ้ายพวกเหล่านี้มียศศักดิ์เพราะใคร บัดนี้มาเปนศัตรูคิดขบถต่อแผ่นดินอีกเล่า เมื่อครั้งบิดาเรายังอยู่ทำความชอบหาผู้เสมอไม่ จัดแจงบ้านเมืองให้ราบคาบบริบูรณ์ ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่แล้วก็มีสง่า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยเกรงกลัวนัก บิดาเราก็มิได้คิดประทุษฐร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน บัดนี้พี่ชายเราได้แทนบิดายังมิทันไรสิจะคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติ คนอย่างนี้หาเจริญไม่ เทพดาก็มิได้อวยพร ว่าเท่านั้นแล้วก็ร้องไห้กลับเข้าไปข้างใน หญิงทั้งปวงซึ่งอยู่ตำหนักรู้เหตุดังนั้นก็ร้องไห้เสียงอื้ออึง
ฝ่ายโจหองโจฮิว ก็เร่งให้พระเจ้าเหี้ยนเต้เสด็จไปที่ออกขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเหี้ยนเต้ขัดมิได้ก็ถอดเสื้อมังกรอย่างสูงซึ่งเคยทรงออกขุนนางออก เสีย แล้วทรงเสื้ออย่างตํ่าออกไป ฮัวหิมจึงทูลว่า พระองค์จะยอมให้สมบัติแก่โจผีตามคำขุนนางทั้งปวงปรึกษาหรือไม่ ถ้าพระองค์ยอมให้แล้ว ก็จะเปนสวัสดิ์หาเปนอันตรายไม่ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่า ขุนนางแต่โบราณก็ได้ยศศักดิ์เบี้ยหวัดผ้าปีในกษัตรัย์เชื้อพระวงศ์เราสืบมา ลูกหลานก็ได้ทำราชการต่อกันมา เหตุใดจึงไม่คิดถึงพระเดชพระคุณเลย มาคิดอ่านประทุษฐร้ายดังนี้
ฮัวหิมจึงทูลว่า ถ้าพระองค์มิทำตามคำขุนนางปรึกษา มิวันนี้ก็พรุ่งนี้ อันตรายจะถึงแก่พระองค์เปนมั่นคง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้แกล้งคิดร้ายต่อพระองค์หามิได้ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงว่า ถ้าขุนนางทั้งปวงมิได้คิดร้ายต่อเรา ผู้ใดจะมาทำร้ายแก่เราเล่า ฮัวหิมตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วจึงว่า ราษฎรทั้งปวงเห็นว่าพระองค์ความคิดน้อยไม่รอบคอบ หารู้ปกป้องรักษาสมบัติไม่ ก็จะเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบขึ้นทำอันตรายราษฎรทุกบ้านทุกเมืองก็จะยับเยินไป โจผีกระทำการทั้งนี้ใช่ว่าจะแกล้งกำจัดพระองค์หามิได้ ทำการทั้งนี้ด้วยมีความเอ็นดูพระองค์จะให้มีความสุข ปราถนาจะให้บ้านเมืองราบคาบ พระองค์หาเห็นคุณแลโทษไม่ พระองค์มิยอมทั้งนี้ปราถนาจะให้ราษฎรกำเริบขึ้นทำอันตรายแก่พระองค์หรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจลุกขึ้นเดิรเข้าไป
อองลองก็พยักหน้าให้ฮัวหิม ๆ ลุกขึ้นเดิรสอึกตามเข้าไปทัน แล้วก็ฉุดเอาชายเสื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้ แล้วทำหน้าโกรธขึ้งจึงว่า ปรึกษาการยังมิทันแล้วจะหนีไปไหน จะยอมให้หรือมิยอมก็เร่งว่าออกมา พระเจ้าเหี้ยนเต้ตกใจตัวสั่นพูดมิออก โจหองโจฮิวชักกระบี่ออกจึงร้องว่า ตราหยกสำหรับราชสมบัติอยู่ไหน เจาปิดจึงว่า ตราหยกเรารักษาไว้ โจหองว่าตราหยกอยู่ที่เองจงเร่งเอามาส่งให้ เจาปิดจึงว่า ตราหยกดวงนี้สำหรับกษัตริย์ หามีรับสั่งให้เองไม่ โจหองก็สั่งให้ทหารเอาตัวเจาปิดไปฆ่าเสีย เจาปิดหากลัวความตายไม่ก็ร้องด่าโจหองไปจนตาย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้เห็นดังนั้น ก็กลัวตัวสั่นไม่หายเลย แลไปเห็นทหารประมาณห้าร้อยถือศัสตราวุธครบมือ แต่ล้วนพวกโจผีสิ้นทั้งนั้น ไม่เห็นพวกพระองค์เลย ก็ร้องว่าเราจะยอมให้ราชสมบัติแล้ว ขอแต่ชีวิตเราไว้เถิด กาเซี่ยงจึงว่า ถ้าพระองค์ยอมให้แล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าโจผีจะไว้ชีวิตหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ พระองค์เร่งทำหนังสือมอบราชสมบัติให้แก่โจผีเถิด
