สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 41
เนื้อหา
- โจโฉแต่งทหารให้ไปเป็นไส้ศึกในกองทัพจิวยี่
- อุยกายรับอาสาซ้อนกลโจโฉ
- เจียวก้านอาสาไปสืบข่าวในกองทัพจิวยี่
- จิวยี่ซ้อนกลให้บังทองมาเข้ากับโจโฉ
- โจโฉประชุมเลี้ยงทหาร
- โจโฉเตรียมทัพ
- จิวยี่รู้ว่าทัพฝ่ายตนอยู่ใต้ลมก็รากเลือด
- ขงเบ้งออกอุบายให้จิวยี่เตรียมทัพแล้วหนีไป
- จิวยี่จัดทัพจะเข้าตีโจโฉ
- เล่าปี่จัดทัพสั่งดักโจโฉ
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉจึงว่าแก่ชัวต๋งชัวโฮว่า ท่านจงตั้งใจทำราชการด้วยเราโดยสุจริต อย่าคิดเจ็บแค้นว่าเราฆ่าพี่ท่านเสีย บัดนี้เราจะจัดแจงทหารให้ท่านทำเปนหนีเราไปอยู่ด้วยจิวยี่ แม้จิวยี่จะคิดกลศึกประการใด ท่านจงบอกความลับมาให้เรารู้ด้วย ถ้าการสำเร็จแล้วเราจะเลี้ยงให้ถึงขนาด ชัวต๋งชัวโฮจึงว่ามหาอุปราชอย่าได้คิดแคลงข้าพเจ้าเลย อันบุตรภรรยาข้าพเจ้าก็อยู่ในเมืองเกงจิ๋วเหมือนอยู่ในเงื้อมมือท่าน แม้ข้าพเจ้าคิดทำการเปนสองใจก็ให้ฆ่าบุตรภรรยาข้าพเจ้าเสียเถิด ข้าพเจ้าจะขอตั้งใจอาสาไปทำการเอาสีสะจิวยี่กับขงเบ้งมาให้ท่านจงได้ โจโฉมีความยินดีจึงจัดแจงทหารเมืองเกงจิ๋วห้าร้อย กับเรือรบห้าลำให้แก่ชัวต๋งชัวโฮ ครั้นเวลากลางคืนชัวต๋งกับชัวโฮลงเรือ แล้วกางใบแล่นตามลมลงไปถึงฝั่งค่ายจิวยี่
ในขณะนั้นจิวยี่ปรึกษาการสงครามอยู่กับทหารทั้งปวง พอกองตะเวนมาบอกเนื้อความว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮน้องชัวมอพาทหารประมาณห้าร้อยหนีโจโฉมา จะอยู่ทำราชการด้วยท่าน จิวยี่แจ้งดังนั้นก็ให้ทหารออกไปรับชัวต๋งกับชัวโฮเข้ามา ชัวต๋งชัวโฮคำนับแล้วร้องไห้บอกจิวยี่ว่า ชัวมอพี่ข้าพเจ้าหาความผิดมิได้ โจโฉให้ฆ่าเสีย ข้าพเจ้ามีใจพยาบาทคิดแค้นโจโฉอยู่เปนอันมาก จึงพากันหนีมาหวังจะอยู่ทำราชการด้วยท่าน แม้ท่านจะยกออกไปรบเมื่อใด ข้าพเจ้าจะอาสาเปนทัพหน้า จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็รู้เท่าทำเปนมีใจยินดีแล้วแกล้งพูดว่า ซึ่งท่านมีความแค้นโจโฉสมัคมาอยู่ด้วยเราขอบใจนัก จึงให้เงินทองเสื้อผ้าแก่ชัวต๋งกับชัวโฮตามสมควร แล้วให้ชัวต๋งชัวโฮไปเข้ากองทัพหน้ากำเหลง ชัวต๋งชัวโฮก็ลามาอยู่ด้วยกำเหลงแล้วคิดในใจว่า ครั้งนี้เราอาสาโจโฉมาเห็นจะสมความคิดเปนมั่นคง
ฝ่ายจิวยี่จึงให้หากำเหลงมาแล้วค่อยกระซิบสั่งว่า ซึ่งชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยเรานี้ ใช่จะจริงเหมือนปากนั้นหามิได้ เพราะมิได้เอาครอบครัวมาด้วย ถ้อยคำมั่นว่าทั้งนี้เปนกลอุบายของโจโฉใช้มา เราจะคิดซ้อนกลโจโฉ เอาชัวต๋งชัวโฮไว้ให้กลับลวงโจโฉเอง เราจึงจะทำการได้ถนัด ซึ่งเราให้ชัวต๋งชัวโฮไปอยู่ด้วยท่านนั้น จงช่วยทำนุบำรุงอย่าให้เคืองใจ แล้วระวังระไวเหตุการณ์กว่าเราจะคิดอ่านเห็นช่องมีชัยแก่โจโฉ เราจึงจะฆ่าชัวต๋งชัวโฮตัดเอาสีสะเส้นธงชัย กำเหลงรับคำแล้วก็ลากลับไป ณ ค่าย
โลซกจึงว่าแก่จิวยี่ว่า ชัวต๋งกับชัวโฮมาอยู่ด้วยท่านนี้เปนกลอุบาย อย่าให้ท่านเอาไว้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็โกรธตวาดเอาโลซกแล้วว่า เดิมชัวมอผู้พี่เขานั้นหาความผิดมิได้ โจโฉให้ฆ่าชัวมอเสีย ชัวต๋งกับชัวโฮก็มีความน้อยใจหนีมาอยู่ด้วยเรา หวังจะแก้แค้นโจโฉ แลตัวจะมาคิดแหนงเขาฉนี้ นานไปผู้ใดที่มีความคิดแลฝีมือจะอาจเข้ามาอยู่ด้วยเราเล่า แล้วทำเปนลุกเดิรเข้าไปข้างใน
โลซกจึงเอาเนื้อความซึ่งจิวยี่ว่ากล่าวนั้นไปเล่าให้ขงเบ้งฟังทุกประการ ขงเบ้งได้แจ้งดังนั้นก็หัวเราะ มิได้ว่าประการใด โลซกเห็นดังนั้นแล้วก็ถามว่า เหตุใดท่านจึงหัวเราะ ขงเบ้งจึงตอบว่า ตัวท่านนี้ซื่อนัก มิได้ล่วงเห็นความคิดจิวยี่ บัดนี้จิวยี่แจ้งในกลอุบายโจโฉ ซึ่งคิดอ่านให้ชัวต๋งชัวโฮมาสมัคอยู่ด้วยนั้น เพราะเหตุว่ากองทัพจิวยี่กับโจโฉตั้งอยู่นี้เปนชายทเล ยากที่จะใช้ผู้คนไปมาสอดแนม โจโฉจึงแกล้งให้ชัวต๋งกับชัวโฮทำเปนหนีมาอยู่ด้วยจิวยี่ หวังจะได้บอกการแก่โจโฉ อันจิวยี่เอาไว้นั้นเพราะจะคิดซ้อนกลโจโฉ ซึ่งท่านว่ากล่าวห้ามปรามจิวยี่มิให้เอาชัวต๋งชัวโฮไว้นั้น จิวยี่แกล้งทำโกรธท่านดอก โลซกจึงว่า เมื่อจิวยี่โกรธนั้นข้าพเจ้าไม่แจ้งจริง ต่อท่านชี้แจงให้ข้าพเจ้าจึงเห็นความคิดจิวยี่ แล้วโลซกก็ลาขงเบ้งกลับไปที่อยู่
ครั้นเวลากลางคืนจิวยี่ออกมานั่งคิดราชการอยู่ พอเห็นอุยกายเดิรเข้ามาจิวยี่จึงถามว่า ท่านเข้ามานี้จะเตือนสติเราประการใด อุยกายจึงว่า อันทหารโจโฉซึ่งยกมาทำศึกครั้งนี้มากกว่าเรานัก แม้ท่านจะตั้งรออยู่ให้ช้ามิได้คิดอ่านรบพุ่ง ข้าพเจ้าเห็นจะเสียทีแก่เขาเปนมั่นคง เหตุใดท่านไม่คิดอ่านเอาเพลิงเผากองทัพโจโฉเสีย
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ความคิดอันนี้ผู้ใดสอนให้ท่านมาว่าหรือ อุยกายจึงบอกว่า ความอันนี้ข้าพเจ้าคิดเอง จะได้มีผู้ใดมาสั่งสอนให้ว่ากล่าวหามิได้ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ความคิดอุยกายนี้ต้องกันกับเรา แล้วว่าเราก็คิดเหมือนกับท่าน แต่ว่ายังหามีทีกระทำไม่ บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยเรา เปนกลอุบายของโจโฉหวังจะใคร่รู้เหตุการณ์ในกองทัพเรา ซึ่งเราเอาตัวชัวต๋งชัวโฮไว้นี้ เพราะจะคิดซ้อนกลโจโฉ แต่วิตกอยู่ข้อหนึ่งว่า หาผู้ใดจะอาสาไปถึงกองทัพโจโฉมิได้ อุยกายจึงบอกว่าท่านอย่าวิตกเลย แม้ท่านจะใช้ข้าพเจ้าจะขออาสา จิวยี่จึงว่าถ้าท่านจะรับอาสาแล้ว จำจะต้องทนอาญาเราถึงสาหัส การทั้งปวงจึงจะสมความคิด แล้วโจโฉก็จะไม่มีความสงสัย อุยกายจึงว่าซุนกวนมีคุณเลี้ยงข้าพเจ้ามาก็ได้มีความสุขเปนอันมาก ยังมิได้แทนคุณสิ่งใดก่อน ครั้งนี้ถึงมาทว่าตัวข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แม้ท่านจะใช้สิ่งใดจะขอตั้งใจอาสา เอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฎว่าได้อาสานายถึงขนาด จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี คุกเข่าลงคำนับอุยกายแล้วว่า แม้ท่านสุจริตรับดังนี้ได้ อันการศึกครั้งนี้ก็จะสำเร็จเพราะท่าน แล้วให้สัญญากันไว้ อุยกายรับคำแล้วก็ลามาที่อยู่
ครั้นเวลาเช้าจิวยี่ออกว่าราชการ ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วให้หาขงเบ้งเข้ามาด้วย จึงแกล้งปรึกษาว่าโจโฉยกทัพมาครั้งนี้มีทหารประมาณร้อยหมื่นเศษ ตั้งค่ายเรียงกันไปประมาณสามพันเส้น ฝ่ายทหารเราก็น้อยกว่าเขานัก ซึ่งจะคิดรบพุ่งนั้นใช่จะสำเร็จแต่ในวันเดียวนั้นหามิได้ เราจะแจกสเบียงอาหารให้นายทัพนายกองทั้งปวง ให้แจกทหารเลวกินกำหนดไปให้พอสามเดือน แม้จะกะเกณฑ์ยกไปรบจะได้ทันทีสดวก อุยกายได้ฟังดังนั้นจึงแกล้งว่า อย่าแจกสเบียงไว้แต่สามเดือนเลย ข้าพเจ้าแถมให้แจกไว้ถึงสามสิบเดือนอีก การศึกนั้นก็หาสำเร็จไม่ จงเร่งคิดอ่านรบพุ่งให้กองทัพโจโฉแตกไปในเดือนหนึ่ง ถ้าไม่แตกก็ให้ทำตามคำเตียวเจียวว่า เราท่านทั้งปวงจะชวนกันถอดเกราะทิ้งอาวุธเสีย เข้าไปขอออกแก่โจโฉจะมิดีกว่าอีกหรือ
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็แกล้งทำเปนโกรธ มิให้ผู้ใดสงสัย แล้วจึงว่า ซุนกวนให้เราถืออาญาสิทธิ์คุมทหารเปนแม่ทัพใหญ่มาทำการสงครามด้วยโจโฉ บัดนี้เราคิดการเห็นชอบจึงสั่งให้แจกเข้าดังนั้น เหตุใดตัวจึงบังอาจว่ากล่าวขัดขวางให้ทหารทั้งปวงคิดย่อท้อไม่เปนใจรบพุ่ง ฝ่ายข้าศึกรู้ก็จะมีใจกำเริบบุกบันเข้ามาทำร้ายกองทัพเรา แล้วสั่งทหารให้เอาตัวอุยกายไปฆ่าเสีย
อุยกายได้ฟังดังนั้นก็แกล้งทำเปนโกรธหนักขึ้นจึงตอบว่า ตัวกูอาสาทำการสงครามมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยน จนซุนเกี๋ยนได้เปนใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ครั้นซุนเกี๋ยนถึงแก่ความตาย ตัวกูก็เปนข้าฝ่ายทหารต่อมาจนถึงซุนเซ็กซุนกวนก็ได้สามนายแล้ว แต่กูเปนคนอาภัพครั้งนี้จึงได้เปนลูกกองคนใหม่มา จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ทำโกรธยิ่งขึ้นเปนอันมาก จึงสั่งทหารเร่งให้เอาตัวอุยกายไปฆ่าเสีย
กำเหลงจึงห้ามว่า อุยกายนี้เปนคนเก่า ได้ว่ากล่าวเปนข้อละเมิดผิดลงแล้ว ข้าพเจ้าขอโทษไว้สักครั้งหนึ่งเถิด จิวยี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งตัวมาขอโทษอุยกายไว้นี้ สืบไปภายหน้าทหารทั้งปวงจะมิดูเยี่ยงอย่างไปหรือ แล้วสั่งให้ทหารขับกำเหลงออกไปเสีย ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงคำนับจิวยี่แล้วว่า อุยกายว่ากล่าวทั้งนี้โทษผิดถึงตายอยู่แล้ว แต่ซึ่งจะให้ฆ่านั้นยังไม่ควรด้วยยังกำลังอยู่ในระหว่างทัพศึก จะเปนอัปมงคลไป ขอให้งดไว้ก่อน แม้กำจัดโจโฉแตกไปแล้วจึงค่อยฆ่าอุยกายเสีย
