สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 55
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 55
เนื้อหา
• โจโฉคิดจะตีเมืองเสฉวน• ขงเบ้งอุบายให้ซุนกวนไปตีเมืองหับป๋า
• ซุนกวนรบกับเตียวเลี้ยว
• โจโฉยกไปช่วยเตียวเลี้ยว
• โจโฉรบกับซุนกวน
• โจโฉเป็นเจ้าวุยอ๋อง
• โจโฉตั้งทายาท
• กล่าวถึงโจจู๋ผู้วิเศษ
• โจจู๋หลอกล้อโจโฉจนเจ็บ
• กวนลอหมอวิเศษมารักษาโจโฉ
• เกงจีกับพวกคิดกำจัดโจโฉ
ขณะ นั้นสุมาอี้ได้เข้ามาอยู่ด้วยโจโฉแต่เมื่อยังอยู่เมืองฮูโต๋ โจโฉให้สุมาอี้เปนสมุห์บาญชีทหารเลว สุมาอี้จึงเข้าไปคำนับโจโฉแล้วว่า ครั้งนี้ท่านยกกองทัพมาตีก็ได้เมืองฮันต๋งแล้ว ข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าเล่าปี่ได้เมืองเสฉวน แล้วขับเล่าเจี้ยงจากเมือง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ปรกติต่อเล่าปี่ ท่านยกกองทัพมาถึงนี่ก็เปนทางกันดารอยู่ ซึ่งจะเลิกกองทัพกลับไปนั้นไม่ควร เมื่อไรจึงจะได้ยกมาอีกเล่า ขอให้ไปตีเมืองเสฉวนให้ได้ในครั้งนี้ทีเดียวจึงค่อยยกทัพกลับไป
โจโฉได้ฟังดังนั้น ก็ทำทอดใจใหญ่แล้วแกล้งว่า อันธรรมดาคนนี้ เดิมคิดว่าจะหาแต่หนึ่ง ครั้นได้หนึ่งแล้วก็คิดกำเริบจะหาสองต่อขึ้นไปเพราะโลภ แต่ได้เมืองฮันต๋งแล้วยังมิหนำจะซ้ำไปตีเอาเมืองเสฉวน ซึ่งเปนทางกันดารอีกเล่า
เล่าหัวจึงว่า สุมาอี้ว่านี้ชอบอยู่ แม้ท่านจะละไว้ช้า ขงเบ้งก็มีสติปัญญา จะคิดอ่านเกลี้ยกล่อมราษฎรชาวเมืองเสฉวนให้มีใจเปนปรกติด้วย ทั้งกวนอูเตียวหุยจูล่งทหารเอกทั้งปวงก็มีเปนอันมาก ซึ่งท่านจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเห็นจะขัดสน โจโฉจึงตอบว่า เรายกกองทัพมานี้ทางก็กันดารนัก ประการหนึ่งได้เมืองฮันต๋งนี้ ทแกล้วทหารก็ยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเรายังไม่เห็นด้วย แล้วก็ให้ตั้งบำรุงทแกล้วทหารอยู่ในเมืองปาต๋ง
ฝ่ายอาณาประชาราษฎรในเมืองเสฉวนแลหัวเมืองขึ้นนั้น รู้กิตติศัพท์ว่าโจโฉยกกองทัพมาตีเอาเมืองฮันต๋งได้ ต่างคนต่างตกใจสดุ้งสเทือน กลัวโจโฉจะยกกองทัพล่วงมาตีแดนเมืองเสฉวน เล่าปี่แจ้งว่าราษฎรทั้งปวงสดุ้งตกใจดังนั้น จึงปรึกษาขงเบ้งว่า ราษฎรชาวเมืองเรากลัวโจโฉจะยกมาทำอันตราย ท่านคิดประการใด
ขงเบ้งจึงว่า ข้อนี้อย่าได้วิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอุบายมิให้โจโฉยกมาทำอันตรายถึงเมืองเรา จะให้ยกกลับไป เล่าปี่จึงถามว่า ท่านจะทำประการใด ขงเบ้งจึงว่า โจโฉนั้นเกรงซุนกวนอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋า เมื่อโจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋งนี้ ก็เอาแฮหัวตุ้นมาด้วย ขอให้แต่งผู้มีสติปัญญาไปว่ากล่าวแก่ซุนกวนว่า ท่านจะให้เมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง แล้วยุยงให้ซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า โจโฉรู้ก็จะเปนกังวลหลังเลิกทัพกลับไปช่วยกันเปนมั่นคง
เล่าปี่จึงว่า ท่านจะเห็นผู้ใดที่จะถือหนังสือไปว่ากล่าวกับซุนกวนได้ อิเจี้ยจึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาถือหนังสือไป เล่าปี่จึงให้แต่งหนังสือให้อิเจี้ยแล้วสั่งว่า ท่านไปจงเข้าไปบอกเนื้อความแก่กวนอูให้แจ้งก่อน อิเจี้ยรับเอาหนังสือแล้วลาเล่าปี่รีบไปเมืองเกงจิ๋ว แล้วบอกเนื้อความแก่กวนอูตามซึ่งโจโฉยกมารบเมืองฮันต๋ง บัดนี้เล่าปี่ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือไปให้ซุนกวนว่า จะยกเมืองสามตำบลให้ซุนกวน แล้วก็ลากวนอูไปเมืองกังตั๋ง จึงบอกทหารให้เข้าไปบอกเนื้อความแก่ซุนกวนว่า เล่าปี่ใช้ให้เรามาหา ทหารก็เข้าไปบอกซุนกวนตามคำอิเจี้ย
ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ให้หาตัวอิเจี้ยเข้ามาแล้วถามว่า เล่าปี่ใช้มาด้วยเหตุสิ่งใด อิเจี้ยจึงเอาหนังสือนั้นให้ซุนกวนแล้วบอกว่า เมื่อจูกัดกิ๋นไปว่าด้วยเมืองเกงจิ๋วนั้น เล่าปี่ก็รับว่าจะให้สามเมืองนั้นเปนเท็จไปแล้ว บัดนี้เล่าปี่จะคืนเมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยงให้ก่อน จึงให้หนังสือมาแก่ท่านเปนสำคัญ อันเมืองเกงจิ๋วเมืองเลงเหลงเมืองลำกุ๋นก็จะคืนให้ท่านด้วย แต่ติดขัดอยู่เพราะโจโฉยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง กวนอูยังไม่มีที่อาศรัยจะยืมไว้ก่อน อันเมืองหับป๋าซึ่งโจโฉแต่งคนมารักษาอยู่นั้น ทหารก็เบาบาง ขอให้ท่านยกกองทัพไปตีเอาเมืองหับป๋า โจโฉก็จะเลิกกองทัพมาช่วยเมืองหับป๋า เล่าปี่จึงจะยกมาตีเอาเมืองฮันต๋ง แม้ได้แล้วก็จะให้กวนอูไปอยู่เมืองฮันต๋ง แลเมืองเกงจิ๋วเมืองเลงเหลงเมืองลำกุ๋นนั้นก็จะให้ท่านด้วย
ซุนกวนได้ฟังดังนั้น ก็ฉีกผนึกออกอ่านดูเปนใจความต้องกันกับคำอิเจี้ย แล้วก็ให้อิเจี้ยไปอยู่ ณ ตึกรับแขกก่อน ซุนกวนจึงเอาหนังสือซึ่งเล่าปี่ให้มานั้นปรึกษาขุนนางทั้งปวง เตียวเจียวจึงว่า ซึ่งเล่าปี่ให้หนังสือมานี้เปนกลอุบาย เพราะกลัวโจโฉจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวน ถึงมาทว่าเปนกลของเล่าปี่ก็ดี แต่เปนประโยชน์แก่เราสองประการ ๆ หนึ่งจะได้เมืองสามตำบล ประการหนึ่งจะได้เมืองหับป๋าด้วย ถึงมาทว่าเล่าปี่จะมีใจกำเริบว่าลวงเราได้ก็ตามเถิด จำจะทำตามหนังสือนี้จงได้
ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้หาตัวอิเจี้ยเข้ามาแล้วสั่งว่า ท่านจงเร่งกลับไปบอกเล่าปี่เถิดว่า เราจะยกไปตีเมืองหับป๋า อิเจี้ยรับคำแล้วก็ลาไป ขณะนั้นเทียเภาอุยกายหันต๋ง ไปตรวจด่านยังไม่กลับมา ฝ่ายซุนกวนจึงให้โลซกไป หวังจะรับตราสำหรับเมืองสามตำบล แล้วซุนกวนก็พาทหารออกไปตั้งอยู่ปากนํ้าลกเค้า จึงให้หากำเหลงลิบองเล่งทอง แต่กำเหลงลิบองมาถึงก่อน
ซุนกวนจึงปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉยกไปตีเมืองฮันต๋ง เราคิดจะไปตีเมืองหับป๋า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ลิบองจึงว่า โจโฉให้จูก๋งอยู่รักษาเมืองโลกั๋ง จูก๋งมาตั้งอยู่ ณ เมืองอ้วนเสีย บัดนี้เปนเทศกาลเข้าโภชน์สาลีสุก จูก๋งจึงให้เกี่ยวเข้าโภชน์สาลีส้องสุมไว้ในเมืองหับป๋า ขอให้ยกไปตีเอาเมืองอ้วนเสียเสียก่อน แล้วจึงยกล่วงไปตีเอาเมืองหับป๋า เห็นจะได้โดยง่าย
ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทแกล้วทหารได้สิบหมื่น ให้กำเหลงลิบองคุมทหารเปนกองหน้า จิวขิมกับพัวเจี้ยงเปนกองหลัง ซุนกวนเอาจิวท่ายตันบูตังสิดซิเซ่งสี่นายนี้ไว้ในกองหลวง ครั้นจัดทัพเสร็จแล้ว ซุนกวนก็ยกข้ามฟากไปขึ้นทางเมืองไฮจิ๋ว ยกเปนกระบวรทัพบกไป พอใกล้เมืองอ้วนเสียแล้วให้หยุดตั้งค่ายมั่นไว้
ฝ่ายจูก๋งรู้ว่าซุนกวนยกกองทัพมาก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่ไว้เปนมั่น คง แล้วให้คนใช้ถือหนังสือข่าวทัพไปถึงเตียวเลี้ยว ซึ่งอยู่ ณ เมืองหับป๋า ฝ่ายซุนกวนคุมทหารไปเที่ยวดูกำแพงเมืองอ้วนเสีย ถ้าเห็นที่ไหนเบาบางก็จะให้ทหารเข้าหักเอาเมือง เหล่าทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินเห็นซุนกวนคุมทหารมา ก็ชวนกันเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมออกไปเปนอันมาก
ซุนกวนเห็นดังนั้นก็พาทหารกลับมา ณ ค่าย จึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เราจะรบพุ่งประการใดจึงจะได้เมืองอ้วนเสีย ตังสิดจึงว่า ให้เกณฑ์ทหารขนเอาดินมาถมเปนเนินเข้า ให้สูงเท่ากำแพงเมืองจงหลายกอง จึงให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปดังห่าฝน ทหารที่อยู่บนเชิงเทินก็จะละหน้าที่เสีย แล้วให้ทหารเอาบันไดหกพาดปีนเข้าไปเห็นจะได้เมืองโดยง่าย ลิบองจึงว่าแก่ตังสิดว่า อันจะทำการเหมือนท่านว่านั้นช้านัก เห็นกองทัพเมืองหับป๋าจะมาช่วยกันทันที อันทหารเราก็มีกำลังอยู่ ขอให้ยกเข้าโจมตีเอาแต่เวลาเดียวก็จะได้เมืองอ้วนเสีย แล้วจะได้ล่วงไปทำการเมืองหับป๋า
ซุนกวนเห็นด้วย ครั้นเวลาสามยามจึงให้ทหารหุงอาหารกินพร้อมแล้ว เวลาสิบเอ็ดทุ่มก็ยกทหารข้ามคูเมืองเข้าไปโจมตีทำลายประตูแลกำแพงเมือง เสียงฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงดังแผ่นดินจะถล่มลง ฝ่ายทหารบนเชิงเทินก็เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงดังห่าฝน กำเหลงกับลิบองซึ่งเปนนายกองหน้าเห็นดังนั้น ก็เร่งขับทหารให้เอาบันไดแลพะองพาดกำแพงปีนขึ้นไปรบพุ่งเปนสามารถ แล้วกำเหลงนั้นก็ขึ้นไปถึงกลางพะอง แล้วเอาโซ่เหวี่ยงขึ้นไปจะให้คล้องใบเสมาจะหน่วงตัวขึ้นไป
ฝ่ายจูก๋งก็ให้ทหารเอาก้อนศิลากรวดทรายทิ้งลงมาเปนอันมาก กำเหลงซํ้าเหวี่ยงโซ่ขึ้นไปถูกจูก๋งล้มลง ทหารบนเชิงเทินก็ตกใจเข้าช่วยพะยุงไว้ กำเหลงกับทหารทั้งปวงก็ปีนขึ้นไปได้ จึงเอากระบี่แลทวนแทงฟันจูก๋งตาย แลทหารจูก๋งก็เข้ามาคำนับกำเหลงสิ้น