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นจึงสั่งตันกุ๋ยให้แต่งหนังสือมอบราชสมบัติ ในหนังสือนั้นว่า เราได้เสวยราชสมบัติปกป้องราษฎรได้อยู่เย็นเปนสุขมาช้านานถึงสามสิบสองปี แล้ว บัดนี้ดาวประจำตัวเสร้าหมอง นํ้าใจขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็เห็นว่าเราไม่ควรแก่ราชสมบัติแล้ว ฝ่ายดาวประจำตัวโจผีก็รุ่งเรืองสว่าง บุญนั้นก็ควรแก่ราชสมบัติแล้ว ขุนนางทั้งปวงแลราษฎรก็มีความยินดีจะให้ราชสมบัดิแก่โจผี บัดนี้เราจึงมอบราชสมบัติให้แก่โจผีตามปราถนาคนทั้งปวง แล้วให้ฮัวหิมแลขุนนางทั้งปวงคุมหนังสือแลตราหยกสำหรับกษัตริย์ไปมอบให้แก่ โจผี
ฝ่ายโจผีเห็นหนังสือแลตราหยกแล้วก็ดีใจจะใคร่รับเอาแต่ว่ามีมารยาจึงทำ เปนนิ่งอยู่ สุมาอี้จึงห้ามว่าท่านอย่าเพ่อรับ ขอให้ท่านทำเรื่องราวถวายตรากลับไปก่อนจึงจะควร จึงจะพ้นคำคนนินทา โจผีเห็นชอบด้วย จึงใช้ให้อองลองแต่งหนังสือใบหนึ่งในเรื่องราวว่า ข้าพเจ้าโจผีมอบตราคืนไปให้ท่าน ด้วยข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อยนัก ขอให้ท่านพิจารณาหาคนดีซึ่งมีสติปัญญากว่าข้าพเจ้า ที่ควรจะรักษาแผ่นดินได้นั้น แล้วมอบราชสมบัติให้จึงจะควร แล้วก็ให้อองลองกับขุนนางทั้งปวงคุมตราหยกกับหนังสือของตัวไปถวายพระเจ้า เหี้ยนเต้
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เห็นหนังสือดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เหตุใดโจผีจึงคืนตรามาให้เราอีกเล่า ฮัวหิมจึงทูลว่า เมื่อพระองค์ตั้งโจโฉเปนที่วุยอ๋อง โจโฉก็มิได้รับที่ถึงสามครั้ง พระองค์ตั้งไปเปนสามครั้งโจโฉจึงรับเปนที่วุยอ๋อง ครั้งนี้ขอพระองค์ตั้งไปอีกครั้งหนึ่งก็เห็นว่าโจผีจะรับ พระเจ้าเหี้ยนเต้ขัดเคืองนักแต่ว่าจำเปนด้วยกลัว จึงสั่งให้หองไก่แต่งหนังสือ ในหนังสือนั้นว่าโจผีนี้สมควรอยู่แล้วที่จะรับราชสมบัติแทนเรา ด้วยเราคิดถึงโจโฉนัก แต่ก่อนบ้านเมืองเกิดศึกราษฎรก็ยับเยินไปอาศรัยอยู่ป่าดงมาก เพราะโจโฉปราบปรามข้าศึกบ้านเมืองก็ราบคาบราษฎรก็อยู่เย็นเปนสุข บัดนี้โจโฉหาบุญไม่แล้ว โจผีได้แทนบิดาเห็นมีบุญมากกว่าบิดาอีก ราษฎรทั้งปวงก็นิยมยินดีรักใคร่นัก ขอให้ท่านเสวยราชสมบัติแทนเราเถิด จึงให้เตียวอิ๋มคุมเอาหนังสือแลตราหยกไปให้โจผี
โจผีเห็นหนังสือดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าแก่กาเซี่ยงว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ มอบตรามาให้ถึงสองครั้งแล้ว ถ้าจะรับเอาบัดนี้เราเห็นยังหาพ้นคนนินทาไม่ กาเซี่ยงจึงว่า ถ้าเกรงดังนั้นท่านจงใช้เตียวอิ๋มคุมเอาตราไปถวายคืนอีกครั้งหนึ่ง ให้เตียวอิ๋มว่าแก่ฮัวหิมให้ทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า ถ้าพระองค์จะมอบราชสมบัติให้โจผีจริงแล้ว จงปลูกโรงอภิเษกให้สูงมีพื้นสามชั้น ให้ประดับประดาตามอย่างธรรมเนียม ครั้นฤกษ์ดีแล้วให้ประชุมขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยให้พร้อมกันในโรงนั้น ให้ท่านนั่งบนที่สูง ให้ขุนนางทั้งปวงนั่งที่ตํ่าถวายบังคม ให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ถือพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์ขึ้นไปมอบให้แก่ ท่าน ถ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ทำตามดังนี้แล้วท่านก็จะพ้นนินทา
โจผีได้ยินกาเซี่ยงทูลดังนั้นก็ดีใจนัก จึงสั่งให้เตียวอิ๋มเอาตราไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ แล้วจึงบอกให้ฮัวหิมเอาเนื้อความไปทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ตามคำกาเซี่ยง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงถามขุนนางว่า เหตุใดโจผีจึงไม่รับราชสมบัติ ฮัวหิมก็เข้าไปทูลว่า ซึ่งโจผีมิรับทั้งนี้เพราะพระองค์มอบราชสมบัติผิดขนบธรรมเนียมไป แล้วจึงทูลเล่าอย่างธรรมเนียมซึ่งกาเซี่ยงสั่งไว้นั้นทุกประการ แล้วจึงทูลว่า ถ้าพระองค์จะมอบราชสมบัติให้โจผีต้องอย่างดังนี้เห็นโจผีจะรับเปนมั่นคง ฝ่ายพระญาติพระวงศ์ของพระองค์จะได้พึ่งบุญโจผีสืบไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะถอนใจใหญ่ จึงสั่งให้ไทเซียงอี้ไปทำตามอย่างธรรมเนียม ครั้นถึงเดือนสิบสองขึ้นห้าคํ่าฤกษ์ดี เวลาใกล้รุ่งจึงเชิญโจผีนั่งชั้นบน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณสี่ร้อยเฝ้าทั้งสามชั้น ให้ทหารประมาณสิบหมื่นถือศัสตราวุธล้อมไว้ ด้วยกลัวคนมิเต็มใจจะทำอันตราย
