สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 48
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 48
เนื้อหา
• โจโฉเกณฑ์กองทัพจะไปตีเมืองกังตั๋ง• ซุนกวนขอให้เล่าปี่ช่วย
• เล่าปี่มีหนังสือให้ม้าเฉียวยกมารบโจโฉ
• ม้าเฉียวกับหันซุยยกมารบกับโจโฉ
• ม้าเฉียวได้เมืองเตียงฮันแลด่านตงก๋วน
• โจโฉตัดหนวด
• ม้าเฉียวรบกับเคาทู
• ม้าเฉียว หันซุยเสียกลโจโฉ
• โจโฉตีทัพม้าเฉียวแตก
ฝ่าย โจโฉครั้นฆ่าม้าเท้งเสียแล้ว ก็คิดอ่านจะยกกองทัพไปรบซุนกวนกับเล่าปี่ พอทหารไปสืบข่าวราชการกลับมาบอกโจโฉว่า เล่าปี่จัดแจงทหารจะยกไปรบเมืองเสฉวน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแม้เล่าปี่ไปตีได้เมืองเสฉวนแล้ว ก็จะซ่องสุมรี้พลแลสเบียงอาหารไว้เปนอันมาก เราจะยกไปทำการกับเล่าปี่เห็นจะขัดสน ตันกุ๋ยที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้อนั้นมหาอุปราชอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ให้ซุนกวนกับเล่าปี่ผิดใจกันมิให้ทำการประนอมกัน จะให้เมืองทั้งสองเปนสิทธิ์อยู่ในท่าน
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงถามว่า ท่านจะคิดทำกลอุบายประการใด ตันกุ๋ยจึงว่า ทุกวันนี้เล่าปี่กับซุนกวนเปนเกี่ยวดองประนอมใจกันอยู่ท่านจึงทำการขัดสน บัดนี้เล่าปี่จะยกทหารไปตีเมืองเสฉวนแล้ว ขอให้ท่านเกณฑ์ทหารไปบัญจบกันกับเตียวเลี้ยว ณ เมืองหับป๋ายกไปตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็จะให้ไปขอกองทัพเล่าปี่มาช่วย ฝ่ายเล่าปี่จัดแจงทหารจะไปตีเมืองเสฉวนอยู่ก็จะไม่ให้กองทัพมาช่วย เราก็จะได้เมืองกังตั๋งโดยง่าย เมื่อได้เมืองกังตั๋งแล้ว เราจึงยกไปตีเมืองเกงจิ๋วเมืองเสฉวน ได้แล้วแผ่นดินเราก็จะราบคาบเปนสุขสืบไป
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงว่ากลอุบายอันนี้ดีนัก ต้องความคิดเราทุกประการ จึงเกณฑ์ทหารสิบหมื่นให้ยกไปเมืองหับป๋า แล้วสั่งไปว่าให้เตียวเลี้ยวซึ่งอยู่รักษาเมืองจัดแจงสเบียงอาหารยกบัญจบกัน ไปตีเมืองกังตั๋ง เราจะเกณฑ์ทหารหนุนไปอีก ทหารทั้งปวงก็ลาโจโฉยกไปถึงเมืองหับป๋าจึงเข้าไปหาเตียวเลี้ยว บอกเนื้อความตามโจโฉสั่งทุกประการ เตียวเลี้ยวก็จัดแจงทหารสเบียงเตรียมพร้อมไว้จะยกไปตีเมืองกังตั๋ง
ฝ่ายม้าใช้ก็เอาเนื้อความไปบอกแก่ซุนกวน ๆ จึงหาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้โจโฉให้เตียวเลี้ยวเปนแม่ทัพจะยกมาตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านป้องกันเปนประการใด เตียวเจียวจึงว่า ขอท่านให้โลซกแต่งหนังสือไปเมืองเกงจิ๋วขอกองทัพเล่าปี่มาช่วย เล่าปี่เปนน้องเขยท่าน แล้วโลซกก็มีคุณต่อเล่าปี่อยู่ เห็นเล่าปี่จะไม่ขัด จะยกมาช่วยทำการศึก ซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ทหารไปหาโลซก ณ เมืองฉสองกุ๋น ให้โลซกมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ ครั้นเล่าปี่แจ้งในหนังสือ จึงให้ทหารไปเชิญตัวขงเบ้ง ณ เมืองลำกุ๋นมา แล้วเอาหนังสือนั้นมาให้ขงเบ้งดู
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ทหารเมืองเราก็ไม่ให้ยกไปช่วยซุนกวน ทหารซุนกวนก็ไม่ต้องให้รบโจโฉ เมืองกังตั๋งก็จะให้อยู่เย็นเปนสุข มิให้โจโฉล่วงดูหมิ่นเราได้ แล้วขงเบ้งจึงสั่งผู้ถือหนังสือว่า ท่านกลับไปบอกซุนกวนเถิดว่าอย่าวิตกเลย ให้ซุนกวนกับชาวเมืองกังตั๋งนอนหลับตาให้เปนสุขเถิด แม้กองทัพโจโฉยกมาถึงเมืองกังตั๋งเมื่อใด เราจะรับอาสาเปนธุระเอง ผู้ถือหนังสือก็ลาเล่าปี่ขงเบ้งกลับมาบอกซุนกวน
ฝ่ายเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า บัดนี้โจโฉเกณฑ์ทหารบัญจบกันทั้งสองหัวเมือง เปนคนถึงห้าสิบหมื่นยกมาจะตีเมืองกังตั๋ง แลท่านว่าไปแก่ซุนกวนนั้น กลอุบายของท่านจะทำประการใด ขงเบ้งจึงว่า แต่ก่อนมาชาวเมืองฝ่ายเหนือโจโฉเกรงอยู่แต่ทหารเมืองเสเหลียง บัดนี้โจโฉฆ่าม้าเท้งเสียแล้ว ยังแต่ม้าเฉียวผู้บุตรคุมทหารรักษาเมืองเสเหลียง ก็จะมีใจเจ็บแค้นยกไปแก้แค้นโจโฉอยู่ ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงม้าเฉียวให้เร่งยกทหารไปตีเมืองฮูโต๋ กองทัพโจโฉก็จะเลิกกลับไป เล่าปี่เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามขงเบ้งว่า แล้วให้คนสนิธถือรีบไปให้แก่ม้าเฉียว ณ เมืองเสเหลียง
ฝ่ายม้าเฉียวเวลากลางคืนวันนั้นนอนหลับสนิธ ฝันว่านอนอยู่กลางคืนมีเสือฝูงหนึ่งเข้ามารุมกัด ความกลัวจนตัวสั่น ม้าเฉียวตกใจตื่นขึ้นจึงหาที่ปรึกษาทั้งปวงมาทำนายฝัน บังเต๊กจึงว่าอันลักษณะฝันนี้ร้ายนัก บิดาท่านซึ่งยกไปเมืองฮูโต๋นั้นเห็นจะมีอันตรายเปนมั่นคง ว่าไม่ทันขาดคำพอม้าต้ายมาถึงเล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ แล้วว่าถึงตัวข้าพเจ้านี้โจโฉก็จะฆ่าเสียด้วย หากว่าข้าพเจ้าแปลงตัวเปนลูกค้ารีบมาทั้งกลางวันกลางคืนจึงพ้นอันตราย
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ล้มสลบลงกับที่ ทหารทั้งปวงช่วยกันเข้าแก้ฟื้นขึ้น ม้าเฉียวคิดแค้นนักกัดฟันแล้วว่า กูจะแก้แค้นอ้ายโจโฉให้จงได้ พอทหารเล่าปี่เอาหนังสือเข้ามาให้ม้าเฉียว เปนใจความว่าหนังสือเล่าปี่อวยพรมาถึงม้าเฉียว ด้วยโจโฉเปนอุปราชอยู่ในเมืองฮูโต๋คิดทำการหยาบช้าต่าง ๆ จนพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ความเดือดร้อน เนื้อความทั้งนี้เจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว อนึ่งเมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระอักษรด้วยพระโลหิตให้ตังสินนั้น บิดาเจ้ากับเราก็ได้ลงชื่อร่วมคิดกันว่าจะทำการกำจัดโจโฉให้ได้ บัดนี้เราแจ้งว่าบิดาเจ้าทำการเสียทีแก่โจโฉจนสิ้นชีวิตก็มีความน้อยใจนัก ตัวเจ้าก็เปนชาติทหาร เห็นจะมีใจเจ็บแค้นแทนบิดาอยู่ แม้เจ้าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใด เราจะยกกองทัพเมืองเกงจิ๋วไปช่วยกันคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ จะได้ทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้เปนสุข
ม้าเฉียวแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว คิดแค้นโจโฉนัก ครั้นค่อยคลายโศกแล้ว จึงเขียนหนังสือตอบไปให้เล่าปี่ ณ เมืองเกงจิ๋ว ม้าเฉียวก็จัดแจงกะเกณฑ์ทหารจะยกไปเมืองฮูโต๋ พอทหารมาบอกว่าหันซุยให้เชิญตัวท่านไป ม้าเฉียวก็ไปหาหันซุยณตึก หันซุยจึงบอกม้าเฉียวว่า โจโฉให้หนังสือมาถึงเราว่า ให้จับเจ้าสองคนพี่น้องจำส่งขึ้นไป ณ เมืองฮูโต๋ โจโฉจะตั้งเราเปนเจ้าเมืองเสเหลียง