จิวยี่จึงตอบว่า ท่านทั้งปวงว่ากล่าวนี้ก็ควรอยู่ ครั้นเราจะยกโทษอุยกายเสียทีเดียวภายหน้าก็จะกำเริบขัดขวางอีก แต่ซึ่งจะให้ฆ่าเสียนั้น เรายกโทษให้ท่านทั้งปวง แล้วสั่งทหารให้เอาตัวอุยกายไปตีร้อยหนึ่ง คนใช้จึงเอาตัวอุยกายลงมาตีได้ประมาณห้าสิบที ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงช่วยกันอ้อนวอนขอโทษอีก
จิวยี่จึงลุกขึ้นด่าอุยกายเปนข้อหยาบช้า แล้วว่าครั้งนี้กูให้ตีมึงแต่ห้าสิบที สืบไปภายหน้ามิได้หลาบจำบังอาจขัดขวางอีก กูจะให้ตัดสีสะเสียบประจานไว้ แล้วก็เดิรเข้าไปที่ข้างใน ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงก็เข้าพยุงอุยกายออกไปถึงที่อยู่ แลแผลซึ่งต้องตีนั้นก็แตกช้ำโลหิตไหล อุยกายสลบไปถึงสองครั้งสามครั้ง คนทั้งปวงมีความสงสารร้องไห้รัก แล้วช่วยกันแก้ไขฟื้นขึ้น ฝ่ายขงเบ้งนั้นมิได้ว่าประการใด ก็กลับลงไปเรือ โลซกจึงตามลงไปเรือว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวข้าพเจ้านี้อยู่ในบังคับบัญชาจิวยี่ เห็นจิวยี่ให้ตีอุยกายก็มีความสงสาร แต่จะว่ากล่าวขอโทษนั้นก็เกรงอยู่ ตัวท่านเปนแขกมา เหตุใดจึงนิ่งเสียมิได้ขอโทษอุยกาย
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ตัวท่านคิดว่าเราไม่รู้หรือ จึงมาดูหมิ่นว่าเราฉนี้ โลซกจึงตอบว่า แต่ข้าพเจ้าไปพาท่านมาอยู่ ณ เมืองกังตั๋งจนออกมาทัพนี้ ข้าพเจ้ายังมิได้ว่ากล่าวหยาบช้าสิ่งใดให้เคืองใจ เหตุใดท่านจึงว่าข้าพเจ้าดูหมิ่นดังนี้เล่า ขงเบ้งจึงว่า เมื่อจิวยี่ให้ตีอุยกายนั้นเปนกลอุบายของจิวยี่คิดจะซ้อนกลโจโฉ เราจึงนิ่งอยู่มิได้ขอโทษอุยกาย ซึ่งจิวยี่ให้ทำการทั้งนี้ หวังจะให้ชัวต๋งชัวโฮเห็นจริง ก็จะบอกการทั้งปวงไปถึงโจโฉให้แจ้ง แล้วจะให้อุยกายทำเปนเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉ แม้ท่านจะกลับไปหาจิวยี่ อย่าได้บอกว่าเราล่วงรู้เนื้อความทั้งนี้ จงบอกแต่ว่าเราเห็นจิวยี่ให้ตีอุยกายนั้นก็มีความน้อยใจอยู่ ด้วยจิวยี่มิได้รักทหาร
โลซกแจ้งดังนั้นก็รับคำ แล้วลาขงเบ้งกลับไปหาจิวยี่ จิวยี่จึงพาโลซกเข้าไปในที่ข้างใน โลซกจึงแกล้งถามจิวยี่ว่า อุยกายเปนคนเก่าได้ว่ากล่าวพลั้งไป เหตุใดท่านจึงให้ทำโทษถึงเพียงนี้ จิวยี่กลับถามว่า ซึ่งเราให้ตีอุยกายนั้น ท่านเห็นคนทั้งปวงพูดจาเปนทีน้อยใจเราอยู่หรือ โลซกจึงบอกว่า ข้าพเจ้าเห็นคนทั้งปวงไม่สู้สบาย ด้วยเหตุว่าท่านให้ทำโทษอุยกายเจ็บปวดเปนสาหัส จิวยี่จึงถามว่า ท่านได้ยินขงเบ้งว่ากล่าวประการใดบ้าง โลซกจึงบอกว่า ขงเบ้งมีความน้อยใจอยู่ ว่าท่านมิได้เอ็นดูทหาร จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตบมือหัวเราะแล้วว่า เราคิดการครั้งนี้ขงเบ้งหารู้เท่าไม่ โลซกจึงถามว่า ซึ่งท่านว่าขงเบ้งไม่รู้เท่านั้นด้วยเหตุประการใด
จิวยี่จึงบอกว่า ขงเบ้งมิได้ล่วงรู้ความคิดเรา ซึ่งให้ทำโทษอุยกายนั้น เพราะเหตุว่าจะซ้อนกลให้อุยกายเข้าเกลี้ยกล่อมโจโฉ แลเนื้อความซึ่งเราทำทั้งนี้ ชัวต๋งชัวโฮไม่รู้เท่าก็จะบอกไปถึงโจโฉ ๆ ก็จะคิดว่าจริง เราจึงจะเอาเพลิงจุดทำการศึกให้มีชัยชนะโจโฉ โลซกได้ฟังดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า สติปัญญาของขงเบ้งนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าจิวยี่อีก ซึ่งขงเบ้งสั่งนั้นโลซกก็มิได้บอกจิวยี่ประการใด แล้วก็ลาไปที่อยู่
ฝ่ายอุยกายซึ่งต้องโบยมานั้นนอนอยู่ ณ ค่าย คนทั้งปวงไปเยือนถามข่าวเปนอันมาก อุยกายมิได้พูดจาด้วยผู้ใด แต่ทำเปนเคี้ยวฟันทอดใจใหญ่อยู่
ในขณะนั้นพองำเต๊กซึ่งเปนที่ปรึกษาจิวยี่นั้น เปนเพื่อนรักกับอุยกาย แลงำเต๊กคนนี้นํ้าใจสัตย์ซื่อ แลพูดจากล้าหาญเข้ามาเยือนอุยกาย ครั้นเห็นคนทั้งปวงไปสิ้น อุยกายจึงขับบ่าวไพร่ของตัวออกไปเสีย แล้วเรียกงำเต๊กเข้ามาใกล้ งำเต๊กจึงถามว่า แต่ก่อนนั้นท่านกับจิวยี่มีสาเหตุสิ่งใดกัน จิวยี่จึงให้ทำโทษท่านถึงเพียงนี้ อุยกายจึงบอกว่ามิได้มีสาเหตุกันสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า เมื่อไม่มีพยาบาทกัน ซึ่งจิวยี่ให้ทำโทษแก่ท่านเจ็บปวดเปนสาหัสดังนี้จะมิเปนกลอุบายหรือ อุยกายก็ถามว่าเหตุใดท่านจึงรู้ งำเต๊กจึงบอกว่า ซึ่งจิวยี่ทำโทษท่านนี้เราเห็นเปนกลอุบายสิบส่วน แต่เรารู้เก้าส่วนไม่แจ้งนั้นส่วนหนึ่ง
อุยกายจึงว่า เดิมโจโฉคิดเปนกลอุบายให้ชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ด้วยจิวยี่ ๆ จึงปรึกษาเราว่าจะคิดซ้อนกลโจโฉ แลตัวเรานี้ซุนเกี๋ยนซุนเซ็กมีคุณเลี้ยงดูเรามา ครั้นซุนเกี๋ยนซุนเซ็กถึงแก่ความตายแล้ว ซุนกวนก็เลี้ยงดูเราต่อมาคุณนั้นเปนอันมาก เรามิได้มีสิ่งใดจึงเอากายเอาชีวิตนี้แทนคุณ จะอาสาทำการเปนกลอุบาย หวังจะให้กองทัพโจโฉแตกจงได้ เราจึงสู้ทรมานกายเจ็บปวดจนถึงเนื้อถึงเลือด บัดนี้เราพิเคราะห์ดูทหารทั้งปวงในกองทัพนี้มิได้มีผู้ใดที่จะไว้ใจเลย เราเห็นแต่ท่านผู้เดียวมีใจสุจริตสัตย์ซื่อมั่นคงต่อนาย เราจึงบอกความลับทั้งนี้ แม้ท่านรับอาสาได้เราจึงจะบอกต่อไปให้สิ้น
งำเต๊กจึงว่า ซึ่งท่านว่าทั้งนี้จะให้เราไปแต่งกลลวงโจโฉหรือ อุยกายจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ต้องในความคิดเรา แต่ว่าน้ำใจของท่านนั้นจะยอมไปหรือไม่ งำเต๊กจึงตอบว่าเจ้านายก็ได้มีคุณมา ตัวเราบัดนี้ก็มีแต่ชีวิต คิดจะให้ลือชาปรากฎไว้ในแผ่นดิน จะอาสาไปคิดอ่านล่อลวงโจโฉให้ได้ ถึงมาทว่าโจโฉรู้จะฆ่าเสียก็ตามเถิด ขอแต่ให้มีชื่อปรากฎไว้ อุยกายได้ฟังดังนั้นก็ค่อยพยุงตัวขึ้นคำนับงำเต๊กแล้วว่า ซึ่งท่านคิดอ่านทั้งนี้มิเสียแรงเปนชาติทหาร งำเต๊กจึงว่าจะอยู่ช้านักไม่ได้ แม้ท่านจะสั่งเสียอย่างไรก็ให้เร่งทำหนังสือเราจะไป อุยกายจึงอุตส่าห์เขียนหนังสือแล้วผนึกส่งให้งำเต๊กแล้วว่า ท่านจงรีบไปคิดอ่านให้ได้ราชการของนายเรา งำเต๊กรับเอาหนังสือแล้วก็ลามาที่อยู่ ครั้นเวลาคํ่าจึงแต่งตัวปลอมเปนชาวประมง ลงเรือน้อยทอดแหไปใกล้หน้าค่ายกองทัพโจโฉ
ฝ่ายทหารกองตะเวนโจโฉเห็นเรือน้อยทอดแหมาผิดประหลาท ก็จับเอาตัวมาไต่ถาม แล้วเข้าไปบอกเนื้อความแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าจับเรือหาปลาได้ ครั้นถามบอกว่าชื่องำเต๊ก เปนที่ปรึกษาซุนกวน จะมาบอกความลับท่าน โจโฉแจ้งดังนั้นจึงว่า ซึ่งงำเต๊กมานี้หวังจะสอดแนมข้อราชการในกองทัพเรา จึงให้เอาตัวงำเต๊กเข้ามาในเวลาสามยามเศษ แล้วถามว่าตัวมานี้ด้วยเหตุสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า คนทั้งปวงลือชาปรากฎว่ามหาอุปราชนี้มีสติปัญญากว้างขวาง ทั้งน้ำใจโอบอ้อมอารีมีความปราถนาจะใคร่เลี้ยงทหารซึ่งมีความคิดแลฝีมือกล้า แข็ง ข้าพเจ้ามาทั้งนี้อุปมาเหมือนหนึ่งคนซึ่งเดิรทางหยากนํ้า ครั้นพบสระน้ำเข้าก็ตักกินด้วยความยินดี บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นมหาอุปราชถือตัวอยู่ มิได้รู้จักคนดีแลชั่ว เมื่อพิเคราะห์ดูก็ไม่สมคำคนทั้งปวงเล่าลือ ซึ่งอุยกายคิดอ่านให้ข้าพเจ้ามาหานี้ก็ป่วยการเสียเปล่าหาประโยชน์มิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เรากับซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งก็ทำสงครามกันอยู่ ฝ่ายตัวท่านก็เปนที่ปรึกษาซุนกวน ก็เหมือนหนึ่งเปนศัตรูเรา แลเมื่อท่านมาถึงนั้น เหตุใดจึงมิให้ไล่เลียงเนื้อความดูว่ามาดีแลร้ายก่อน จะด่วนให้เราวิ่งลงไปรับนั้นสมควรกับความคิดแม่ทัพแม่กองอยู่แล้วหรือ งำเต๊กได้ฟังดังนั้นก็ทำเปนสรรเสริญโจโฉแล้วว่า อันอุยกายนั้นอยู่มาแต่ครั้งซุนเกี๋ยนแลซุนเซ็กต่อกันมาถึงซุนกวน แต่เพียงซุนกวนก็ยังมิได้มีโทษประการใด แต่พอได้จิวยี่มาไว้ซุนกวนตั้งให้เปนนายทหาร จิวยี่มีใจกำเริบมิได้ยำเกรงล่วงบังคับบัญชา ตีอุยกายผู้เปนบ่าวเดิมให้ได้ความอัปยศ นํ้าใจนั้นพยาบาทจิวยี่อยู่ อันอุยกายกับข้าพเจ้าเปนเพื่อนรักกันสนิธเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน ครั้นอุยกายจะลอบหนีมาหาท่าน จิวยี่ก็ให้ตีป่วยหนักอยู่ จึงให้ข้าพเจ้าถือหนังสือลับลอบมาให้ท่าน หวังจะใคร่แจ้งว่าท่านจะมีความเอ็นดูหรือไม่ยังสงสัยอยู่ แลด้วยตัวต้องถูกลงอาญาเจ็บปวดสาหัส จึงให้ข้าพเจ้ามาคำนับแทน