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้แขงพระทัยถือพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์กับ หนังสือมอบราชสมบัติใบหนึ่ง ขึ้นไปมอบให้โจผี ๆ ก็รับ แล้วส่งหนังสือให้ขุนนางอ่านประกาศแก่ขุนนางแลราษฎรทั้งปวง จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าอ้วยโช่ โจผีก็ตั้งอยู่ในที่สมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา (พ.ศ. ๗๖๓) พระเจ้าโจผีก็ตั้งเมืองฮูโต๋นั้นให้ชื่อเมืองไตวุยก๊ก แล้วสั่งให้เลิกส่วยสาอากรขนอนตลาดมิให้เรียกเอาแก่ราษฎรสามปี จึงให้ปล่อยนักโทษในคุก แล้วให้จารึกอักษรที่กุฏิ์ฝังศพบิดานั้นใหม่ ให้ชื่อพระเจ้าไทล่อฮูฮ่องเต้ ฮัวหิมจึงทูลว่า ประเพณีแต่ก่อนหามีเจ้าถึงสองไม่ พระองค์จะให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ไปอยู่แห่งใดตำบลใด หรือจะทำเปนประการใดแล้วแต่จะโปรด ฮัวหิมจึงให้พระเจ้าเหี้ยนเต้หมอบลงฟังรับสั่ง พระเจ้าโจผีจึงตั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนที่วิเศษชื่อซันเอียงก๋ง ให้ไปอยู่ตำบลซันเอียง ที่อันนี้ไม่มีตำแหน่งเฝ้า ไม่มีเบี้ยหวัดผ้าปี ซันเอียงก๋งก็ลาไป ฮัวหิมชักกระบี่ออกแล้วจึงร้องสั่งว่า เปนประเพณีแผ่นดินได้สมบัติองค์หนึ่ง ก็กำจัดองค์หนึ่งเสีย พระเจ้าโจผีโปรดท่านไม่ฆ่าท่านเสีย แล้วตั้งให้เปนซันเอียงก๋งนั้นพระคุณหาที่สุดไม่ ถ้าไม่มีรับสั่งให้หาท่านอย่าเข้ามาเฝ้าเปนอันขาดทีเดียว ซันเอียงก๋งน้ำตาไหลลาขุนนางทั้งปวง แล้วก็ขี่ม้าพาอพยพครอบครัวไปอยู่ตำบลซันเอี๋ยง ฝ่ายทหารและราษฎรชาวเมืองเห็นซันเอียงก๋งต้องเนรเทศดังนั้นก็สงสารกลั้น น้ำตามิใคร่ได้
ฝ่ายพระเจ้าโจผีจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า การเราทำทั้งนี้ต้องด้วยขนบธรรมเนียมแล้วหรือประการใด ขุนนางทั้งปวงก็กราบลงแล้วสรรเสริญว่า การทำครั้งนี้ต้องด้วยฉบับธรรมเนียมโบราณแล้ว ควรพระองค์จะตกแต่งเครื่องเส้นพลีกรรมเจ้าแลเทพดาทั้งปวง พระเจ้าโจผีเห็นชอบด้วยก็ให้เร่งแต่งเครื่องเส้น เมื่อพระเจ้าโจผีออกมาเส้นเทพดาแลเจ้านั้น บังเกิดพายุใหญ่พัดหนักธูปเทียนดับไปสิ้น ทรายก็ปลิวขึ้นไปในอากาศ ก้อนศิลาก็กลิ้งไป ให้บังเกิดมืดมนท์ คนนั่งอยู่ใกล้ก็ไม่เห็นตัวกัน
พระเจ้าโจผีตกใจก็ล้มนิ่งไป ครั้นเวลาพายุสงบแล้ว ขุนนางทั้งปวงแลเห็นพระเจ้าโจผีล้มอยู่ก็ตกใจ เข้าไปอุ้มขึ้นแก้ไขเปนครู่พระเจ้าโจผีจึงมีสมประดีมา ขุนนางทั้งปวงก็เชิญเข้าไปในวัง พระเจ้าโจผีก็ป่วยมาเปนหลายวันมิได้ออกว่าราชการ ครั้นค่อยคลายขึ้นก็อุตส่าห์แขงใจออกไปที่ว่าราชการ จึงสั่งให้เลื่อนที่ขุนนางตามสมควร ไข้นั้นก็ยังไม่หาย พระเจ้าโจผีก็สงสัยว่าในวังที่อยู่นี้ปีศาจสิงสู่อยู่มากนัก จึงทำให้เราเปนไข้ไม่รู้หายดังนี้ ชอบเราจะแปรสถานไปสร้างวังอยู่ ณ เมืองลกเอี๋ยง แล้วก็ให้ทหารไปสร้างวังใหม่ สำเร็จแล้วก็ไปอยู่เมืองลกเอี๋ยง มีทหารคนหนึ่งไปบอกเล่าปี่ว่า ได้ยินเขาลือมาว่าโจผีฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียแล้วชิงเอาราชสมบัติ บัดนี้ตั้งตัวเปนเจ้าอยู่เมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายเล่าปี่แจ้งดังนั้นก็ร้องไห้รัก แล้วก็สั่งให้ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาว ให้แต่งเครื่องเส้นตามอย่างธรรมเนียม แล้วจึงให้จารึกพระนามพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่าพระเจ้าเฮามินฮองเต้ลงในกระดานไม้ หอม แล้วตั้งไว้ที่บูชา ตั้งแต่นั้นมาเล่าปี่ก็เดือดร้อนรำคาญตรอมใจก็ป่วยลงออกว่าราชการมิได้ ก็สั่งให้ขงเบ้งว่าราชการแทน ขงเบ้งจึงหาเคาเจ้งเจียวจิ๋วแลขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้โจผีทำลายล้างพระเจ้าเหี้ยนเต้เสียแล้ว ควรเราจะยกเล่าปี่ขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินสืบวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ไว้
เจียวจิ๋วจึงว่า ข้าพเจ้าดูขอบขันธเสมาเมืองเสฉวนเห็นอัศจรรย์ประหลาทหลายประการ อนึ่งดวงดาวประจำตัวเล่าปี่ก็มีรัศมีสว่างดังพระจันทร์ ซึ่งจะยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าสืบพระวงศ์นั้นควรแล้ว ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงทำเรื่องราวซึ่งจะยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าแผ่นดินเข้าไปถวาย เล่าปี่เห็นเรื่องราวดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าขุนนางทั้งปวงทำดังนี้จะไม่ให้เราตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม ขงเบ้งจึงทูลว่า คิดอ่านทำทั้งนี้เพราะโจผีชิงเอาราชสมบัติเชื้อพระวงศ์ของท่าน จึงยกท่านให้เปนเจ้าแผ่นดินต่อเชื้อพระวงศ์ไป
เล่าปี่จึงว่า ถ้าเรายอมเปนเจ้าแผ่นดินดังนั้น ถึงเราไม่ได้ชิงราชสมบัติ ก็เห็นเปนชิงราชสมบัติเหมือนอ้ายศัตรูนั้น ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกลับเข้าข้างใน อยู่มาสามวันขงเบ้งจึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาเฝ้าพร้อมกัน เคาเจ้งจึงทูลว่า ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงรักใคร่ท่าน จึงปรึกษาพร้อมกันยกท่านขึ้นเปนเจ้า หวังจะยกทัพไปกำจัดอ้ายโจผีแก้แค้นแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถ้าท่านไม่ยอมขุนนางแลราษฎรทั้งปวงก็จะเสียน้ำใจ เล่าปี่จึงว่า ข้าพเจ้าเปนหลานพระเจ้าเก๋งเต้ก็จริง แต่ทว่าบุญน้อยไม่ควรที่จะเปนเจ้าแผ่นดินปกป้องราษฎร ถ้าเราฟังคำท่านยกตัวขึ้นเปนเจ้า ก็เห็นว่าเราไม่ตรงต่อแผ่นดิน ขงเบ้งขืนทูลไปเปนสองครั้งสามครั้ง เล่าปี่ก็ไม่ยอม ขงเบ้งก็พาขุนนางทั้งปวงออกมาข้างนอก แล้วว่าอุบายของข้าพเจ้ามีอย่างหนึ่งจะให้เล่าปี่ยอมให้จงได้ ท่านทั้งปวงคอยอยู่เถิด
อยู่มาขงเบ้งทำเปนป่วยไม่ไปเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่แจ้งว่าขงเบ้งป่วย จึงไปเยี่ยม ณ บ้าน เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ริมเตียงขงเบ้งนอน จึงถามว่าท่านอาจารย์ป่วยเปนประการใด ขงเบ้งจึงบอกว่า ในอกข้าพเจ้าให้ร้อนดังไฟเผา ซึ่งจะจำเริญสืบไปเห็นหาไม่แล้ว เล่าปี่จึงถามว่า ท่านเปนทุกข์ด้วยอันใด ขงเบ้งก็หลับตานิ่งเสีย ถามอีกครั้งหนึ่งก็นิ่งเสีย เล่าปี่จึงถามถึงสามครั้ง ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูเห็นไข้ครั้งนี้หนักนัก ตาทั้งสองให้มืดพูดมิใคร่จะออก เล่าปี่เห็นว่าขงเบ้งหาไข้ไม่ แกล้งทำเปนไข้สงสัยนัก จึงถามว่าทุกข์ร้อนประการใดจึงไม่บอกให้ข้าพเจ้ารู้บ้างเลย
ขงเบ้งทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าออกจากบ้านมาทำราชการอยู่ด้วยท่านจนได้เมืองเสฉวน ข้าพเจ้าก็ขอบคุณท่านด้วยจะว่าประการใดท่านก็ทำตามทุกสิ่งทุกประการ บัดนี้อ้ายโจผีคิดขบถต่อแผ่นดิน ฆ่าพระเจ้าเหี้ยนเต้แลขุนนางเสีย ชิงเอาราชสมบัติ ขุนนางทั้งปวงที่เปนพรรคพวกมันก็ยกโจผีให้เปนเจ้าแผ่นดิน บัดนี้ขุนนางทั้งปวงฝ่ายเราพร้อมกันจะยกท่านให้เปนเจ้าแผ่นดิน จะได้ยกทัพไปกำจัดโจผีศัตรูแผ่นดินเสีย ท่านไม่ยอม ข้าพเจ้าเห็นว่าขุนนางจะเสียนํ้าใจ นานไปจะเอาใจออกหากท่าน ถ้าขุนนางเอาใจออกหากแล้ว ซุนกวนโจผีข้าศึกสองฝ่ายนี้จะมาทำอันตรายท่าน เห็นเมืองเสฉวนจะขัดสนเสียมั่นคง เหตุฉนี้ข้าพเจ้าจึงเปนทุกข์หนัก