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นคำนับกราบลงแล้วจึงว่า ท่านกับบิดาข้าพเจ้าก็เปนสหายรักใคร่กันนัก บัดนี้โจโฉก็ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียแล้ว ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้ท่านจงเห็นแก่บิดาข้าพเจ้าเถิด หันซุยจึงว่าบิดาเจ้ากับเราก็รักใคร่กันนัก ซึ่งโจโฉฆ่าบิดาเจ้าเสียนั้นเราก็มีใจเจ็บแค้นอยู่ แม้เจ้าจะยกไปรบเมืองฮูโต๋แก้แค้นเมื่อใดเราก็จะไปด้วย
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็คำนับด้วยความยินดี หันซุยก็ให้เอาตัวทหารโจโฉซึ่งถือหนังสือมานั้นฆ่าเสียต่อหน้าม้าเฉียว แล้วม้าเฉียวกับหันซุยก็จัดแจงทหาร ให้เฮาชวนเทียนหงันลิขำเตียวเหงเลียงหินเซงหงีแปออนเอียวฉิวแปดนายคุมทหารไป กับหันซุยกองหนึ่ง ตัวม้าเฉียวกับม้าต้ายบังเต๊กคุมทหารยี่สิบหมื่นกองหนึ่ง ครั้นได้ฤกษ์ม้าเฉียวกับหันซุยก็ยกกองทัพไปเมืองฮูโต๋
ขณะเมื่อถึงด่านเมืองเตียงอั๋น จงฮิวเจ้าเมืองก็ให้ม้าใช้ถือหนังสือบอกไปแจ้งข้อราชการแก่โจโฉ แล้วยกทหารออกตั้งนอกเมือง ครั้นม้าต้ายคุมทหารห้าพันเปนกองหน้ายกมาถึงเข้า จงฮิวก็ควบม้าเข้ารบกับม้าต้ายได้เพลงหนึ่ง จงฮิวสู้ม้าต้ายไม่ได้ก็ควบม้าพาทหารกลับหนีเข้าเมืองแล้วก็จัดแจงทหารให้ ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เปนสามารถ ม้าเฉียวหันซุยยกมาถึงก็ขับทหารเข้าล้อมเมืองเตียงอั๋นไว้ถึงสิบวัน ก็มิได้เห็นผู้ใดยกทหารมารบพุ่ง ครั้นจะยกทหารเข้าโจมตี ก็เห็นจงฮิวให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคงอยู่
บังเต๊กจึงว่าแกม้าเฉียวว่า เมืองเตียงอั๋นนี้เปนเมืองใหญ่ ค่ายคูประตูหอรบก็มั่นคง เปนเมืองพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งอยู่ก่อน เราจะมานิ่งล้อมอยู่ฉนี้ก็ป่วยการไพร่พลนัก อนึ่งแม้โจโฉยกกองทัพมาทัน ตั้งรบกระหนาบเราเข้า เราจะมิขัดสนเสียหรือ ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายอย่างหนึ่ง ให้ได้เมืองเตียงอั๋นโดยง่าย ด้วยบัดนี้ไพร่พลในเมืองเตียงอั๋นก็ขัดสนสเบียงอาหารอยู่แล้ว ขอให้ท่านถอยกองทัพออกไปซุ่มอยู่ให้ไกลเมือง ให้คนในเมืองออกหาสเบียงอาหาร ข้าพเจ้าจึงจะคิดอ่านปลอมเข้าไปในเมืองแล้วจะจุดเพลิงสัญญาขึ้นเปิดประตู เมืองรับท่าน ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย ครั้นเวลาคํ่าก็ให้เอาธงสำคัญไปบอกเลิกทหารทั้งปวงให้ถอยทัพออกไปตั้งอยู่ ไกลเมืองตามคำบังเต๊กว่า
ฝ่ายทหารแลราษฎรเมืองเตียงอั๋นนั้นขัดสนด้วยสเบียงอาหารน้ำแลฟืนนัก เพราะพื้นที่เมืองเตียงอั๋นนั้นเปนดินแล้ง ถึงจะขุดบ่อให้ลึกสักเท่าใดก็ไม่ได้น้ำ แต่หากว่าไว้ใจด้วยกองทัพโจโฉจะยกมาช่วย จึงอุตส่าห์รักษาเมืองนั้นไว้ได้ ครั้นเวลาเช้าเห็นกองทัพม้าเฉียวเลิกไปก็มีความยินดีนัก แต่จงฮิวนั้นคิดสงสัยเกรงว่าจะเปนกลศึก จึงให้ทหารออกไปสอดแนมดูก็มิได้พบกองทัพ จงฮิวจึงเปิดประตูให้ชาวเมืองทั้งปวงออกหาสเบียงอาหารประมาณห้าวัน บังเต๊กกับทหารซึ่งสนิธก็ปลอมเปนคนหาฟืนเข้าไปได้ในเมืองเตียงอั๋น ม้าเฉียวก็กลับยกทหารเข้าล้อมเมืองไว้ดังเก่า จงฮิวเห็นดังนั้นก็ปิดประตูเมืองให้ทหารประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้
ฝ่ายบังเต๊กครั้นเวลาสามยามก็เอาเพลิงจุดขึ้นในเมืองข้างทิศด้านตวันตก จงจิ๋นน้องจงฮิวซึ่งคุมทหารรักษาประตูด้านนั้น ครั้นเห็นเพลิงติดโพลงขึ้นก็ตกใจ จึงควบม้าลงมาจะดับเพลิง บังเต๊กเห็นดังนั้นก็ควบม้าสกัดหน้าจงจิ๋นไว้ แล้วร้องว่าเราชื่อบังเต๊ก เข้ามาอยู่ในเมืองนี้แล้วท่านรู้หรือไม่ จงจิ๋นได้ฟังดังนั้นไม่ทันจะรับอาวุธ บังเต๊กก็เอาดาบฟันจงจิ๋นตกม้าตาย ทหารซึ่งรักษาหน้าที่นั้นก็แตกหนีไปสิ้น บังเต๊กก็ฟันกุญแจเปิดประตูออกรับม้าเฉียวเข้าไปในเมือง
ฝ่ายจงฮิวคุมทหารรักษาเมืองอยู่ด้านตวันออก เห็นเพลิงติดขึ้นทหารแตกตื่นกันวุ่นวาย รู้ว่าม้าเฉียวกับหันซุยเข้าเมืองได้ ก็ตกใจพาทหารออกจากเมืองหนีไปตั้งอยู่ด่านตงก๋วน แล้วให้ทหารรีบเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ฝ่ายม้าเฉียวหันซุยได้เมืองเตียงอั๋นแล้ว ก็ปูนบำเหน็จทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วก็รีบยกตามจงฮิวไป ณ ค่ายตงก๋วน
ฝ่ายโจโฉคิดจะยกไปเมืองกังตั๋ง ครั้นรู้ว่าม้าเฉียวยกกองทัพมาตีเมืองเตียงอั๋นก็จัดแจงทหารจะยกไปช่วย พอทหารมาบอกว่า ม้าเฉียวหันซุยได้เมืองเตียงอั๋นแล้ว จัดแจงทหารจะยกมาตีเมืองฮูโต๋ บัดนี้จงฮิวเจ้าเมืองเตียงอั๋นก็หนีมาอยู่ ณ ด่านตงก๋วน
โจโฉจึงว่า เดิมเราคิดจะยกทัพหลวงไปตีเมืองกังตั๋ง บัดนี้ม้าเฉียวทำบังอาจยกทัพล่วงเข้ามาตีเอาเมืองเรา จำเราจะกำจัดม้าเฉียวเสียก่อน แล้วก็ให้หาโจหองผู้น้องกับซิหลงมาสั่งว่า เจ้าจงคุมทหารหมื่นหนึ่งไปช่วยจงฮิวรักษาด่านตงก๋วนไว้ ถ้ากองทัพม้าเฉียวมาถึงก็ให้รักษาด่านมั่นไว้อย่าให้เปนอันตรายได้ในสิบวัน แม้ด่านตงก๋วนเสียแก่ม้าเฉียว เราจะเอาตัวเปนโทษ ถ้าพ้นสิบวันแล้วก็ตามเถิด โจหองกับซิหลงก็รับคำลาโจโฉรีบยกทหารไปณด่านตงก๋วน
โจหยินจึงว่าแก่โจโฉว่า โจหองเปนเด็กหนุ่ม ทั้งน้ำใจก็ดื้อดึง ไม่มีพิเคราะห์เหตุการณ์ว่าหนักแลเบา ซึ่งท่านให้ไปรักษาด่านตงก๋วนนั้นเห็นจะเปนอันตรายเสียเปนมั่นคง โจโฉเห็นด้วย จึงให้โจหยินคุมทหารยกตามโจหองไป แล้วโจโฉก็ยกทหารตามไปภายหลัง
ฝ่ายม้าเฉียวยกมาถึงด่านตงก๋วนก็ให้ทหารเข้าล้อมด่านไว้ โจหองกับซิหลงจงฮิวก็เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาเชิงเทินด่านไว้ มิได้ยกออกรบพุ่ง ม้าเฉียวจึงให้ทหารเข้าไปยืนร้องด่าโจโฉเปนคำหยาบช้า ลำเลิกถึงสามชั่วโคตร โจหองได้ยินดังนั้นก็โกรธ จะยกทหารออกรบกับม้าเฉียว ซิหลงจึงห้ามว่า ซึ่งม้าเฉียวให้ทหารมาร้องว่ากล่าวหยาบช้าทั้งนี้หวังจะให้เราเจ็บแค้น ท่านจงอดเอาเถิด อย่าออกรบพุ่งเลย ยับยั้งอยู่ท่าแต่พอทัพหลวงยกมาถึง มหาอุปราชจะคิดอ่านประการใด เราจึงค่อยทำตาม โจหองก็เห็นชอบด้วย