ฝ่ายเตียวเลี้ยวครั้นแจ้งในหนังสือซึ่งจูก๋งให้มานั้น ก็จัดแจงทหารยกกองทัพไปช่วยเมืองอ้วนเสีย ครั้นถึงกลางทางรู้ข่าวว่าซุนกวนได้เมืองอ้วนเสียแล้ว เตียวเลี้ยวก็ยกกลับมารักษาเมืองหับป๋าไว้
ฝ่ายเล่งทองคุมทหารรีบตามซุนกวนมา ครั้นถึงพอซุนกวนได้เมืองอ้วนเสียแล้ว ซุนกวนจึงพาเล่งทองกับทหารทั้งปวงเข้าในเมืองอ้วนเสีย ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารใหญ่น้อย แล้วให้แต่งโต๊ะจะเลี้ยงขุนนางทหารทั้งปวงนั้น ซุนกวนจึงว่า เรามาตีเมืองอ้วนเสียครั้งนี้ กำเหลงมีความชอบเปนอันมาก เพราะเข้าเมืองได้ก่อน ให้กำเหลงนั้นนั่งกินโต๊ะที่ขุนนางผู้ใหญ่
ขณะนั้นที่ปรึกษาแลนายทหารทั้งปวงกินโต๊ะอยู่พร้อมกัน เล่งทองเห็นกำเหลงนั่งกินโต๊ะอยู่ที่สูงกว่าทหารทั้งปวง ก็ยิ่งมีความแค้น ด้วยกำเหลงฆ่าบิดาของตัวเสีย จึงชายตาค้อนกำเหลง แล้วว่าแก่นายทหารทั้งปวงว่า เราจะรำกระบี่ให้ท่านดู แล้วเล่งทองก็รำไป
กำเหลงเห็นดังนั้นก็คิดว่า เล่งทองนี้ยังมีใจพยาบาทอยู่ ซึ่งรำกระบี่นี้หวังจะทำร้ายเรา จำเราจะรำบ้างจะได้ป้องกันตัว แล้วกำเหลงจึงว่า เล่งทองรำผู้เดียวนั้นไม่สู้งาม ตัวเราชำนาญถือทวนสองเล่ม เราจะรำให้ท่านทั้งปวงดู แล้วก็ลุกขึ้นรำ ลิบองเห็นกำเหลงเล่งทองรำทวนแลกระบี่ด้วยกันดังนั้นก็คิดว่า นายทหารทั้งสองนี้พยาบาทจะทำร้ายกัน จำเราจะป้องกันไว้อย่าให้มีอันตรายข้างผู้ใดเลย จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงนั้นว่า ตัวเราชำนาญเขนเราจะรำให้ท่านดู แล้วก็ลุกขึ้นรำอยู่หว่างกำเหลงเล่งทองหวังมิให้ทำร้ายกัน ทหารคนหนึ่งเห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความไปบอกซุนกวน ๆ แจ้งดังนั้นก็ตกใจ รีบไปยังที่ชุมนุมขุนนาง เห็นกำเหลงเล่งทองรำอาวุธอยู่คนละข้าง ลิบองนั้นรำอยู่กลาง กำเหลงกับเล่งทองเห็นซุนกวนมาก็ตกใจวางอาวุธเสีย แล้วคุกเข่าลงคำนับซุนกวนอยู่ ซุนกวนจึงว่าแก่เล่งทองว่า การซึ่งท่านพยาบาทกำเหลงนั้น เราก็ได้ขอเสียแต่ครั้งก่อนแล้ว เหตุใดจึงมาทำครั้งนี้อีกเล่า เล่งทองมิได้ตอบประการใด แต่นั่งร้องไห้อยู่
ซุนกวนจึงปลอบโยนเล่งทองว่า ท่านกับกำเหลงเหมือนหนึ่งปลาค่องเดียวกัน จงตั้งใจประนอมทำราชการด้วยกันให้ปรกติเถิด เล่งทองก็นิ่งอยู่ ซุนกวนจึงให้ตรวจตราทแกล้วทหารเตรียมไว้พร้อมอยู่ทุกกอง ครั้นเวลารุ่งเช้า ซุนกวนก็ยกกองทัพไปใกล้เมืองหับป๋า จึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้
ฝ่ายเตียวเลี้ยวนั้น กะเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง ครั้นรู้ว่าซุนกวนยกกองทัพมาใกล้เมืองหับป๋า เตียวเลี้ยวก็คิดจะออกไปรบพุ่งกับซุนกวน พอทหารเข้ามาบอกเตียวเลี้ยวว่า โจโฉให้เอาหีบน้อยนี้มาให้ท่าน เตียวเลี้ยวรับเอาหีบมาดู เห็นหนังสือฉลากบอกว่า ถ้าจะมีศึกมากระทำยํ่ายีเมืองหับป๋า แม้จะต้านทานขัดสนประการใด ให้เปิดเอาหนังสือออกมาดูแล้วให้ทำตาม
ขณะนั้นเตียวเลี้ยวปรึกษากับลิเตียนงักจิ้นว่า ซึ่งจะออกไปต่อสู้ด้วยซุนกวนนั้นยังไม่ตกลงกัน เตียวเลี้ยวจึงเปิดหีบออก เอาหนังสือโจโฉออกมาอ่านดูเปนใจความว่า ถ้าซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า ก็ให้เตียวเลี้ยวกับลิเตียนคุมทหารออกไปรบด้วยซุนกวน ให้งักจิ้นอยู่รักษาเมือง เตียวเลี้ยวแจ้งแล้วก็เอาหนังสือนั้นให้ลิเตียนงักจิ้นดู
ลิเตียนงักจิ้นเห็นหนังสือแล้ว จึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า เมื่อหนังสือวุยก๋งให้มาฉนี้ ท่านจะคิดประการใด เตียวเลี้ยวจึงว่า ซุนกวนรู้ว่าวุยก๋งยกไปตีฮันต๋ง ซุนกวนมีใจกำเริบ จึงมาทำอันตรายเมืองเรา ๆ จำจะคุมทหารออกไปรบพุ่ง เอาชัยชนะซุนกวนไว้ให้ได้ครั้งหนึ่งก่อน แต่พอยอใจให้ทหารทั้งปวงของเรากำเริบไว้ เราจึงจะคิดอ่านต่อไป ลิเตียนได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ แต่งักจิ้นตอบเตียวเลี้ยวว่า ซุนกวนคุมทหารมาครั้งนี้เปนอันมาก ทหารเมืองเราน้อย ซึ่งจะยกออกไปนั้นเห็นจะต้านทานทหารซุนกวนไม่ได้ ขอให้รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง อย่าให้ข้าศึกเข้าเมืองได้
เตียวเลี้ยวจึงว่า อันจะรักษาเมืองนิ่งอยู่ฉนี้ จะมิผิดกับหนังสือวุยก๋งให้มาหรือ ผู้ใดจะอยู่ก็ตามเถิด แต่เราผู้เดียวจะคุมทหารออกไปทำการสงครามกับซุนกวน แล้วก็สั่งให้จัดแจงทหาร ลิเตียนงักจิ้นจึงว่าแก่เตียวเลี้ยวว่า ถ้าฉนั้นตัวเราร่วมสุขทุกข์ผิดชอบด้วยกัน เราจะขอออกไปด้วย จะให้แต่ทหารอยู่รักษาเมือง
เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นมีความยินดี จึงว่าแก่ลิเตียนว่า เวลาสามยามวันนี้ ท่านจงคุมทหารอ้อมออกไปทำลายสะพานเสียวเกียวข้างทิศใต้เสีย อย่าให้ข้าศึกข้ามไปมาได้ แล้วคุมทหารซุ่มอยู่ตำบลเสียวเกียว คอยสกัดตีกองทัพซุนกวน เวลารุ่งเช้าตัวเรากับงักจิ้นจะคุมทหารออกโจมตี ลิเตียนเห็นชอบด้วย ก็คุมทหารไปทำตามเตียวเลี้ยวสั่ง ครั้นเวลารุ่งเช้าเตียวเลี้ยวจึงให้งักจิ้นคุมทหารเปนกองล่อ ตัวเตียวเลี้ยวนั้นคุมทหารออกไปซุ่มอยู่หวังจะคอยโจมตี
ฝ่ายซุนกวนกับเล่งทองยกล่วงเข้ามา แลกำเหลงกับลิบองซึ่งเปนกองหน้านั้น เห็นงักจิ้นคุมทหารออกมา กำเหลงก็ขับม้าเข้ารบกับงักจิ้นได้สิบเพลง งักจิ้นทำชักม้าถอยหนีเข้าปากทางเสียวเกียว แล้วรีบขับม้าไปทางแยก ลิบองเห็นได้ทีก็ขับทหารหนุนไป ซุนกวนเห็นดังนั้น ก็ขับม้าพาทหารรีบไป พอถึงตำบลซึ่งเตียวเลี้ยวซุ่มทัพ ก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาแลทหารโห่ร้องอื้ออึง เห็นข้างซ้ายนั้นลิเตียนคุมทหารตีออกมาเปนอันมาก ข้างขวาทางนั้นเตียวเลี้ยวคุมทหารตีกระหนาบเข้ามา ฆ่าฟันทหารล้มตายแตกตื่นไป ซุนกวนเสียทีดังนั้นก็ตกใจ แลกำเหลงกับลิบองก็ไล่งักจิ้นเกินขึ้นไป ครั้นจะให้ทหารควบม้าไปบอกให้มาช่วย กองทัพเตียวเลี้ยวก็สกัดทางอยู่
ขณะนั้นซุนกวนยังเหลือทหารอยู่ประมาณสามร้อย เล่งทองจงว่าแก่ซุนกวนว่า จงเร่งข้ามสะพานไปให้ถึงฟากจึงจะพ้นข้าศึก ครั้นว่าขาดคำลง พอเตียวเลี้ยวคุมทหารไล่เล่งทองเข้ามา ซุนกวนขับม้าหนีขึ้นสะพานศิลาไปถึงฟากตวันตก เห็นเชิงสะพานนั้นขาดอยู่ไม่มีศิลาพาดประมาณเก้าศอกสิบศอก ซุนกวนตกใจจึงคิดว่าครั้งนี้เห็นจะไม่พ้นมือข้าศึก จะชักม้าถอยหลังมาก็ไม่ได้ ด้วยทหารเตียวเลี้ยวตามมาถึงสะพานฟากตวันออกแล้ว ทหารคนหนึ่งซึ่งตามมาด้วยจึงเตือนสติซุนกวนว่า ให้ท่านชักม้าถอยไปถึงกลางสะพาน แล้วจึงขับม้าควบให้โจนข้ามสะพานซึ่งไม่มีศิลาพาดนั้นก็จะถึงแผ่นดิน ซุนกวนเห็นชอบด้วย ก็ชักม้าถอยหลังไป แล้วขับม้าควบโจนไปถึงแผ่นดิน พอซิเซ่งกับตังสิดขี่เรือลำหนึ่งมาเห็นเข้า ก็ขับทหารรีบเข้าไปรับซุนกวนลงเรือ ฝ่ายเล่งทองต่อรบกันอยู่กับเตียวเลี้ยวเปนสามารถ เตียวเลี้ยวฆ่าฟันทหารเล่งทองเสียสิ้นทั้งสามร้อย
ฝ่ายกำเหลงลิบองได้ยินทหารข้างหลังนั้นโห่ร้องอื้ออึง ก็พาทหารถอยมาหวังจะช่วยซุนกวน พอพบลิเตียนก็เข้ารบกันอยู่เปนช้านาน ขณะนั้นงักจิ้นคุมทหารย้อนตลบหลังลงมา เห็นลิเตียนกับกำเหลงลิบองรบกันอยู่ ก็เข้าช่วยลิเตียนรบเปนสามารถ ลิเตียนกับงักจิ้นฆ่าฟันทหารกำเหลงล้มตายเปนอันมาก เล่งทองสิ้นทหารยังแต่ตัวผู้เดียว กายนั้นต้องอาวุธเปนหลายแผล เหลือกำลังที่จะอยู่ต้านทาน ก็ขับม้าหนีเตียวเลี้ยวไปถึงเชิงสะพาน พอกำเหลงกับลิบองแลทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคน ต่างคนต่างทิ้งม้าเสียโจนลงน้ำว่ายหนีไป ซุนกวนเห็นดังนั้นจึงให้ถอยเรือเข้าไปรับขึ้นเรือรบ แล้วก็พาเอาทหารทั้งปวงรีบหนีไปปากน้ำญี่สูแดนเมืองกังตั๋ง แล้วให้ตั้งค่ายอยู่บนบก
ขณะเมื่อซุนกวนแตกมานั้น ทหารแลชาวเมืองกังตั๋งกลัวฝีมือเตียวเลี้ยวเปนอันมาก ถ้าเด็กร้องไห้มีผู้ขู่ออกชื่อเตียวเลี้ยว เด็กนั้นก็กลัวนิ่งอยู่ ซุนกวนมีความน้อยใจ จึงซ่องสุมทหารหวังจะยกไปแก้แค้นเตียวเลี้ยว แล้วให้แต่งหนังสือไปถึงโลซกเปนใจความว่า ให้โลซกเร่งคุมทหารเติมมา เราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองหับป๋า จับตัวเตียวเลี้ยวมาฆ่าเสียให้จงได้
ฝ่ายเตียวเลี้ยวครั้นมีชัยชนะแก่ซุนกวนแล้ว ก็คุมทหารกลับเข้าเมือง จึงคิดเกรงว่าซุนกวนแตกไปครั้งนี้ เห็นจะเกณฑ์ทหารเติมทวีมากขึ้น ยกมาแก้แค้นเราเปนมั่นคง อันทหารในเมืองหับป๋านี้น้อยนัก เห็นจะต้านทานซุนกวนมิได้ จำจะบอกไปถึงโจโฉให้ยกมาช่วย คิดแล้วก็ให้แต่งหนังสือบอกข่าวราชการ ซึ่งมีชัยชนะแก่ซุนกวนไปถึงวุยก๋งทุกประการ แล้วว่าเตียวเลี้ยวเกรงอยู่ว่าซุนกวนจะยกกองทัพมาอีก แลทหารในเมืองหับป๋าน้อย ให้ขอกองทัพวุยก๋งยกมาช่วย ครั้นแต่งแล้วก็ให้ซิแท่รีบถือไป ซิแท่ครั้นมาถึงเมืองฮันต๋งก็เอาหนังสือเข้าไปให้โจโฉ
โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้ว ก็ปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงตามในหนังสือเตียวเลี้ยว ว่าเราจะคิดประการใด เล่าหัวจึงว่า ซึ่งจะยกไปรบเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ได้ก่อน ด้วยเล่าปี่จัดแจงทหารเตรียมไว้หวังจะป้องกันเมืองเสฉวนมิให้เปนอันตราย อันเมืองหับป๋านั้นก็เปนเมืองใหญ่ แม้ท่านจะละเสีย ซุนกวนยกกองทัพมาตีได้ก็จะร้อนถึงเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกไปช่วยเมืองหับป๋าจึงจะควร โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่า เขาเตงกุนสันกับเขาบองเทาเหงียม สองตำบลนี้เปนปากทางเมืองฮันต๋ง ให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารอยู่รักษาเขาเตงกุนสัน ให้เตียวคับอยู่รักษาปากทาง ณ เขาบองเทาเหงียม แล้วก็จัดแจงทหารได้สี่สิบหมื่น โจโฉก็ยกไปถึงเมืองหับป๋า แล้วพาเตียวเลี้ยวลิเตียนงักจิ้นยกล่วงเข้าไปตั้งอยู่ต่อแดนเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกซุนกวนว่า บัดนี้โจโฉคุมทหารประมาณสี่สิบหมื่นมาตั้งอยู่แดนต่อแดน ซุนกวนแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงให้ตังสิดกับซิเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำออกไปตั้งขัดทัพอยู่ ณ ปากน้ำญี่สู ให้ตันบูคุมทหารเที่ยวตะเวนอยู่ริมทเล เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า โจโฉพึ่งยกมาถึงเห็นทหารยังอิดโรยอยู่ ขอให้แต่งทหารไปโจมตีให้ทหารโจโฉถอยกำลังลงแล้วจะได้ทำการต่อไป ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงถามนายทหารว่า ผู้ใดจะอาสาไปทำตามเตียวเจียวได้ เล่งทองจึงรับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอทหารสามพันยกไปโจมตีให้ทหารโจโฉเสียทีจงได้ กำเหลงจึงว่า เล่งทองจะเอาทหารสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งยกไปทำการเอาชัยชนะให้จงได้
ขณะนั้นกำเหลงกับเล่งทองทุ่งเถียงไม่ตกลงกัน ซุนกวนจึงว่าแก่กำเหลงว่า อันความคิดแลฝีมือทหารโจโฉนั้นใหญ่หลวงนัก ท่านจะดูหมิ่นนั้นไม่ได้ จงให้เล่งทองไปเถิด แล้วจัดแจงทหารให้เล่งทองสามพัน เล่งทองลาซุนกวนแล้วคุมทหารไปถึงแดนเมืองหับป๋า พอพบเตียวเลี้ยวเปนกองหน้าโจโฉ เตียวเลี้ยวขับม้ารำทวนเข้ารบกับเล่งทองได้ห้าสิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน
ฝ่ายซุนกวนเมื่อให้เล่งทองไปนั้น ก็คิดวิตกว่าเล่งทองจะเสียทีแก่ทหารโจโฉ จึงให้ลิบองคุมทหารหนุนไป ลิบองก็รีบไป พบเล่งทองก็พากันกลับมาค่ายญี่สู กำเหลงจึงเข้าไปว่าแก่ซุนกวนว่า เวลากลางคืนวันนี้ข้าพเจ้าจะขอทหารแต่ร้อยหนึ่งไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ แม้เสียทหารแต่คนหนึ่งก็ดี ม้าตัวหนึ่งก็ดี ก็อย่าให้ยกความชอบข้าพเจ้าเลย
ซุนกวนได้ฟังก็มีใจยินดี เพราะได้เห็นฝีมือกำเหลง จึงจัดทหารม้าซึ่งมีฝีมือร้อยหนึ่งกับสุราห้าสิบไห เนื้อแพะสิบชั่งให้กำเหลง ๆ ใช้ให้คนแบกสุราแลสิ่งของ แล้วพาทหารมา ณ ค่าย กำเหลงจึงเอาขันเงินตักสุรากินเข้าไปสองขัน แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งนั้นว่า บัดนี้นายเราให้ไปปล้นค่ายโจโฉ ชาวเจ้าทั้งปวงจงช่วยกันทำการให้เต็มมือจึงจะได้ชัยชนะ ทหารร้อยหนึ่งได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างคิดว่า เมื่อคนร้อยหนึ่งเท่านี้หรือจะปล้นค่ายโจโฉได้ แล้วก็ก้มหน้าเปนทุกข์อยู่
กำเหลงเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ออกแล้วว่า ตัวกูเปนนายทหารเอกมิได้รักชีวิต มึงเหล่านี้เปนแต่ทหารเลว เหตุใดจึงกลัวความตาย แม้ผู้ใดย่อท้อไม่เปนใจทำการ กูจะเอากระบี่นี้ตัดสีสะเสีย ทหารทั้งปวงนั้นได้ฟังคำกำเหลงว่าก็กลัว ต่างคนต่างว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปปล้นค่ายโจโฉให้ได้ กำเหลงมีความยินดี จึงเอาเนื้อแพะกับสุรานั้นแจกให้ทหารกินสิ้นทุกคน
ครั้นเวลาพลบค่ำ กำเหลงจึงให้เอาขนห่านมาปักหมวกทหารทั้งนั้นเปนสำคัญ แล้วให้แต่งตัวใส่เกราะผูกม้าเตรียมไว้ ครั้นเวลายามหนึ่งกำเหลงก็ขึ้นม้าถือทวนพาทหารทั้งนั้นไปซุ่มอยู่ข้างเนิน เขาแห่งหนึ่ง เห็นได้ทีแล้ว ก็พาทหารฝ่าขวากหนามโห่ร้องเข้าไปโจมตีปล้นค่ายโจโฉ แล้วจุดเพลิงเผาค่ายขึ้นเปนหลายตำบล แลทหารกำเหลงทั้งร้อยหนึ่งนั้นก็ไล่ฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตายเปนอันมาก โจโฉแลทหารทั้งปวงตื่นตกใจ ก็แตกหนีเปนอลหม่าน เหยียบกันป่วยเจ็บล้มตายเปนหลายคน
ฝ่ายซุนกวนก็ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนกำเหลงไป หวังจะได้ช่วยป้องกันกำเหลง ๆ เห็นโจโฉแลทหารหนีกระจายไป แลทหารร้อยหนึ่งนั้นก็มิได้เปนอันตราย ก็พากันคืนออกจากค่าย พบจิวท่ายก็ชวนกันกลับไป ขณะนั้นโจโฉหนีออกมาซ่องสุมทหารไว้แล้ว ครั้นจะยกติดตามไปก็เกรงอยู่ว่าซุนกวนจะซุ่มทหารไว้ ก็ให้ตรวจตราทหารอยู่ในที่นั้น
ฝ่ายกำเหลงกับจิวท่ายพากันมาจะใกล้ถึงค่ายพอเวลารุ่งขึ้น ซุนกวนรู้ข่าวว่ากำเหลงไปปล้นค่ายโจโฉได้ก็มีใจยินดี จึงให้ทหารตีฆ้องกลองแลม้าฬ่ออื้ออึง แลซุนกวนออกไปรับกำเหลงถึงนอกค่าย กำเหลงเห็นซุนกวนออกมารับ ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับอยู่ ซุนกวนเข้ายุดมือกำเหลงพากลับมาค่ายแล้วว่า ท่านอาสาครั้งนี้ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจเสียทหารเปนอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฎฝีมือท่านไว้ เราก็ได้ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนไปช่วย แล้วซุนกวนก็ให้เอาดาบอย่างดีร้อยเล่ม แพรอย่างดีพันพับให้กำเหลงเปนบำเหน็จ กำเหลงคำนับรับเอาสิ่งของทั้งนั้นมา แล้วแจกให้ทหารทั้งร้อยคน ซุนกวนเห็นดังนั้นยิ่งมีความยินดีจึงว่า โจโฉนั้นได้เตียวเลี้ยวไว้เปนทหารเอก เราก็ได้กำเหลงไว้เปนทหารเอก พอจะสู้กับเตียวเลี้ยวได้
ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวลิเตียนงักจิ้นคุมทหารไปร้องท้าทายถึงหน้าค่ายซุนกวน เล่งทองได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า ตัวกูเปนอริกันอยู่กับกำเหลง บัดนี้กำเหลงทำการมีความชอบเปนหลายครั้ง จำกูจะอาสาออกไปรบกับเตียวเลี้ยว จะได้มีความชอบเสมอกำเหลง คิดแล้วจึงว่าแก่ซุนกวนว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปรบให้เตียวเลี้ยวแตกไปให้จงได้ ซุนกวนก็จัดทหารให้เล่งทองห้าพัน เล่งทองก็คุมทหารออกจากค่าย
ซุนกวนจึงพากำเหลงแลทหารทั้งปวงออกไป หวังจะดูเล่งทองรบกับเตียวเลี้ยว เล่งทองขับม้าขึ้นไปหน้าทหาร เห็นลิเตียนกับงักจิ้นยืนม้ากระหนาบเตียวเลี้ยวทั้งซ้ายขวา เล่งทองจึงร้องว่า เตียวเลี้ยวมาร้องท้าทายแล้วจงเร่งออกมารบกับเราให้เห็นฝีมือกันไว้ เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นก็ให้งักจิ้นขับม้าออกไปรบกับเล่งทองถึงห้าสิบเพลง ก็ยังไม่แพ้ชนะกัน
ขณะนั้นโจโฉคุมทหารหนุนออกไป เห็นงักจิ้นกับเล่งทองรบกันอยู่ โจโฉจึงสั่งโจฮิวให้ลอบเอาเกาทัณฑ์ยิงเล่งทองหวังจะช่วยงักจิ้น โจฮิวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกม้าเล่งทอง ม้านั้นตกใจสบัดเล่งทองพลัดตกจากหลังล้มอยู่กลางดิน งักจิ้นเห็นได้ทีก็ขับม้าเข้าไปจะเอาทวนแทงเอาเล่งทอง พอกำเหลงยิงเกาทัณฑ์มาถูกหน้าผากงักจิ้นตกม้าลง ทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าช่วยกันป้องกันงักจิ้นกับเล่งทองออกจากที่รบ
ซุนกวนจึงบอกเล่งทองว่า เมื่อท่านตกม้าลง งักจิ้นขับม้าเข้ามาจะเอาทวนแทงท่านนั้น หากกำเหลงช่วยยิงเกาทัณฑ์ไปถูกงักจิ้นตกม้าลงท่านจึงรอดจากความตาย เล่งทองได้ฟังก็ลุกไปคำนับกำเหลงแล้วว่า ท่านช่วยแก้เราไว้ครั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ ซึ่งเราคิดพยาบาทท่านมาแต่ก่อนนั้นเราขออภัยเถิด แต่นี้สืบไปภายหน้าเราจะได้ตั้งใจประนอมต่อท่าน กำเหลงได้ฟังก็มีความยินดี แล้วต่างคนต่างสาบาลว่า ตัวเราทั้งสองแต่วันนี้ไปก็จะเปนมิตรแก่กันมิได้มีความสงสัยกันเลย
ฝ่ายโจโฉครั้นกลับมาถึงค่าย ก็ให้หมอรักษาแผลเกาทัณฑ์งักจิ้นแล้วคิดว่า จะแต่งทหารยกไปโจมตีค่ายซุนกวนเปนห้าทางจึงจะมีชัยชนะ ครั้นเวลารุ่งเช้า โจโฉคุมทหารเปนกองกลาง ให้เตียวเลี้ยวกับลิเตียนคุมทหารคนละหมื่นยกแยกกันไปริมชายทเลเปนสองทาง ให้ซิหลงกับบังเต๊กคุมทหารกองละหมื่นยกแยกกันไปริมเนินเขาเปนสองทาง ครั้นจัดแล้วโจโฉแลนายทหารทั้งสี่กองก็คุมทหารดากันไป
ฝ่ายตังสิดกับซิเซ่งซึ่งคุมทหารเรืออยู่นั้นเห็นกองทัพโจโฉยกดากันมา แล้วเห็นทหารเลวในเรือรบนั้นหน้าซีดสลดลง ซิเซ่งจึงว่า ธรรมดาเปนชาติทหารกินเบี้ยหวัดท่าน ถ้ามีสงครามมาก็ให้ตั้งใจรบพุ่งเปนสามารถ แลตัวท่านทั้งปวงนี้ เห็นแต่ข้าศึกมาก็ให้ตั้งย่อท้อดังนี้ ไม่สมควรเปนชาติทหาร บัดนี้เราจะขนต่อสู้ด้วยข้าศึก แม้ผู้ใดครั่นคร้ามอยู่เราก็จะตัดสีสะเสีย แล้วพาทหารสามร้อยลงเรือน้อยขึ้นมาถึงหาดทราย ก็เข้าตีตลุมบอนอยู่กับทหารลิเตียน