เล่าปี่จึงว่า เราไม่ยอมทั้งนี้เพราะเกรงราษฎรทั้งปวงไม่เห็นด้วย เขาจะนินทา ขงเบ้งจึงว่า ถ้าคนหาสติปัญญาไม่ มิได้เปนที่พึ่งราษฎรเลย ราษฎรก็ไม่รักใคร่ แลยกตัวเองให้เปนใหญ่คนทั้งปวงจะนินทา นี่ท่านเปนชาติเชื้อกษัตริย์สืบมา ประกอบด้วยสติปัญญาได้เปนที่พึ่งแก่ราษฎร ควรแล้วที่ท่านจะยกตัวขึ้นเปนใหญ่ ข้าพเจ้าเห็นว่าหามีผู้ติเตียนนินทาไม่ เห็นว่าจะเปนที่ชอบใจไพร่ฟ้าเทพดาทั้งปวง
เล่าปี่จึงว่า ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะยอม แต่ว่าให้ท่านอาจารย์หายไข้แล้วจึงจะคิดอ่านกัน ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงลุกขึ้นขมีขมันออกไป เอามือเคาะลับแลเข้าเรียกขุนนาง ออกชื่อเคาเจ้งบิต๊กเซียงกีเล่าเป๋าเตียเจ้โจเตาเขงเตียวซ้องเลียวต๋งห้องก วนโหเจ้งอินเบกอินซุนเจียวจิ๋วเตียวอี้อองเมาอิเจี้ยจิมปักเปนขุนนางผู้ใหญ่ ตามเสด็จไปคอยฟังอยู่ข้างนอกนั้นให้เข้าไปข้างใน ขุนนางเข้าไปคำนับแล้วทูลว่า การซึ่งปรึกษานั้นท่านเห็นชอบด้วยแล้วหรือ ถ้าท่านยอมแล้วจะให้หาวันดียกขึ้นเปนเจ้าแผ่นดิน
เล่าปี่เห็นขุนนางผู้ใหญ่พร้อมหน้าก็ตกใจ จึงว่าข้าพเจ้าถือสัตย์มิได้ครั้งนี้ก็เพราะขัดพวกท่านทั้งปวงมิได้ ขงเบ้งจึงว่า ถ้าท่านยอมแล้วข้าพเจ้าจะเร่งจัดแจงการให้สมควรตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน แล้วให้หาวันฤกษ์ดีจะได้ยกเล่าปี่ให้เปนเจ้าแผ่นดิน เล่าปี่กลับไปวัง ขงเบ้งจึงใช้ให้เคาจูเบงกองไปปลูกโรงอภิเษกสำเร็จแล้ว ก็เตรียมเครื่องอภิเษกทั้งปวงตามอย่างกษัตริย์ ครั้นถึงเดือนหกขึ้นสิบสองคํ่าฤกษ์ดี (พ.ศ. ๗๖๔) ขงเบ้งจึงพาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทหารทั้งปวงเชิญเล่าปี่ขึ้นโรงพิธี ขุนนางทั้งปวงก็เฝ้าลงมาทั้งสามชั้น จึงเชิญพระเจ้าเล่าปี่ให้เส้นเทพดาแลเชื้อพระวงศ์ซึ่งดับสูญล่วงไปแต่ก่อน นั้นแล้ว ขงเบ้งจึงเชิญพระแสงกระบี่แลตราหยกสำหรับกษัตริย์ขึ้นไปถวาย
พระเจ้าเล่าปี่ก็รับพระแสงกระบี่แลตราหยก บันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็กราบถวายบังคมพร้อมกัน พระเจ้าเล่าปี่ก็ตั้งอยู่ในสมมุติกษัตริย์แต่นั้นมา จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าเจี๋ยงบู๋ ตั้งให้นางงอซีเมียหลวงเปนฮองเฮาคืออัครมเหษี จึงตั้งเล่าเสี้ยนผู้บุตรใหญ่ให้เปนไทจู เล่าก๋งป้านั้นเปนบุตรที่สองเปนไทเขง เล่าเอ๋งเปนเล่าอ๋อง เล่าลีเปนเสียงอ๋องทั้งนี้คือเจ้าต่างกรม แล้วตั้งขงเบ้งเปนมหาอุปราช เคาเจ้งเปนเสนาบดีผู้ใหญ่ ให้เลื่อนที่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควร จึงให้เลิกส่วยสาอากรขนอนตลาดมิให้เรียกเอาแก่ราษฎรสามปี
ฝ่ายราษฎรเมืองตังฉวนเสฉวนแลหัวเมืองขึ้นทั้งปวงก็ชื่นชมยินดีด้วยพระ เจ้าเล่าปี่นัก ครั้นแล้วการอภิเษกมาหลายวัน พระเจ้าเล่าปี่ออกว่าราชการ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า กวนอูเตียวหุยกับเราได้ให้ความสัตย์กันไว้ ซุนกวนทำอันตรายแก่น้องเรา ถ้าเรามิได้แก้แค้นก็จะเสียความสัตย์ไป เราคิดว่าจะยกทัพหลวงไปตีเมืองกังตั๋งจับซุนกวนฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงจะเห็นเปนประการใด เตียวจูล่งจึงทูลว่า ซึ่งโจผีขบถนั้นเปนข้อใหญ่ มิใช่แต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะเจ็บแค้น ถึงเทพดาก็มีความแค้น ขอพระองค์ยกทัพหลวงไปตั้งอยู่ ณ ด่านตงก๋วนเปนต้นน้ำ ฝ่ายทหารที่มีฝีมือซึ่งอยู่ ณ ด่านตงก๋วนก็จะเอาม้าแลสเบียงมาถวายแก่พระองค์ ตัวก็จะช่วยทำการศึก ได้ทหารชาวด่านเข้าด้วยเปนกำลังแล้วเห็นจะทำการศึกสดวก ถ้ามิกำจัดโจผีเสียก่อนแล้ว จะยกไปตีซุนกวนทีเดียว เห็นว่าโจผีจะยกไปช่วยซุนกวน เห็นการเราจะทำไปนั้นจะขัดสน การทั้งนี้เปนการใหญ่ ขอให้พระองค์ตรึกตรองพิเคราะห์จงละเอียด