ฝ่ายม้าเฉียวก็เกณฑ์ทหารให้เปลี่ยนกันเข้าไปร้องด่าโจโฉทั้งกลางวันกลาง คืนมิได้ขาด ฝ่ายโจหองโกรธนักก็เกณฑ์ทหารจะออกรบ ซิหลงจึงห้ามว่า มหาอุปราชสั่งเรามาว่า ให้รักษาด่านมั่นไว้ในสิบวันอย่าให้เปนอันตราย บัดนี้ก็ได้เก้าวันแล้ว ท่านจงอดใจเสียอิกวันหนึ่งเถิด โจหองได้ฟังคิดเกรงใจซิหลงก็นิ่งอยู่ ซิหลงก็ไปจัดแจงสเบียงจะแจกทหาร ครั้นซิหลงไปแล้ว โจหองขึ้นดูบนเชิงเทิน เห็นทหารม้าเฉียวเรี่ยรายกัน บ้างนั่งนอนหาเปนกระบวรทัพไม่ โจหองก็คุมทหารสามพันเปิดประตูยกออกจากด่าน ทหารม้าเฉียวซึ่งเรี่ยรายกันอยู่นั้นก็วิ่งหนี โจหองควบม้าไล่ตามไป ซิหลงรู้ดังนั้นก็ตกใจ พาจงฮิวคุมทหารยกตามโจหองออกไป ครั้นทันเข้าจึงร้องเรียกโจหองให้กลับ พอม้าเฉียวยกทหารต้านหน้าไว้ โจหองก็ควบม้าหนีจะเข้าด่าน พอพบม้าต้ายยกทหารสกัดรบออกมาข้างหลังเข้าทางขวามือ บังเต๊กยกสกัดรบออกทางข้างหลัง แล้วล้อมโจหองกับซิหลงเข้าไว้ โจหองกับซิหลงเห็นเหลือกำลังนักก็ทิ้งด่านตงก๋วนเสีย พาทหารฟันฝ่าออกจากที่ล้อมหนีไป บังเต๊กก็ควบม้าไล่ตามไปพอพ้นด่านตงก๋วน พบโจหยินยกทหารมาช่วยโจหองซิหลง ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ยกตามไปพาเอาตัวบังเต๊กกลับมาเข้าอยู่ในด่านตงก๋วน
ฝ่ายโจหองซิหลงโจหยินจงฮิวก็พาทหารยกไปทางวันหนึ่งพบกองทัพโจโฉยกมา โจหองซิหลงโจหยินเข้าไปหาโจโฉ ๆ จึงว่าแก่โจหองว่า เมื่อเราจะให้ตัวยกทหารมานั้นก็ได้กำชับไว้ว่า ให้ตั้งมั่นรักษาด่านไว้อย่าให้เปนอันตรายในสิบวัน เหตุใดตัวจึงทิ้งด่านตงก๋วนเสียให้ข้าศึกได้ใจ โจหองจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าไปอยู่รักษาด่านนั้น ก็ให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคงอยู่ จะได้ทำล่วงเกินคำมหาอุปราชนั้นหามิได้ แต่ม้าเฉียวให้ทหารเข้ามาด่าหยาบช้าลำเลิกโคตรตระกูลต่าง ๆ ข้าพเจ้าคิดแค้นนักอดไม่ได้ จึงยกออกรบกับม้าเฉียว ซึ่งข้าพเจ้าดูหมิ่นประมาทให้การเสียไปนั้นโทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว ตามแต่มหาอุปราชจะโปรด
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงว่า โจหองเปนเด็กหนุ่มความคิดน้อย เราก็ไม่ไว้ใจ จึงให้ซิหลงเปนผู้ใหญ่มาด้วย หวังจะให้ช่วยเตือนสติว่ากล่าวดูผิดแลชอบ ควรหรือนิ่งให้เสียการของเราได้ ซิหลงจึงว่า เมื่อม้าเฉียวให้ทหารมาว่ากล่าวหยาบช้านั้น โจหองโกรธจะยกทหารออกรบ ข้าพเจ้าได้ห้ามปรามเปนหลายครั้ง เมื่อโจหองออกรบกับม้าเฉียวนั้น ข้าพเจ้าสารวลจะแจกเข้าปลาทหารอยู่ ครั้นรู้ก็ตกใจกลัวโจหองจะเสียทีแก่ม้าเฉียว จึงยกทหารตามออกไปช่วยจนเสียการทั้งนี้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งให้ทหารเอาตัวโจหองไปฆ่าเสีย ขุนนางแลนายทัพนายกองทั้งปวงจึงว่า ยังจะทำการศึกกับม้าเฉียวครั้งนี้เปนการใหญ่จะเอาฤกษ์อยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะฆ่าน้องเสียนั้นเห็นไม่ชอบ ขอให้ยกโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน โจโฉเห็นชอบด้วยก็ให้คาดโทษโจหองไว้ แล้วก็รีบยกทัพไปด่านตงก๋วน ครั้นใกล้ถึงด่านทางยี่สิบเส้นโจหยินจึงว่าแก่โจโฉว่า เราจะยกทหารบุกรุกเข้าไปบัดนี้ ม้าเฉียวจะทำกลล่อลวงไว้ประการใดก็มิได้แจ้ง ขอให้หยุดกองทัพตั้งมั่นฟังกำลังศึกดูทีหนึ่งก่อน แล้วจึงยกเข้าไปตีด่านตงก๋วนก็จะได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงหยุดทหารตั้งค่ายมั่นอยู่สามค่าย ให้โจหยินอยู่รักษาค่ายขวา ให้แฮหัวเอี๋ยนอยู่ค่ายซ้าย ตัวโจโฉอยู่ค่ายกลาง แล้วเกณฑ์ทหารที่มีฝีมือจะให้ยกเข้าตีด่านตงก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวเห็นโจโฉยกมาตั้งค่ายดังนั้นก็ยกทหารออกจากด่าน เห็นทหารโจโฉจะยกเข้ามา ม้าเฉียวก็ควบม้าออกยืนอยู่หน้าทหาร โจโฉขึ้นม้าออกมายืนอยู่หน้าค่าย เห็นทหารม้าเฉียวล่ำสันสามารถเข้มแขงเสมอทุกตัวคน แล้วเห็นม้าเฉียวห่มเกราะเงิน ใส่หมวกขาว ขี่ม้าถือทวนออกมายืนหน้าทหารรูปร่างคมสัน ไหล่ผายเอวกลมหน้าขาวปากแดง สมควรเปนนายทหารเอก แล้วเห็นบังเต๊กยืนม้าอยู่ข้างขวา ม้าต้ายอยู่ซ้าย โจโฉจึงคิดว่า ม้าเฉียวนี้ไม่เสียทีเปนชาติทหาร จะเข้าสู่สงครามก็งามเปนสง่าคมสันนัก โจโฉก็ควบม้าเข้าไปใกล้แล้วร้องว่าแก่ม้าเฉียวว่า ตัวท่านก็เปนเชื้อขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินอยู่ เหตุใดจึงคิดขบถยกทัพมาฉะนี้
ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กัดฟันแล้วร้องด่าโจโฉว่า อ้ายโจรศัตรูราชสมบัติ มึงทำการหยาบช้าดูหมิ่นพระเจ้าเหี้ยนเต้ โทษมึงก็ผิดเปนอันมาก ควรจะสับให้ละเอียดเหมือนสับสุกรทำบะอ๋วนจึงจะชอบ แล้วมึงฆ่าบิดากับน้องกูเสีย กูก็มีความแค้นนัก จะจับตัวมึงเคี้ยวเนื้อสูบเลือดกินเสียทั้งเปนให้จงได้ แล้วก็ควบม้าเข้าไปใกล้จะจับตัวโจโฉ อิกิ๋มเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้ยี่สิบเพลง อิกิ๋มสิ้นกำลังลงก็ควบม้าหนี ลิกองก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้เก้าเพลง ม้าเฉียวเอาทวนแทงถูกลิกองตกม้าตาย แล้วม้าเฉียวก็เรียกทหารให้ฟันตลุมบอนเข้าไปในกองทัพโจโฉ ทหารโจโฉก็แตกกระจัดกระจายกัน ม้าเฉียวขับให้ทหารฟันเข้าไป แล้วร้องสั่งทหารว่าให้จับตัวโจโฉจงได้ ทหารทั้งปวงก็สั่งกันต่อไปว่า อ้ายใส่เกราะแดงนั้นโจโฉคนร้ายให้จับเอาตัวมันจงได้ โจโฉได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ถอดเกราะทิ้งเสียควบม้าหนีปนไปกับทหารเลว เหล่าทหารม้าเฉียวร้องว่า อ้ายหนวดยาวนั้นและโจโฉ ให้จับตัวจงได้ โจโฉก็เอากระบี่ตัดหนวดทิ้งเสีย แล้วได้ยินทหารม้าเฉียวร้องว่า โจโฉตัดหนวดเสียแล้ว ให้จับตัวอ้ายหนวดสั้นตัดใหม่นั้นจงได้ โจโฉก็เอาแพรชายธงห่อคางแล้วควบม้าหนีไป ม้าเฉียวก็ควบม้าไล่ โจโฉเหลียวมาเห็นม้าเฉียวเข้าก็ตกใจพลัดตกจากหลังม้าวิ่งเข้าไปแอบต้นไม้ อยู่ ม้าเฉียวเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้าไปเอาทวนแทงโจโฉ ๆ หลบได้วิ่งหนีเข้าป่า ทวนนั้นปักต้นไม้อยู่ ครั้นม้าเฉียวชักทวนออกได้ก็ไล่ตามโจโฉใกล้จะถึงค่าย โจหองเห็นดังนั้นก็ควบม้าเข้ารบกับม้าเฉียวได้ห้าสิบเพลง แฮหัวเอี๋ยนเห็นโจหองอิดโรยกำลังลง กลัวจะเสียทีแก่ม้าเฉียวก็ควบม้าเข้าช่วย ม้าเฉียวไล่เกินทหารไปแต่ผู้เดียวไม่ไว้ใจก็ควบม้ากลับมาด่านตงก๋วน โจโฉก็กลับเข้าค่าย กำชับทหารทั้งปวงให้รักษาค่ายมั่นไว้ มิได้ออกรบม้าเฉียว แล้วก็ยกความชอบโจหอง ให้บำเหน็จรางวัลเปนอันมาก
ฝ่ายม้าเฉียวก็จัดแจงทหารยกออกจากด่านจะไปรบเอาค่ายโจโฉ เห็นโจโฉรักษาค่ายมั่นอยู่มิได้ยกทหารออกสู้รบ ม้าเฉียวจึงเกณฑ์ทหารให้ผลัดกันไปร้องด่าโจโฉตรงหน้าค่ายทุกวันมิได้ขาด ทหารโจโฉได้ยินดังนั้นก็โกรธ ต่างคนก็จะยกออกรบกับม้าเฉียว
โจโฉจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งม้าเฉียวให้มาร้องว่ากล่าวหยาบช้าฉนี้หวังจะให้เจ็บแค้น ครั้นเราจะยกทหารออกรบพุ่งบัดนี้ ก็เหมือนหนึ่งแพ้กลม้าเฉียว ท่านทั้งปวงจงช่วยกันป้องกันรักษาค่ายไว้ให้มั่นคงเถิด ซึ่งจะคิดอ่านเอาชัยชนะนั้น ไว้เปนธุระเราเอง แม้ผู้ใดไม่ฟังเรา ขืนยกออกรบกับม้าเฉียวเราจะตัดสีสะเสีย