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า หนังสือซึ่งอุยกายให้มานั้นอยู่ไหนเล่า งำเต๊กจึงเอาหนังสือส่งให้ โจโฉก็รับเอามาฉีกผนึกออกอ่านดู ในหนังสือนั้นเปนใจความว่า ข้าพเจ้าอุยกายคำนับมาถึงมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้าอยู่มากับซุนเกี๋ยนซุนเซ็กซุนกวนถึงสามนายแล้วก็มิได้มีภัย อันตราย คุณของแซ่ซุนนั้นหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าคิดตั้งใจจะแทนคุณอยู่มิได้ขาด ซึ่งท่านยกกองทัพมาครั้งนี้มีทหารประมาณร้อยหมื่นเศษ ทั้งสติปัญญาก็ลึกซึ้งกว้างขวาง อุปมาดังก้อนศิลา อันทหารในเมืองกังตั๋งนั้นก็น้อย อุปมาเหมือนฟองไก่แลฟองนก ผู้ซึ่งมีสติปัญญาบ้างก็คิดว่าจะสู้รบด้วยกองทัพท่านสืบไป ดังหนึ่งเอาฟองไก่มากระทบก้อนศิลา น่าที่ก็จะแตกระยำไป จึงปรึกษาพร้อมกันให้ขอออกแก่ท่านจะได้มีความสุขสืบไป แต่จิวยี่ผู้เดียวมีใจองค์อาจมิได้ยอมด้วย ว่ากล่าวขอทหารซุนกวนยกมาทำการสงครามด้วยท่าน อันจิวยี่นั้นกำเริบตั้งสง่าว่ามีสติปัญญาหาผู้ใดจะเสมอมิได้ บังคับการสงครามเอาแต่ตามอำเภอใจ ข้าพเจ้ามิได้มีความผิดก็ให้ทำโทษประจานให้ได้ความเจ็บอาย ข้าพเจ้ามีความเจ็บแค้นเปนอันมาก ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านมีใจกรุณาแก่สัตว์เหมือนหนึ่งญาติพี่น้อง คนทั้งปวงเข้าพึ่งพาได้อยู่เย็นเปนสุข อุปมาดังห่าฝนอันตกลงมาชุ่มชื่นแผ่นดินอยู่ฉนั้น บัดนี้ตัวข้าพเจ้าจะไปคำนับยังมิได้ ด้วยจิวยี่ให้โบยตีป่วยอยู่เปนสาหัส แม้ค่อยคลายแล้วได้ช่องเมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะเอาสเบียงอาหารบันทุกเรือลอบหนี มาหาท่านให้จงได้ ท่านอย่าคิดสงสัยข้าพเจ้าเลย
โจโฉแจ้งในหนังสือดังนั้นก็โกรธ อ่านกลับไปกลับมาประมาณเก้าครั้งสิบครั้งจึงตวาดเอา แล้วว่าจิวยี่คิดกลอุบายตีอุยกาย อุยกายจึงแต่งหนังสือให้ตัวถือมานี้เปนทีเยาะเย้ยเรา แล้วสั่งให้ทหารเอาตัวงำเต๊กไปฆ่าเสีย ขณะเมื่อทหารคุมเอาตัวงำเต๊กจะออกไปนั้น งำเต๊กมิได้ย่อท้อทำอาการแหงนหน้าขึ้นไปดูอากาศแล้วหัวเราะ โจโฉเห็นดังนั้นก็สงสัย จึงเรียกให้ทหารเอาตัวงำเต๊กกลับมาแล้วขู่ถามว่า เรารู้อยู่ว่าจิวยี่กับอุยกายแกล้งทำกลอุบายมาลวงเรา ๆ จึงให้ฆ่าตัวเสีย เหตุใดตัวมิได้กลัวความตาย กลับหัวเราะเยาะดังนี้ งำเต๊กจึงบอกว่าข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะมหาอุปราช ข้าพเจ้าหัวเราะเยาะความคิดอุยกายต่างหาก ด้วยมิได้รู้จักคนดีแลชั่ว โจโฉจึงถามว่า เหตุใดจึงว่าอุยกายมิได้รู้จักคนดีแลชั่วนั้นฉันใดเล่า งำเต๊กจึงแกล้งตอบว่า ท่านอย่าถามเซ้าซี้ไปให้ช้าเลย จะฆ่าเราก็เร่งฆ่าเสียเถิด
โจโฉจึงว่า ตัวเราได้เรียนพิชัยสงครามชำนาญมาแต่เด็กเปนอันมาก บัดนี้เราก็แจ้งอยู่ในกลศึกต่าง ๆ จึงได้เปนนายถึงเพียงนี้ ซึ่งตัวคิดอ่านทำกลอุบายมาลวงเรา ๆ รู้เกินกว่าความคิดตัวอีก ถ้าตัวจะคิดเล่นฉนี้ จงไปลวงเด็กเลี้ยงโคนั้นเถิด งำเต๊กจึงตอบว่า ท่านก็มีสติปัญญากว้างขวางอยู่ ซึ่งอุยกายให้หนังสือมานี้ ท่านพิเคราะห์เห็นว่าข้อใดซึ่งไม่จริงนั้นจงว่าออกไปให้แจ้ง โจโฉจึงว่า ครั้นเราจะไม่บอกออกให้แจ้งบัดนี้ ซึ่งจะให้ฆ่าตัวเสียนั้น ตัวก็จะน้อยใจว่าเรามิได้ชี้แจงให้เห็นผิดแลชอบ อันในหนังสือที่มีมานั้น ถ้าอุยกายกับตัวจะสมัคมาอยู่ด้วยเราโดยสุจริตแล้ว ก็จะมีกำหนดวันคืนซึ่งจะพาครอบครัวอพยพมาหาเรา นี่อุยกายแกล้งทำกลอุบายมาลวงเรา งำเต๊กได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านอวดตัวว่าได้เรียนตำราพิชัยสงครามชำนาญอยู่นั้นหาจริงไม่ แต่เราเสียดายว่าท่านได้เปนมหาอุปราชมิได้รู้ทีเสียทีได้ เราจะช่วยเตือนสติท่านไว้ ว่าให้เร่งยกทัพกลับไปเสีย แม้ไม่ฟังคำเรา จิวยี่ก็จะจับตัวท่านได้เปนมั่นคง อันตัวเรานี้เปนคนโฉดเขลา ถึงมาทว่าจะตายด้วยอาญาท่านก็หามีคนลือชื่อไม่ โจโฉจึงว่า เหตุใดตัวจึงมาดูถูกเราดังนี้ งำเต๊กจึงว่าท่านหาความคิดมิได้ มิได้รู้การถ่ายเทการสงครามทั้งปวง ไม่รู้ความเท็จความจริง แลไม่รู้คเนนํ้าใจคนว่ามีความสัตย์หรือหาสัตย์ไม่
โจโฉจึงถามว่า เราไม่รู้การนั้นสิ่งใด งำเต๊กจึงว่า ตัวท่านเปนถึงมหาอุปราช คนดีมีปัญญามาหาท่านก็มิได้นับถือ เราจะว่าต่อไปใยให้ป่วยการ ด้วยตัวจะตายอยู่แล้ว โจโฉจึงตอบว่า ซึ่งตัวมีสติปัญญานั้นจงว่าออกให้เราเห็นประจักษ์เถิด เราจะได้นับถือท่านสืบไป งำเต๊กจึงว่าท่านไม่แจ้งหรือ อันธรรมดาผู้จะหนีเจ้านายไปอยู่กับผู้อื่น ซึ่งจะกำหนดวันคืนมานั้นหามีธรรมเนียมไม่ แม้จะให้กำหนดวันคืนมา เกลือกยังมิได้ช่องก่อน ครั้นถึงวันกำหนดแล้ว ฝ่ายผู้ซึ่งจะมารับนั้นก็จะเสียการ ทั้งผู้ถือหนังสือเล่าก็จะได้ความผิดด้วย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ ค่อยคลายความโกรธ จึงลุกไปจูงมืองำเต๊กขึ้นไปนั่งที่สมควรแล้วขอขะมาว่า ซึ่งได้ประมาทพลาดพลั้งนั้นท่านอย่าน้อยใจเลย เราขออภัยเสียเถิด งำเต๊กจึงว่า อันน้ำใจอุยกายกับข้าพเจ้าอุปมาเหมือนทารกหยากนม ฝ่ายตัวท่านเหมือนมารดา อุยกายกับข้าพเจ้าซึ่งตั้งใจจะมาหาท่าน เหมือนทารกมีความยินดีซึ่งจะได้กินนมมารดา อันจะคิดเปนกลอุบายมานั้นหามิได้
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็สิ้นสงสัยจึงว่า ซึ่งอุยกายกับท่านตั้งใจสุจริตจะมาทำราชการด้วยเรานี้ แม้สำเร็จการศึกแล้ว เราจะตั้งท่านทั้งสองเปนใหญ่กว่าทหารทั้งปวง งำเต๊กจึงว่า อันตัวข้าพเจ้าซึ่งคิดอ่านจะมาอยู่กับท่านนี้ ใช่จะรักยศฐาศักดิ์นั้นหามิได้ เพราะเห็นว่าการแผ่นดินทุกวันนี้จะร่วงโรยอยู่แล้ว หากท่านทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎรจึงตั้งอยู่ได้เพียงนี้ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจมาหวังจะฝากตัวท่าน จะได้มีความสุขสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงชวนงำเต๊กกินโต๊ะอยู่ พอคนใช้ซึ่งสนิธเข้ามากระซิบบอกโจโฉว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮลอบบอกความลับมาถึงท่าน แล้วเอาหนังสือนั้นยื่นให้โจโฉ ๆ รับเอาหนังสือมาอ่านดูมิให้งำเต๊กเห็น ในหนังสือนั้นว่าชัวต๋งชัวโฮขอบอกข้อราชการในกองทัพจิวยี่มาถึงมหาอุปราชให้ แจ้ง ด้วยจิวยี่ทำโทษอุยกายเจ็บปวดเปนสาหัส ครั้นโจโฉแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว เห็นสมคำงำเต๊ก โจโฉมีความยินดีนัก หน้าตานั้นผ่องใส งำเต๊กเห็นกิริยาโจโฉนั้นชื่นชมยินดี ก็คิดว่าคงเปนหนังสือชัวต๋งชัวโฮบอกการซึ่งจิวยี่ทำโทษอุยกายมา บัดนี้ต้องคำเรา การทั้งปวงซึ่งคิดไว้ก็จะสำเร็จ
โจโฉจึงว่าแก่งำเต๊กว่า ท่านเร่งกลับไปบอกเนื้อความแก่อุยกายให้คลายทุกข์ แล้วให้อุยกายกำหนดวันคืนซึ่งจะมาได้นั้นบอกให้เราแจ้ง เราจะได้จัดแจงทหารไปรับ งำเต๊กจึงแกล้งตอบว่า ข้าพเจ้าคิดจะอยู่ด้วยท่านจะไม่กลับไปแล้ว ด้วยได้รับความลำบากนัก ครั้นจะนำสื่อสาส์นกลับไปกลับมาอีก เกลือกจิวยี่รู้การทั้งปวงก็จะเสียไป ขอท่านแต่งทหารในกองทัพนี้ให้ลอบไปเอากำหนดอุยกายดีกว่า
โจโฉจึงว่า ทหารของเราเปนคนข้างนอก ครั้นจะใช้ไปมา จิวยี่ก็จะเห็นประหลาท การทั้งปวงก็จะแพร่งพรายไป ท่านจงไปเองจึงจะได้การสดวก งำเต๊กแกล้งทำบิดพลิ้วอยู่ช้านานจึงว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปก็อย่าช้าเลย จงเร่งจัดแจงเถิด โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงแพรอย่างดีกับเงินทองให้เปนรางวัลงำเต๊ก งำเต๊กจึงว่า ซึ่งมหาอุปราชให้บำเหน็จรางวัลทั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ ครั้นข้าพเจ้าจะรีบไปบัดนี้ก็ไม่ได้ ด้วยเปนการเร็วจะรีบไปรีบมา คนทั้งปวงจะสงสัย
งำเต๊กจึงเอาสิ่งของคืนให้แก่โจโฉ แล้วก็ลงเรือมาหาอุยกาย ณ ค่ายจิวยี่ งำเต๊กเล่าเนื้อความซึ่งได้พูดกับโจโฉแลโจโฉสั่งมานั้นให้อุยกายฟังทุก ประการ อุยกายได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าแก่งำเต๊กว่า ครั้งนี้แม้ไม่ได้ท่านช่วย ธุระข้าพเจ้าก็จะเจ็บเสียเปล่า งำเต๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะลาไป ณ ค่ายกำเหลงดูกิริยาชัวต๋งชัวโฮจะคิดอ่านประการใดบ้าง อุยกายก็เห็นชอบด้วย งำเต๊กก็ลาไปค่ายกำเหลง งำเต๊กจึงแกล้งว่าแก่กำเหลงหวังจะให้ชัวต๋งชัวโฮรู้ ว่าเมื่อจิวยี่ทำโทษอุยกายอันหาความผิดมิได้นั้นท่านกับขุนนางทั้งปวงเห็น ไม่ชอบ ช่วยอ้อนวอนขอโทษ จิวยี่กลับโกรธตวาดเอาท่าน แล้วว่ากล่าวหยาบช้าให้ท่านได้ความเจ็บอายเปนอันมาก ข้าพเจ้าก็พลอยมีความแค้นด้วย
กำเหลงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะอยู่ ยังไม่ทันจะตอบประการใด พอชัวต๋งชัวโฮเดิรเข้ามา งำเต๊กจึงกระหยิบตาให้กำเหลง ๆ แจ้งในทีจึงแกล้งทำเปนว่า อันจิวยี่นี้ถือตัวอวดรู้ว่ามีสติปัญญาไม่มีผู้ใดจะเสมอ แล้วก็มิได้นับถือเราซึ่งเปนคนเก่า ว่ากล่าวหยาบช้าให้เราได้ความอับอายแก่ขุนนางทั้งปวง แล้วกำเหลงก็ทำเคี้ยวฟันว่าจะเปนไรมี งำเต๊กจึงแกล้งทำกระซิบเข้าที่หูกำเหลง ประหนึ่งจะห้ามว่าอย่าอื้ออึง เนื้อความจะแพร่งพรายไป กำเหลงก็ทำเปนพยักหน้าแล้วคำรามอยู่ ชัวต๋งชัวโฮเห็นกิริยางำเต๊กกับกำเหลงทำดังนั้น ก็คิดว่ามีความแค้นจะเอาใจออกหากจิวยี่ จึงแกล้งปราไสล่อถามว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านทั้งสองไม่สบาย ท่านมีทุกข์สิ่งใดหรือ งำเต๊กจึงตอบว่า เรามีความแค้นอยู่ในใจ ซึ่งท่านจะล่วงรู้นั้นไม่ได้ ชัวต๋งชัวโฮจึงว่า เรารู้แล้วว่าท่านทั้งสองจะใคร่สมัคไปอยู่ด้วยมหาอุปราช แต่ยังไม่สมความคิด ท่านจึงไม่สบาย เราจะไปบอกจิวยี่ งำเต๊กได้ฟังดังนั้นก็ทำหน้าสลดลง แลดูกำเหลงตลึงอยู่ กำเหลงนั้นทำเปนโกรธถอดกระบี่ออกแล้วว่า การของเราคิดไว้เปนความลับ เหตุใดมารู้แพร่งพรายไปดังนี้ แม้ละไว้ช้ามันก็จะเอาเนื้อความไปบอกจิวยี่จริง เราก็จะถึงแก่ความตาย อย่าเลยเราจะฆ่ามันเสียก่อน แล้วก็ทำคุกคามคำรามจะฆ่าชัวต๋งชัวโฮเสีย ชัวต๋งชัวโฮได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่า ท่านอย่าเพ่อโกรธ ข้าพเจ้าจะบอกความจริงให้แจ้งก่อน กำเหลงจึงว่า ความจริงของตัวทั้งสองอย่างไรให้เร่งว่ามา หาไม่เราจะฆ่าเสีย ชัวต๋งชัวโฮจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าสมัคมาอยู่กับจิวยี่นี้ ใช่จะตั้งใจมาโดยสุจริตหามิได้ มหาอุปราชแต่งกลอุบายให้ทำเปนหนีมาเข้าเกลี้ยกล่อมจิวยี่ หวังจะได้เนื้อความตื้นลึกหนักเบาในกองทัพจิวยี่ลอบไปบอกให้รู้จะได้คิดการ ต่อไป แม้ท่านจะสมัคไปอยู่ด้วยมหาอุปราชเราก็จะพาไป กำเหลงจึงถามว่า ซึ่งท่านบอกนี้เปนความจริงหรือ ชัวต๋งชัวโฮก็สาบาลว่าจริง กำเหลงงำเต๊กทำเปนดีใจลุกขึ้นคำนับ เข้ากอดเอาชัวต๋งชัวโฮแล้วว่า ซึ่งท่านทั้งสองว่านี้ อุปมาเหมือนเทพดาเข้าดลใจให้มาช่วยเรา ครั้งนี้เราจะสิ้นความแค้น แลเนื้อความซึ่งจิวยี่ให้ทำโทษอุยกายนั้น เราก็ให้ลอบบอกไปถึงมหาอุปราชแล้ว งำเต๊กจึงว่า ตัวเราเองเปนผู้ไปถึงมหาอุปราช ๆ ให้เรากลับมาเอากำหนดวันคืนอุยกายจะไปนั้น บัดนี้อุยกายให้เรามาชวนกำเหลง
กำเหลงงำเต๊กจึงชวนชัวต๋งชัวโฮกินโต๊ะ ถ้อยทีถ้อยปรึกษากันไปมา ครั้นกินโต๊ะแล้วชัวต๋งชัวโฮก็ลามาที่อยู่ แล้วแต่งหนังสือลับให้คนสนิธลอบถือไปให้โจโฉเปนใจความว่า ข้าพเจ้าชัวต๋งชัวโฮมาอยู่ในกองทัพจิวยี่นี้ ได้เกลี้ยกล่อมกำเหลงซึ่งเปนแม่ทัพหน้านั้น มีน้ำใจเจ็บแค้นจิวยี่ต่าง ๆ กำเหลงรับเปนไส้ศึก แม้มหาอุปราชจะยกกองทัพมารบจิวยี่เมื่อใด กำเหลงก็จะคุมทหารออกตีกระหนาบจิวยี่ ฝ่ายงำเต๊กก็แต่งหนังสือให้ทหารถือไปถึงโจโฉเปนใจความว่า ข้าพเจ้างำเต๊กกับอุยกายจะจัดเรือบรรทุกสเบียงมา ณ ค่ายมหาอุปราช ให้คอยดูสำคัญ ถ้าเห็นธงตะขาบเขียวปักมาหน้าเรือเปนสำคัญแล้ว ท่านจงให้ทหารมารับด้วย
ฝ่ายโจโฉแจ้งในหนังสือทั้งสองฉบับดังนั้น จึงปรึกษากับขุนนางแลทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ชัวต๋งชัวโฮบอกมาถึงเราว่า กำเหลงซึ่งเปนแม่กองทัพหน้าจะรับเปนไส้ศึกในกองทัพจิวยี่ อนึ่งอุยกายให้งำเต๊กมาหาเราว่าอุยกายนั้นจะมาเข้าเกลี้ยกล่อมเรา บัดนี้งำเต๊กก็ให้หนังสือมาว่า อุยกายกับงำเต๊กจะจัดเรือบรรทุกสเบียงปักธงตะขาบเขียวเปนสำคัญมา ให้เราคอยรับ แลเนื้อความทั้งสองข้อนี้เราแคลงอยู่ ผู้ใดซึ่งมีสติปัญญาจะอาจสามารถปลอมเข้าไปฟังกิตติศัพท์เท็จแลจริงในในกอง ทัพจิวยี่ได้ เจียวก้านจึงว่า ครั้งก่อนข้าพเจ้ารับอาสาไปว่าจะเกลี้ยกล่อมจิวยี่ก็มิได้ข้อราชการ ถึงท่านไม่เอาโทษก็ดี แต่มีความวิตกอยู่ในใจเปนอันมาก ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสาแก้ตัวไปสืบเอาข้อราชการมาให้แจ้ง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงจัดแจงเรือเร็วให้เจียวก้านลำหนึ่ง เจียวก้านลงเรือรีบไปถึงกองทัพจิวยี่ แล้วบอกแก่ทหารว่า เราจะขอเข้าไปหาจิวยี่ ทหารจึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกจิวยี่ว่า บัดนี้เจียวก้านจะเข้ามาหาท่านอีก จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงคิดแต่ในใจว่า ซึ่งเจียวก้านจะมาหาเราครั้งนี้ อันการของเราที่คิดไว้นั้นก็จะสำเร็จเพราะเจียวก้าน จิวยี่จึงให้ทหารกลับออกไปบอกเจียวก้านว่าเรายังนอนอยู่ ทหารนั้นก็ออกไปบอกเจียวก้านตามคำจิวยี่สั่ง เจียวก้านก็คอยอยู่นอกค่าย
(ในขณะเมื่อกองทัพโจโฉยกลงมาถึงแดนเมืองเกงจิ๋วนั้น บังทองกลัวทหารโจโฉจะทำอันตราย จึงหนีออกมาอยู่แดนเมืองกังตั๋ง โลซกได้ไปถามบังทองว่าจะคิดอ่านรบพุ่งประการใดจึงจะได้ชัยชนะโจโฉ บังทองจึงว่าให้คิดอ่านเอาโซ่ล่ามเรือรบโจโฉ แล้วเอาตะปูตรึงไว้ทุกลำ แล้วจึงให้เอาเพลิงจุดเผาเสียโจโฉจึงจะแตก แลเนื้อความทั้งนี้โลซกได้มาบอกแก่จิวยี่ แล้วสรรเสริญว่าบังทองนั้นมีสติปัญญา จิวยี่ก็นับถือบังทองว่าเปนคนดี ครั้นจิวยี่ยกกองทัพมาครั้งนี้ บังทองก็มาลอยเรืออยู่ด้วย)
ฝ่ายจิวยี่จึงให้หาโลซกมาแล้วสั่งว่า บัดนี้เจียวก้านมาลวงหวังจะดูเหตุการณ์หนักเบาในกองทัพเรา ๆ จะแกล้งให้เอาตัวเจียวก้านไปขังไว้ ท่านจงไปอ้อนวอนบังทองให้พูดจากับเจียวก้านให้เปนไมตรีกันเข้าแล้ว เห็นเจียวก้านจะพาบังทองหนีไปหาโจโฉ ณ ค่าย ให้บังทองคิดอ่านลวงโจโฉให้เอาโซ่ร้อยเรือรบเสียจงสิ้น เราจึงจะได้เอาเพลิงเผาเสียทั้งกองทัพเรือ โลซกก็ลาไปบอกแก่บังทองตามคำจิวยี่สั่งทุกประการ แล้วจิวยี่จึงให้ทหารออกไปรับเจียวก้าน
ฝ่ายเจียวก้านนั้นคิดเห็นว่า น้ำใจจิวยี่มิได้เปนปรกติเหมือนแต่ก่อน จึงให้ทหารซึ่งมาคอยนั้นเอาเรือไปจอดให้พ้นกองทัพจิวยี่ แล้วเจียวก้านเดิรเข้าไปในค่าย เห็นหน้าจิวยี่ตึงอยู่ ฝ่ายจิวยี่นั้นทำโกรธ จึงว่าแก่เจียวก้านว่า ตัวมิได้คิดถึงไมตรี บังอาจดูหมิ่นเรา เจียวก้านได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ตัวเรากับท่านเปนเพื่อนรักกันมาแต่เด็ก บัดนี้เราก็มีความรักเสมออยู่เหมือนพี่น้องของเราอันเกิดร่วมมารดากัน ซึ่งท่านว่าเราบังอาจดูหมิ่นนั้นเปนประการใด จิวยี่จึงว่า เมื่อตัวมาครั้งก่อนนั้น เราก็รู้อยู่ว่าโจโฉให้มาเกลี้ยกล่อมเรา อันความคิดเรานี้แม้น้ำในพระมหาสมุทรแห้ง เราจึงจะไปอยู่ด้วยโจโฉ แต่เราคิดเอ็นดูตัวว่าเปนเพื่อนรักกัน เราจึงห้ามปรามมิให้ตัวออกชื่อโจโฉ หวังจะตัดเนื้อความซึ่งพูดจาเกลี้ยกล่อมเรา ๆ ชวนตัวเสพย์สุรา แล้วพาเข้าไปนอนเตียงเดียวกัน ครั้นเรานอนหลับอยู่ ตัวลักเอาหนังสือซึ่งชัวมอเตียวอุ๋นให้มาแก่เรา แล้วตัวก็มิได้ร่ำลาเรา ลอบหนีไปแต่ในเวลากลางคืน เอาหนังสือไปให้แก่โจโฉ ๆ จึงฆ่าชัวมอเตียวอุ๋นเสีย การใหญ่ของเราซึ่งคิดกันไว้เสียไปเพราะตัว บัดนี้ตัวคิดอ่านมาจะทำร้ายเราอีกเล่า แม้เราไม่คิดถึงว่าได้เปนเพื่อนรักกันมาแต่ก่อนก็จะให้ตัดสีสะตัวเสียบ ประจานไว้หน้าค่าย ครั้นเราจะปล่อยให้ตัวไปบัดนี้เล่า ตัวก็จะเอาเนื้อความในกองทัพเราไปบอกแก่โจโฉ เราจะทำศึกต่อไปนั้นก็ขัดสน ถ้าเรากำจัดโจโฉแตกไปได้เมื่อใดจึงจะปล่อยตัวเสีย แล้วสั่งทหารให้เอาตัวเจียวก้านคุมไว้ จิวยี่ก็เดิรเข้าไปข้างใน ทหารสองคนจงพาตัวเจียวก้านไปคุมไว้ ณ วัดบนเนินเขา
ในขณะนั้นเจียวก้านมีความทุกข์มิได้เปนกินเปนนอน ครั้นเวลากลางคืนเห็นเดือนสว่าง จึงเดิรไปเที่ยวเล่นหลังวัด หวังจะให้ความทุกข์คลาย พอได้ยินเสียงคนในกระท่อมนั้นอ่านหนังสือตำราพิชัยสงครามอันลํ้าลึก แล้วอธิบายออกไปกว้างขวาง เจียวก้านคิดแต่ในใจว่า ผู้อ่านหนังสือนี้มีสติปัญญาเปนอันมาก จึงเข้าไปเคาะประตูหวังจะสนทนาด้วย ฝ่ายบังทองได้ยินเสียงเคาะประตูก็ถามว่าผู้ใด เจียวก้านจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเจียวก้านจะมาหาท่าน บังทองจึงเปิดประตูรับเข้าไป เจียวก้านคำนับแล้วถามว่าท่านชื่อใดบังทองจึงบอกว่าเราชื่อบังทอง เจียวก้านจึงถามว่า ท่านนี้หรือซึ่งเขาเรียกว่าอาจารย์ฮองซู บังทองจึงรับว่าเรานี้แหละ เจียวก้านจึงว่า คนทั้งปวงลือชาปรากฎอยู่ว่า ท่านมีสติปัญญาเปนอันมาก เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่ไม่สมควรเลย บังทองจึงตอบว่า จิวยี่นั้นเปนคนถือตัว อวดรู้ว่ามีความคิดหาผู้ใดเสมอมิได้ แล้วดูหมิ่นคนทั้งปวง เราจึงหลบหลีกมาซุ่มซ่อนหวังจะหาความสบาย
เจียวก้านจึงว่า ตัวท่านมีสติปัญญาแล้วก็ชำนาญในตำราพิชัยสงคราม อันจะเที่ยวอยู่ดังนี้ก็เหมือนคนหาความคิดไม่ อันน้ำใจโจโฉนั้นรักผู้มีสติปัญญา จะใคร่สนทนาด้วย แม้ไปอยู่ด้วยโจโฉท่านก็จะได้ความสุข ข้าพเจ้าจะช่วยพาไป แล้วจะเสนอความชอบให้ บังทองจึงแกล้งตอบว่าเราก็คิดอยู่ ว่าจะซอกซอนไปเสียให้พ้นแดนเมืองกังตั๋ง แต่ไม่มีผู้ใดที่จะช่วยชักนำไป บัดนี้ท่านรับธุระแล้วเราก็มีความยินดี ครั้นจะอยู่ช้าไปเกลือกจิวยี่รู้กิตติศัพท์ก็จะทำอันตรายแก่เราทั้งสอง เจียวก้านจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย แล้วพาบังทองลอบหนีลงเรือรีบแจวไปถึงค่ายโจโฉ เจียวก้านจึงเข้าไปบอกเนื้อความซึ่งได้โต้ตอบกับจิวยี่ แล้วว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมได้บังทองมานั้นให้โจโฉฟัง