ตังสิดอยู่ในเรือรบเห็นดังนั้น ก็ให้ทหารตีฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงขึ้น พอลมพายุใหญ่พัดมา เสียงคลื่นแลละลอกนั้นเอิกเกริก เรือรบทั้งปวงก็จลาจลดังจะล่มลง ทหารเลวทั้งปวงตกใจกลัวเรือนั้นจะล่ม ก็วิ่งวุ่นวายหวังจะลงเรือน้อยหนีขึ้นหาดทรายให้พ้นจากความตาย
ตังสิดเห็นดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกไล่ฆ่าฟันทหารเลวตายประมาณสิบสี่สิบห้าคน แล้วร้องประกาศว่า นายเราให้มาขัดทัพอยู่ เกิดลมพายุแต่เพียงนี้ ต่างคนต่างจะหนีขึ้นบก แม้จะขืนขึ้นไปให้ได้ เราจะฟันเสียให้สิ้น
ขณะนั้นพายุใหญ่ยิ่งพัดหนักมา คลื่นก็กำเริบหนักขึ้น เรือรบซึ่งทอดอยู่นั้นสายสมอขาดล่มลงเปนหลายลำ เรือตังสิดนั้นก็ล่มด้วย ตังสิดว่ายน้ำสิ้นแรงก็ถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงจมน้ำตายเปนอันมาก
ฝ่ายตันบูซึ่งเปนกองตะเวน เห็นบังเต๊กคุมทหารมาตามเนินเขา ตันบูก็ขับทหารเข้ารบตลุมบอนอยู่เปนสามารถ ขณะนั้นพอซุนกวนรู้ ก็ขึ้นม้าพาจิวท่ายกับทหารทั้งปวงรีบไป เห็นซิเซ่งกับลิเตียนคุมทหารเข้ารบกันอยู่ ซุนกวนเกรงว่าทหารซิเซ่งน้อยจะเสียทีแก่ข้าศึก ซุนกวนกับจิวท่ายก็คุมทหารเข้าช่วยซิเซ่งรบกับทหารโจโฉเปนตลุมบอน เตียวเลี้ยวกับซิหลงเห็นดังนั้น ก็คุมทหารตีกระหนาบเข้าล้อมซุนกวนไว้ โจโฉอยู่บนเนินเขาเห็นได้ที ก็ให้เคาทูไปช่วยป้องกัน หวังมิให้ทหารซุนกวนแก้กันได้
ขณะเมื่อรบกันอลหม่านอยู่นั้น จิวท่ายกับซุนกวนพลัดกัน จิวท่ายขับม้าเที่ยวหาออกมาถึงชายทเล ก็ไม่พบซุนกวน แล้วขับม้าฝ่าทหารโจโฉเข้าไปก็ไม่พบซุนกวน จึงถามทหารว่าเห็นนายเราอยู่ที่ไหน ทหารจึงชี้บอกว่า ซุนกวนรบอยู่ในหว่างทหารกองโน้น จิวท่ายก็ขับม้ารำทวนฝ่าเข้าไปพบซุนกวนแล้วว่า ท่านจงขับม้าตามข้าพเจ้าจะพาออกไปให้พ้นข้าศึก ซุนกวนรับคำแล้วจิวท่ายก็ขับม้าฝ่าทหารโจโฉออกมาถึงชายทเล ครั้นเหลียวหลังมาไม่เห็นซุนกวนก็ตกใจ จึงรีบขับม้าตลบฝ่าฟันเข้าไปในหว่างทหารโจโฉ พอพบซุนกวนเข้าจิวท่ายจึงว่า ให้ท่านเร่งขับม้าตามข้าพเจ้าให้ทันจงได้ ซุนกวนจึงว่า เราตามท่านออกไปเมื่อกี้นั้นข้าศึกระดมยิงเกาทัณฑ์มาหนานักจึงพลัดกัน จิวท่ายจึงว่า ถ้าดังนั้นท่านจงขับม้าขึ้นหน้าเถิด ข้าพเจ้าจะป้องกันลูกเกาทัณฑ์ไปข้างหลัง ซุนกวนก็ขับม้าขึ้นหน้าจิวท่าย ๆ ก็ขับม้าเอาทวนปัดลูกเกาทัณฑ์ไปข้างหลัง ครั้นออกมาถึงชายทเล พอลิบองคุมเรือรบมาถึง ก็รับเอาซุนกวนจิวท่ายกับทหารสี่สิบห้าสิบลงเรือ ซุนกวนก็สรรเสริญฝีมือจิวท่าย ซึ่งฝ่าทหารโจโฉเข้าออกเปนหลายครั้ง แต่เราวิตกอยู่ถึงซิเซ่งนั้นยังอยู่ในหว่างทหารโจโฉ ผู้ใดจะแก้เอาซิเซ่งมาได้ จิวท่ายจึงรับว่า ข้าพเจ้าจะรับอาสาขึ้นไปเอง แล้วก็จับทวนลงจากเรือ ขึ้นม้าฝ่าเข้าไปในทหารโจโฉ ครั้นพบซิเซ่งก็พากันขับม้ากลับออกมา ขณะนั้นจิวท่ายกับซิเซ่งต้องอาวุธชอกช้ำเปนหลายแห่ง ลิบองอยู่ในเรือรบก็ให้ทหารยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปช่วยป้องกัน จิวท่ายกับซิเซ่งก็ลงมาได้ถึงเรือรบ
ฝ่ายตันบูรบกับบังเต๊กอยู่เปนช้านาน ทหารทั้งสองฝ่ายล้มตายเปนอันมาก ตันบูสิ้นกำลังชักม้าถอยหนี บังเต๊กขับม้าไล่ตามไป ตันบูควบม้าหนีเข้าไปริมเนินเขาช่องแคบแห่งหนึ่ง กิ่งไม้ริมทางนั้นเกี่ยวเกราะไว้ ตันบูเสียทีเอี้ยวตัวไปจะปลดกิ่งไม้ พอบังเต๊กมาทันเข้าก็เอาง้าวฟันตันบูตกม้าตาย
ฝ่ายโจโฉแลลงไปเห็นซุนกวนหนีลงเรือ ก็คุมทหารตามลงไปถึงริมชายทเลจะจับตัวซุนกวน ลิบองเห็นดังนั้นก็ให้ทหารในเรือรบยิงเกาทัณฑ์ขึ้นไปเปนอันมาก พอลกซุนบุตรเขยซุนเซ็กคุมเรือรบบัญจุทหารประมาณสิบหมื่นใช้ใบมาถึง ก็ให้ทหารทั้งปวงเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงขึ้นไปดังห่าฝน แล้วลกซุนก็คุมทหารขึ้นจากเรือเข้ารบกับทหารโจโฉ ๆ อิดโรยกำลังก็ถอยมาค่าย ทหารลกซุนได้ศพตันบูมาให้ซุนกวน ๆ มีความสงสาร คิดถึงตังสิดซึ่งเรือล่มตาย จึงให้ทหารเอาอวนมาพานได้ศพตังสิด แล้วให้เงินทองแก่ทหารให้เอาศพตันบูตังสิดไปแต่งการฝังไว้ ณ เมืองกังตั๋ง
ซุนกวนก็คุมทหารเรือรบกลับมา ณ ค่ายญี่สู แล้วซุนกวนคิดถึงความชอบจิวท่าย ให้แต่งโต๊ะขึ้นเลี้ยง ซุนกวนรินสุราให้จิวท่ายกินเอง ซุนกวนจึงว่าแก่จิวท่ายว่า ตัวท่านตั้งใจสุจริตต่อเราครั้งนี้ สู้เอาชีวิตเข้าไปแลกเอาชีวิตเราออกมาได้นั้น คุณหาที่สุดไม่ อุปมาเหมือนตายอยู่ในหว่างทหารโจโฉ ท่านเอาซากศพเรามาชุบขึ้นให้เปน เราจะให้ท่านบังคับทหารในเมืองกังตั๋งกึ่งหนึ่ง ตัวท่านจงคิดว่าเปนพี่น้องร่วมอุทรกันเถิด แล้วให้จิวท่ายถอดเสื้อออก เห็นแผลอาวุธนั้นทั่วกาย ทหารทั้งปวงสั่นสีสะ
ซุนกวนจึงถามว่า แผลนี้แผลนั้นแผลโน้นถูกอาวุธสิ่งใด จิวท่ายจึงบอกว่า แผลนี้ถูกทวนเมื่อเที่ยวหาท่าน แผลนั้นถูกง้าวเมื่อพบท่าน แผลโน้นถูกกระบี่เมื่อพลัดกันกับท่าน จิวท่ายบอกแผลสิ้นทุกประการ จิวท่ายบอกแผลที่ใด ซุนกวนก็รินสุราให้กินที่นั้น จนจิวท่ายเมาสุรานอนหลับไป ซุนกวนจึงให้ทหารยกตัวจิวท่ายขึ้นใส่เกวียน ให้เอาสัปทนทองนั้นมากั้นจิวท่ายไปส่งจิวท่ายถึงค่าย
ขณะนั้นโจโฉกับซุนกวนตั้งรบกันอยู่เดือนเศษแล้ว เตียวเจียวจึงว่าแก่ซุนกวนว่า แต่ท่านตั้งรบกันมากับโจโฉครั้งนี้ก็ได้เดือนเศษแล้ว ทหารทั้งสองฝ่ายก็ล้มตายเปนอันมาก โจโฉนั้นก็ชำนาญในการสงคราม ซึ่งท่านจะเอาชัยชนะนั้นเห็นจะไม่ได้ อันจะตั้งรบกันไปฉนี้ ทหารเราก็ยิ่งตายลงอีก ขอให้ท่านแต่งทหารไปขอออกแก่โจโฉ ถ้าถึงปีเดือนกำหนดแล้ว จะแต่งเครื่องบรรณาการขึ้นไปตามธรรมเนียม ซุนกวนเห็นชอบด้วย จึงให้เปาจิดไป เปาจิดก็ลาซุนกวนไปถึงค่ายโจโฉ ๆ ให้หาเปาจิดเข้ามา เปาจิดคำนับโจโฉแล้วบอกว่า ซุนกวนให้ข้าพเจ้ามาแจ้งแก่ท่านว่า ซึ่งจะตั้งรบพุ่งกันสืบไปฉนี้ ทหารทั้งสองฝ่ายก็จะได้ความเดือดร้อนล้มตายเปลืองไป ขอให้ท่านยกกองทัพกลับไป ถ้าถึงกำหนดปีจะแต่งเครื่องบรรณาการไปขึ้นตามประเวณีผู้ใหญ่ผู้น้อย
โจโฉจึงตอบว่า ตัวเราเปนผู้ใหญ่ ซุนกวนนายท่านอายุอ่อนกว่าเรา ครั้นเราจะเลิกทัพกลับไปก่อนก็มีความลอายอยู่ ท่านจงไปบอกซุนกวนให้ยกทัพกลับเข้าเมืองแล้ว เราจึงจะเลิกทัพกลับไป เปาจิดก็ลากลับมาบอกแก่ซุนกวน ๆ ได้ฟังก็ให้จิวท่ายกับจิวขิมอยู่รักษาค่ายญี่สู แล้วก็ยกทัพกลับเข้าเมืองกังตั๋ง โจโฉจึงให้เตียวเลี้ยวกับโจหยินอยู่รักษาเมืองหับป๋า แล้วโจโฉก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋
ครั้นอยู่มาหลายวัน ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงประชุมปรึกษาพร้อมกันจะตั้งโจโฉเปนเจ้าวุยอ๋อง ซุนตํ่าได้ยินปรึกษากันดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านทั้งปวงจะตั้งโจโฉเปนเจ้าวุยอ๋องนั้นเราไม่เห็นด้วย นายทหารทั้งปวงจึงตอบว่า ท่านไม่รู้หรือเมื่อครั้งซุนฮกขัดขวางก็ถึงแก่ความตาย ซุนตํ่าได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ครั้งนี้ได้ทีท่านทั้งปวงแล้ว จะทำประการใดก็ทำเอาตามชอบใจเถิด ทหารคนหนึ่งได้ฟังซุนต่ำว่ากล่าวเปนข้อหยาบช้าก็เอาเนื้อความไปบอกโจโฉ
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้เอาตัวซุนต่ำไปจำใส่คุกไว้ ซุนต่ำมีใจเจ็บแค้น ด่าโจโฉเปนข้อหยาบช้าต่าง ๆ ทุกเวลา ผู้คุมก็เอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งให้ชักฅอซุนต่ำเสียให้ถึงแก่ความตาย
ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบเอ็ดปี (พ.ศ. ๗๕๙) เมื่อเดือนเจ็ดข้างขึ้นนั้น ขุนนางแลทหารทั้งปวงซึ่งมีใจรักโจโฉก็ร่วมคิดกันแต่งเรื่องราวกราบทูลพระ เจ้าเหี้ยนเต้เปนใจความว่า วุยก๋งมีความชอบได้ปราบปรามข้าศึกเปนอันมาก ขอให้ตั้งวุยก๋งขึ้นเปนเจ้าวุยอ๋อง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ฟังขุนนางทั้งปวงทูลดังนั้น ก็ตรัสสั่งเจงอิ้วให้แต่งชื่อวุยก๋งขึ้นเปนเจ้าวุยอ๋อง ให้ขี่รถทองเทียมม้าหกตัว แลเครื่องแต่งตัวแห่แหนนั้นเหมือนกันกับที่เจ้าแผ่นดิน เจงอิ้วก็ขนานชื่อไปให้โจโฉตามรับสั่ง
โจโฉได้พระราชทานชื่อดังนั้นก็มีความยินดีจึงคิดว่า เมืองเงียบกุ๋นนั้นเปนแดนต่อแดน จำจะสร้างขึ้นไว้ให้รุ่งเรือง จะได้เปนเกียรติยศไปภายหน้า แล้วสั่งทหารให้ไปสร้างตำหนักแลวังซ่อมแซมค่ายคูประตูหอรบขึ้นให้เปนสง่าดัง เมืองหลวง เวลาไปมาจะได้เปนที่อาศรัย ทหารก็เกณฑ์กันไปทำเมืองเงียบกุ๋นตามสั่ง