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉลุกออกมา จึงพูดกันว่า แต่ก่อนมหาอุปราชจะเข้าสู่สงครามก็องค์อาจ ออกหน้าทหารมิได้ครั่นคร้ามผู้ใด มาบัดนี้เห็นขยาดกลัวฝีมือม้าเฉียวนักอยู่ จนม้าเฉียวให้คนมาร้องด่าถึงหน้าค่ายก็นิ่งเสียได้ อยู่สามวันทหารไปสอดแนมข่าวราชการมาบอกโจโฉว่า บัดนี้ทหารม้าเฉียวยกมาอีกสองหมื่น โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า แต่เมืองเสเหลียงจะมาถึงด่านตงก๋วนก็เปนทางไกลขัดสนกันดารนัก ม้าเฉียวมีกำลังกล้าหาญเข้มแขงก็จริง แต่เปนเด็กหนุ่มความคิดน้อย ยังหาเคยทำการใหญ่ไม่ แล้วก็ยังไม่ชำนาญที่จะผ่อนปรนเอาใจทหารทั้งปวง นานไปสเบียงอาหารขัดสนลง เห็นทหารทั้งปวงจะเอาใจออกหากสิ้น เราก็จะได้ทำการถนัด โจโฉจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า ซึ่งทหารม้าเฉียวหนุนมาอีกสองหมื่นนั้นเราก็มีความยินดีนัก จะคิดอ่านเอาชัยชนะให้จงได้
ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งทหารมาบอกโจโฉว่า ทหารม้าเฉียวหนุนมาอีกเปนอันมาก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะว่า การสงครามครั้งนี้เราหมายชนะถ่ายเดียว แล้วก็แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแลนายทัพนายกองทั้งปวง ขณะเมื่อเสพย์สุราอยู่นั้น ทหารทั้งปวงคิดถึงการสงครามซึ่งโจโฉขยาดม้าเฉียวก็ยิ้มในใจ โจโฉแกล้งถามประชดหวังจะลองความคิดทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ท่านทั้งปวงหัวเราะเยาะในใจ สำคัญว่าเราจะแพ้ฝีมือม้าเฉียวสิ้นความคิดอยู่แล้ว ก็ความคิดท่านทั้งปวงจะทำประการใดที่จะได้ชัยชนะก็จงเร่งบอกมาให้เราแจ้ง
ซิหลงจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชตั้งมั่นรักษาค่ายนี้ก็ดีอยู่แล้ว บัดนี้ม้าเฉียวตั้งอยู่ในด่านตงก๋วนก็มีใจกำเริบ หาคิดอ่านป้องกันระวังทางหลังไม่ ขอให้มหาอุปราชแต่งทหารยกอ้อมไปตัดทางสเบียงตีกระหนาบหลังลงมา ให้ม้าเฉียวพะวงหลัง แล้วเราจึงยกทหารเข้าตีเอาด่านตงก๋วนก็จะได้โดยง่าย โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งว่าซิหลง หวังจะมิให้คนทั้งปวงดูหมิ่นว่า ๆ พลอยความคิดเขา ว่าความคิดซึ่งท่านว่านี้ต้องกับความคิดเราแต่หาสู้ลึกไม่ เราคิดไว้ลึกกว่านี้ เราจะให้ท่านกับจูเหลงคุมทหารสี่พันลอบยกอ้อมไป เห็นป่าแลเขาอันใดเปนทางชอบกลก็ให้ตั้งซุ่มอยู่ เราจึงจะยกอ้อมไปทางทัพเรือเข้าตีเอาด่านตงก๋วน ท่านจงยกทหารตีกระหนาบลงมา ซิหลงกับจูเหลงก็รับคำลาโจโฉคุมทหารยกไป โจโฉก็ให้โจหยินคุมทหารอยู่ป้องกันรักษาค่าย แล้วก็พาโจหองยกทหารอ้อมไปตั้งต่อเรือรบณแม่นํ้าฮุยโหข้างทิศตวันออกด่านตง ก๋วน
ฝ่ายม้าเฉียวแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่หันซุยทหารทั้งปวงว่า บัดนี้โจโฉไปตั้งต่อเรือรบหวังจะยกมาตีเราทางเรือ แม้เรายกทหารข้ามฟากไปสกัดทางสเบียงเสียได้ โจโฉก็จะเสียทีแก่เราเปนมั่นคง หันซุยจึงว่า ซึ่งจะยกทหารไปสกัดทางสเบียงนั้นเห็นไม่ชอบ เพราะเปนหว่างกองทัพโจโฉอยู่ เราคอยให้โจโฉข้ามฟากมาแล้ว เจ้าจงอ้อมไปตีสกัดหลัง เราจะคุมทหารต้านหน้าไว้ โจโฉก็จะระส่ำระสาย ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารไปคอยสอดแนมกองทัพโจโฉ ว่าจะเข้าตีเอาด่านตงก๋วนเมื่อใด
ฝ่ายโจโฉครั้นต่อเรือรบสำเร็จแล้ว ก็จัดแจงทหารลงเรือรบเปนสามกองจะยกข้ามฟากไป ทหารสอดแนมก็เอาเนื้อความมาบอกม้าเฉียว ๆ ก็เกณฑ์ทหารออกซุ่มสกัดคอยอยู่ ครั้นกองทัพโจโฉถึงฝั่ง โจโฉกับทหารพันหนึ่งขึ้นบกจัดแจงจะตั้งค่าย ม้าเฉียวก็ลงเรือรบอ้อมสกัดหลังเข้าไป ทหารโจโฉทั้งปวงซึ่งยังไม่ถึงฝั่งก็แตกกระจัดกระจายกันไป ซึ่งอยู่บนบกก็วิ่งหนีลงเรือ โจโฉมิได้แจ้งว่าข้าศึกจะมาทางเหนือแลทางใต้ประการใด จึงยกกระบี่ขึ้นห้ามหวังจะเอาใจทหารทั้งปวงว่า อย่าตื่นกันวุ่นวายไป เราอยู่นี่แล้วจะกลัวอันใด
ฝ่ายม้าเฉียวเห็นโจโฉนั่งดูให้ทหารตั้งค่ายอยู่บนตลิ่ง ก็แอบเรือเข้าขึ้นบกขี่ม้าไล่ฟันเข้าไปในหมู่ทหารโจโฉ ทหารทั้งปวงก็วิ่งวุ่นวายร้องว่าม้าเฉียวมาแล้ว เคาทูเห็นม้าเฉียวไล่ฟันทหารเข้ามา ยังอีกห้าสิบวาจะถึงตัวโจโฉก็ตกใจ โดดเข้าอุ้มเอาโจโฉลงเรือ มือซ้ายถือหางเสือ มือขวาคํ้าเรือออกจากฝั่ง ทหารทั้งปวงก็ตกใจวิ่งกลุ้มเข้ายุดเรือโจโฉไว้แล้วร้องว่า มหาอุปราชช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วย
เคาทูเห็นม้าเฉียวใกล้เข้ามา ก็ชักกระบี่ออกฟันทหารมือขาดสีสะขาด ถอยเรือออกจากฝั่งไกลประมาณสามวา พอม้าเฉียวมาถึงริมฝั่ง โจโฉเห็นม้าเฉียวก็ตกใจตัวสั่นวิ่งเข้าแอบเคาทู ๆ ก็รีบแจวเรือไป ม้าเฉียวก็ให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงไปดังห่าฝน เคาทูเห็นดังนั้นกลัวเกาทัณฑ์จะถูกโจโฉ จึงเอาเบาะม้าคลุมตัวโจโฉไว้ แล้วเอากระบี่คอยปัดป้องกันตัวข้ามฟากลอยลงไปทางเมืองอุยหลำ เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำก็มารับโจโฉขึ้นไป พอม้าเฉียวลงเรือรบตามมาถึงเมืองอุยหลำ ก็ยกทหารขึ้นบกจะเข้าตีชิงเอาตัวโจโฉ เต๋งฮุยเจ้าเมืองอุยหลำเห็นดังนั้นจึงคิดว่า ทหารม้าเฉียวยกมาแต่เมืองเสเหลียงก็ช้านาน อดสเบียงอาหารสดคาวอยู่ จำกูจะคิดกลอุบายให้กองทัพม้าเฉียวช้าลงโจโฉจึงจะหนีพ้น ก็เปิดประตูต้อนฝูงโคกระบือออกจากเมืองเปนอันมาก ฝ่ายทหารม้าเฉียวก็ชวนกันจับโคกระบือฆ่ากินเปนอาหาร มิได้ยกติดตามโจโฉไป
ฝ่ายโจโฉครั้นถึงค่ายอุยโห เห็นเหล็กปลายเกาทัณฑ์ติดเกราะเคาทูอยู่เปนอันมาก จึงว่าครั้งนี้แม้เรามิได้เคาทูที่ไหนเราจะมีชีวิตกลับมาถึงค่าย ทหารทั้งปวงได้ยินโจโฉว่าดังนั้น ก็ชวนกันคำนับกราบลงกับตีนโจโฉ ๆ จึงหัวเราะ ว่าเราทำศึกครั้งนี้หาควรที่จะเสียทีแก่อ้ายโจรลูกเด็กไม่ หากว่าเคาทูช่วยแก้ไขเราจึงได้รอดชีวิตมา เคาทูได้ฟังดังนั้นจึงว่า เมื่อข้าพเจ้ากับท่านขึ้นบกได้นั้น ม้าเฉียวคุมทหารตามมา เต๋งฮุยทำกลอุบายปล่อยฝูงโคกระบือออกต้านหน้าไว้ ม้าเฉียวจึงมิได้ยกตามมาทัน
ขณะนั้นเต๋งฮุยมาถึง โจโฉจึงว่าแก่เต๋งฮุยว่า ท่านช่วยคิดอ่านแก้ไขเราให้พ้นมือโจรครั้งนี้ ท่านมีความชอบแก่เราเปนอันมาก แล้วก็ตั้งเต๋งฮุยให้เปนเตียนกุ๋ยเฮาฮุย แปลภาษาไทยว่าเปนขุนนางสนิธสำหรับปรึกษาราชการ เต๋งฮุยจึงว่าแก่โจโฉว่า บัดนี้ม้าเฉียวมีใจกำเริบยกกลับไปแล้ว เวลาพรุ่งนี้เห็นจะยกทหารมาทำการอีก มหาอุปราชจงคิดกลอุบายไว้แก้แค้นมันเถิด
โจโฉจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลย อันการข้อนั้นเราคิดไว้สำเร็จแล้ว โจโฉจึงเกณฑ์ทหารให้ขุดดินตั้งสนามเพลาะรอบค่าย นอกค่ายนั้นให้ขุดลึกสองวา แล้วให้ปักขวากในคู บนปากคูนั้นให้เอาไม้ตีแตะปู แล้วให้เอาดินเกลี่ยกลบมิให้เห็นแตะ หวังจะลวงให้ทหารม้าเฉียวตกลงในคูนั้น แล้วให้ทหารในค่ายปักธงเตรียมเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม
ฝ่ายม้าเฉียวกลับไปถึงค่ายบอกแก่หันซุยว่า ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้มีชัยชนะแทบจะจับตัวโจโฉได้ มีทหารคนหนึ่งรูปร่างล่ำสันสามารถอุ้มลงเรือหนีไปได้ หันซุยจึงว่า ทหารโจโฉมีฝีมืออยู่สองคนแต่เตียนอุยกับเคาทู บัดนี้เตียนอุยก็ตายแล้ว ซึ่งเข้าแก้โจโฉครั้งนี้เห็นจะเปนเคาทู ๆ คนนี้มีกำลังแลฝีมือดีกว่าทหารทั้งปวง เหมือนหนึ่งเสืออันร้าย เจ้าพบมันเข้าจะรบพุ่งอย่าประมาทระวังจงดี ม้าเฉียวจึงว่า เคาทูคนนี้ข้าพเจ้าได้ยินชื่ออยู่นานแล้ว แต่พึ่งได้เห็นครั้งนี้
หันซุยจึงว่า บัดนี้โจโฉหนีข้ามฟากไปอยู่ ณ ค่ายอุยโหแล้ว ข้าคิดว่าจะยกไปรบอย่าให้ทันตั้งมั่นลงได้ ถ้าช้าอยู่โจโฉตั้งค่ายมั่นลงได้แล้ว เห็นเราจะทำการขัดสน เจ้าอยู่ภายหลังจงระวังรักษาด่านแลทางหลังไว้ให้มั่นคง เกลือกโจโฉจะยกทหารอ้อมมาตัดทางสเบียงเรา ม้าเฉียวได้ฟังดังนั้นเห็นด้วย จึงว่าอันความคิดบิดานี้ชอบนัก จะยกไปก็ตามเถิด ซึ่งค่ายแลทางหลังนั้นข้าพเจ้าจะรักษาป้องกันมิให้เปนอันตราย แม้โจโฉจะยกข้ามฟากมา ข้าพเจ้าจะยกทหารออกสกัดต้านไว้มิให้ข้ามมาได้ แล้วม้าเฉียวก็ให้บังเต๊กคุมทหารห้าหมื่นเปนทัพหน้าไปด้วยหันซุย ๆ ก็ยกทหารข้ามไปค่ายอุยโห
ฝ่ายโจโฉรู้ว่ากองทัพม้าเฉียวยกมาดังนั้น จึงจัดให้คนแก่ออกรักษาสนามเพลาะอยู่นอกค่ายแล้วสั่งว่า ถ้าแม้ทหารม้าเฉียวบุกรุกเข้ามา ก็ให้ทำเปนหนีล่อให้ไล่ถลำข้ามคูเข้ามาจงได้ แล้วสั่งทหารเกาทัณฑ์เตรียมตัวอยู่ในค่าย
ฝ่ายหันซุยครั้นยกไปถึง บังเต๊กเห็นทหารโจโฉรักษาค่ายนั้นเบาบางก็ยกทหารเข้าโจมตี ทหารซึ่งรักษาสนามเพลาะอยู่นั้นก็ทำล่อหนีให้ไล่ บังเต๊กกับทหารเห็นได้ทีก็ไล่รุกเข้าไปตกลงในคู โจโฉให้โจเอ๋งคุมทหารออกล้อม ไล่ฟันทหารบังเต๊กตายในคูประมาณสองร้อยเศษ กับเตียวหัวเทงหงินนายทหาร ตัวบังเต๊กนั้นใส่เกราะเหล็กจึงมิได้มีอันตราย โจนขึ้นจากคูได้ เห็นโจเอ๋งขี่ม้าถือทวนอยู่ บังเต๊กวิ่งตรงเข้าไปเอาดาบฟันโจเอ๋งตกม้าตาย แล้วก็โดดขึ้นหลังม้าพาหันซุยกับทหารทั้งปวงฟันฝ่าออกมาจากที่ล้อมจะกลับไป ค่ายตงก๋วน โจโฉก็ยกทหารไล่ตามไป
ฝ่ายม้าเฉียวคอยหันซุยเห็นช้าพ้นกำหนด กลัวหันซุยจะเสียที ก็ยกทหารข้ามฟากตามไป พอถึงฝั่งเห็นโจโฉไล่หันซุยมา ก็ยกทหารขึ้นแก้พาเอาตัวหันซุยกับบังเต๊กลงเรือข้ามมาด่านตงก๋วน ม้าเฉียวจึงว่ากับหันซุยว่า โจโฉมีสติปัญญาลึกซึ้ง ครั้นจะนิ่งไว้นานไปเห็นจะทำการยาก จำเราจะยกทหารเร่งรัดไปปล้นค่ายโจโฉเสียให้ได้ในเวลาคํ่าวันนี้จึงจะชอบ หันซุยได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงให้ม้าเฉียวคุมทหารเปนทัพหน้า บังเต๊กกับม้าต้ายเปนกองหลัง ตัวหันซุยคุมทหารห้ากองเปนสาระวัดดูผิดแลชอบ รีบยกข้ามฟากไปแต่ในเวลากลางวัน ครั้นถึงฝั่งก็ให้ทหารขึ้นซุ่มเตรียมตัวพร้อมกันอยู่ในป่า เวลาคํ่าจึงจะยกเข้าปล้นค่ายโจโฉ
ฝ่ายโจโฉได้ชัยชนะหันซุยยกกลับเข้าค่ายแล้ว จึงเรียกเคาทูมาสั่งว่า ม้าเฉียวมันมาทำบังอาจรบพุ่งเราทั้งนี้ เพราะมันไม่ให้เราตั้งตัวได้ เวลาวันนี้มันเสียทีเราไปเห็นจะมีใจเจ็บแค้นยกมาปล้นค่ายเราเปนมั่นคง ท่านจงจัดแจงทหารออกไปซุ่มรายกันไว้นอกค่าย เวลาคํ่าวันนี้แม้ม้าเฉียวยกเข้ามาปล้นค่ายเราจะจุดประทัดสัญญาขึ้น จงให้ทหารที่ซุ่มอยู่นั้นล้อมกระหนาบหลังระดมเข้ามา เห็นเราจะจับตัวม้าเฉียวได้เปนมั่นคง เคาทูก็รับคำไปจัดแจงไว้พร้อมตามโจโฉสั่งทุกประการ
ฝ่ายม้าเฉียวครั้นเวลาคํ่า จึงให้เซงหงีกับทหารสามพันลอบเข้าไปสอดแนมดู ณ ค่ายโจโฉ ว่าตระเตรียมการไว้เปนประการใด ม้าเฉียวกับบังเต๊กจึงยกทหารตามไปภายหลัง เซงหงีกับทหารสามพันไปถึงค่ายโจโฉเห็นเงียบสงัด มิได้เห็นทหารเตรียมตัวตรวจตะเวนกันก็มีความยินดีนัก จึงพาทหารม้าสามสิบข้ามสนามเพลาะเข้าไป โจโฉเห็นดังนั้นก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่นอกค่ายนั้นก็ล้อมเข้ามา แฮหัวเอี๋ยนก็ขึ้นม้าถือทวนออกมาจากค่าย พบเซงหงีขี่ม้าเข้ามา แฮหัวเอี๋ยนก็เอาทวนแทงเซงหงีตกม้าตาย แล้วก็ไล่ฆ่าฟันทหารเซงหงีแตกตื่นกันวุ่นวาย ม้าเฉียวกับบังเต๊กซึ่งตามไปภายหลังรู้ดังนั้นก็แยกกันเปนสามกอง ฟันฝ่าทหารโจโฉเข้าไปช่วยกัน แลทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบพุ่งกันเปนสามารถ ถ้อยทีมิได้เสียกัน ต่างคนต่างก็ถอยเข้าค่าย
ม้าเฉียวก็แต่งให้ทหารออกปล้นค่ายโจโฉทุกวัน โจโฉก็ตรวจตราให้รักษาค่ายซึ่งตั้งอยู่ริมตำบลแม่น้ำอุยโหนั้นเปนกวดขัน จึงให้ทำสะพานเปนสามเส้นข้ามแม่น้ำไป ให้เดิรตลอดช่วยกันได้กับค่ายโจหยิน ม้าเฉียวแจ้งดังนั้น ก็สั่งให้ทหารมีคบเพลิงทุกคน บัญจบด้วยทหารหันซุยยกเข้าตีค่ายโจโฉแตก ให้เอาเพลิงจุดเผาเสียสิ้น ทหารโจโฉต้านทานมิได้ก็หนีออกจากค่ายพลัดพรายกันไป ม้าเฉียวหันซุยให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายมั่นลงณที่ค่ายเก่าโจโฉ ๆ แตกออกมาทางประมาณห้าสิบเส้น เห็นม้าเฉียวให้ตั้งค่ายลงในที่ค่ายเก่าของตัวดังนั้น ครั้นจะตั้งค่ายรับก็มิทัน จึงให้ทหารขุดดินปั้นก้อนขึ้นตั้งเปนสนามเพลาะเข้ารักษาอยู่
ฝ่ายม้าใช้เห็นดังนั้นก็รีบเอาเนื้อความไปแจ้งแก่ม้าเฉียว ๆ ก็คุมทหารยกมาถึงหน้าสนามเพลาะโจโฉ ๆ รู้ดังนั้นก็ขึ้นม้าออกมายืนอยู่หน้าค่ายกับเคาทู จึงร้องว่ากับทหารม้าเฉียวว่า ให้บอกแก่นายท่านว่าเราออกมาคอยอยู่ที่นี่แต่ผู้เดียว ให้ม้าเฉียวออกมาเราจะเจรจาด้วย ม้าเฉียวได้ยินโจโฉร้องมาดังนั้นก็ขับม้าออกมายืนตรงหน้าโจโฉ ๆ จึงร้องว่า ท่านเห็นฝีมือเราหรือไม่ คิดว่าเผาค่ายเราเสียได้แล้วจะไม่มีค่ายอยู่หรือ แต่ทำครู่เดียวก็ได้ดังเทพดามานฤมิตรให้ ซึ่งท่านจะต่อสู้นั้นที่ไหนจะมีชัยชนะแก่เรา จงเร่งคำนับเสียเถิด
ม้าเฉียวขัดใจก็ขับม้าสอึกเข้าไปจะจับเอาตัวโจโฉ พอเหลือบเห็นเคาทูถือทวนถลึงตาเขม้นอยู่ข้างหลังก็ตกใจชักม้าหยุดไว้ คิดว่าทหารโจโฉคนหนึ่งชื่อเคาทูลือฝีมือว่าเข้มแขงนัก จะเปนคนนี้หรือมิใช่ จึงถามว่าทหารเสือของท่านชื่อใดอยู่ไหน เคาทูได้ยินจึงขับม้าขึ้นมาแล้วบอกว่า ตัวเรานี้แลทหารเสือชื่อเคาทู ท่านจะทำไมเราหรือ ม้าเฉียวแลเห็นเคาทูรูปร่างทมิฬน่ากลัวขับม้าออกมาดังนั้น มิได้ว่าประการใด ก็ชักม้ารีบกลับเข้าค่าย