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า อ้ายซุนกวนกับเปาสูหยินบิฮองพัวเจี้ยงม้าต๋งมันทำร้ายน้องเรา ๆ รำลึกถึงขึ้นมาแล้วให้ขบฟันจะใคร่กินเนื้อให้ได้ จะฆ่าอ้ายเหล่านี้เสียทั้งโคตรแล้วจึงจะหายแค้น เตียวจูล่งจึงทูลว่า ความแค้นข้างโจผีนี้ให้เจ็บใจทั่วกัน ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยแลราษฎรทั้งปวง ฝ่ายความแค้นข้างซุนกวนนี้ให้เจ็บใจแต่พระองค์เปนแต่พี่น้อง ขอให้พระองค์ไปแก้แค้นโจผีเถิด เห็นว่าจะชอบใจคนทั้งปวง
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้าเราไม่แก้แค้นแทนน้องเราได้ คนทั้งปวงก็จะเห็นว่าเราหามีความสัตย์ไม่ เราไม่ฟังคำเตียวจูล่งห้ามแล้ว จึงสั่งทหารทั้งปวงให้จัดแจงกองทัพจะยกไปตีซุนกวน แล้วจึงสั่งทหารให้ถือหนังสือไปเมืองเง้าเขเซีย ให้สะโมโขเจ้าเมืองยกทหารห้าหมื่นมา ณ เมืองเสฉวน จึงให้มีตราไปตั้งเตียวหุยให้เปนกีกี้จงกุ๋นเจ้าเมืองลองจิ๋ว
ฝ่ายเตียวหุยอยู่ ณ เมืองลองจิ๋วนั้น แจ้งว่าซุนกวนฆ่ากวนอูเสียแล้ว ก็ร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืนจนน้ำตาเปนเลือดไหลออกมา ขุนนางทั้งปวงตกใจกลัวเตียวหุยจะตาย จึงเข้ามาปลอบเล้าโลมเอาใจ ชวนให้เตียวหุยเสพย์สุราหวังจะให้คลายความโศก ครั้นเตียวหุยเมาสุราแล้วคิดถึงกวนอู ก็มีความโกรธเปนกำลังนัก จะใคร่แก้แค้นซุนกวน ก็โกรธโลดเต้นไปมาด้วยกำลังเมา ถูกทหารสีสะแตกก็มีลางคนแขนหักขาหักลางคนก็ตาย เตียวหุยบ่ายหน้าเขม้นไปทางทิศเมืองกังตั๋งตั้งท่าจะทิ่มแทง แล้วก็ขบฟันคิดมาถึงพี่ชายก็ร้องไห้ มีคนเข้าไปบอกเตียวหุยว่า ข้าหลวงถือตรามาแต่เมืองเสฉวน เตียวหุยไปคำนับพาข้าหลวงเข้ามา เห็นท้องตราตั้งเตียวหุยเปนกีกี้จงกุ๋นเปนเจ้าเมืองลองจิ๋ว จึงถวายบังคมแล้วเชิญข้าหลวงมากินโต๊ะ เตียวหุยจึงว่า ซุนกวนฆ่าพี่เราเสีย ความแค้นอันนี้ลึกกว้างใหญ่กว่าท้องทะเลอีก ขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาอยู่ที่เมืองเสฉวน ผู้ใดยังทูลให้ยกทัพไปตีซุนกวนแก้แค้นหรือหามิได้
ฝ่ายผู้ถือตราจึงทูลว่า ขุนนางทั้งปวงปรึกษาจะให้ยกไปตีโจผีก่อนแล้ว จึงจะให้ไปตีซุนกวน เตียวหุยก็โกรธจึงว่า ปรึกษาอะไรอย่างนี้ เราพี่น้องสามคนได้ให้ความสัตย์กันไว้แต่ก่อนว่า จะเปนตายด้วยกัน บัดนี้กวนอูพี่เรายังมิถึงกำหนดอายุมาตายเสียแล้ว ยังแต่เราจะเปนเจ้าเมืองเอาความสบายหาควรไม่ จะเสียความสัตย์ไป เราจะไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่ จะขออาสาเปนทัพหน้า จะแต่งกองทัพให้นุ่งขาวห่มขาวถือธงขาวขี่ม้าขาวไปจับอ้ายศัตรูมาฆ่าเสียเส้น กวนอูแล้วจึงจะหายความแค้น แล้วเตียวหุยกับผู้ถือหนังสือก็พากันไปเมืองเสฉวน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่ให้ตกแต่งเครื่องศัสตราวุธ ฝึกทหารให้ชำนาญในการสงคราม คอยเมื่อได้ฤกษ์ดีแล้วจึงจะยกทัพหลวงไปรบซุนกวน ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพากันไปหาขงเบ้ง ณ บ้าน จึงปรึกษาว่าพระเจ้าเล่าปี่พึ่งได้เสวยราชสมบัติใหม่ จะยกทัพหลวงไปให้ลำบากพระองค์เห็นไม่สมควร ท่านมหาอุปราชเปนผู้ใหญ่ได้ปรึกษาราชการทั้งปวงเห็นดีอยู่แล้วหรือจึงมิทูล ห้ามปราม
ขงเบ้งจึงว่า ข้าพเจ้าก็ทูลห้ามปรามเปนหลายครั้งแล้วพระองค์ไม่ฟัง มาเราจะชวนกันไปเฝ้าที่ฝึกทหารทั้งปวงแล้วก็พากันไปเฝ้า ขงเบ้งจึงทูลว่า พระองค์พึ่งได้ราชสมบัติใหม่ ถ้าจะยกไปตีโจผีซึ่งตั้งตัวเปนเจ้าจึงจะควร ถ้าจะยกไปตีซุนกวนเห็นไม่ควร ชอบแต่จะให้ทหารผู้ใหญ่ไปจึงจะได้ราชการ พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ พอมีคนขึ้นไปทูลว่า เตียวหุยจะมาเฝ้า พระเจ้าเล่าปี่ให้หาตัวเตียวหุยเข้าไป