แลโจโฉนั้นมีบุตรสี่คน ชื่อโจผีคนหนึ่ง โจเจียงคนหนึ่ง โจสิดคนหนึ่ง โจหิมคนหนึ่ง แต่โจสิดนั้นมีสติปัญญารู้ทำโคลง โจโฉมีใจรักโจสิดกว่าบุตรทั้งสามคน แม้โจโฉจะไปทัพครั้งใด ถ้ามิได้เอาบุตรไปด้วย บุตรทั้งสี่คนนั้นออกไปตามส่ง โจผีร้องไห้ตามบิดา โจเจียงโจหิมนิ่งอยู่ แต่โจสิดนั้นถือพู่กรรณ์ทำโคลงสรรเสริญเกียรติยศบิดา แล้วให้พรต่าง ๆ เปนอันมาก
โจโฉเห็นดังนั้นก็คิดว่า โจสิดมีสติปัญญาก็จริง แต่น้ำใจกำเริบ โจผีนั้นมัธยัสถ์เห็นจะทำการลึกซึ้ง ขณะนั้นโจโฉจึงคิดว่า ตัวกูก็ชราแล้วจะตั้งโจผีหรือโจสิดแทนตัวสืบไป แต่ยังหาตกลงไม่ จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เราจะตั้งบุตรเราเปนใหญ่แทนตัวสืบไป ท่านเห็นผู้ใดจะแทนตัวเราได้บ้าง กาเซี่ยงจึงว่า อันการข้อนี้จะปรึกษานั้นไม่ควร ขอให้ท่านพิเคราะห์ดูอย่างอ้วนเสียวกับเล่าเปียวนั้นเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็คิดได้แล้วหัวเราะจึงว่า ท่านว่านี้สมควรนัก แล้วโจโฉก็ตั้งโจผีบุตรใหญ่นั้นเปนกรมขึ้น เรียกว่าเจ้าชีจู๊
ครั้นถึงเดือนสิบสอง ทหารซึ่งไปทำการเมืองเงียบกุ๋นนั้นบอกมาให้ทูลเจ้าวุยอ๋องว่า การทั้งปวงเสร็จแล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้จัดแจงทหารแลประเทียบข้างในพร้อมแล้ว ก็ยกกองทัพเปนขบวรพยุหยาตราไปถึงเมืองเงียบกุ๋น จึงให้มีตราไปทุกหัวเมือง ให้จัดต้นไม้มีดอกแลผลมาปลูกไว้จงมาก จึงให้แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ไปถึงซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งเปนใจความว่า พระเจ้าวุยอ๋องจะต้องพระประสงค์ผลส้มในเมืองกังตั๋ง ให้ซุนกวนเร่งจัดมาถวาย ม้าใช้ก็เอาหนังสือรับสั่งนั้นรีบไปให้ซุนกวน ณ เมืองกังตั๋ง
ซุนกวนแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ก็ให้ขุนนางจัดส้มให้ห้าสิบหาบให้คนใช้หาบไปส่ง ครั้นมาถึงกลางทาง ลูกหาบทั้งปวงหยุดพักอยู่ริมเนินเขาแห่งหนึ่ง พอแลเห็นชายผู้หนึ่งออกมาจากหุบเขา มีเท้าสั้นข้างหนึ่ง จักษุส่อนรูปร่างพิกลประหลาทเปนผู้วิเศษ ห่มเสื้อเขียวใส่หมวกสานด้วยหวายตะค้า ครั้นเดิรมาใกล้จึงถามลูกหาบเหล่านั้นว่า ท่านทั้งปวงจะหาบส้มไปไหนจึงมาหยุดพักอยู่นี่ ลูกหาบเหล่านั้นก็แจ้งความให้ฟังแล้วว่า ข้าพเจ้าหาบมาทางไกลเหนื่อยเต็มที หยุดพอหายเหนื่อยแล้วก็จะไป โจจู๋จึงว่า เราจะช่วยหาบให้คนละพักพอเบาแรงท่าน ว่าแล้วโจจู๋ก็เข้าหาบส้มส่งทีละหาบ ๆ หาบละห้าสิบเส้น ทั้งห้าสิบหาบเปนหนทางสองพันห้าร้อยเส้นด้วยกัน ลูกหาบเหล่านั้นก็มีความยินดี
โจจู๋จึงว่าแก่ลูกหาบทั้งปวงว่า ท่านไปถึงพระเจ้าวุยอ๋อง จงช่วยทูลด้วยเถิดว่า เราชื่อโจจู๋ เปนชาวบ้านเดียวกันมาแต่ก่อน คำนับมาถึงเจ้าวุยอ๋องด้วย แล้วโจจู๋ก็เที่ยวไปในป่า ฝ่ายลูกหาบทั้งปวงก็หาบส้มนั้นไป ต่างคนต่างคิดสงสัยว่า เมื่อแรกหาบมานั้นหนักอยู่ แต่อาจารย์โจจู๋มาช่วยผลัดหาบ ส้มนี้ก็เบาไปกว่าเก่า ครั้นถึงเมืองเงียบกุ๋นก็เอาส้มเข้าไปถวาย
พระเจ้าวุยอ๋องเห็นส้มก็มีความยินดี ด้วยซุนกวนนั้นอ่อนน้อมโดยสุจริต จึงเอาส้มนั้นมาฉีกดูเปนหลายคู่ มิได้เห็นมีเนื้อเห็นแต่เปลือกเปล่า โจโฉมีความสงสัยจึงถามลูกหาบทั้งนั้นว่า เหตุใดส้มจึงเปนดังนี้ ลูกหาบทั้งปวงจึงทูลว่า เมื่อข้าพเจ้าหาบมาหยุดพักอยู่กลางทาง มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อโจจู๋มาช่วยผลัดหาบมาทางคนละห้าสิบเส้น ทั้งห้าสิบหาบ โจจู๋จึงสั่งคำนับมา แล้วว่าได้รู้จักท่านมาแต่ก่อน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ยังสงสัยอยู่ พอนายประตูเข้ามาบอกให้ทูลว่าโจจู๋จะเข้ามาเฝ้า โจโฉก็ให้หาตัวโจจู๋เข้ามา ลูกหาบทั้งนั้นเห็นก็ร้องขึ้นพร้อมกันว่า อาจารย์โจจู๋คนนี้ซึ่งช่วยผลัดหาบส้มมา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ถามโจจู๋ว่า ตัวได้เรียนวิชามาแต่ไหน จึงแกล้งทำเอาเนื้อส้มออกเสีย เอาแต่เปลือกเปล่ามาให้เราฉนี้ โจจู๋จึงว่า ธรรมดาส้มจะไม่มีเนื้อนั้นหามิได้ ถ้าท่านยังสงสัยอยู่ข้าพเจ้าจะปอกให้ดู แล้วโจจู๋จึงเอาส้มนั้นมาปอก ก็มีเนื้อปรกติเห็นประจักษ์อยู่ด้วยกัน
โจโฉเห็นดังนั้น จึงหยิบเอาส้มฉีกดูบ้าง ก็มิได้เห็นเนื้อ มีแต่เปลือกเปล่า ก็ยิ่งมีความสงสัย จึงเชิญโจจู๋ให้ขึ้นมานั่งแล้วถามว่าเหตุใดส้มจึงเปนดังนี้ โจจู๋จึงว่า ข้าพเจ้าจะขอสุราแลเครื่องเลี้ยงมากินก่อน จึงจะบอกให้แจ้ง โจโฉจึงให้เอาสุรามาให้โจจู๋กินถึงห้าไหก็ไม่เมา แล้วให้เอาแพะตัวหนึ่งมาให้กินก็ไม่อิ่ม
โจโฉเห็นประหลาทดังนั้นจึงถามว่า ท่านเรียนวิชานี้มาแต่ไหน จึงทำเล่ห์กะเท่ห์ได้ดังนี้ โจจู๋จึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าถือศีลอยู่ ณ เขางูปีสันแดนเมืองเสฉวนได้สามสิบปี เทพดาเอาตำรามาให้ข้าพเจ้าสามฉบับ ๆ หนึ่งชื่อเทียนตุน ฉบับสองชื่อเต้ตุน ฉบับสามชื่อยินตุน ฉบับเทียนตุนนั้นสำหรับเรียกลมแลฝน แลทำอิทธิฤทธิ์เหาะไปได้โดยอากาศ ฉบับเต้ตุนนั้นถึงมาทว่าจะไชก้อนศิลาแลแซกภูเขาออกก็ได้ ฉบับยินตุนนั้น แม้บังกายแลจะใช้อาวุธไปทำอันตรายผู้ใดก็ได้ แลตัวท่านได้พบยศศักดิ์แล้วแต่หารู้วิชาฉนี้ไม่ ท่านจงละสมบัติเสียไปถือศีลอยู่ในป่าแลภูเขากับข้าพเจ้าเถิด จะได้เรียนวิชาทั้งสามฉบับนี้ไว้ให้ชำนาญ
โจโฉจึงว่า อันวิชาฉนี้เราก็รักจะใคร่เรียนอยู่ แต่จะไปนั้นไม่ได้เพราะราชการบ้านเมืองมากมาย ยังไม่มีผู้ใดจะรับธุระแทนตัวเราได้ โจจู๋ได้ฟังจึงหัวเราะแล้วว่า เล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนก็มีสติปัญญา แล้วเปนเชื้อวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้ เหตุใดท่านจึงไม่มอบราชการบ้านเมืองให้ แม้ท่านขัดขืนไม่ทำตามคำเรา ๆ จะสำแดงวิชาใช้อาวุธให้ตัดสีสะท่านเสีย
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงร้องสั่งทหารว่า อ้ายคนนี้พวกเล่าปี่มันแกล้งมาสอดแนมราชการในเมืองเรา ให้จับตัวมันไว้ ทหารโจโฉประมาณสามสิบก็กลุ้มกันเข้ามัดผูกโจจู๋ แล้วตีด้วยอาวุธเปนอันมาก โจจู๋ทำนอนหลับตาหัวเราะอยู่ โจโฉให้เอาคามาจำ แล้วลงพืดโจจู๋ให้มั่นคง แล้วให้ทหารพิทักษ์รักษาอยู่เปนอันมาก ครั้นเพลาเช้าผู้คุมเห็นคาแลพืดเหล็กนั้นออกกองอยู่สิ้น ตัวโจจู๋นั้นนอนเปนปรกติอยู่ จึงเอาเนื้อความมาบอกให้กราบทูลพระเจ้าวุยอ๋อง
โจโฉได้ฟังดังนั้น จึงสั่งให้ขังโจจู๋ไว้ถึงเจ็ดวัน อดเข้าอยู่ในคุกนั้น ผู้คุมจึงคิดว่า โจจู๋อดเข้าน้ำถึงเจ็ดวัน จะมิตายแล้วหรือ จึงเปิดประตูคุกเข้าไปดู เห็นโจจู๋นั่งหัวเราะสบายอยู่ ผู้คุมคิดสงสัย แล้วไปบอกให้ทูลเนื้อความทั้งปวง โจโฉจึงให้เอาตัวโจจู๋ออกมาแล้วถามว่า จะทำสิ่งใดตัวจึงจะถึงแก่ความตาย โจจู๋จึงว่า ถึงมาทว่าจะอดอาหารอยู่สักสิบปีข้าพเจ้าก็ไม่ตาย แม้จะกินแพะพันตัวในวันเดียว ข้าพเจ้าหาเปนอันตรายไม่
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สิ้นความคิด ไม่รู้ที่จะทำประการใดให้โจจู๋ถึงแก่ความตายได้ ขณะนั้นเปนวันฤกษ์โจโฉขึ้นตำหนักใหม่ ให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมากินโต๊ะอยู่ โจจู๋จึงลุกขึ้นไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะกลางประชุมขุนนางทั้งปวง แล้วว่าแก่โจโฉว่า ท่านทำการใหญ่ถึงเพียงนี้ยังจะประสงค์ของสิ่งใดบ้างหรือ โจโฉจึงแกล้งว่า ของทั้งปวงของเราก็มีอยู่พร้อมแล้ว ยังขาดอยู่แต่ตับมังกรเราจะใคร่ได้ ท่านจงเร่งไปหามาให้เรา
โจจู๋ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วเรียกเอาพู่กรรณ์มาเขียนเปนรูปมังกรลงไว้ที่ฝาผนัง แล้วเอามือเสื้อปัดไป ท้องมังกรนั้นก็แตกออกไป โจจู๋ก็หยิบเอาตับมังกรออกมาให้โจโฉ โลหิตก็ยังติดสดอยู่เห็นประจักษ์ด้วยกันทั้งสิ้น โจโฉตวาดเอาแล้วว่า เราหาเชื่อไม่ ตัวหากแกล้งทำกลอุบายเอาตับสัตว์ใด ๆ มาซ่อนไว้ในมือเสื้อ โจจู๋จึงตอบว่า ท่านไม่เชื่อก็แล้วไปเถิด บัดนี้เปนเทศกาลเดือนอ้ายขาดฤดูดอกไม้ทั้งปวง แม้ท่านจะต้องประสงค์ดอกไม้สิ่งใด ข้าพเจ้าจะเอามาให้
โจโฉจึงว่า เราจะใคร่ได้ดอกไม้โบตั๋น ท่านจงเร่งเอามาให้เรา โจจู๋จึงให้เอากระถางใส่ดินมา แล้วเษกน้ำรด บัดเดี๋ยวหนึ่งต้นโบตั๋นก็งอกขึ้นมา ผลิดอกออกสองดอก โจจู๋ก็ยกกระถางต้นไม้เข้ามาให้โจโฉ ๆ แลขุนนางทั้งปวงเห็นประหลาทดังนั้นก็แลดูกันตะลึงอยู่ โจโฉจึงว่า อันต้นโบตั๋นนี้ปลูกยากนัก แม้ผู้ใดจะปลูก ก็ให้ปลูกต้นไม้ดอกอื่น ๆ ครบร้อยสิ่ง จึงเอาต้นโบตั๋นนั้นปลูกท่ามกลางจึงจะเปน แลต้นไม้ทั้งร้อยสิ่งนั้น ก็ผันดอกเข้าไปหาตันโบตั๋นสิ้น แล้วโจโฉก็เชิญโจจู๋เข้ากินโต๊ะด้วยขุนนางทั้งปวง