โจโฉกลับเข้ามาจึงว่าแก่เคาทูว่า ม้าเฉียวนี้ก็รู้ว่าท่านเปนทหารเสือกลัวฝีมือท่านอยู่ เคาทูจึงว่า เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะขอออกรบด้วยม้าเฉียว จะจับเอาตัวมาให้ได้ โจโฉจึงว่า อันม้าเฉียวนี้เขาก็เข้มแขง ท่านอย่าประมาท เคาทูจึงว่า แม้ข้าพเจ้าจับตัวม้าเฉียวมิได้ก็จะขอตายเสียในกลางสงคราม เคาทูก็ให้คนถือหนังสือไปถึงม้าเฉียวแต่ในเวลากลางคืน ว่ารุ่งเช้าให้ม้าเฉียวออกมารบกับเรา ม้าเฉียวเห็นหนังสือก็โกรธ จึงว่าเคาทูนี้เจรจาโอหังดูหมิ่นเรานัก ฝีมือจะเปนกระไรมา เวลาพรุ่งนี้เราจะยกทหารออกจับเอาตัวให้จงได้
ครั้นเวลารุ่งเช้า เคาทูแลม้าเฉียวก็ยกทหารออกจากค่าย เมื่อประทะกันเข้า ม้าเฉียวจึงขับม้าออกหน้าทหารทั้งปวงชูทวนขึ้นร้องว่า ผู้ใดเปนทหารเสือนั้นจงออกมาสู้กัน โจโฉยืนม้าอยู่หน้าทหารจึงว่า ม้าเฉียวมีกำลังมากนัก กับลิโป้ก็เหมือนกัน พอโจโฉว่ายังมิทันขาดคำ เคาทูขับม้าออกต่อสู้กับม้าเฉียว ๆ กับเคาทูสู้กันได้ร้อยเพลง มิได้เพลี่ยงพลํ้ากันทั้งสองฝ่าย ม้าก็อ่อนลง ถ้อยทีถ้อยชักม้ากลับเข้ามาในกองทหาร แล้วผลัดม้าเสียใหม่ ต่างคนต่างออกไปรบกันได้อีกร้อยเพลง
แลเมื่อเคาทูออกไปรบกับม้าเฉียวเปนคำรบที่สองนั้น มีโทโสเปนกำลัง ถอดเกราะเสียออกไปตัวเปล่า ทหารทั้งปวงเห็นนายมีกำลังกํ้ากึ่งกันถ้อยทีมิได้ย่อท้อดังนั้น ก็ชวนกันโห่ร้องเอิกเกริกทั้งสองฝ่าย แลม้าเฉียวกับเคาทูสู้กันได้อีกสามสิบเพลง เคาทูโกรธเปนกำลัง ฟันด้วยง้าวผ่าลงมา ม้าเฉียวหลบหน้าได้ปัดด้วยปลายทวน แล้วแทงถูกอกเคาทู ๆ ทิ้งง้าวเสียฉวยยุดเอาทวนได้ ถ้อยทีถ้อยชิงกัน ทวนหักสบั้นออกได้คนละท่อน ตีกันตลุมบอนอยู่บนหลังม้า โจโฉเห็นดังนั้นก็กลัวว่าเคาทูจะเสียทีเพลี่ยงพลํ้า จึงให้แฮหัวเอี๋ยนโจหองสองนายขับม้าออกกระหนาบช่วยเคาทู
ฝ่ายบังเต๊กกับม้าต้ายเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้ามาช่วยม้าเฉียว ทหารทั้งสองข้างก็เข้ารบพุ่งกันเปนอลหม่าน ทหารม้าเฉียวยิงเกาทัณฑ์ถูกหลังเคาทูติดอยู่สองดอก ทหารโจโฉเห็นดังนั้นก็แตกหนีเข้าค่าย ม้าเฉียวได้ทีก็ขับทหารไล่รบพุ่งเข้าไปถึงริมค่าย โจโฉก็ให้ปิดประตูค่ายเสียมิให้ออกรบพุ่ง แต่ให้รักษามั่นไว้ ม้าเฉียวก็คุมทหารกลับมาค่าย จึงว่าแก่หันซุยว่า แต่ได้ทำการรบพุ่งมานี้ ผู้ใดจะรบพุ่งมุด้วยโทโษหักหาญเหมือนเคาทูไม่มีเลย ทำอาการดุจเสือเหมือนเขาว่าก็สมจริง
ฝ่ายโจโฉเห็นว่าม้าเฉียวเข้มแขงนัก จึงให้ซิหลงกับจูเหลงคุมทหารยกไปตั้งค่ายฟากตวันตกเปนทัพกระหนาบม้าเฉียวไว้ แล้วขึ้นยืนอยู่ที่สูงแลไปเห็นม้าเฉียวแลทหารม้าอยู่หน้าค่ายประมาณสามร้อย จึงถอดหมวกออกจากสีสะทิ้งลงแล้วว่า ม้าเฉียวนี้แม้มิตายเพราะมือเรา นานไปเบื้องหน้าก็จะทำอันตรายแก่เรา ศพเรานี้มิรู้ที่จะกำหนดว่าจะอยู่แห่งใดได้ แฮหัวเอี๋ยนได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็ฉุนโกรธ จึงว่าข้าพเจ้าจะขออาสาไปกำจัดม้าเฉียวให้ได้ โจโฉห้ามเท่าใดก็มิฟัง ขึ้นม้าคุมทหารออกมาจากค่าย โจโฉเห็นแฮหัวเอี๋ยนกำลังโกรธอยู่ กลัวจะเสียทีแก่ม้าเฉียว ก็ยกทหารตามออกมา ม้าเฉียวเห็นแฮหัวเอี๋ยนยกทหารออกมาดังนั้น ก็ขับม้าเข้าไปจะสู้กับแฮหัวเอี๋ยน พอเหลือบไปเห็นธงทัพหลวงปักมาเปนสำคัญอยู่ ก็รู้ว่าโจโฉเปนกองหนุนออกมา ม้าเฉียวก็มิได้เข้ารบด้วยแฮหัวเอี๋ยน แล้วคุมทหารขับม้าวกเข้าไปจะจับเอาตัวโจโฉ
ฝ่ายโจโฉเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัวชักม้าหนี ทหารทั้งปวงก็แตกตื่นเปนอลหม่าน ม้าเฉียวได้ทีก็ขับทหารไล่ฆ่าฟันเข้าไป พอทหารคนหนึ่งบอกว่าบัดนี้โจโฉให้ทหารยกไปตั้งค่ายกระหนาบอยู่ฟากตวันตก ม้าเฉียวแจ้งดังนั้นจะไล่ล่วงไปมิได้ระวังหลังก็นึกเกรง จึงคุมทหารกลับมาค่าย แล้วปรึกษาแก่หันซุยว่า บัดนี้โจโฉให้ทหารยกข้ามฟากไปตั้งค่ายกระหนาบเราไว้ จะรบทั้งสองฝ่ายเห็นเหลือกำลังเราจะรบมิได้ จะคิดแก้ไขประการใดดี ลิขำทหารหันซุยจึงว่า อันโจโฉทำอาการครั้งนี้เห็นเข้มแขงนัก ขอให้ท่านคิดเพทุบายเปนไมตรีกันเสีย อย่าทำสงครามด้วยกันเลย ชวนกันเลิกทัพไปก่อน เมื่อพ้นเทศกาลหนาวแล้วจึงค่อยคิดทำการสืบไปใหม่
หันซุยจึงว่าแก่ม้าเฉียวว่า อันลิขำคิดอ่านทั้งนี้ก็เห็นดีอยู่ ขอท่านได้อนุกูลตามเถิด ม้าเฉียวก็นิ่งอยู่ เอียวฉิวเฮาชวนทหารหันซุยจึงว่าลิขำว่านี้ชอบ ขอให้ทำตามเถิด หันซุยจึงแต่งให้เอียวฉิวถือหนังสือไป ณ ค่ายโจโฉว่า เราทั้งสองจะรบพุ่งกันนั้นหาต้องการไม่ บัดนี้ก็เปนเทศกาลหนาวแล้ว เราทั้งสองฝ่ายจงเปนไมตรีเสียด้วยกันเลิกทัพไปเถิด
โจโฉแจ้งดังนั้นจึงว่าแก่เอียวฉิวว่า ท่านกลับไปค่ายบอกนายท่านก่อนเถิด ว่าพรุ่งนี้เราจึงจะให้หนังสือตอบไป เอียวฉิวก็ลาโจโฉกลับมา ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ซึ่งมหาอุปราชจะให้มีหนังสือตอบไปนั้นคิดประการใด โจโฉจึงบอกว่า ซึ่งเราว่าทั้งนี้เปนอุบายแกล้งรับคำไว้ดอก ครั้นเวลารุ่งขึ้นจึงใช้คนถือหนังสือไป ณ ค่ายหันซุยว่า ซึ่งท่านกับเรามิได้ทำสงครามด้วยกันสืบไปนั้นเราก็ยินดีด้วย แต่บัดนี้เราจะรีบเลิกทัพกลับไปนั้นยังมิได้ ให้งดอยู่ช้า ๆ ก่อน แล้วให้ทหารเร่งรัดทำสะพานดังหนึ่งจะข้ามพลเลิกทัพไป หวังจะให้ม้าเฉียวกับหันซุยไว้ใจ
ฝ่ายม้าเฉียวครั้นแจ้งในหนังสือดังนั้น จึงว่าแก่หันซุยว่า ซึ่งโจโฉให้มีหนังสือรับคำมาฉนี้ก็จริง แต่ทว่าจะไว้ใจมิได้ เกลือกจะลวงเรา ขอท่านได้ตระเตรียมทหารไว้สำหรับรับทัพโจโฉด้านหน้า ข้าพเจ้าก็จะจัดแจงทหารไว้รับทัพกระหนาบด้านหลัง หันซุยเห็นชอบด้วย ก็ตระเตรียมทหารทั้งปวงตามถ้อยคำม้าเฉียว
ฝ่ายโจโฉครั้นแจ้งว่า หันซุยรักษาหน้าที่ข้างด้านหน้า โจโฉก็มีความยินดี จึงว่าต้องในอุบายแล้ว การของเราจะสำเร็จเปนมั่นคง ครั้นเวลาเช้าโจโฉก็คุมทหารทั้งปวงออกมานอกค่าย ฝ่ายทหารหันซุยเห็นโจโฉยกออกมาก็คิดว่าโจโฉจะเลิกทัพไป ไม่เคยเห็นโจโฉต่างคนก็ต่างเบียดเสียดกันออกมานอกค่าย ร้องบอกกันอึงไปว่า มาดูโจโฉ ๆ ก็ขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนคนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาทหน่อยหนึ่งด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิด ผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด ทหารหันซุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจยืนดูตัวแขงอยู่ โจโฉจึงใช้ให้ทหารไปบอกหันซุยว่า บัดนี้มหาอุปราชให้เชิญท่านออกไปจะสนทนาด้วย