โจโฉได้แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงออกมาคำนับรับบังทองเข้าไป เชิญให้นั่งแล้วว่า อายุจิวยี่ก็อ่อนอยู่ แต่นํ้าใจองค์อาจกำเริบ ยกตัวว่ามีสติปัญญาแต่ผู้เดียว มิได้เอาความคิดที่ปรึกษาซึ่งมีสติปัญญาเลย บัดนี้ตัวท่านมาถึงข้าพเจ้าแล้วจงเอ็นดูด้วย การสิ่งใดซึ่งข้าพเจ้าทำนี้ ถ้าไม่ควรก็ช่วยตักเตือนสั่งสอน บังทองจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์คนทั้งปวงลือชาปรากฎอยู่ว่า มหาอุปราชมีสติปัญญาชำนาญในการสงคราม มาทว่าจะตั้งกระบวรทัพเล่า ก็ต้องในตำราพิชัยสงคราม ข้าพเจ้ามาบัดนี้ก็ยังมิได้เห็นประจักษ์เหมือนคำเลื่องลือก่อน แม้ได้ดูแล้วจึงจะว่าผิดแลชอบได้
โจโฉจึงให้ผูกม้าเข้าสองตัว ให้บังทองขี่ตัวหนึ่ง โจโฉขี่ตัวหนึ่ง แล้วพาบังทองขึ้นไปดูบนเนินเขา บังทองพิเคราะห์ดูแล้วก็แกล้งสรรเสริญว่า ซึ่งมหาอุปราชตั้งค่ายนี้เปนชั้นเชิงแอบพุ่มไม้ เอาเนินเขาเปนที่พึ่งทุกค่าย แล้วก็มีประตูเข้าออกตลอดถึงกัน เปนทีหนีทีไล่ อันขบวรทัพซึ่งตั้งค่ายนี้มั่นคงยิ่งกว่าครั้งซุนบิ๋น[๑]ตั้ง ขบวรทัพอันหาผู้เสมอมิได้ ถึงมาทว่าซุนบิ๋นจะกลับมีชีวิตมาทำการสงครามด้วยท่านครั้งนี้ ก็ไม่ชนะท่าน โจโฉจึงตอบว่า ท่านอย่ายกย่องข้าพเจ้าเลย แม้ผิดพลั้งสิ่งใดท่านจงช่วยสั่งสอน ข้าพเจ้าจะขอเอาสติปัญญาท่านสืบไป แล้วโจโฉก็พาบังทองไปดูกองทัพเรือ
บังทองเห็นเรือรบใหญ่ ๆ นั้นเอาออกไปทอดเปนค่ายไว้ข้างนอก ไว้ช่องประตูยี่สิบตำบล เรือน้อย ๆ นั้นทอดอยู่ข้างใน มีเรือสอดแนมสำหรับใช้สอยการเร็วนั้นเปนอันมาก บังทองจึงหัวเราะแล้วแกล้งว่า อันมหาอุปราชจัดแจงตั้งขบวรทัพบกทัพเรือนี้ถูกถ้วนนัก สมกับคนทั้งปวงเลื่องลือ อันจิวยี่ครั้งนี้เห็นจะตายอยู่ในเงื้อมมือมหาอุปราชเปนมั่นคง โจโฉได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาบังทองเข้ามากินโต๊ะในค่าย แล้วโจโฉจึงแกล้งถามไต่ไล่เลียงในการสงครามทั้งปวง บังทองแก้ไขชี้แจงให้แจ้งทุกประการ มิได้ขัดขวางแต่สิ่งใด สิ่งหนึ่ง โจโฉก็ยิ่งมีความยินดีเปนอันมาก นับถือบังทองเหมือนหนึ่งอาจารย์ บังทองจึงถามโจโฉว่า ท่านยกมาครั้งนี้มีหมอสำหรับทัพมาหรือไม่ โจโฉตอบว่า ท่านถามหาหมอนั้นจะประสงค์สิ่งใด บังทองจึงว่า ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่า ทหารทั้งปวงของท่านเปนชาวดอน บัดนี้ลงมาชายทเลกินน้ำผิดเพศกัน เกลือกจะป่วยไข้ลงหมอจะได้พยาบาล โจโฉก็บอกว่า หมอนั้นมีสำหรับทัพเปนอันมาก บังทองจึงแกล้งว่า การทัพบกทัพเรือซึ่งท่านจัดแจงนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ทัพเรือนั้นข้าพเจ้าคิดเสียดายการสิ่งหนึ่ง ท่านยังมิได้ทำด้วย โจโฉจึงถามถึงสองครั้งสามครั้งว่าการสิ่งใดซึ่งยังขาดอยู่นั้น บังทองทำบัดพลิ้วอยู่ ประหนึ่งว่าขัดมิได้จึงบอกออกว่า ความคิดข้าพเจ้าที่เห็นยังขาดอยู่นั้น คือทหารเรือรบของท่านเปนชาวป่าชาวดอนไม่สันทัดการทเล อันการในทเลนั้นกอปด้วยคลื่นลมเปนอันมาก ทหารทั้งปวงก็จะเมาคลื่นระส่ำระสายไป เพราะเรือรบนั้นโคลงเคลง การรบพุ่งก็จะไม่ทันที แม้เอาเรือรบใหญ่น้อยทั้งปวงผูกขนานเปนแพเข้ากองละสี่สิบห้าสิบลำ จึงเอาสายยูติดหน้าเรือทุกลำ แล้วเอาสายโซ่ร้อยให้ชิดเข้าไว้เปนกอง ๆ แล้วเอากระดานปูปากเรือให้ตลอดถึงกันทุกลำ กรึงตะปูให้แน่นแน่เหมือนแผ่นดิน จึงให้ตั้งค่ายขึ้นไว้สำหรับจะได้ป้องกันเมื่อเรือรบทั้งปวงแน่อยู่แล้ว ทหารของเราก็จะไม่เมาคลื่น ทั้งม้าแลคนก็เดิรตลอดจะได้ช่วยรบพุ่งถึงกันถนัด
โจโฉได้ฟังดังนั้นไม่ทันคิดก็มีความยินดี ลุกขึ้นคำนับบังทองแล้วว่าอันความคิดของท่านดีนัก ครั้งนี้จะได้เมืองกังตั๋งเพราะท่านบอกเล่ห์กลให้ แล้วสั่งอิกิ๋มกับมอกายซึ่งเปนนายกองทัพเรือ ให้เร่งทำการทั้งปวงตามคำบังทอง แต่เรือรบน้อยๆให้เอาไว้ใช้สักสองร้อยสามร้อยลำ อิกิ๋มมอกายก็รีบให้ทหารทำการตามโจโฉสั่ง บังทองจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าเห็นที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงซึ่งมาในกองทัพจิวยี่นั้น มีความน้อยใจจิวยี่อยู่เปนอันมาก ข้าพเจ้าจะขออาสาไปเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวงมาอยู่ด้วยมหาอุปราช จิวยี่นั้นก็จะสิ้นความคิดลง ท่านก็จะจับได้เปนมั่นคง แม้ได้จิวยี่แล้ว อันเล่าปี่ขงเบ้งก็เหมือนอยู่ในกำมือท่าน โจโฉมิได้รู้กลก็มีความยินดีจึงว่า ถ้าท่านช่วยการครั้งนี้สำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลความชอบให้พระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งท่านเปนขุนนางผูใหญ่ บังทองจึงว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านนี้ ใช่จะเห็นแก่ยศฐาศักดิ์หามิได้ เพราะเอ็นดูอาณาประชาราษฎรจะให้เปนสุข แม้ท่านได้เมืองกังตั๋งแล้ว ขออย่าได้ฆ่าญาติพี่น้องข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเมืองนั้นเสียเลย
โจโฉจึงว่า ข้าพเจ้าทำการศึกแห่งใดตำบลใดก็ดี ใช่จะให้ราษฎรได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะบำรุงให้มีความสุขอีก ซึ่งข้าพเจ้าให้ฆ่าฟันเสียบ้างนั้น แต่ผู้ซึ่งขัดขวาง แม้ท่านเกรงอยู่ว่าญาติพี่น้องจะเปนอันตราย ข้าพเจ้าจะให้หนังสือไปคุ้มไว้เปนสำคัญ บังทองทำเปนยินดีคำนับแล้วว่า แม้มหาอุปราชเอ็นดูจะให้หนังสือไปคุ้มไว้ ข้าพเจ้าก็จะไม่มีความวิตก โจโฉจึงแต่งหนังสือให้ บังทองรับเอาหนังสือแล้วสั่งโจโฉไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าไปแล้วให้มหาอุปราชเร่งจัดแจงกองทัพไปรบจิวยี่ก่อน อย่าทันให้จิวยี่ยกมา แล้วบังทองก็ลาโจโฉออกมาจะลงเรือ
ฝ่ายชีซีจึงเข้ายุดชายเสื้อบังทองไว้ แล้วค่อยกระซิบว่า ตัวท่านนี้องค์อาจนัก กลัวว่าเพลิงนั้นจะเผาทหารโจโฉไม่สิ้นหรือ จึงแกล้งคิดอ่านเปนกลอุบายมาลวงโจโฉให้ผูกร้อยเรือรบเข้าไว้ฉนี้ หวังจะให้เผาทหารแลเรือรบเสียให้สิ้นทีเดียวหรือ ซึ่งความคิดท่านทั้งนี้จะลวงได้ก็แต่โจโฉ อันตัวเรานี้รู้เท่าอยู่ บังทองได้ยินดังนั้นก็ตกใจ เหลียวหลังมาเห็นชีซีแต่ผู้เดียวก็ค่อยคลายใจ ด้วยชีซีนั้นเปนเพื่อนรักกันมาแต่ก่อน แล้วว่าซึ่งเราคิดอ่านมาว่ากล่าวแก่โจโฉทั้งนี้ ด้วยเสียดายเมืองกังตั๋งอันเปนหัวเมืองเอก แล้วมีเมืองขึ้นถึงแปดสิบเอ็ดเมือง เกรงว่าจะมีอันตราย ทั้งไพร่บ้านพลเมืองก็จะถึงแก่ความตายเสียสิ้น เราจึงมาล่อลวงโจโฉหวังจะเอาชีวิตชาวเมืองทั้งปวงไว้ ชีซีจึงทำเปนตอบว่า ตัวท่านเสียดายชาวเมืองกังตั๋งจะเปนอันตรายจึงมาคิดอ่านการทั้งนี้ อันทหารโจโฉถึงแปดสิบสามหมื่นนั้น ท่านหามีใจเอ็นดูว่าจะถึงแก่ความตายไม่หรือ
บังทองจึงว่า การทั้งนี้ใช่จะเปนการของซุนกวนผู้เดียวนั้นหามิได้ ก็เปนการของเล่าปี่นายเก่าท่านด้วย ซึ่งท่านว่าฉนี้จะเอาความคิดของเราบอกแก่โจโฉให้แจ้งให้การเสียไปหรือ ชีซีจึงตอบว่า ซึ่งเราตกมาอยู่ด้วยโจโฉนี้เปนความจำใจ จนมารดาเราถึงแก่ความตาย เราก็มีความแค้นโจโฉอยู่ ทุกวันนี้เราก็มีน้ำใจรักเล่าปี่แลคิดถึงคุณอยู่มิได้ขาด เมื่อจะมานั้นก็ได้สาบาลไว้ต่อเล่าปี่ ถึงมาทว่าจะมาด้วยในกองทัพนี้ก็ดี ก็มิได้บอกกลศึกสิ่งใดให้โจโฉ บัดนี้ตัวท่านจะคิดอ่านเผาทหารโจโฉเสียนั้นจะมิเผาเราด้วยหรือ บังทองจึงว่า เหตุใดท่านมาเจรจาเช่นนี้ อันธรรมดาผู้มีสติปัญญา เมื่อภัยมาถึงตัวแล้ว ถ้าจะไม่คิดเอาตัวรอดก็จักได้ชื่อว่าหาปัญญามิได้ แล้วบังทองก็ลาลงเรือไป
ฝ่ายชีซีครั้นบังทองไปแล้วก็คิดว่า อันเราจะอยู่ในกองทัพโจโฉฉนี้ก็จะได้ความลำบาก จำจะผ่อนผันให้พ้นภัย จึงแต่งคนสนิธให้ไปเที่ยวพูดจาเลื่องลือว่า ลูกค้ามาบอกข่าวว่าม้าเท้งหันซุยซึ่งอยู่เมืองเสเหลียงนั้นยกกองทัพมาจะตี เอาเมืองฮูโต๋ เหล่าทหารโจโฉแจ้งดังนั้นก็ตกใจคิดถึงครอบครัว จึงเอาเนื้อความเข้าไปบอกแก่โจโฉตามกิตติศัพท์เลื่องลือนั้น โจโฉแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาแก่ทหารทั้งปวงว่า เมื่อเราจะยกกองทัพมาปราบหัวเมืองชายทเลก็คิดเกรงอยู่แต่ม้าเท้งกับหันซุย บัดนี้ก็มีข่าวเลื่องลือว่าม้าเท้งกับหันซุยยกกองทัพมาตีเมืองฮูโต๋ จะเห็นผู้ใดซึ่งจะมีฝีมืออาสาไปป้องกันเมืองหลวงไว้
ชีซีจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่ด้วยนี้ก็มิได้ทำความชอบสิ่งใดเลย บัดนี้ข่าวศัตรูมีมา ข้าพเจ้าจะขออาสาคุมทหารสามพันไปจัดแจงด่านทางทั้งปวงกันเมืองฮูโต๋ไว้ แม้ว่าข้าศึกเหลือกำลัง ข้าพเจ้าจะรีบเอาข่าวราชการมาบอกท่านให้แจ้ง โจโฉได้ฟังพาซื่อไปก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านรับอาสานั้นเราขอบใจนัก อันทหารตำบลด่านซันกวนก็เหลืออยู่เปนอันมาก ท่านจงจัดแจงเอาไปด้วย แล้วเกณฑ์ทหารให้สามพัน ให้โจป้าเปนกองหน้า ชีซีกับโจป้าก็ลาโจโฉแล้วคุมทหารรีบไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายโจโฉครั้นเวลาเช้าจึงขึ้นม้าพาทหารไปเที่ยวตรวจดูค่ายบก เห็นมั่นคงอยู่แล้วก็กลับมา ครั้นเวลาเย็นก็ลงเรือออกไปตรวจกองทัพเรือซึ่งอิกิ๋มมอกายจัดแจงให้ผูกเปนแพ ร้อยสายโซ่ไว้เปนกองๆ แล้วสั่งให้ทหารจัดแจงเครื่องศัสตราวุธแลเกาทัณฑ์เตรียมไว้ริมค่าย แล้วแต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง ในขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชย์ได้สิบสองปี (พ.ศ. ๗๔๔) เมื่อโจโฉลงมาตรวจกองทัพเรือนั้นเปนเดือนอ้ายขึ้นสิบห้าคํ่า พระจันทร์ส่องสว่างลมสงบ คลื่นในท้องทเลราบดังหน้ากลอง แลเรือขนานทั้งปวงแน่ดังแผ่นดิน ถึงมาทว่าจะเกิดคลื่นลมใหญ่มาเรือรบก็ไม่ระสํ่าระสาย ทั้งทหารก็มิได้เมาคลื่น