ขณะเมื่อโจจู๋เสพย์สุราอยู่นั้นจึงว่า ทำไฉนจะได้ขิงสดมากินแกล้มเหล้า โจโฉจึงว่า ท่านมีความรู้จงทำขิงมาให้ได้ โจจู๋จึงให้เอาถาดมาใบหนึ่ง ถอดเอาเสื้อของตัวคลุมถาดลงไว้ บัดเดี๋ยวก็เปิดเสื้อขึ้น บันดาลเปนขิงสดเต็มถาด แล้วยกเอาไปให้โจโฉ ๆ เห็นหนังสือฉบับหนึ่งวางอยู่บนถาด มีสารบานว่าบังเต๊ก แล้วโจโฉก็หยิบมาดูจำลายมือได้ จึงคิดว่าหนังสือฉบับนี้ของเราแต่งเอง เราฉีกเสียแต่ครั้งเตียวสงซึ่งมาแต่เมืองเสฉวน เหตุใดจึงมาเปนฉบับดีอยู่นี่น่าสงสัยนัก โจจู๋จึงหยิบเอาจอกหยกรินสุราคำนับยื่นให้โจโฉแล้วว่า เชิญพระเจ้าวุยอ๋องเสวยสุรานี้เข้าไปเถิด อายุจะยืนได้พันปี
โจโฉจึงว่า ให้ท่านกินเข้าไปก่อนเถิด โจจู๋จึงชักเอาปิ่นปักผมมาคั่นกลางถ้วยสุราไว้ครึ่งหนึ่ง จึงดื่มเหล้าเข้าไป แลถ้วยสุราก็เปล่าอยู่ซีกหนึ่ง มีสุราอยู่เพียงปิ่นคั่น แล้วก็เอาถ้วยสุรายื่นให้โจโฉ
โจโฉเห็นประหลาทดังนั้น ก็ตวาดเอาโจจู๋ ๆ ก็เอาจอกสุราปาเอาโจโฉ จอกหยกนั้นก็กลายเปนนกกระเรียนร่อนอยู่บนสีสะโจโฉ ขุนนางทั้งปวงเห็นประหลาทก็ตกใจ ต่างคนต่างพิศดูนกนั้น ครั้นแลลงมาก็ไม่เห็นโจจู๋ ก็ยิ่งสงสัยเปนอันมาก พอทหารเข้ามาบอกว่า โจจู๋หนีออกไปนอกประตูแล้ว โจโฉจึงว่า โจจู๋มีเล่ห์กะเท่ห์แลอาคมต่าง ๆ ถ้าเราละมันไว้ มันก็จะทำอันตรายแก่เรา จำจะคิดอ่านฆ่าเสียให้ได้ แล้วให้เคาทูคุมทหารสามร้อยไปจับตัวโจจู๋
เคาทูคุมทหารรีบตามไปถึงกลางป่า เห็นโจจู๋เดิรเปนปรกติไป เคาทูกับทหารทั้งปวงก็ควบม้าตามไปพักหนึ่ง แทบจะสิ้นกำลังม้าก็ไม่ทัน เห็นโจจู๋เดิรเปนปรกติอยู่ดังเก่า ครั้นไปถึงเนินเขาแห่งหนึ่ง พอเด็กต้อนฝูงแพะออกมาเลี้ยง โจจู๋จึงเข้าไปในฝูงแพะนั้น เคาทูเห็นก็เอาเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปเปนหลายดอก โจจู๋นั้นก็หายตัวไป เคาทูโกรธจึงให้จับแพะฝูงนั้นมาฆ่าเสียสิ้น ศพแพะเกลื่อนอยู่ แล้วพาทหารกลับมาทูลเนื้อความแก่พระเจ้าวุยอ๋องทุกประการ
ฝ่ายเด็กเลี้ยงแพะเห็นแพะนั้นตายสิ้น ก็เปนทุกข์นั่งร้องไห้อยู่ พอได้ยินเสียงคนในสีสะแพะร้องมาว่า อย่าร้องไห้ไปเลย จงเอาสีสะแพะกับตัวแพะมาประสมกันเข้าเถิด แพะของเองก็จะเปนขึ้นมา เด็กเลี้ยงแพะได้ยินก็ตกใจ คิดว่าปีศาจหลอก ก็เอามือปิดตาวิ่งร้องไห้ไป โจจู๋ออกจากสีสะแพะหวังจะให้แพะนั้นเปนขึ้น จึงตามไปร้องบอกเด็กว่า เร่งกลับมาลำดับสีสะเข้าเถิด แพะก็จะเปนขึ้นมาดังเก่า เด็กนั้นเหลียวมาเห็นโจจู๋ก็ค่อยคลายใจ จึงกลับมาเอาสีสะแพะลำดับกันเข้า แพะนั้นก็เปนขึ้นมาสิ้น
แต่ก่อนนั้นแพะตัวเมียไม่มีเขาแลหนวด เมื่อเด็กลำดับเข้านั้นมิได้พิจารณา สีสะแพะตัวผู้ลำดับเข้ากับแพะตัวเมีย สีสะแพะตัวเมียลำดับเข้ากับตัวผู้ แพะตัวเมียจึงมีเขาแลหนวดจนทุกวันนี้ เมื่อแพะเปนขึ้นแล้ว โจจู๋ก็หายไป เด็กเลี้ยงแพะก็ตกใจ จึงต้อนแพะกลับเข้าไปบ้าน แล้วเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่นาย ๆ เด็กเลี้ยงแพะรู้ดังนั้นก็เข้าไปบอกให้ทูลพระเจ้าวุยอ๋องตามคำเด็กเลี้ยงแพะ บอก
โจโฉแจ้งดังนั้นก็ให้ช่างเขียน ๆ รูปโจจู๋เสียจักษุข้างขวาเท้าพิการข้างหนึ่ง แล้วแต่งหนังสือส่งรูปโจจู๋ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดเห็นรูปดังนี้ก็ให้จับส่งมา จะปูนบำเหน็จเปนอันมาก บันดาหัวเมืองเห็นคนเหมือนรูปที่เขียนมา ก็จับส่งเข้าไปให้โจโฉเมืองละเก้าคนสิบคนถึงสามร้อยเศษ
โจโฉเห็นรูปคนทั้งนั้นเหมือนรูปโจจู๋ โจโฉก็คุมทหารออกมานอกเมือง ให้เอาคนทั้งสามร้อยมามัดเข้า ให้เอาโลหิตสุกรแลสัตว์ทั้งหลายมารดสาดคนโทษ หวังจะให้มนตร์นั้นเสื่อม แล้วให้ทหารตัดสีสะคนทั้งสามร้อยเศษเสียสิ้น คนทั้งนั้นก็นั่งอยู่แต่ตัวเปล่าหาสีสะมิได้ แลโลหิตนั้นกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ กลายเปนคนขี่นกกระเรียนประมาณสามร้อยเศษ นกนั้นก็บินร่อนอยู่ คนซึ่งขี่นกก็ตบมือร้องเยาะเย้ยโจโฉอยู่อื้ออึง โจโฉเห็นดังนั้นก็โกรธ จึงให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงขึ้นไป
ขณะนั้นบังเกิดลมพายุใหญ่พัดหนักมา หอบเอาผงคลีฟุ้งตลบมืดมัว แลรูปคนซึ่งฆ่าเสียนั้น ก็ลุกขึ้นเดิรแต่ตัวหิ้วเอาสีสะวิ่งวุ่นเข้ามาตีโจโฉ ๆ ล้มอยู่ ขุนนางทั้งปวงเห็นก็ตกใจ เอามือปิดตาร้องกรีดกราดอื้ออึงไป ครั้นพายุสงบลง ซากศพทั้งนั้นก็หายไป แลโจจู๋ก็ยังเปนอยู่ แต่ไปจากเมืองเงียบกุ๋น
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงช่วยกันพยุงโจโฉกลับเข้ามาถึงตำหนักแล้ว โจโฉนั้นก็ป่วยหนักไป พอเคาจีซึ่งเปนโหรมาเยี่ยมแต่เมืองฮูโต๋ โจโฉให้หาเข้ามาแล้วว่า ท่านจงช่วยดูเคราะห์เราจะดีหรือร้าย เคาจีจึงว่า ท่านรู้จักกวนลอหรือไม่ อันกวนลอนั้นรู้ตำราดูชำนาญยิ่งกว่าข้าพเจ้า โจโฉจึงถามว่ากวนลอนั้นดีอย่างไร
เคาจีจึงว่า กวนลอเปนชาวเมืองเปงหงวน เมื่อเด็กมักเสพย์สุราแลเรียนดูฤกษ์ ครั้นใหญ่มาได้ตำราจิวก๋งไว้ จึงชำนาญดูเคราะห์โศกป่วยไข้ แม้ผู้ใดจะตายก็รู้ แลครั้งหนึ่งอองกี๋เจ้าเมืองอันเป๋งนั้นภรรยาป่วยให้ปวดสีสะ บุตรนั้นให้เจ็บในอกอยู่เปนอัตรา ก็ให้หากวนลอมาดู กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ที่อยู่ของท่านนี้มีศพชายอยู่สองศพ ศพหนึ่งถือทวน ศพหนึ่งถือเกาทัณฑ์ ศพซึ่งถือทวนนั้น ผนังตึกท่านทับสีสะอยู่ จึงพะเอิญให้ภรรยาท่านปวดสีสะ อันบุตรซึ่งป่วยอยู่ในอกนั้น เพราะเหตุว่าศพซึ่งถือเกาทัณฑ์อยู่ในล่องถุน อองกี๋จึงให้รื้อผนังตึก แล้วให้ขุดลงไปลึกประมาณสี่ศอก ได้ศพสองศพเหมือนคำกวนลอ อองกี๋จึงให้เอาศพไปฝังไว้ที่อื่น ภรรยากับบุตรก็หายป่วย แลหญิงคนหนึ่งโคหายให้กวนลอดู กวนลอบอกว่าโคนั้นผู้ร้ายเจ็ดคนลักไปฟากข้างโน้น บัดนี้มันฆ่าเสียแล้ว ยังแต่กระดูกกับหนังทิ้งไว้ริมรั้วบ้านมัน หญิงนั้นก็ข้ามไปดู เห็นหนังกับกระดูกทิ้งอยู่ จึงเยี่ยมเข้าไปดูเห็นผู้ร้ายเจ็ดคนเอาเนื้อโคทำแกล้มเหล้าอยู่ จึงไปบอกเล่าปินเจ้าเมืองเพงงวนก้วน เล่าปินก็ไปจับเอาผู้ร้ายเจ็ดคนมา พิจารณาเปนสัตย์แล้ว จึงถามหญิงเจ้าของโคว่า เหตุใดตัวจึงรู้ว่าผู้ร้ายเหล่านี้ลักโคไป หญิงนั้นก็บอกว่า กวนลอดูให้ข้าพเจ้าจึงรู้ เล่าปินจึงให้หาตัวกวนลอมา แล้วแกล้งเอาตราออกเสียจากหีบ เอาขนไก่ใส่ไว้เต็มหีบ จึงยกออกมาแล้วให้กวนลอทายว่าสิ่งใดอยู่ในหีบ กวนลอจึงทำนายว่า ขนไก่แดงเท่านั้น ขนไก่ดำเท่านั้น ขาวเท่านั้น เล่าปินเปิดออกนับดูก็สมเหมือนคำกวนลอ เล่าปินนับถือกวนลอ ตั้งกวนลอไว้เปนที่ปรึกษา
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งกวนลอไปเที่ยวเล่น เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งรูปงามไถนาอยู่ กวนลอพิจารณาดูก็รู้ว่าจะถึงแก่ความตาย จึงถามเด็กหนุ่มว่าตัวท่านชื่อใด เรามีใจเอนดูด้วยรูปงาม แต่อายุจะสิ้นเสียแล้ว ยังอีกสามวันท่านก็จะตาย เด็กหนุ่มได้ฟังจึงบอกว่าชื่อเตียวหงัน แล้วถามว่าตัวท่านชื่อไร เหตุใดจึงรู้ว่ายังอีกสามวันข้าพเจ้าจะตาย กวนลอจึงบอกว่าเราชื่อกวนลอแล้วว่า ซึ่งเรารู้นั้นเพราะเห็นขนร้ายแซมขนคิ้วท่านขึ้นมาเราจึงบอก เตียวหงันก็ตกใจจึงรีบไปหาบิดาบอกเนื้อความตามคำกวนลอ บิดานั้นก็ตกใจจึงพาบุตรไปหากวนลอแล้วว่า ท่านผู้วิเศษจงช่วยบุตรข้าพเจ้าให้รอดด้วย กวนลอจึงตอบว่า อันเราจะช่วยนั้นไม่ได้ ด้วยกำหนดอายุเขาเปนมาเอง บิดาเตียวหงันจึงร้องไห้อ้อนวอนว่า ข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว คิดว่าจะได้ฝากผี บัดนี้จะมาถึงความตาย ข้าพเจ้าจะเห็นหน้าผู้ใดสืบไปเล่า ท่านผู้มีความรู้จงเอนดูข้าพเจ้าช่วยคิดอ่านแก้ไขให้สืบอายุเตียวหงันไว้ จะได้แทนตัวข้าพเจ้า
กวนลอได้ฟังมีใจสงสารจึงว่า ท่านจะให้สืบอายุแล้ว จงเอาสุราขวดหนึ่งกับเนื้อก้อนหนึ่งไป ณ เขาลำสัน มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีศิลาใหญ่เปนแท่นอยู่ใต้ต้นไม้นั้น แม้เห็นคนชราทั้งสองใส่เสื้อขาวคนหนึ่งใส่เสื้อแดงคนหนึ่ง นั่งเล่นหมากรุกอยู่บนแท่นศิลา ต่อเวลาเที่ยงท่านจงเอาสุรากับเนื้อให้กิน แล้วอ้อนวอนขออายุสืบไป แม้คนชราทั้งสองจะถามว่าผู้ใดบอกมา ท่านอย่าได้บอกชื่อเรา บิดาเตียวหงันได้ฟังก็ค่อยคลายใจ จึงชวนกวนลอมาบ้านแล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงดู ในเวลากลางคืนนั้นก็ชวนกวนลอไว้นอนด้วย
ครั้นรุ่งเช้าเตียวหงันเอาสุราขวดหนึ่ง กับเนื้อก้อนหนึ่งรีบไปทางประมาณห้าสิบเส้นถึงเขาลำสันเห็นต้นไม้ใหญ่ ใต้ร่มไม้นั้นเห็นคนชราสองคนนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่บนแท่นศิลา เตียวหงันจึงเอาสุรากับเนื้อคำนับแล้วมิได้ว่าประการใด ครั้นเพลาเที่ยงเตียวหงันจึงรินสุราฉีกเนื้อนั้นวางไว้ คนชราทั้งสองเล่นหมากรุกเพลินอยู่ แล้วก็ชวนกันเสพย์สุราจนสิ้น เตียวหงันเห็นดังนั้นก็ร้องไห้อ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าจะขอสืบอายุต่อไป ท่านทั้งสองจงมีใจเอนดูข้าพเจ้า คนชราซึ่งใส่เสื้อแดงได้ฟังก็ตกใจ จึงว่ากวนลอบอกมาเปนมั่นคง จึงปรึกษากันว่า เราได้กินของเขาเข้าไปแล้ว ครั้นจะไม่ช่วยก็ไม่สมควร คนชราซึ่งใส่เสื้อขาวนั้นเห็นชอบด้วย จึงเอาบาญชีคนในมือเสื้อออกมาดู เห็นชื่อเตียวหงันนั้นกำหนดตายสิบเก้าปี จึงว่าอายุของท่านก็ครบสิบเก้าปีแล้ว ยังอีกสองวันก็จะตาย เราจะช่วยแถมตัวเก้าใส่ลงแทนตัวสิบ ให้สืบอายุไปเก้าสิบเก้าปีจึงตาย แล้วเขียนตัวเก้าใส่ลงในบาญชี จึงสั่งไปถึงกวนลอว่า การทั้งนี้อย่าได้บอกแก่ผู้ใดสืบไป แล้วคนชราทั้งสองนั้นก็กลายเปนนกบินไปจากแท่นศิลา