หันซุยได้แจ้งดังนั้นก็ขับม้าออกมานอกค่าย โจโฉเห็นหันซุยออกมาก็ถอดเกราะเสีย ใส่แต่เสื้อเปนปรกติ ขับม้าเข้าไปเคียงกันกับม้าหันซุยแต่สองต่อสอง ต่างคนต่างคำนับกัน โจโฉจึงว่า ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็ใช่คนอื่น บิดาของท่านเล่าข้าพเจ้าก็ได้คำนับว่าเปนอาว์ เราทั้งสองเมื่อหนุ่มนั้นเปนขุนนางทำราชการอยู่ด้วยกัน เปนคนชอบอัธยาศัย แลบัดนี้เราจากกันมาช้านานแล้วพึ่งได้เห็นกัน อายุท่านจะได้สักเท่าใด หันซุยจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าได้สี่สิบแล้ว
โจโฉก็ทำเอามือลูบอกเข้าแล้วว่า เราทำราชการอยู่ด้วยกันในเมืองหลวงหลัด ๆ แลจากกันมาดังหนึ่งมิทันจะเหลียวหลัง อายุล่วงไปถึงเพียงนี้แล้ว เมื่อไรบ้านเมืองจะราบคาบเปนปรกติ เราทั้งสองจะได้อยู่เย็นเปนสุขด้วยกัน แลหันซุยกับโจโฉพูดจาด้วยกันวันนั้น จะได้กล่าวในการสงครามหามิได้ ต่างคนต่างหัวเราะชื่นชมยินดีด้วยกัน จนเวลาบ่ายโมงหนึ่งแล้ว ก็คำนับลาจากกันมา ทหารคนหนึ่งจึงไปบอกม้าเฉียวว่า บัดนี้หันซุยออกไปเจรจากับโจโฉเปนช้านาน จะว่ากล่าวประการใดยังมิได้แจ้ง
ม้าเฉียวรู้ดังนั้นจึงมาถามหันซุยว่า ท่านออกไปเจรจากับโจโฉท่ำกลางสงครามวันนี้พูดจาสิ่งใดกัน หันซุยจึงบอกว่า พูดถึงเนื้อความซึ่งเคยได้ทำราชการมาด้วยกันแต่ก่อน ม้าเฉียวจึงถามว่า ท่านหาได้เจรจาด้วยการสงครามนี้ไม่หรือ หันซุยจึงว่า โจโฉมิได้เจรจา ข้าพเจ้าก็มิได้พูด ม้าเฉียวมีความสงสัย แต่นิ่งไว้มิได้ว่าประการใดก็กลับไป
ฝ่ายโจโฉครั้นกลับมาถึงค่าย จึงถามกาเซี่ยงว่า วันนี้เราออกไปสนทนาด้วยหันซุยนั้น ท่านยังรู้แยบคายเราประการใดบ้างหรือไม่ กาเซี่ยงจึงว่า อันแยบคายท่านซึ่งออกไปเจรจาด้วยหันซุยนั้น ชอบกลดีอยู่แล้ว แต่ทว่าม้าเฉียวกับหันซุยยังหามีความแคลงกันไม่ ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าทำกลอันหนึ่งให้แหนงกันเห็นจะดี
โจโฉจึงว่า ความคิดของท่านจะทำประการใด กาเซี่ยงจึงว่า ข้าพเจ้าคิดจะให้เอากระดาษเปล่าเข้าผนึกแล้ว สลักหลังผนึกเปนอักษรให้ลบเลือนเสียอย่าให้เห็นตัวถนัด ให้คนถือไปให้หันซุยทำเปนว่าท่านให้หนังสือลับไป ม้าเฉียวรู้ก็จะมาดู ครั้นฉีกผนึกออกเห็นกระดาษเปล่า ก็จะสงสัยว่าหันซุยซ่อนหนังสือเสีย แกล้งเอาผนึกกระดาษเปล่าให้ ดีร้ายม้าเฉียวกับหันซุยจะขุ่นหมองผิดใจกัน ภายหลังเราจึงจะแต่งคนไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเอาตัวหันซุยมาไว้เปนพวกเรา เห็นจะกำจัดม้าเฉียวได้โดยง่าย
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงให้เอากระดาษมาเข้าผนึกสลักหลังทำตามกาเซี่ยง ให้คนถือไปให้แก่หันซุย ณ ค่าย ครั้นม้าเฉียวรู้จึงมาถามว่า โจโฉให้หนังสือมาว่าประการใด หันซุยจึงเอาหนังสือนั้นส่งให้ดู ม้าเฉียวฉีกผนึกออกมิได้มีอักษร เห็นแต่กระดาษเปล่าจึงถามว่า เหตุใดจึงมิได้มีอักษรเล่า ท่านเอาหนังสือไปเสียไหน หันซุยจึงบอกว่า หนังสือโจโฉให้มาอย่างนั้นเอง เรายังมิทันฉีกผนึกก็พอท่านมา ซึ่งมิได้มีอักษรมานี้ ชรอยโจโฉหลงไปมิได้เอาหนังสือใส่ผนึก เอากระดาษเปล่าใส่มา
ม้าเฉียวจึงว่า ท่านว่านี้ไม่เห็นสม โจโฉเปนคนมีสติปัญญามั่นคง อันจะลืมหนังสือเสียนั้นผิดไป ชรอยท่านเข้าด้วยโจโฉคิดจะทำร้ายเรา ให้หนังสือลับมาถึงกันจึงมิให้เราเห็น แกล้งเอากระดาษเปล่าให้เราดู หันซุยจึงว่า เปนความจริงของเรา ถ้าท่านสงสัยแคลงใจอยู่ดังนั้น เวลาพรุ่งนี้เราจะออกไปพูดกับโจโฉนอกค่าย ท่านจงแอบฟังดูในค่าย ถ้าได้ยินเรากับโจโฉพูดจากันเห็นพิรุธประการใด ท่านจงเอาทวนแทงเราให้ตกม้าตายเสียเถิด ม้าเฉียวจึงว่า ถ้าท่านสัตย์ซื่อทำได้เหมือนว่านั้นเราก็จะสิ้นสงสัย
ครั้นเวลาเช้าหันซุยจึงพาเฮาชวนลิขำเหลียงเหงม้าอ้วนเอียวฉิวทหารห้าคน ออกมาจากค่าย หันซุยให้ทหารไปร้องเรียกโจโฉถึงหน้าค่าย ว่าหันซุยให้เชิญท่านมาเจรจาด้วยกันในที่กลางแปลง โจโฉรู้ดังนั้นจึงให้โจหองคุมทหารม้าสามสิบม้าออกมาคำนับแล้วบอกว่า มหาอุปราชให้มากำชับท่านว่า หนังสือซึ่งให้ไปนั้นอย่าให้ผู้ใดรู้แพร่งพรายไป จะเสียการเสีย โจหองบอกดังนั้นแล้วกลับมาค่าย ม้าเฉียวได้ยินก็โกรธ จึงขับม้ารำทวนออกมาจะแทงหันซุย ทหารหันซุยช่วยป้องกันไว้ได้ แล้วพาหันซุยหนีเข้าค่าย หันซุยจึงร้องว่าแก่ม้าเฉียวว่า หลานเราอย่าสงสัยเลย อันจะคิดร้ายต่อเจ้านั้นหามิได้ ม้าเฉียวโกรธเปนกำลังมิได้เชื่อก็ขับม้าตรงเข้าไปค่าย
ฝ่ายหันซุยจึงปรึกษาแก่ทหารห้าคนว่า บัดนี้ม้าเฉียวมีความแหนงว่าเรากลับไปเข้าด้วยโจโฉ เราจะทำประการใดจึงจะสิ้นสงสัย เอียวฉิวจึงว่าม้าเฉียวเปนคนมิได้คำนับผู้ใหญ่ โอหังถือตัวว่าเปนคนมีฝีมือประมาทท่านนัก ถึงจะทำการสืบไปก็ที่ไหนจะชนะโจโฉ ต้องการสิ่งใดที่ท่านจะเฝ้าของ้อเด็ก เราจะกลับไปเข้าเปนพวกโจโฉเสียดีกว่า โจโฉก็จะให้ทำนุบำรุงให้โดยยศฐาศักดิ์เปนใหญ่ในเบื้องหน้า หันซุยจึงว่า ตัวเรากับม้าเท้งบิดาม้าเฉียวเปนมิตรกันมาแต่ก่อน แลจะทิ้งความสัตย์เสียกลับไปเข้าด้วยโจโฉจะทำร้ายม้าเฉียวผู้บุตรมิตรนั้นมิ ควรนัก เราทำมิได้ เอียวฉิวจึงว่า ท่านกลัวจะเสียความสัตย์ก็ชอบอยู่ แต่ว่าบัดนี้การจะเกิดจลาจลถึงตัวแล้วจะมิทำก็จำทำ
หันซุยก็เห็นชอบจึงว่า ถ้ากระนั้นผู้ใดจะนำเอาเนื้อความไปแจ้งแก่โจโฉได้เล่า เอียวฉิวจึงว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาท่านไปเอง หันซุยก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่งว่า ข้าพเจ้าหันซุยขอคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าได้ประมาท ยกทหารมาต่อรบสู้ท่านนั้น เพราะเบาความมิได้พิเคราะห์ผิดแลชอบ แลบัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโทษตัวแล้ว มิได้คิดที่จะทำร้ายแก่ท่านสืบไป จะมาอ่อนน้อมคำนับท่านตามประเพณี ขอท่านได้อดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด ครั้นแต่งหนังสือแล้วก็ให้เอียวฉิวถือไปให้โจโฉ ๆ แจ้งหนังสือดังนั้นแล้วก็มีความยินดี จึงว่าหันซุยมีความภักดีต่อเรานั้น ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะตั้งให้เปนเจ้าเมืองเสเหลียง ตัวท่านจะให้เปนปลัด ทหารทั้งปวงเราจะชุบเลี้ยงตามผู้ใหญ่ผู้น้อย ท่านจงกลับไปบอกแก่หันซุยเถิดว่า เวลาคํ่าวันนี้ให้จุดเพลิงขึ้นในค่ายม้าเฉียว เราจะคุมทหารยกเข้าตีจับเอาตัวม้าเฉียวให้จงได้ เอียวฉิวคำนับโจโฉแล้วก็ลามา บอกเนื้อความแก่หันซุยตามถ้อยคำโจโฉว่าทุกประการ