ฝ่ายเจ้าพนักงานเครื่องเล่นทั้งปวงก็บำเรอพร้อมมูลอื้ออึงอยู่ โจโฉเห็นทหารเอกกินโต๊ะอยู่ทั้งสองแถวประมาณสามร้อยเศษ พูดจากันถึงการสงครามไปมา ขณะเมื่อโจโฉเสพย์สุราอยู่กลางเรือขนานกับทหารทั้งปวง โจโฉแลดูบนอากาศ เห็นฝ่ายเมืองกังตั๋งซึ่งอยู่ทิศตวันออก แลเมืองกังแฮอันอยู่ชายทเลทิศตวันตก ดูไปทิศเหนือทิศใต้นั้นสว่างด้วยแสงเดือนก็มีความยินดี แล้วว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า แต่แรกเราก็คิดว่าจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เปนสุข เราก็ได้ทำการปราบปรามศัตรูมาก็หลายตำบลแล้ว บัดนี้ยังแต่เมืองกังตั๋งกล้าแข็งอยู่เมืองเดียว ให้ท่านทั้งปวงจงประนอมกัน ตั้งใจช่วยเราคิดอ่านกำจัดซุนกวนกับจิวยี่เสียได้แล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เปนสุข เรากับท่านทั้งปวงก็จะมีความสบาย ที่ปรึกษาแลทหารได้ยินโจโฉว่าดังนั้นก็ชวนกันคำนับแล้วว่า ขอให้เทพดาช่วยให้สมความคิดเถิด ข้าพเจ้าทั้งปวงจะได้พึ่งท่านสืบไป
ขณะนั้นโจโฉเสพย์สุราอยู่กับขุนนางจนเวลาสองยาม ครั้นโจโฉเมาแล้วคิดกำเริบ จึงลุกขึ้นชี้มือว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า อันจิวยี่กับโลซกนั้นมิได้รู้ว่าอากาศสำแดงเหตุ ซึ่งตัวมันทั้งสองจะถึงแก่ความตาย ประการหนึ่งเล่า ทหารในกองทัพมันก็เอาใจออกหากมาเข้าด้วยเราเปนอันมาก เหมือนหนึ่งเทพดาเข้าดลใจชักนำมา หวังจะให้มีชัยชนะแก่มัน ซุนฮิวจึงห้ามโจโฉว่า ท่านอย่ากล่าวให้แพร่งพรายไป เกลือกรู้ถึงจิวยี่การของเราจะเสียไป
โจโฉจึงตอบว่า แต่บันดาผู้ที่อยู่ที่นี่ก็เปนทหารร่วมใจของเราสิ้น อย่าสงสัยเลยซึ่งจะรู้ถึงจิวยี่ แล้วชี้มือไปฝ่ายทิศเมืองกังแฮว่า เล่าปี่กับขงเบ้งนั้นมิได้คเนในกำลังของตัวว่าเหมือนมดแลปลวก องค์อาจคิดจะทำลายภูเขาอันใหญ่นั้นยังจะสมความคิดแล้วหรือ อันอายุของเรานี้ก็ได้ห้าสิบปีแล้ว แม้ได้เมืองกังตั๋งก็จะมีความยินดีอยู่หน่อยหนึ่ง ด้วยแต่ก่อนนั้นเรารู้จักกับนางเกียวก๊กโล แลนางเกียวก๊กโลมีบุตรหญิงสองคน รูปร่างงามกว่าหญิงทั้งปวง เราคิดพอใจอยู่ แต่ว่าพะเอิญให้พลัดไปเปนภรรยาซุนเซ็กคนหนึ่ง เปนภรรยาจิวยี่คนหนึ่ง เมื่อเราไปรบได้เมืองกิจิ๋วนั้น เราให้สร้างเมืองใหม่ทำปราสาทไว้ริมแม่น้ำเจียงโห ครั้งนี้ถ้าเราได้เมืองกังตั๋ง เราจะพาหญิงสองคนนี้ไปอยู่ ณ ปราสาทเมืองกิจิ๋ว จะได้ปรนนิบัติเราให้เปนที่ชอบใจกว่าจะสิ้นชีวิตในที่นั้น แล้วก็หัวเราะ พอแลเห็นกาหมู่หนึ่งบินผ่านหน้าร้องไปทางทิศใต้ โจโฉจึงถามที่ปรึกษาทั้งปวงว่า เหตุใดกาจึงร้องผิดเวลาดังนี้ จะดีแลร้ายประการใด
ที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่า อันการ้องมาบัดนี้ด้วยเห็นเดือนหงาย สำคัญว่าใกล้สว่างหวังจะไปหากิน ซึ่งท่านจะหมายว่าดีแลร้ายนั้นไม่ได้ โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงเสพย์สุราซ้ำเข้าไปอีกสองจอกสามจอก เมาหนักเข้ายิ่งมีใจกำเริบขึ้น ก็ฉวยเอาทวนออกไปยืนอยู่หน้าเรือแล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ทวนเล่มนี้เราถือสำหรับมือมาแต่แรกเปนทหารจนตั้งตัวได้ ได้ปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ทั้งลิโป้อ้วนสุดอ้วนเสี้ยว แลได้ปราบปรามหัวเมืองทั้งปวง ก็ไม่เสียทีเกิดมาเปนชาติทหาร แล้วทำเพลงว่า ธรรมดาเกิดมาแล้วก็จะตาย ให้เร่งเล่นให้สนุกสบาย แต่ประหลาทด้วยฝูงกานั้น เพราะว่าหารังแลกิ่งไม้จะจับอาศรัยมิได้จึงบินร้องมาผิดเวลาดังนี้ อันธรรมดาภูเขาก็มักสูง ธรรมดานํ้าในมหาสมุทรก็ลึก ฝ่ายนํ้าใจคนทั้งปวงเล่าก็รักที่จะหาความสุข
เล่าฮกที่ปรึกษาได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านยกกองทัพมาหวังจะทำการสงคราม เหตุใดจึงมาว่ากล่าวเปนข้อปราชัยดังนี้ โจโฉจึงถามว่า กูทำเพลงเล่น เหตุใดจึงว่าปราชัย เล่าฮกจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินทำเพลงว่า ฝูงกาไม่มีรังแลกิ่งไม้จะจับอาศรัย พากันบินร้องมาผิดเวลา ข้าพเจ้าจึงว่าเปนคำปราชัย โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ตัวมึงนี้บังอาจพูดจาหมิ่นกู แล้วก็เอาทวนแทงเล่าฮกล้มลงถึงแก่ความตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงพาโจโฉไป ณ ค่าย
ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉสร่างเมาตื่นนอนขึ้นก็ได้คิด ว่าคืนนี้ฆ่าเล่าฮกเสียนั้นผิดอยู่ ฝ่ายเล่าฮีผู้เปนบุตรเล่าฮกก็เข้าไปร้องไห้อ้อนวอนโจโฉว่า จะขอเอาศพบิดาข้าพเจ้าไปทำการฝังไว้ตามธรรมเนียม โจโฉได้ฟังคำดังนั้นก็มีความสงสารร้องไห้แล้วว่า เวลาคืนนี้เราเสพย์สุราเมาหุนโกรธขึ้นมาฆ่าบิดาท่านเสียดังนั้น เราได้ทำเกินไปแล้ว ท่านอย่าน้อยใจเราเลย ท่านจงเอาศพบิดาท่านไปแต่งการตามตำแหน่งลูกหลวง ณ เมืองฮูโต๋เถิด แล้วก็จัดทหารให้เล่าฮีช่วยเอาศพไป
ครั้นเวลารุ่งเช้าอิกิ๋มกับมอกายซึ่งเปนนายทัพเรือขึ้นไปว่าแก่โจโฉว่า อันเรือรบใหญ่น้อยทั้งปวงนั้น ก็จัดแจงเตรียมเครื่องศัสตราวุธพร้อมอยู่แล้ว ท่านจะยกกองทัพเมื่อใดขอให้กำหนดวันมา ข้าพเจ้าจะได้จัดแจงทหารไว้ให้พร้อม โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ลงมายังเรือรบ ให้เกณฑ์ทหารทั้งทัพบกทัพเรือ แล้วจัดธงสีต่าง ๆ ห้าอย่างสำหรับในกองทัพบกทัพเรือ จะได้ปักเปนสำคัญทั้งห้ากอง อันเรือขนานแม่ทัพหลวงนั้นปักธงสีเหลือง เรือขนานอิกิ๋มกับเรือมอกายนั้นเปนทัพหน้าปักธงสีแดง ให้ลิยอยเปนปีกขวาคุมเรือขนานปักธงสีเขียว บุนเพ่งนั้นคุมเรือขนานเปนปีกซ้ายปักธงสีขาว ให้เตียวคับคุมเรือขนานเปนกองทัพหลังปักธงสีน้ำเงิน
ฝ่ายทัพบกนั้นเล่า แต่งให้ลิกองเปนกองหน้าปักธงสีแดง ให้ลิเตียนเปนปีกขวาปักธงสีเขียว งักจิ้นเปนปีกซ้ายปักธงสีขาว แฮหัวเอี๋ยนเปนกองหลวงปักธงสีเหลือง ซิหลงเปนกองทัพหลังปักธงสีนํ้าเงิน แล้วให้แฮหัวตุ้นกับโจหองเปนกองขัน สำหรับช่วยเพิ่มเติมทั้งทัพบกทัพเรือ แล้วให้เอาข้อราชการมาแจ้งด้วย แลเตียวเลี้ยวกับเคาทูนั้นถืออาญาสิทธิ์เปนสาระวัดใหญ่สำหรับตรวจทัพ อันทหารเอกโททั้งนั้นก็เปนนายหมวดนายกองทัพบกทัพเรือสิ้น ครั้นจัดสำเร็จแล้วนายทหารทั้งปวงก็ไปจับฉลากตามเกณฑ์ทัพบกทัพเรือ
ในขณะนั้นพอลมว่าวพัดลง โจโฉจึงให้ถอนสมอชักใบเรือขนานทั้งนั้น ขึ้นแล่นลองดูตามชายทเล แลทหารใหญ่น้อยทั้งปวงก็วิ่งไปมาเปนทีช่วยกันรบพุ่ง บันดาเรือขนานนั้นต้องลมแลคลื่นก็แน่อยู่ดังแผ่นดิน มิได้โคลงระส่ำระสาย แลทหารชาวดอนนั้นก็มิได้เมาคลื่น ช่วยกันทำการเปนปรกติอยู่
โจโฉเห็นดังนั้นก็มีใจกำเริบ ว่าครั้งนี้จะมีชัยชนะแก่ข้าศึกเปนมั่นคง แล้วก็สั่งให้เรือขนานทั้งปวงลดใบเสียเข้ามาทอดอยู่ที่เก่า โจโฉจึงกลับขึ้นไปค่ายแล้วว่าแก่ที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้เทพดาช่วยเรา จึงดลใจบังทองมาบอกให้เราทำการเอาโซ่ร้อยตรึงเรือรบเข้าเปนแพขนานดังนี้ เหมือนแผ่นดิน จะรบพุ่งได้ถนัด เทียหยกจึงว่า การทั้งปวงซึ่งจัดแจงทั้งนี้ก็ดีอยู่แล้ว เกรงอยู่แต่ข้าศึกจะลอบเอาเพลิงมาจุดขึ้น อันเรือรบทั้งปวงร้อยติดกันอยู่ฉนี้ จะแก้ไขถอยออกจากกันนั้นก็ขัดสน ขอให้ท่านเร่งคิดอ่านกันเพลิงให้ได้จึงจะไม่มีอันตราย โจโฉหัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านคิดล้อมไว้ฉนี้ก็ดีอยู่ แต่หากว่ายังรู้เท่าไม่ถึงการจึงเกรงดังนี้ ซึ่งท่านกลัวว่าข้าศึกจะเอาเพลิงมาจุดนั้นอย่าวิตกเลย ด้วยเหตุว่าเปนเทศกาลแล้ง บัดนี้มีแต่ลมว่าวกับลมตวันตก อันกองทัพเรานี้ก็ตั้งอยู่ต้นลม ฝ่ายทัพจิวยี่อยู่ปลายลม แม้จิวยี่จะให้ทหารมาลอบจุดเพลิง ลมก็จะพัดโบกเพลิงนั้นไปไหม้กองทัพจิวยี่เอง ถ้าเปนเทศกาลเดือนสิบสองข้างแรมเปนปลายฝนก็จะเกิดลมสลาตันมาบ้าง บัดนี้มาถึงเดือนอ้ายพ้นเทศกาลแล้วเราจะกลัวอะไร ที่ปรึกษาทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็สั่นสีสะชวนกันคำนับโจโฉแล้วสรรเสริญว่า มีสติปัญญาลึกซึ้งรู้กาลลมเปนอันมาก
โจโฉจึงว่า ทหารของเราแต่ล้วนชาวบ้านป่าเมืองดอน แม้มิได้ความคิดบังทองทำดังนี้ก็เห็นจะไม่ข้ามอ่าวทเลไปเมืองกังตั๋งได้ เจียวเหียกับเจียวหลำซึ่งเปนทหารอ้วนเสียวจึงว่าแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าเปนชาวดอนก็จริง แต่ชำนาญการเรืออยู่บ้าง ข้าพเจ้าจะขอเรือรบยี่สิบลำบันทุกทหารให้พร้อม จะยกไปตีเอากองทัพเรือจิวยี่เอาฤกษ์ไว้ในกองทัพ ให้ปรากฎไว้ว่าชาวดอนก็ชำนาญเรืออยู่