เตียวหงันมีความยินดี ก็กลับมาบอกเนื้อความทั้งปวงแก่กวนลอทุกประการ แล้วถามกวนลอว่า คนชราทั้งสองนั้นผู้ใด กวนลอจงบอกว่า ซึ่งใส่เสื้อแดงนั้น คือเทพดาฝ่ายใต้ สำหรับถือบาญชีคนทั้งปวงซึ่งเอากำเนิด อันใส่เสื้อขาวนั้น คือเทพดาฝ่ายเหนือ สำหรับถือบาญชีคนทั้งปวงกำหนดอายุคนซึ่งจะถึงแก่ความตาย ครั้นบอกเท่านั้นแล้วจึงห้ามว่า ตัวท่านพ้นทุกข์แล้ว อย่าถามต่อไปเลย กวนลอก็ลาบิดาเตียวหงันมาที่อยู่ แต่นั้นกวนลอกลัวตายมิได้เรียนความรู้ต่อไปเลย เคาจีจึงว่า บัดนี้กวนลออยู่ ณ เมืองเพงงวนก้วน ท่านจงให้หามาดูก็จะแจ้งประจักษ์ว่าเคราะห์ดีแลร้าย
โจโฉได้ฟังก็มีความยินดี จึงแต่งคนไป ณ เมืองเพงงวนก้วนหาตัวกวนลอมา แล้วโจโฉให้ดูเคราะห์ว่า ดีหรือร้ายหนักหรือเบา กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เปนแต่คนมีความรู้คนองทำเล่ห์กะเท่ห์ต่าง ๆ อย่าวิตกเลยเห็นหาเปนไรไม่ โจโฉได้ฟังก็เห็นจริง ซึ่งป่วยนั้นก็คลาย แล้วถามว่าท่านจงดูว่า เมืองจะดีหรือร้ายประการใด
กวนลอจึงทำนายเปนคำโคลงว่า ฝูงสุกรเที่ยวซ่อนอยู่ในป่า เสือโคร่งตัวกล้าไล่กระจัดพลัดพราย จะมีศึก ณ เขาเตงกุนสัน ท่านจะเสียแขนซ้ายข้างหนึ่ง ข้อหนึ่งคือทหารเอกแลพี่น้องของท่านจะตายก็ว่าได้ โจโฉจึงว่า การดูนี้ท่านชำนาญนัก เราจะตั้งให้เปนโหร กวนลอจึงว่า ข้าพเจ้านี้บุญน้อยนัก ควรแต่เที่ยวอยู่ในถํ้าธารแลป่าเขา บำราบได้แต่ปิศาจแลโขมดป่า อันจะอยู่ในเมืองหลวงบังคับผู้คนนั้นไม่ได้ โจโฉจึงว่า ท่านจงดูชะตาเราว่าจะมีบุญขึ้นไปอีกหรือไม่
กวนลอจึงว่า ท่านก็มีบุญเปนถึงพระเจ้าวุยอ๋อง เสมอพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ฉนี้แล้ว ซึ่งจะให้ดูขึ้นไปอีกนั้นสิ้นตำราแล้ว โจโฉจึงว่า ท่านจงดูขุนนางทั้งปวงซึ่งนั่งพร้อมกันอยู่ในที่นี้ เห็นผู้ใดจะดีแลร้ายบ้าง กวนลอหัวเราะแล้วว่า อันขุนนางทั้งปวงนี้แต่ล้วนมีสติปัญญาควรเปนข้าราชการอยู่สิ้น
โจโฉจึงว่า ท่านจงพิเคราะห์ดูเมืองเสฉวนกับเมืองกังตั๋ง จะตั้งเปนปรกติอยู่หรือไม่ กวนลอพิเคราะห์ดูแล้วว่า เมืองกังตั๋งนั้นจะเสียทหารเอกคนหนึ่ง อันเล่าปี่เจ้าเมืองเสฉวนนั้น ก็ยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋ง ซึ่งจะว่าเปนปรกตินั้นยังไม่ได้ โจโฉไม่เชื่อ พอม้าใช้เมืองหับป๋าถือหนังสือมาบอกว่าโลซกทหารเอกเมืองกังตั๋งถึงแก่ความ ตายแล้ว อนึ่งม้าใช้ถือหนังสือมาแต่เมืองฮันต๋ง บอกข่าวราชการมาถึงพระเจ้าวุยอ๋องว่า เล่าปี่ให้เตียวหุยม้าเฉียวอยู่รักษาเมืองปาเส เห็นจะเข้ามาทำอันตรายด่านเมืองฮันต๋ง
โจโฉแจ้งดังนั้นก็โกรธ จัดแจงทหารจะยกไปช่วยเมืองฮันต๋ง จึงให้กวนลอหาฤกษ์ซึ่งจะยกกองทัพไป กวนลอดูแล้วจึงว่า ซึ่งจะยกไปครั้งนี้ยังไม่ได้ ด้วยจวนเข้าปีใหม่อยู่แล้ว ในเมืองฮูโต๋นั้นจะเกิดเพลิงใหญ่หลวงนัก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้งดกองทัพไว้ จึงจัดทหารห้าหมื่นให้โจหองยกไปช่วยแฮหัวเอี๋ยนกับเตียวคับรักษาเมืองฮันต๋ง ไว้ให้มั่นคง ให้แฮหัวตุ้นคุมทหารสามหมื่นเปนกองรับใช้ ไปบอกข่าวราชการในเมืองฮูโต๋อย่าให้ขาด แล้วให้อองปิดบังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋
สุมาอี้นายบาญชีจึงทูลพระเจ้าวุยอ๋องว่า ซึ่งจะให้อองปิดบังคับบัญชาทหารในเมืองฮูโต๋นั้นไม่ได้ ด้วยอองปิดมักเสพย์สุราหยาบช้าดุดันอยู่ โจโฉจึงตอบว่า อองปิดนี้ได้เปนเพื่อนยากติดตามเรามาแต่ก่อน นํ้าใจก็สัตย์ซื่อนัก ควรจะให้ไปบังคับนายทหารในเมืองฮูโต๋ได้ นายทหารทั้งสามคนก็ยกไปตามโจโฉสั่ง แลอองปิดนั้นครั้นมาถึงเมืองฮูโต๋แล้วก็ตั้งจวนอยู่ข้างประตูทิศตวันออก
ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้มาอยู่เมืองฮูโต๋ได้ยี่สิบสามปีแล้ว (พ.ศ. ๗๖๑) ครั้นเดือนสามเข้าปีใหม่ เกงจีซึ่งแต่ก่อนนั้นเปนขุนหมื่นอยู่ในบังคับบัญชาโจโฉ แล้วเกงจีได้เลื่อนที่เปนขุนนางในทำเนียบ มีใจสามิภักดิ์ต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ แลเกงจีนั้นมีเพื่อนรักคนหนึ่ง เปนขุนนางชื่ออุยหลง เกงจีจึงเชิญอุยหลงมาปรึกษากันที่สงัดว่า โจโฉทำการหยาบช้าเปนศัตรูราชสมบัติ บัดนี้ตั้งตัวเปนเจ้าวุยอ๋อง นานไปมันจะชิงเอาราชสมบัติเปนมั่นคง เราคิดจะให้แผ่นดินเปนสุขสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านจะคิดเห็นประการใดจึงจะกำจัดโจโฉเสียได้
อุยหลงจึงว่า เรามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งชื่อกิมหัน เปนเชื้ออุปราชมาแต่ก่อน แลกิมหันก็ได้ออกปากไว้แก่เราว่า โจโฉนั้นทำการหยาบช้า กิมหันคิดจะกำจัดโจโฉเสีย แต่ยังหาได้ทีไม่ กิมหันนั้นเปนเพื่อนรักกับอองปิด ซึ่งโจโฉให้บังคับนายทหารอยู่ในเมืองหลวง เราจะว่ากับกิมหันให้ไปชักชวนเกลี้ยกล่อมอองปิด แม้อองปิดปลงใจด้วย การก็จะสำเร็จโดยง่าย
เกงจีจึงว่า กิมหันนั้นเปนเพื่อนรักกับอองปิด เห็นกิมหันจะไม่เปนใจว่ากล่าว ประการหนึ่งอองปิดก็เปนทหารเอกของโจโฉ อุยหลงจึงว่า เราจะพากันไปพูดจาดูท่วงทีกิมหันก่อน แล้วก็พากันไป ณ บ้านกิมหัน ๆ ออกมารับเกงจีกับอุยหลงขึ้นไปนั่งบนตึกที่สงัด ถ้อยทีถ้อยคำนับกัน อุยหลงจึงแกล้งแต่งกลอุบายว่า เรามาหาท่านนี้เพราะมีประสงค์จะใคร่ว่าเนื้อความข้อหนึ่ง แต่เกรงว่าท่านจะไม่เอนดู กิมหันจึงว่าจงว่าไปเถิด
อุยหลงจึงว่า เรากับท่านได้เปนเพื่อนสนิธกันมา ตัวท่านเล่าก็เปนเพื่อนรักกับอองปิด บัดนี้เราเห็นพระเจ้าวุยอ๋องจะได้ครองราชสมบัติแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่แล้ว แลอองปิดเปนข้าหลวงเดิม ก็จะเสนอความชอบ ตั้งแต่งท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ ตัวเราจึงมาหาท่าน หวังจะให้ช่วยทำนุบำรุงเราด้วย
กิมหันได้ฟังก็โกรธลุกขึ้นตวาดเอา พอคนใช้ยกนํ้าชาเข้ามา กิมหันหยิบเอาป้านน้ำชานั้นเทเสียแล้วว่า จะให้กินนั้นจะเอาประโยชน์สิ่งใด อุยหลงเห็นดังนั้นก็ทำเปนโกรธ แกล้งซ้ำว่าตัวเราคิดว่าท่านได้ดีขึ้น จึงอุตส่าห์บ่ายหน้ามาหาหวังจะฝากตัวกับท่านสืบไป ยังไม่ทันไรท่านมาดูหมิ่นผลักหน้าเราเสียให้ได้ความอัปยศแก่คนใช้ของท่าน
กิมหันจึงว่า ใช่เราจะไม่คิดถึงท่านนั้นหามิได้ แต่เราน้อยใจด้วยท่านรู้อยู่ว่า โจโฉนั้นเปนศัตรูราชสมบัติ ควรหรือยังมายกยอมัน อนึ่งตัวท่านก็เปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ท่านไม่คิดสนองพระคุณให้ปรากฎไว้ ซึ่งจะมาตั้งใจคอยพึ่งบุญโจโฉนั้นเราหานับถือว่าเปนเพื่อนไม่
อุยหลงกับเกงจีเห็นดังนั้น ก็คิดว่ากิมหันนี้มีกตัญญูต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ อุยหลงจึงว่า ตัวเราพาเกงจีมานี้หวังจะชวนท่านกำจัดโจโฉเสีย จะช่วยกันบำรุงแผ่นดินสืบไป ครั้นจะบอกท่านโดยจริงก็เกรงอยู่ จึงแกล้งกล่าวอุบายถามหวังจะดูใจท่าน บัดนี้เราเห็นความสัตย์ซื่อท่านแล้ว จงดับความโกรธเสียเถิด
กิมหันจึงว่า ปู่แลบิดาเราก็เปนข้าราชการต่อ ๆ มาจนถึงตัวเรา ๆ หรือจะเปนขบถไปเข้าด้วยอ้ายศัตรูแผ่นดินนั้นหามิได้ ซึ่งท่านทั้งสองคิดจะกำจัดมันเสียนั้นเราก็ยินดีด้วย แต่ท่านจะทำประการใดจึงจะสำเร็จ อุยหลงจึงตอบว่า เราคิดอยู่แต่จะกำจัดโจโฉเสียให้ได้ ซึ่งจะทำกลอุบายนั้นเรายังมิได้คิดต่อไป
กิมหันจึงว่า ตัวเราเปนเพื่อนกับอองปิดก็จริง แต่จะไว้ใจมันไม่ได้ เราคิดจะทำกลอุบายฆ่าอองปิดเสีย ชิงเอาตราสำหรับที่นั้นมาไว้จะได้บังคับนายทหารสืบไป แล้วเราจะแต่งหนังสือรับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปถึงเล่าปี่ให้ยกกองทัพมาตี เมืองเงียบกุ๋น เราจะคุมทหารเปนไส้ศึกตีกระหนาบออกไปเห็นจะจับตัวโจโฉได้โดยง่าย
อุยหลงเกงจีได้ฟังก็มีใจยินดี ตบมือหัวเราะแล้วว่า ท่านคิดดีนัก กิมหันจึงว่าเรามีเพื่อนอยู่อีกสองคน แลคนทั้งสองมีใจเจ็บแค้นเปนอันมาก ด้วยโจโฉฆ่าบิดาแลพี่น้องเสีย เราจะชวนคนทั้งสองมาร่วมคิดกัน เกงจีจึงถามว่าชื่อใด กิมหันจึงบอกว่า พี่ชายนั้นชื่อเกียดเมา น้องชายนั้นชื่อเกียดบก เปนบุตรเกียดเป๋งหมอ ซึ่งโจโฉฆ่าเสียกับตังสิน เกียดเมาเกียดบกหนีออกไปอยู่หัวเมือง บัดนี้เข้ามาซุ่มอยู่บ้านนอกแขวงจังหวัดเมืองฮูโต๋ แม้เราให้ไปชวนก็เห็นจะมาทำการด้วย เพราะใจนั้นพยาบาทโจโฉอยู่