หันซุยได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้ทหารเก็บฟืนมากองไว้หลังค่ายเปนอันมาก แล้วจึงปรึกษาด้วยทหารห้าคนว่า เวลาค่ำวันนี้เราจะแต่งโต๊ะเชิญให้ม้าเฉียวมากินโต๊ะ เห็นได้ทีแล้วจะจับตัวฆ่าเสีย ขณะเมื่อปรึกษากันอยู่นั้น พอทหารม้าเฉียวรู้ระคายว่าหันซุยคิดจะทำร้ายจึงเอาเนื้อความไปบอกม้าเฉียว ๆ รู้ดังนั้นก็รีบมา ให้บังเต๊กม้าต้ายคุมทหารสามสิบป้องกันมาข้างหลัง จึงเดิรเข้าไปในค่าย เห็นหันซุยนั่งปรึกษากันอยู่กับทหารห้าคน ได้ยินว่าให้รีบไปทำการจงเร็วจะไว้ช้ามิได้ ม้าเฉียวก็เดิรสาวตีนเข้าไป ด่าว่าเหม่อ้ายศัตรูจะคิดทำร้ายกู ทหารหันซุยทั้งห้าคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจตลึงอยู่ ม้าเฉียวก็ชักกระบี่ออกฟันหันซุย ๆ ยกแขนขึ้นรับถูกแขนขาดตกลง ทหารหันซุยทั้งห้าคนต่างถอดกระบี่ออกวิ่งเข้าต่อสู้ด้วยม้าเฉียว ๆ ก็ถอยออกไปนอกค่าย ทหารห้าคนก็ไล่ตามฟันออกไป ม้าเฉียวรับด้วยกระบี่ฟันถูกม้าอ้วนล้มลง แล้วแทงถูกเหลียงเหงด้วยกระบี่ตายกับที่ เฮาชวนลิขำเอียวฉิวสามคนเห็นดังนั้น จะต่อสู้ม้าเฉียวมิได้ต่างคนต่างหนี ม้าเฉียวก็กลับไล่เข้าไปจะฆ่าหันซุยเสีย พอทหารพาเอาตัวหนีไปได้แล้วลอบจุดเพลิงขึ้นหลังค่าย ทหารม้าเฉียวแลทหารหันซุยก็เข้าทิ่มแทงฆ่ากันตลุมบอนขึ้นเปนอลหม่าน
พอบังเต๊กม้าต้ายคุมทหารตามมาทันม้าเฉียว ก็ช่วยกันตีหักออกมาจากค่าย ปะทหารโจโฉยกมาบัญจบเข้า ก็เข้ารบพุ่งกันเปนสี่ด้านอุตลุดวุ่นวาย มิได้รู้จักพวกตัวพวกเขา บังเต๊กกับม้าต้ายก็พลัดกันกับม้าเฉียว ๆ เห็นเหลือกำลังก็ขึ้นม้าคุมทหารร้อยหนึ่ง ตีบากหนีข้ามมาถึงกลางสะพาน พอเวลารุ่งสว่างขึ้น เห็นลิขำคุมทหารไล่ตามมา ม้าเฉียวก็ขับม้ารำทวนเข้ามาต่อสู้ด้วยลิขำ ๆ เห็นจะสู้มิได้ก็ชักม้าพาทหารหนี ม้าเฉียวขับม้าไล่ตามไป
ฝ่ายอิกิ๋มคุมทหารตลบไล่ตามม้าเฉียวมาข้างหลังยิงเกาทัณฑ์ไป ม้าเฉียวได้ยินเสียงลมลูกเกาทัณฑ์วู่มาข้างหลังก็หมอบตัวหลบลง ลูกเกาทัณฑ์เลยไปถูกลิขำตกม้าตาย ม้าเฉียวเห็นดังนั้น ก็ชักม้ากลับจะเข้าต่อสู้ด้วยอิกิ๋ม ๆ ก็ชักม้าหนีไป ม้าเฉียวคุมทหารกลับมายืนอยู่กลางสะพาน ทหารโจโฉก็ยกสกัดต้นสะพานปลายสะพานไว้ ยิงเกาทัณฑ์ระดมมาดังห่าฝน ม้าเฉียวเอาทวนปัดลูกเกาทัณฑ์ตกนํ้าสิ้น มิได้ถูกตัวแต่สักเล่มหนึ่ง ก็ให้ทหารเข้าตีทหารโจโฉจะให้เลิกจากต้นสะพาน ทหารน้อยตัวนักตีหักออกมิได้เหลือกำลังก็กลับมา ม้าเฉียวโกรธเปนกำลังตวาดด้วยเสียงอันดังขับม้าควบตีหักออกมาแต่ผู้เดียว ทหารโจโฉก็แหวกช่องให้ ม้าเฉียวก็ถลำเข้าไปในกลางทหาร ๆ ก็รดมยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกม้าเฉียวล้มลง ทหารโจโฉกรูกันเข้ามาจะจับเอาตัว พอบังเต๊กม้าต้ายคุมทหารตีเข้ามาทันก็ช่วยรบพุ่งเปนสามารถ กันเอาม้าเฉียวไว้ได้ ทหารคนหนึ่งก็ลงเสียจากม้าแล้วให้ม้าเฉียวขึ้นขี่ช่วยกันรบหักออกมาได้
ฝ่ายโจโฉรู้ว่าม้าเฉียวหนีได้ดังนั้น ก็ให้ประกาศแก่ทหารทั้งปวงให้รีบติดตามทั้งกลางวันกลางคืน ว่าถ้าผู้ใดได้สีสะม้าเฉียวมาให้เรา ๆ จะปูนบำเหน็จทองพันหนึ่งเงินพันหนึ่ง ถ้าจับเปนได้จะตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ ทหารทั้งปวงต่างคนจะใคร่เอาความชอบก็ตรูกันเร่งรีบติดตามไป ม้าเฉียวหนีมาครั้งนั้นน้อยตัวนัก มีแต่บังเต๊กแลม้าต้ายกับทหารประมาณสามสิบคน จะรั้งรอต่อสู้ทหารโจโฉนั้นมิได้ ก็รีบหนีไปข้างทิศใต้เมืองเสเหลียง
โจโฉยกหนุนตามมาข้างหลัง รู้ว่าม้าเฉียวหนีไปพ้นตามมิทันแล้วก็ให้ยกทหารกลับมา ณ เมืองเตียงอั๋น พักทหารอยู่รักษาแขนหันซุยให้หายแผลแล้ว โจโฉเห็นว่าเปนคนพิการจะทำสงครามต่อไปมิได้ ก็ตั้งให้เปนเจ้าเมืองเสเหลียง ให้เฮาชวนกับเอียวฉิวเปนปลัด สำหรับได้คุมทหารไปตะเวนตามลำนํ้าอุยโห เพื่อป้องกันกองทัพม้าเฉียว แลทหารทั้งปวงนั้นก็ตั้งให้เปนขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยความชอบ
ขณะนั้นเอียวหูทหารรองเอียวฉิวจึงว่า มหาอุปราชจะเลิกทัพไปบัดนี้ เมืองเตียงอั๋นหาผู้ใดจะเปนผู้ใหญ่รักษาไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าม้าเฉียวแตกครั้งนี้มีความพยาบาทอยู่ จะคิดตอบแทนเปนมั่นคง เกลือกม้าเฉียวจะซ่องสุมผู้คนได้มากแล้วจะยกมาทำอันตรายภายหลังก็จะเสียท่วง ที ขอให้แต่งผู้ใดที่แน่นอนไว้ใจได้อยู่รักษาเมืองเตียงอั๋นป้องกันม้าเฉียว ก่อน ถ้าม้าเฉียวยกมาจะได้ช่วยกันรบพุ่ง โจโฉจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย เราจัดแจงเสร็จอยู่แล้ว เอียวหูได้ฟังดังนั้นก็คำนับลาไปเมืองเสเหลียงกับหันซุย
แลเมื่อหันซุยยกไปแล้ว ทหารทั้งปวงจึงถามโจโฉว่า ข้าพเจ้ามีความสงสัยนัก ด้วยเมื่อแรกม้าเฉียวยกมาตีด่านตงก๋วนนั้น เปนไฉนมหาอุปราชจึงมิให้ยกไปตั้งโอบหลังหันซุยไว้เล่า ถ้ายกไปโอบหลังเข้าจะมิได้ชัยชนะเร็วหรือ มหาอุปราชมาตั้งรับม้าเฉียวอยู่ที่ด่านตงก๋วนนี้หนักหน่วงอยู่ช้าจนเสียท่วง ที แล้วจึงให้ยกไปตั้งกระหนาบฟากตวันออกนั้นด้วยเหตุอันใด
โจโฉจึงว่า กลอันนี้ชื่อฟ้าร้องมิทันเอามือปิดหู ท่านทั้งปวงหารู้ไม่ ขณะเมื่อม้าเฉียวยกมานั้น เรามิได้ให้ยกไปตั้งโอบหลังไว้ เพราะเราเห็นทหารม้าเฉียวยกมา ๆ ยังไม่สิ้นเชิง ครั้นจะด่วนให้รีบไปตั้งโอบหลังสกัดไว้ ทหารม้าเฉียวยกมาภายหลังก็จะคั่งอยู่ จะต้องรบพุ่งกันเปนสองหน้า เห็นจะพว้าพะวังนักเอาชัยชนะยาก เราจึงแกล้งตั้งรับอยู่ให้ช้า หวังจะให้ทหารยกมาให้สิ้นเชิง ภายหลังเราจึงให้ซิหลงกับจูเหลงคุมทหารยกข้ามฟากไปตั้งกระหนาบไว้ก็ต้องด้วย กลอุบาย ได้ทำการรบพุ่งแต่หน้าเดียว มิได้เปนธุระที่จะระวังทัพอื่น ก็ได้ชัยชนะด้วยกำลังแลฝีมือทหารทั้งปวงโดยสดวก
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงถามว่า เมื่อท่านตั้งอยู่นั้น มีคนเอาเนื้อความมาบอกว่า ทหารม้าเฉียวยกมาอีกสองพันสามพัน มหาอุปราชมีความยินดีกลับหัวเราะนั้นด้วยเหตุอันใดเล่า โจโฉจึงบอกว่า เมืองเสเหลียงนั้นมีหัวเมืองขึ้นเรี่ยรายอยู่เปนอันมาก ครั้นทหารยกเติมมาเราก็แจ้งว่ากองทัพหัวเมืองยกมาสิ้นเชิงแล้วจึงมีความ ยินดี เพราะเห็นว่าทหารทั้งปวงต่างเมืองกัน มิได้พรักพร้อมเปนนํ้าหนึ่งใจเดียว ถึงจะมามากก็เหมือนน้อย เห็นจะแพ้แก่ฝีมือทหารเราเปนมั่นคงเราจึงหัวเราะ ถ้าผู้มีสติปัญญาน้อย จะทำสงครามกับม้าเฉียวเพียงขวบปีหนึ่ง ที่จะได้ชัยชนะแก่ทหารทุกหัวเมืองเหมือนเรานี้ก็เปนอันยาก
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชวนกันคำนับแล้วสรรเสริญว่า มหาอุปราชนี้มีสติปัญญาอันสุขุม ประกอบไปด้วยอานุภาพประดุจหนึ่งเทพดา โจโฉจึงว่า เรามีชัยชนะครั้งนี้ก็อาศรัยท่านทั้งปวง แล้วปูนบำเหน็จทหารผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยความชอบ จึงมอบทหารของม้าเฉียวซึ่งจับได้มาเปนชะเลยนั้นให้แก่แฮหัวเอี๋ยนคุมอยู่ รักษาเมืองเตียงอั๋น ให้เตียวกี๋เจ้าเมืองเกงเตียวอยู่ช่วยราชการด้วย โจโฉจัดแจงทหารบ้านเมืองเสร็จแล้ว ก็ให้ยกกองทัพกลับมาเมืองหลวง
กรุณาแสดงความคิดเห็น