เตียวหุยเข้าไปกราบลงแล้ว สองมือเข้ากอดเอาพระบาทแล้วก็ร้องไห้ พระเจ้าเล่าปี่ทรงพระกรรแสง ครั้นคลายโศกแล้วเตียวหุยจึงทูลว่า พระองค์ได้เสวยราชสมบัติ แล้วลืมความสัตย์ซึ่งให้กันไว้แต่ก่อนเสียแล้วหรือ พระองค์จึงไม่คิดแก้แค้นแทนกวนอูเลย พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า เราคิดนักว่าจะยกทัพไปแก้แค้น แต่ว่าขุนนางทั้งปวงเขาห้ามไว้เราจึงงดอยู่ เตียวหุยจึงว่า คนทั้งปวงเขาหาได้ให้ความสัตย์ไว้แก่กวนอูเหมือนพระองค์กับข้าพเจ้าไม่ ถ้าพระองค์ไม่ยกไปแล้วข้าพเจ้านี้หาคิดชีวิตไม่เลย จะขอยกกองทัพไปแก้แค้น ถ้าแก้แค้นมิได้ก็ตายเสียดีกว่ากลับมาเห็นหน้าพระองค์
พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ถ้าฉนั้นเราจะยกไปด้วยกัน ท่านจงกลับไปเมืองลองจิ๋ว จัดแจงกองทัพยกไปเมืองเกงจิ๋ว เราก็จะยกกองทัพไปบัญจบพร้อมกันที่นั่น พระเจ้าเล่าปี่จึงสั่งสอนเตียวหุยว่า ท่านเมาสุราแล้วมีโมโหดุดันนัก วัดแวงโลดเต้นถูกคนป่วยเจ็บตายก็มี ทำดังนี้อันตรายจะเกิดมีแก่ท่าน แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าจะทำการสิ่งใดให้พิเคราะห์ดูผิดแลชอบ โอบอ้อมเอาใจทหารจึงจะควร อย่าทำหยาบเหมือนแต่หลัง เตียวหุยก็ลาไป ครั้นเวลาเช้าพระเจ้าเล่าปี่ให้จัดแจงกองทัพจะยกไป จินปิดจึงว่า พระองค์จะไปครั้งนี้ไม่คิดถึงพระองค์เลย จะกำจัดอ้ายซุนกวนเท่านี้ ควรหรือจะยกกองทัพหลวงไปเองให้ลำบากพระองค์ ขอให้พระองค์ดำริห์ตริตรองให้ลเอียดก่อน พระเจ้าเล่าปี่จึงว่า ตัวกวนอูเหมือนตัวเรา การครั้งนี้เปนความแค้นใหญ่นัก ขุนนางทั้งปวงจะให้เรานิ่งเสียเห็นควรแล้วหรือ จินปิดจึงว่า ถ้าพระองค์จะขืนยกไปให้ได้ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเสียการไป
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธนักจึงว่า เราจะยกทัพไปทำการใหญ่ให้มีชัยชนะ ท่านแกล้งเอาความร้ายมาแสร้งว่า แล้วสั่งทหารให้เอาตัวจินปิดไปฆ่าเสีย ฝ่ายจินปิดก็มิได้ตกใจกลัวตายจึงเหลียวหน้ามาดูพระเจ้าเล่าปี่แล้วหัวเราะ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถึงเราจะตายไปก็ไม่เสียดายชีวิต เสียดายแต่ราชสมบัติของพระองค์จะเปนอันตราย
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงได้ยินจินปิดว่าดังนั้นจึงทูลว่า จินปิดได้ทูลทั้งนี้ด้วยความสามิภักดิ์ต่อเจ้าจริง ๆ ข้าพเจ้าทั้งปวงขอชีวิตจินปิดไว้เถิด พระเจ้าเล่าปี่ได้ยินดังนั้นสั่งให้เอาตัวจินปิดไปใส่คุกไว้ แล้วว่าถ้าเรายกไปทำการมีชัยชนะกลับมาแล้ว เราจึงจะปรึกษาโทษจินปิดภายหลัง
ฝ่ายขงเบ้งรู้ว่าจินปิดเปนโทษ จึงแต่งเรื่องราวเข้าไปถวาย ในเรื่องราวนั้นว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูการเห็นว่าเมื่อซุนกวนยกทัพมาครั้งนั้น ดาวประจำตัวกวนอูวิปริตกวนอูจึงเปนอันตราย ข้าพเจ้าคิดเสียดายกวนอูนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นโทษโจผีหนักกว่าที่ทำร้ายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงเจ็บใจทั้งแผ่นดิน ฝ่ายซุนกวนนั้นเจ็บใจแต่พระองค์ อนึ่งจะทำกับซุนกวนเปนการเบา ถ้าพระองค์ยกกองทัพไปกำจัดโจผีได้แล้ว ฝ่ายซุนกวนก็จะยอมเข้ามาเปนข้าพระองค์ ซึ่งคำจินปิดทูลดังนั้นจะเปนความชั่วหามิได้ ควรจารึกไว้ในแผ่นทอง ขอให้พระองค์ตรึกตรองจงหนัก