อุยหลงเกงจีเห็นชอบด้วย กิมหันจึงกำหนดวันให้อุยหลงเกงจีมาพร้อมกัน แล้วให้คนใช้รีบไปหาตัวเกียดเมาเกียดบกเข้ามา แลอุยหลงเกงจีก็มาพร้อมกัน กิมหันจึงบอกเนื้อความให้ตามซึ่งคิดไว้ เกียดเมาเกียดบกได้ฟังก็ร้องไห้แล้วว่า บิดาเราก็ตายเพราะโจโฉ พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อนเราก็มีใจเจ็บแค้นอยู่ แม้ท่านคิดดังนี้เราก็จะร่วมคิดด้วย แล้วสาบาลว่าตัวเราพี่น้องจะขอฆ่าโจโฉเสียจะได้แก้แค้น
กิมหันจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจะช่วยคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียให้ได้ แล้วให้สัญญาว่า เมื่อถึงเดือนสามขึ้นสิบห้าคํ่า เปนธรรมเนียมชาวเมืองทั้งปวงจุดโคมบูชา ขุนนางทั้งปวงแลหญิงชายเที่ยวเล่นในเวลากลางคืนอึ้ออึงเปนการมหรศพ ตัวเราจะเข้าไปหาอองปิด แล้วเราจะคุมพรรคพวกไปซุ่มอยู่ริมจวน แล้วอุยหลงเกงจีจงคุมบ่าวไพร่ซึ่งสนิธไปซุ่มซ่อนอยู่เปนสองกอง ถ้าเห็นแสงเพลิงเราจุดขึ้น ท่านจงลอบจุดต่อ ๆ ไป แล้วคุมพรรคพวกตีเข้ามาให้ถึงจวนอองปิด ท่านจงตามเราเข้าไปในวัง เราจะเชิญพระเจ้าเหี้ยนเต้ขึ้นอยู่บนปราสาทงอหองเหลา เราจึงจะปรึกษากับขุนนางทั้งปวงตามซึ่งคิดไว้ แล้วให้เกียดเมาเกียดบกซึ่งอยู่นอกกำแพงนั้นจุดเพลิงขึ้น จึงพาพรรคพวกตีเข้ามา ให้ร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ทำการทั้งนี้จะกำจัดศัตรูราชสมบัติเสีย ผู้ใดสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินก็ให้มาช่วยกัน แล้วเราจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้มีรับสั่งไปประกาศแก่ราษฎรทั้งปวงให้ เปนใจทำการด้วย แล้วจึงจะให้มีหนังสือรับสั่งไปให้หาเล่าปี่ยกกองทัพมาช่วย เราจึงจะยกไปจับโจโฉ ณ เมืองเงียบกุ๋น แลการทั้งปวงนี้เราจะต้องทำเปนการเร็ว แม้จะละไว้เปนการปี อันตรายก็จะมีแก่ตัวเราเหมือนตังสิน
ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันทั้งห้าคนแล้ว ก็แทงโลหิตออกปนสุราสาบาลต่อกัน ต่างคนต่างก็กินเข้าไป แล้วอุยหลงเกงจีเกียดเมาเกียดบกก็ลากิมหันกลับไปที่อยู่ แต่อุยหลงเกงจีจัดแจงบ่าวไพร่ได้คนละสามร้อยเศษ กับเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้ อันเกียดเมา เกียดบกชักชวนเพื่อนฝูงได้ประมาณสามร้อย ถืออาวุธสำหรับมือไปเที่ยวซุ่มไว้ในป่าริมเมือง ทำการประหนึ่งจะไล่เนื้อเพื่อมิให้คนนอกนั้นสงสัย
ฝ่ายกิมหันครั้นถึงวันขึ้นสิบสี่คํ่า จึงเข้าไปหาอองปิดคำนับแล้วกิมหันจึงว่าแก่อองปิดว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองก็เปนสุขเพราะบุญพระเจ้าวุยอ๋อง ปราบปรามข้าศึกศัตรูราบคาบ พรุ่งนี้เปนวันเข้าปีใหม่ ราษฎรเคยจุดโคมบูชา ขุนนางแลราษฎรชายหญิงทั้งปวงเคยเล่นเปนสุขมาแต่ก่อน ท่านจงป่าวร้องอาณาประชาราษฎรให้เล่นตามธรรมเนียมบ้านเมืองเถิด อองปิดเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารป่าวร้องบันดาชาวเมืองให้ทำตามการปี
ครั้นถึงวันสิบห้าคํ่าเวลากลางคืน ชาวเมืองจุดตามโคมรุ่งเรืองทุกตำบล ขุนนางใหญ่น้อยราษฎรชายหญิงทั้งปวง เที่ยวโห่เล่นร้องอื้ออึง บ้างเล่นกระจับปี่สีซอเปนการมหรศพแน่นไปทั่วทั้งเมืองหลวง อองปิดเห็นดังนั้นก็มีความยินดี ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารอยู่ในจวน
ฝ่ายกิมหันก็คุมพรรคพวกไปซุ่มอยู่ใกล้ประตูตวันออก อุยหลงเกงจีกับเกียดเมาเกียดบก ก็พาพรรคพวกไปซุ่มอยู่ตามสัญญา ครั้นเวลาสองยามกิมหันก็จุดเพลิงขึ้นเปนหลายตำบล อุยหลงเกงจีเห็นแสงเพลิงก็จุดต่อไป แล้วไล่ฆ่าฟันผู้คนเปนอลหม่าน เกียดเมาเกียดบกซึ่งอยู่นอกกำแพงเห็นดังนั้น ก็จุดเพลิงตีเข้ามาเปนสองด้าน แล้วร้องประกาศแก่ทหารชาวเมืองทั้งปวงว่า เราจะกำจัดศัตรูแผ่นดิน ผู้ใดจะเข้าด้วยให้เร่งมาทำการด้วยกัน ขุนนางซึ่งมีใจเจ็บแค้นก็มาเข้าด้วยเปนอันมาก
ฝ่ายอองปิดเห็นแสงเพลิงไหม้ใกล้จวนก็ตกใจ จึงขึ้นม้าหนีออกจากจวน พอพบเกงจีก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ อองปิดนั้นถูกเกาทัณฑ์แลอาวุธต่างๆ ตกม้าลงแล้วเผ่นขึ้นม้าซ้ำถูกอาวุธอีก ก็ตกม้าลงถึงสี่ครั้งห้าครั้ง อองปิดเห็นเหลือกำลังก็ขับม้าหนีไปถึงหน้าบ้านกิมหัน แล้วร้องเรียกกิมหันเข้าไป
ฝ่ายภรรยากิมหันได้ยินดังนั้นก็สำคัญว่ากิมหันเรียก จึงวิ่งไปหวังจะเปิดประตูรับ แล้วถามว่าได้สีสะอองปิดมาหรือไม่ อองปิดได้ฟังก็ตกใจ จึงคิดว่าเกิดเหตุทั้งนี้เพราะกิมหันจะทำร้ายเรา แล้วก็รีบขับม้าไป พอพบโจฮิวคุมทหารมาประมาณพันหนึ่ง อองปิดจึงบอกเนื้อความทั้งปวง โจฮิวได้ฟังก็พาทหารรีบไป เห็นเพลิงนั้นติดเข้ามาถึงประตูวังเปนหลายแห่ง แล้วไหม้ลามเข้าไปถึงประตูริมปราสาทงอหองเหลา จึงให้ทหารเข้าช่วยกันดับเพลิงวุ่นวายอยู่
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็หลบหลีกหนีเพลิงอยู่ในพระราชวัง แลเสียงคนทั้งปวงร้องประกาศอื้ออึงทั้งเมืองว่า เราจะกำจัดพวกศัตรูแผ่นดินเสีย จะบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้อยู่เย็นเปนสุข ขณะนั้นบันดาพี่น้องแลพรรคพวกโจโฉ ก็คุมกันเปนเหล่า ๆ มาตั้งรักษาประตูวังไว้ทุกตำบล
ฝ่ายแฮหัวตุ้นซึ่งโจโฉให้มาคอยเหตุอยู่นอกเมืองนั้น ครั้นเห็นแสงเพลิงในเมืองไหม้ขึ้น ก็ให้ทหารกองหนึ่งป้องกันเมืองฮูโต๋ แล้วให้ทหารกองหนึ่งเข้าไปดับเพลิง แลโจฮิวนั้นเห็นทหารแฮหัวตุ้นเข้ามาก็ดีใจ ขับทหารของตัวเข้าบัญจบดับเพลิง แลพวกโจโฉกับพวกซึ่งทำการเผาบ้านเมืองนั้นก็ฆ่าฟันล้มตายเปนอันมาก จนเวลารุ่งขึ้น
ฝ่ายอุยหลงเกงจีนั้นพรรคพวกก็เบาบางลง หาผู้ใดจะหนุนนั้นมิได้ พอบ่าวคนหนึ่งมาบอกว่า เหล่าทหารโจโฉฆ่ากิมหันเกียดเมาเกียดบกตายเสียแล้ว อุยหลงเกงจีก็ตกใจ จึงพาบ่าวไพร่ที่เหลืออยู่นั้นฝ่าหนีเพลิงออกไปถึงประตูเมือง พบแฮหัวตุ้นคุมทหารอยู่เปนอันมาก แฮหัวตุ้นเห็นประหลาทก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันบ่าวไพร่อุยหลงเกงจีเสีย แต่ตัวอุยหลงเกงจีนั้นแฮหัวตุ้นให้จับจำไว้เปนมั่นคง จึงคุมทหารเข้าไปช่วยดับเพลิงในเมืองเหือดแล้ว จึงให้เอาตัวอุยหลงเกงจีมาถามได้ความแล้ว ก็ให้ทหารไปจับครอบครัวแลพี่น้องอุยหลงเกงจีเกียดเมาเกียดบกกิมหันมาจำไว้ ทั้งสิ้น แฮหัวตุ้นจึงให้ม้าใช้ถือหนังสือไปทูลพระเจ้าวุยอ๋อง
โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงให้แต่งตราตอบไปเปนใจความว่า ให้แฮหัวตุ้นฆ่าอุยหลงเกงจีกับพรรคพวกครอบครัวแลพี่น้องอ้ายเหล่าร้ายห้าคน เสียให้สิ้น แล้วให้แฮหัวตุ้นเอาตัวบันดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยในเมืองฮูโต๋มา ณ เมือง เงียบกุ๋นเราจะพิจารณาเอง
แฮหัวตุ้นแจ้งในหนังสือแล้ว ก็ให้เอาอ้ายเหล่าร้ายมีชื่อห้าคนกับพรรคพวกครอบครัวไปฆ่าเสียสิ้น แล้วเอาอุยหลงเกงจีมาจะฆ่าเสีย อุยหลงเกงจีก็มิได้ย่อท้อ ด่าโจโฉมิได้ขาดปาก จนทหารลงดาบถึงแก่ความตาย แล้วแฮหัวตุ้นก็ไปจับเอาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบันดาอยู่ในเมืองฮูโต๋ส่งไป เมืองเงียบกุ๋น
โจโฉจึงให้เอาตัวขุนนางทั้งนั้นมาณท้องสนาม ก็ให้เอาธงแดงปักคันหนึ่ง เอาธงขาวปักไว้คันหนึ่ง ไกลกันประมาณสิบเส้น แล้วโจโฉจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่ออ้ายเหล่าร้ายห้าคนคบคิดกันเผาเมืองฮูโต๋ขึ้นนั้น ขุนนางผู้ใดซึ่งได้ไปช่วยดับเพลิงนั้นก็ให้ชวนกันไปข้างธงแดง ผู้ซึ่งมิได้ไปช่วยดับเพลิงนั้นก็ให้พากันไปข้างธงขาว
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังโจโฉว่าดังนั้น ต่างคนต่างคิดว่า โจโฉให้ทำทั้งนี้หวังจะเอาโทษผู้ซึ่งมิได้มาช่วยดับเพลิง จึงพากันไปอยู่ข้างธงแดงถึงสามส่วนสี่ส่วน แต่ขุนนางซึ่งมีใจสัตย์ซื่อ ไม่ได้มาช่วยดับเพลิงนั้นก็เข้าอยู่ข้างธงขาวประมาณส่วนหนึ่ง
โจโฉเห็นดังนั้นจึงว่า บันดาผู้ไปช่วยดับเพลิงนั้น มิได้ไปโดยสุจริต ไปเพราะจะเข้าด้วยอ้ายพวกขบถ หวังจะบัญจบกันมาทำร้ายเรา แล้วให้เอาตัวขุนนางประมาณสามร้อยเศษ ซึ่งไปอยู่ข้างธงแดงนั้น ไปฆ่าเสียริมแม่น้ำเซียงโห แล้วว่าขุนนางซึ่งไปอยู่ข้างธงขาวนั้นมีใจสัตย์ซื่อต่อเรา ให้บำเหน็จตามสมควร แล้วให้คงที่เปนขุนนางกลับไปเมืองฮูโต๋
ขณะนั้นพอมีหนังสือโจฮิวบอกมาเปนใจความว่า อองปิดนั้นต้องอาวุธบาดเจ็บเปนหลายแห่ง แผลเกาทัณฑ์นั้นกำเริบขึ้นถึงแก่ความตาย โจโฉแจ้งดังนั้นก็มีใจสงสาร จึงให้เงินทองไปแต่งการศพอองปิดฝังไว้เมืองฮูโต๋ แล้วให้แต่งหนังสือตั้งโจฮิวให้บังคับบัญชานายทหารทั้งปวงในเมืองฮูโต๋ ให้จงอิ้วเปนมหาอุปราช หัวหิมนั้นเปนปลัดอุปราช แลที่ขุนนางซึ่งหาตัวไม่นั้น ก็จัดทหารใหญ่น้อยตั้งขึ้นไปไว้ตามตำแหน่ง
โจโฉจึงคิดว่า กวนลอชำนาญการทำนายแม่นนัก จึงจัดทองเงินแลสิ่งของให้กวนลอเปนบำเหน็จ กวนลอคำนับแล้วว่า ตัวข้าพเจ้ารักเที่ยวอยู่ในถํ้าในเขา จะเอาเงินทองไปนั้นหาต้องการไม่ ท่านจงเอาไว้แจกทแกล้วทหารเถิด
กรุณาแสดงความคิดเห็น