พระเจ้าเล่าปี่เห็นหนังสือนั้นแล้วก็โกรธทิ้งหนังสือลงเสีย จึงว่าเราไม่ฟังคำขุนนางทั้งปวงแล้ว อย่าห้ามเราเลย จึงสั่งขงเบ้งว่า ท่านจงอยู่รักษาบุตรภรรยาของเราแลเมืองตังฉวนเสฉวนให้จงดี แล้วให้ม้าเฉียวม้าต้ายอุยเอี๋ยนยกกองทัพคุมทหารไปขัดทัพอยู่ข้างทิศอุดร เกรงกองทัพโจผีจะยกมา แล้วจึงจัดแจงกองทัพสั่งให้เตียวจูล่งเปนทัพหนุนคุมลำเลียง ให้ห้องกวนเตียวกีเปนที่ปรึกษากองหลวง ม้าเลี้ยงตันจิ๋นเปนสมุห์บาญชี ฮองตงเปนทัพหน้า ปองสิบเตียวหลำหนุนทัพหน้า เปาเตียวกับเตียวหุยซึ่งจะมาบัญจบให้อยู่กองทัพหลวง เตียวหยงเลียวซุนเปนทัพหลัง มีจำนวนคนในกองทัพทั้งปวงแต่ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยประมาณห้าร้อย กองทัพสะโมโขแลทหารเมืองหลวงเมืองขึ้นทั้งปวง เปนคนเจ็ดสิบห้าหมื่น พอถึงเดือนเก้าเปนวันฤกษ์ดี พระเจ้าเล่าปี่จึงให้ยกกองทัพออกจากเมืองเสฉวน
ฝ่ายเตียวหุยกลับไปเมืองลองจิ๋ว ก็สั่งทหารให้ตระเตรียมเครื่องศัสตราวุธ แลม้าขาวธงขาวเครื่องนุ่งห่มขาวให้พร้อมในสามวัน เราจะได้ยกกองทัพไปรบซุนกวนให้ทันทัพหลวง เวลาเช้ามีนายทหารสองคนชื่อฮอมเกียงเตียวตัดเข้าไปแจ้งแก่เตียวหุยว่า ซึ่งท่านสั่งให้เตรียมธงขาวม้าขาวแลเครื่องนุ่งห่มขาวให้พร้อมในสามวันนั้น เร็วนัก เห็นทหารหาไม่ทันขอให้เนิ่นออกไปหน่อยหนึ่งเถิด เตียวหุยโกรธจึงว่า กูจะเร่งยกทัพไปเปนการเร็วให้ทันกำหนด แต่การเท่านี้สิว่าไม่ทันเล่า จึงสั่งทหารเอาตัวฮอมเกียงเตียวตัดไปผูกเข้ากับต้นไม้ตีคนละห้าสิบที แล้วชี้มือร้องว่า ถ้าการของกูมิทันกำหนดในพรุ่งนี้ กูจะให้ฆ่าเสียทั้งสองคน แล้วแลเห็นฮอมเกียงเตียวตัดเจ็บหนักโลหิตออกมาทางปาก เตียวหุยก็สั่งให้แก้มัดเสียแล้วก็กลับเข้าไป
ฮอมเกียงมาถึงที่อยู่แล้วจึงว่าแก่เตียวตัดว่า เตียวหุยนี้มีโมโหมาก โกรธขึ้นมาแล้วเหมือนไฟไหม้ วันนี้ตีเราหนักหนา ถ้าพรุ่งนี้การมิพร้อมเราจะตายเปนมั่นคง เตียวตัดจึงว่า ข้าคิดว่าอย่าให้มันทันฆ่าเราเลย เราฆ่ามันเสียก่อนดีกว่า ฮอมเกียงจึงว่า จนใจด้วยเราไม่ได้เข้าใกล้มัน ถ้าเข้าไปฆ่ามันได้ แล้วเอาสีสะไปถวายพระเจ้าซุนกวน ๆ ก็จะเลี้ยงเรา เตียวตัดจึงว่า ถ้าบุญของเราไม่เคยตายเพราะมัน ๆ ก็จะกินเหล้าเมาออกมานอนอยู่ที่ว่าราชการเหมือนแต่ก่อน เราก็จะเข้าไปฆ่ามันเสียให้ตาย ถ้ากรรมของเราจะถึงที่ตายแล้วมันก็ไม่เมาเหล้า เราก็มิรู้ที่จะทำประการใด
ฝ่ายเตียวหุยในเวลากลางคืนวันนั้น ให้เดือดร้อนนอนไม่หลับ จึงออกมาพูดกับทหารซึ่งนอนรักษาอยู่ที่ว่าราชการว่า เวลาวันนี้เรานอนไม่หลับเลยเดือดร้อนรำคาญใจจะเปนเหตุใด ทหารจึงว่าเพราะมีวิตกถึงกวนอูนัก จึงให้กระวนกระวายไป เตียวหุยจึงเรียกเอาสุรามากินกับทหารทั้งปวง ในเวลาวันนั้นเตียวหุยจะถึงที่ตายพะเอิญให้เสพย์สุรามากนักเหลือกำลังก็เมา หารู้สึกตัวไม่ นอนเสือกอยู่ที่นั่นกับทหารทั้งปวง
ฮอมเกียงกับเตียวตัดเข้าไปด้อมมองดู รู้ว่าเตียวหุยเมาเหล้านอนหลับอยู่ ครั้นเวลาสองยามฮอมเกียงเตียวตัดเอากระบี่ซ่อนในเสื้อพากันเข้าไป จึงสัญญากันว่าถ้าตื่นอยู่เราทำเปนปรึกษาการสงคราม ถ้าเตียวหุยนอนหลับอยู่เราจึงฆ่าเสียให้ตาย ครั้นเดิรเข้าไปถึงแลเห็นเตียวหุยนอนตาค้างเหมือนหนึ่งตาย หนวดก็สั่นคิดว่าตื่นอยู่มิอาจที่จะเดิรเข้าไปใกล้ ต่อเมื่อได้ยินเสียงเตียวหุยกรนจึงรู้ว่าหลับสนิธ คนหนึ่งก็เอากระบี่แทงเข้าที่ซอกฅอ คนหนึ่งแทงเข้าที่ห้อง เตียวหุยร้องได้คำเดียวก็ตาย เมื่อเตียวหุยตายนั้นอายุได้ห้าสิบปี ฮอมเกียงเตียวตัดก็เอาสีสะเตียวหุยพาพวกประมาณสามสิบคนหนีไปเมืองกังตั๋งใน เวลากลางคืนนั้น
ครั้นเวลาเช้างอปั้นนายทหารผู้ใหญ่รู้เนื้อความว่า ฮอมเกียงเตียวตัดฆ่าเตียวหุยเสียแล้วเอาสีสะไปให้ซุนกวน จึงคุมทหารไปติดตามก็มิทัน จึงกลับมาแต่งหนังสือมอบให้คนไปแจ้งแก่พระเจ้าเล่าปี่ แล้วคิดอ่านกับเตียวเปาตกแต่งเครื่องเส้นเตียวหุยสำเร็จแล้ว จึงให้เตียวเซียน้องเตียวหุยอยู่รักษาเมืองลองจิ๋ว ให้เตียวเปาไปเมืองเสฉวน ครั้นงอปั้นจัดแจงบ้านเมืองแล้วก็ยกตามเตียวเปาไป
(๑) ฉบับภาษาจีนว่าประมาณ ๑๐ เดือน
กรุณาแสดงความคิดเห็น