โจโฉจึงตอบว่า ถึงท่านทั้งสองจะชำนาญการเรือก็จริง เจนแต่ในแม่น้ำแลคลอง อันชาวเมืองกังตั๋งสันทัดเรือนั้นรวดเร็วดังปลาว่ายอยู่ในน้ำ ท่านทั้งสองอย่าได้ดูหมิ่น ซึ่งจะอาสาไปนั้นก็ขอบใจแล้ว แต่เราจะให้ไปนั้นเหมือนหนึ่งแกล้งให้ท่านตายเสียเปล่า เจียวเหียเจียวหลำจึงอ้อนวอนว่า ถ้าข้าพเจ้าอาสาไปถึงแก่ความตายในกองทัพ ท่านจงเอาบุตรภรรยาญาติพี่น้องข้าพเจ้าทั้งสองคลอกเสียให้สิ้น โจโฉจึงว่า เรือรบใหญ่ ๆ นั้นก็ล่ามโซ่ตรึงสายยูเสียสิ้นแล้ว ยังแต่เรือเร็วสำหรับจะได้ใช้สอดแนม แล้วก็จุทหารแต่ยี่สิบห้าคน ซึ่งจะไปนั้นเห็นไม่ได้
เจียวเหียเจียวหลำจึงว่า ยังแต่เรือเร็วก็ดีอีก จะได้ทำการถนัด แม้ท่านจะโปรดแล้วจะแบ่งเรือให้เจียวหลำคุมสิบลำข้าพเจ้าสิบลำ ยกข้ามไปตีกระหนาบเอากองทัพเรือจิวยี่ ตัดเอาสีสะจิวยี่มาให้ได้ โจโฉจึงว่าถ้าจะอาสาไปก็ตามเถิด เราจะเกณฑ์ทหารให้ห้าร้อย แล้วจะให้บุนเพ่งคุมเรือรบสามสิบลำหนุนไป แต่ท่านทั้งสองทำแต่พอให้เห็นฝีมือ อย่าหักหาญเข้าไปให้เสียการ เจียวเหียเจียวหลำมีความยินดีคำนับลาโจโฉแล้วก็ออกมาจัดทหารแลเครื่องศัสตรา วุธลงเรือยี่สิบลำ ยกไปยังหน้ากองทัพจิวยี่
ฝ่ายทหารจิวยี่ขณะเมื่อวันโจโฉให้ลองเรือรบนั้น รู้ข่าวจึงเข้าไปบอกจิวยี่ ๆ จึงพาทหารขึ้นไปดูบนเนินเขาสูง เห็นทหารในกองทัพโจโฉลองเรือรบตีกลองโห่ร้องอื้ออึงอยู่จึงกลับลงมาค่าย ครั้นเมื่อเจียวเหียเจียวหลำยกมา ทหารกองตะเวนก็เข้าไปบอกจิวยี่ ๆ จึงปรึกษากับทหารทั้งปวงว่า ทหารโจโฉยกล่วงมาถึงหน้ากองทัพเรือเรานี้ ผู้ใดจะอาสาออกไปรบด้วยข้าศึกได้ ฮันต๋งจิวท่ายจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอออกไปรบด้วยทหารโจโฉ จิวยี่ได้ฟังก็มีความยินดีจึงว่า ซึ่งท่านทั้งสองจะไปนั้นก็ควรนัก แล้วกำชับแก่ทหารกองทัพเรือให้เร่งระวังอย่าประมาทแก่การสงคราม ฮันต๋งกับจิวท่ายก็ลาจิวยี่มาจัดทหารลงเรือเร็วห้าลำแล้วยกออกไป
ฝ่ายเจียวเหียเจียวหลำเห็นทหารจิวยี่ออกมาก็ร้องว่า กูทั้งสองนี้มีฝีมือนัก ผู้ใดซึ่งจะบังอาจมาสู้กู แต่เจียวเหียถือทวนขึ้นไปยืนอยู่หน้าเรือเร่งให้ทหารรีบแจว แล้วให้ยิงเกาทัณฑ์ระดมไปเปนอันมาก ฝ่ายฮันต๋งเอาโล่ป้องลูกเกาทัณฑ์ ครั้นเรือรบชิดกันเข้าฮันต๋งจึงเอาทวนพุ่งถูกเจียวเหียตาย แล้วโจนขึ้นจากเรือฆ่าฟันทหารในเรือเจียวเหียเสียสิ้น เจียวหลำเห็นดังนั้นก็ให้ทหารรบแจวเรือหนุนเข้าไปรบพุ่ง ฝ่ายจิวท่ายก็เร่งขับเรือเข้าใกล้กัน จิวท่ายจึงโดดขึ้นไปจากเรือ แล้วเอากระบี่ฟันเจียวหลำตาย แล้วฟันแทงทหารในเรือนั้นตายเสียสิ้นทั้งลำ แลทหารเจียวเหียเจียวหลำซึ่งเหลือนั้นก็รีบแจวเรือถอยหนีกลับมา ฝ่ายฮันต๋งเร่งเรือตามไปพบทัพเรือบุนเพ่งหนุนมาก็เข้ารบพุ่งกันอยู่
ในขณะนั้นจิวยี่ขึ้นไปบนเนินเขา แลไปข้างเหนือเห็นเรือกองทัพโจโฉนั้นปักธงปลิวไสวอยู่เปนอันมาก แล้วแลมาตรงหน้าค่ายของตัวนั้น เห็นธงเรือรบฮันต๋งจิวท่ายรบพุ่งกันอยู่กับบุนเพ่งเปนสามารถ แลเรือบุนเพ่งต้านมิได้ก็ถอยหนี เรือฮันต๋งจิวท่ายนั้นยังแจวตามไป จิวยี่คิดเกรงว่ากองทัพโจโฉจะซุ่มอยู่ทำอันตรายฮันต๋งจิวท่าย จึงให้ทหารโบกธงตีม้าฬ่อเรียกเปนสำคัญ ครั้นฮันต๋งจิวท่ายกลับมาแล้ว จิวยี่จึงปรึกษากับนายทัพนายกองว่า เรือรบโจโฉนั้นมากมายพ้นที่จะนับ อุปมาดังใบไม้อันอยู่บนต้น เราจะคิดอ่านรบพุ่งประการใดจึงจะได้ชัยชนะ
ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงยังมิทันว่าประการใด พอเกิดพายุหนักมา จิวยี่แลเห็นธงเหลืองใหญ่ในกองทัพโจโฉหักสบั้นลง จิวยี่จึงหัวเราะแล้วว่า ซึ่งธงชัยโจโฉหักดังนี้เปนการอัปมงคลแก่โจโฉ พอว่าสิ้นคำลงปลายลมนั้นก็พัดหนักมา ถูกธงชัยในกองทัพจิวยี่นั้นหลุดจากคันปลิวขึ้นไปตกลงบนเนินเขาตรงหน้าจิวยี่
ครั้นจิวยี่เห็นดังนั้นก็สดุ้งใจ จึงคิดว่าบัดนี้กองทัพโจโฉเปนต้นลม ฝ่ายทัพเราอยู่ปลายลม แลการซึ่งคิดไว้ว่าจะเผาเรือโจโฉเสียเห็นไม่สำเร็จ เพราะลมมิได้พัดกลับไปข้างทัพโจโฉ จะคิดอ่านประการใดเห็นขัดสน จิวยี่มีความทุกข์เปนอันมาก จนอาเจียนโลหิตออกมาล้มสลบลงกับที่ ทหารทั้งปวงตกใจช่วยกันหามพยุงจิวยี่กลับมา ณ ค่าย ครั้นแก้ไขฟื้นขึ้นแล้วทหารทั้งปวงจึงปรึกษาว่า ครั้งนี้จิวยี่ซึ่งเปนแม่ทัพออกมาก็ป่วยอยู่ แม้โจโฉรู้ก็จะยกมารบ เราก็จะได้ความขัดสน จำเราจะบอกไปถึงซุนกวน ขอหมอเอกมารักษาจิวยี่ให้หายก่อนจึงจะได้คิดการสืบไป
ขณะนั้นโลซกเห็นจิวยี่ป่วยอยู่ดังนั้นก็ไม่มีความสบาย จึงไปหาขงเบ้งแล้วบอกเนื้อความซึ่งจิวยี่อาเจียนโลหิตออกมาป่วยอยู่ ขงเบ้งจึงแกล้งถามว่า เมื่อจิวยี่ป่วยอยู่ดังนี้ท่านเห็นการทั้งปวงนั้นจะเปนประการใด โลซกจึงว่า อันจิวยี่เปนแม่ทัพผู้บังคับการ เมื่อมาป่วยลงฉนี้แล้วก็เปนบุญของโจโฉแลเปนกรรมของขาวเมืองกังตั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อันโรคจิวยี่นี้เราพอจะรักษาให้หายได้
โลซกจึงว่า แม้ท่านรักษาโรคจิวยี่ให้คลายได้ก็เปนบุญของชาวเมืองกังตั๋ง แล้วโลซกจึงพาขงเบ้งเข้าไป ณ ค่าย ให้ขงเบ้งอยู่แต่ภายนอก โลซกนั้นเข้าไปถึงที่ข้างใน เห็นจิวยี่ป่วยนอนอยู่โลซกจึงถามว่า ซึ่งท่านป่วยนี้เพื่อโรคอันใด จิวยี่จึงว่า โรคเรานี้ไม่รู้แห่งที่จะบอก ในอกในใจนั้นชอกชํ้าดังต้องอาวุธต่าง ๆ โลซกจึงถามว่า ท่านได้กินยาสิ่งใดบ้าง จิวยี่จึงบอกว่ายามีอยู่แต่กินไม่ได้ ด้วยเหตุว่าลมนั้นปะทะขึ้นมาอยู่ โลซกจึงบอกว่า อันโรคท่านป่วยนี้ขงเบ้งว่าจะรักษาให้หาย บัดนี้ขงเบ้งเข้ามาอยู่ภายนอก จิวยี่จึงให้เชิญขงเบ้งเข้ามา แล้วให้คนใช้พยุงขึ้น ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าไม่ได้มาหาสองสามวันนี้ ท่านบังเกิดปัจจุบันโรคขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ทันรู้ จิวยี่จึงตอบว่า ธรรมดาเกิดมาเปนมนุษย์ อันโรคแลความตายนั้นจะกำหนดวันมิได้ ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า อันธรรมดาเกิดมาเปนมนุษย์นี้ยากที่จะรู้การในอากาศ
จิวยี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็โกรธ มิได้ตอบประการใด ทำเปนครางว่าโรคนั้นกำเริบหนัก ขงเบ้งจึงว่า ในอกท่านนั้นก็ประกอบด้วยความวิตกสะสมเพิ่มภูลขึ้นจึงเกิดโรคดังนี้ จำจะประกอบยาเย็นแก้จึงจะคลาย จิวยี่จึงว่า ยาเย็นก็ได้กินหลายขนานแล้วโรคนั้นก็ไม่บันเทา แล้วถามขงเบ้งว่า ยาเย็นของท่านขนานใดเกลือกจะกินชอบโรคเรา
ขงเบ้งจึงให้ขับคนทั้งปวงออกไปเสียแล้ว เอาพู่กรรณ์มาเขียนอักษรสิบหกตัว เปนใจความว่า ซึ่งจะคิดกำจัดโจโฉนั้นก็ได้จัดแจงการไว้ทุกสิ่งเสร็จแล้ว เพื่อหวังจะเอาเพลิงเผากองทัพโจโฉเสีย ยังขาดอยู่แต่ลมสลาตันซึ่งมิได้พัดมาสมความคิดท่านเท่านั้น ครั้นเขียนแล้วก็ส่งให้จิวยี่แล้วว่า อันโรคซึ่งป่วยนี้อุปมาเหมือนธาตุทั้งสี่ในกายท่าน อันธาตุดินธาตุนํ้าปรกติอยู่ แต่ธาตุลมกับเพลิงนั้นหย่อน ถ้าลมพัดมาต้องเพลิงกำเริบขึ้นกล้าแล้วโรคท่านก็จะหาย
จิวยี่เห็นหนังสือแลได้ฟังขงเบ้งอุปมาดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าขงเบ้งนี้ล่วงรู้ความคิดเราดังเทพดาดลใจ จิวยี่ก็บอกเนื้อความทั้งปวงซึ่งคิดนั้นให้ขงเบ้งฟังทุกประการ แล้วถามขงเบ้งว่า ท่านจะคิดประการใดจึงจะให้เกิดลมสลาตันมาได้ ขงเบ้งนั้นรู้ในตำราว่าเดือนอ้ายแรมห้าคํ่าจะเกิดลมสลาตัน ครั้นจะบอกตำราให้จิวยี่รู้ไว้สืบไปเกลือกจิวยี่กับเราจะได้ทำศึกต่อกัน จิวยี่จะไม่เกรงความคิดเรา จำเราจะคิดอุบายบอกจิวยี่ให้ทำการแล้วจะลอบหนีไป
ครั้นคิดแล้วจึงว่าข้าพเจ้านี้สติปัญญาน้อย แต่ได้พบอาจารย์คนหนึ่งบอกตำราขอลมขอฝนไว้แก่ข้าพเจ้า ถ้าท่านจะประสงค์ลมสลาตันก็ให้ปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ ขึ้นบนเขาลำปินสานนี้แล้ว ขอทหารร้อยยี่สิบคนถือธงต่าง ๆ นั่งล้อมโรงพิธีไว้กับจะได้ใช้การ ข้าพเจ้าจะขึ้นไปอ่านมนตร์ตามตำราทั้งสามวันสามคืน เพื่อขอลมสลาตันให้มีมาสามวันสามคืนจงได้ ท่านจะได้ยกกองทัพไปทำการกับโจโฉถนัด จิวยี่จึงว่าท่านอย่าว่าถึงสามวันสามคืนเลย ถ้าลมมีมาแต่คืนเดียวก็จะทำการได้สดวก แม้ท่านจะทำแล้วก็ให้ได้ในวันนี้พรุ่งนี้ ถ้าช้าไปความซึ่งคิดนี้จะรู้ไปถึงโจโฉ ขงเบ้งจึงว่าข้าพเจ้าจะทำการเรียกลมต่อเดือนอ้ายแรมห้าคํ่าเวลายามเศษ ให้ลมสลาตันเกิดหนักจนแรมเจ็ดคํ่าจึงสงบ
จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี ดังขงเบ้งเอายาทิพย์มาทาลงให้ โรคซึ่งเปนไข้ใจนั้นก็หาย จึงลุกขึ้นคำนับขงเบ้ง แล้วสั่งให้ทหารไปปลูกโรงพิธี ให้ทหารรักษาตามคำขงเบ้ง ๆ จึงว่า ซึ่งท่านจะให้ไปขอลมนั้นข้าพเจ้าจะขออาญาสิทธิ์ไปด้วยจึงจะทำการได้สดวก จิวยี่ไม่ทันคิดก็เอากระบี่ซึ่งซุนกวนให้มานั้นส่งให้แก่ขงเบ้ง ๆ รับเอากระบี่แล้วพาโลซกแลทหารทั้งปวงไป ณ เขาลำปินสาน แล้วทำเปนดูภูมิที่ให้ทหารปลูกร้านสามชั้น สูงชั้นละสามศอกเศษ ชั้นต้นนั้นกว้างยี่สิบวายาวยี่สิบวา แล้วให้ขุดเอาดินทิศอาคเณย์มาปั้นเปนรูปมังกรไว้ณทิศบุรพปักธงเขียวเจ็ดคัน ปั้นเปนรูปเทพดาชื่อเฮียนบู๊ไว้ทิศอุดรปักธงดำเจ็ดคัน ปั้นเปนรูปเสือไว้ทิศปัศจิมปักธงขาวเจ็ดคัน ปั้นรูปนกยูงไว้ทิศทักษิณปักธงแดงเจ็ดคัน แลชั้นกลางนั้นคนถือธงเหลืองประจำทิศทั้งแปดทิศ ๆ ละแปดคน ชั้นบนนั้นมีคนสี่คน ๆ หนึ่งอยู่ทิศบุรพถือโคมระย้าอยู่เจ็ดดวง คนหนึ่งอยู่ทิศอุดรถือไม้ผูกขนไก่ คนหนึ่งถือกระบี่อยู่ทิศประจิม คนหนึ่งถือกระถางรูปอยู่ทิศทักษิณ ครั้นจัดการสำเร็จแล้วขงเบ้งจึงทำเปนว่าแก่โลซกว่า ท่านจงช่วยกลับไปบอกแก่จิวยี่ว่า ซึ่งเรารับมาขอลมให้นี้ ถ้าไม่ได้สมความคิดก็อย่าให้จิวยี่เอาโทษแก่เราเลย โลซกรับคำแล้วก็ลาไป
ฝ่ายขงเบ้งเมื่อเดือนอ้ายแรมสามคํ่าเวลาเช้าก็อาบน้ำชำระร่างกายแต่งตัว ใส่เสื้อบงเฉียงสยายผมแล้วจึงว่าแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เราจะทำการใหญ่ แต่บันดาทหารซึ่งเราจัดไว้นี้ ถ้าเห็นเราทำประการใดก็อย่าให้พูดจาเดิรไปมาจากที่ ให้นิ่งปรกติอยู่กว่าเราจะสำเร็จ แม้ผู้ใดไม่ฟังเราจะเอากระบี่อาญาสิทธิ์ซึ่งจิวยี่ให้มานี้ตัดสีสะเสีย ครั้นกำชับทหารแล้วขงเบ้งก็ขึ้นไปบนร้านชั้นบน จึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาแล้วทำนั่งอ่านมนตร์เรียกลมอยู่ ครั้นเวลาสมควรแล้วก็พาทหารทั้งนั้นลงมาอาบนํ้ากินอาหารแล้วก็กลับขึ้นไปทำ การอยู่ดังเก่า
ฝ่ายจิวยี่จึงสั่งให้โลซกกับเทียเภาจัดแจงกองทัพให้พร้อม แม้เกิดลมสลาตันมาจะได้ยกไปทำการทันที แล้วแต่งหนังสือบอกไปถึงซุนกวนให้ยกกองทัพมาช่วย ฝ่ายอุยกายจึงจัดเรือยี่สิบลำ เอาหญ้าแลฟางบันทุกลงแล้ว เอาน้ำมันปลาสาดให้ชุ่มเปนเชื้อเพลิง แล้วเอาดินประสิวกับสุพรรณถันปรายบนหญ้าแลฟางให้สิ้นทั้งยี่สิบลำ แล้วเอาธงตะขาบสีเขียวปักหน้าเรือเปนสำคัญ ครั้นเตรียมเสร็จแล้วก็จอดคอยจิวยี่สั่งเมื่อใดจะได้ยกไปโดยเร็ว
ฝ่ายกำเหลงกับงำเต๊กเมื่อได้ทราบเนื้อความดังนั้นก็แกล้งเลี้ยงดูชัวต๋ง กับชัวโฮไว้ แล้วสั่งทหารให้ระวังชัวต๋งชัวโฮไว้อย่าให้หนีไปได้ ถ้าจิวยี่จะยกทัพเมื่อใดจะได้ทำการตามจิวยี่สั่งไว้ ฝ่ายทหารกองตะเวนจึงเข้าไปบอกจิวยี่ว่า บัดนี้ซุนกวนยกกองทัพเรือมาทอดอยู่ทางไกลค่ายนี้ประมาณแปดร้อยเส้น จิวยี่แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้โลซกไปประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ให้จัดแจงเรือรบไว้ให้พร้อม ถ้าจะยกเมื่อใดก็ให้ยกได้ทันที แม้หมวดใดกองใดขาดก็จะให้ตัดสีสะเสีย โลซกก็ไปสั่งตามคำจิวยี่ แลทหารทั้งปวงก็จัดแจงเรือรบแลเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้แต่เวลาเช้าจนรุ่ง ก็มิได้เห็นลมพัดกลับไป จิวยี่จึงว่าแก่โลซกว่า ขงเบ้งนั้นไปทำการวันกับคืนหนึ่งแล้วก็มิได้มีลมสลาตัน โลซกจึงว่าขงเบ้งทำนั้นเห็นจะได้การอยู่ ครั้นพูดกันดังนั้นแล้วก็ชวนกันคอยดูตั้งแต่เช้าจนเวลาสองยามเศษ จึงได้ยินเสียงอื้ออึงข้างทิศอาคเณย์ จิวยี่จึงพาโลซกออกมาดูกลางแจ้งก็มิได้เห็นลมว่าวแลลมตวันตกพัดมาสงบเปน ปรกติอยู่ อีกสักครู่หนึ่งลมสลาตันก็พัดหนักมา จิวยี่ก็มีความยินดีแล้วว่าแก่โลซกว่า อันสติปัญญาขงเบ้งรู้ตำราเรียกลมในอากาศหาผู้เสมอมิได้ อุปมาดังจะนับดาวในท้องฟ้าแลหยั่งพระมหาสมุทรอันลึกได้ ครั้นเอาขงเบ้งไว้สืบไปภายหน้าเมืองกังตั๋งก็จะเปนอันตราย จำจะคิดอ่านฆ่าเสีย เมืองเราจึงจะมีความสุขสืบไป จึงสั่งเตงฮองกับชีเซ่งให้คุมทหารคนละร้อย แลเตงฮองนั้นเร่งไป ณ เขาลำปินสาน อย่าได้ว่ากล่าวประการใดให้รู้ตัวเลย จับเอาตัวขงเบ้งฆ่าเสีย อันชีเซ่งนั้นคุมทหารเร่งลงเรือไปสกัดอยู่ชายทเล เกลือกขงเบ้งรู้ตัวก็จะหนีลงเรือ ให้จับตัวฆ่าเสียแล้วตัดเอาสีสะมาให้เรา เตงฮองกับชีเซ่งก็ลากลับมาจัดแจงทหารแยกกันรีบไป
ฝ่ายขงเบ้งครั้นเห็นลมสลาตันพัดมาดังนั้นแล้ว ก็แลดูทหารทั้งปวงเห็นถือธงมัธยัสถ์เปนปรกติอยู่ตามสั่ง ก็ลอบหนีลงจากร้านรีบไปยังท่าเรือซึ่งนัดไว้ให้จูล่งมารับนั้น ทหารทั้งปวงก็มิได้สำคัญว่าขงเบ้งจะหนี ครั้นเตงฮองมาถึงกลางทาง พอลมสลาตันพัดหนักขึ้น เตงฮองรีบขับม้าไปถึงที่ทำการ เห็นทหารทั้งปวงยืนถือธงอยู่มิได้ผันแปรไปมา เตงฮองก็ลงจากม้าถือกระบี่ขึ้นไปบนร้านก็ไม่เห็นขงเบ้ง จึงถามทหารทั้งปวงว่าขงเบ้งไปไหน ทหารซึ่งถือธงนั้นบอกว่าขงเบ้งลงไปเมื่อก่อนหน้าท่านมา เตงฮองก็ลงจากร้านรีบตามลงไป พอถึงชายทเลพบชีเซ่ง ถ้อยทีถ้อยถามกันก็ไม่ได้เนื้อความ พอทหารเลวคนหนึ่งมาบอกว่า เมื่อเวลาเย็นนั้นข้าพเจ้าเห็นเรือเร็วลำหนึ่งมาจอดอยู่ที่หัวแหลมริมหาด ทรายชายทเล ครั้นเวลาสองยามเศษเห็นขงเบ้งเดิรมาลงเรือแล้วรีบไปข้างทิศเหนือ เตงฮองกับชีเซ่งก็ลงเรือแล้วชักใบขึ้นแยกกันรีบตามไป
ฝ่ายชีเซ่งมาทันก็ร้องเรียกให้ขงเบ้งหยุดอยู่ก่อน แล้วบอกว่าจิวยี่เชิญให้กลับไป ขงเบ้งได้ยินทหารร้องเรียกดังนั้นจึงตอบไปว่า ท่านจงกลับไปบอกจิวยี่เถิดว่าบัดนี้ลมก็มีมาแล้ว ให้เร่งจัดแจงทำการกับโจโฉจงดี อันตัวเรานี้จะลากลับไปเมืองกังแฮก่อน ต่อวันอื่นจึงจะกลับมาเยี่ยมจิวยี่ ชีเซ่งจึงซ้ำว่าให้หยุดอยู่ก่อน เราจะบอกเนื้อความซึ่งจิวยี่สั่งมาเปนการลับ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านมานี้เราก็รู้อยู่ก่อนอีก คือจิวยี่คิดอ่านไว้จะให้ทำร้ายแก่เรา ๆ จึงให้จูล่งมาคอยรับ ท่านจงกลับไปบอกจิวยี่เถิด แม้ไม่ฟังขืนตามมาก็หาทำอันตรายเราได้ไม่
ชีเซ่งเห็นเรือขงเบ้งมิได้กางใบก็ให้ทหารรีบแจวตามไป จูล่งเห็นชีเซ่งตามมาใกล้จึงร้องว่าตัวเราชื่อจูล่ง ได้รับคำขงเบ้งไว้เราจึงมารับ แลขงเบ้งได้ว่ากล่าวห้ามตัวก็มิได้ฟัง ขืนจะตามมาทำร้ายแก่ขงเบ้ง ครั้นเราจะเอาเกาทัณฑ์ยิงให้ตายเสียบัดนี้ เล่าปี่นายเรากับซุนกวนก็จะผิดใจกันเสีย เราจะยิงแต่พอให้รู้จักฝีมือไว้ ว่าแล้วก็ขึ้นเกาทัณฑ์ยิงไปถูกสายลดใบนั้นขาดตกลง เรือชีเซ่งก็หันขวางลำไป จูล่งจึงให้ทหารชักใบไป
ฝ่ายชีเซ่งนั้นครั้นเห็นเรือเตงฮองมาทันก็บอกเนื้อความทั้งปวงให้ฟัง แล้วว่าจูล่งคนนี้มีฝีมือกล้าหาญนัก ครั้งรบตำบลทุ่งตงบันโบ๋นั้นฆ่าทหารโจโฉเสียเปนอันมาก ซึ่งเราจะติดตามไปเห็นจะสู้จูล่งไม่ได้ ปรึกษากันแล้วก็กลับมาบอกแก่จิวยี่ตามเนื้อความแต่หลังทุกประการ จิวยี่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจแล้วว่า อันความคิดขงเบ้งนั้นหลักแหลมลึกซึ้ง แม้ไม่คิดอ่านฆ่าขงเบ้งเสียได้ตัวเราก็นอนตาไม่หลับ อุปมาเหมือนเสี้ยนยอกอยู่ในอก โลซกจึงห้ามว่าท่านอย่าด่วนคิดวุ่นวายไปก่อนเลย จงตั้งใจทำการกำจัดโจโฉเสียให้ได้แล้ว การฝ่ายขงเบ้งนั้นจึงค่อยคิดต่อไป
ขณะเมื่อเกิดลมสลาตันนั้น จิวยี่สั่งกำเหลงให้คุมทหารยกไปทางบก ณ ตำบลฮัวหลิม แล้วให้เข้าปล้นเผาสเบียงโจโฉเสีย เมื่อได้ฤกษ์จะยกไปให้ฆ่าชัวต๋งเสีย แล้วตัดเอาสีสะเส้นธงชัยให้เปนสง่าทัพไว้ แลตัวชัวโฮนั้นเอาไว้ให้เราข้างฝ่ายทัพเรือจะได้ทำการ ให้ลิบองคุมทหารสามพันเปนกองหนุนกำเหลง แล้วให้ไทสูจู้คุมทหารสามพันยกทัพบกไปตำบลหับหุยโจมตีตัดทหารโจโฉเสียอย่า ให้หนุนกันได้ แม้เห็นเพลิงไหม้ขึ้นในกองทัพเรือโจโฉ จึงให้ดูธงแดงเปนสำคัญแล้วให้เร่งคุมทหารเข้ามาบัญจบกัน กำเหลงลิบองกับไทสูจู้ก็ลาออกมาจัดแจง พอได้ฤกษ์ก็ยกแยกกันไปก่อนกองทัพเรือด้วยเปนทางไกล แลเมื่อกำเหลงจะยกนั้นจึงเอาตัวชัวโฮไปมอบไว้ณทัพเรือ แล้วเอาชัวต๋งมาฆ่าเสียตัดเอาสีสะมาเส้นธงชัยจึงยกทัพบกไป
ฝ่ายจิวยี่ก็ให้เล่งทองคุมทหารสามพันยกไปตำบลอิเหลง แม้เห็นแสงเพลิงตำบลฮัวหลิมไหม้ขึ้นก็ให้ทหารคอยสกัดตีกองทัพโจโฉ แล้วให้ตังสิดคุมทหารสามพันยกไปปล้นค่ายโจโฉตำบลริมแม่น้ำฮันฉวน แม้เห็นธงขาวเปนสำคัญจึงคุมทหารเข้าบัญจบกัน กองหนึ่งให้พัวเจี้ยงคุมทหารสามพันยกไปณแดนเมืองฮันหยง ให้ทหารปักธงขาวไว้เปนสำคัญ ถ้าขัดสนประการใดจะได้ช่วยหนุนตังสิด นายทหารทั้งสามกองก็คุมทหารยกแยกกันไปทางบกตามคำจิวยี่สั่ง
ฝ่ายจิวยี่จึงให้อุยกายเขียนหนังสือกำหนดไปถึงโจโฉ เปนใจความว่า ข้าพเจ้าอุยกายได้ท่วงทีแล้ว ด้วยจิวยี่ใช้ข้าพเจ้าไปรับเรือสเบียง ณ เมืองฮวนหยง ข้าพเจ้าจะตัดเอาสีสะนายเรือซึ่งคุมสเบียงแลเรือลำเลียงมาเปนกำนัลมหาอุปราช ในเวลาสองยามวันนี้ ให้มหาอุปราชคอยรับด้วย แล้วจิวยี่ให้แต่งเรือรบสี่ลำบัญจุทหารเลวซึ่งมีฝีมือ แลนายเรือทั้งสี่คนนั้นชื่อฮันต๋งจิวท่ายจิวขิมตันบู แลนายทหารทั้งสี่คนนี้คุมเรือรบคนละสามร้อยลำ เปนเรือรบพันสองร้อย สำหรับจะได้ป้องกันอุยกายจะเข้าจุดเพลิงนั้น แม้เห็นข้าศึกมีกำลังประการใดจะได้ช่วยรบพุ่ง ให้โลซกงำเต๊กอยู่รักษาค่าย เทียเภาเห็นจิวยี่จัดแจงทัพบกทัพเรือเปนขบวรกวดขันดังนั้นก็คิดเกรงจิวยี่ เปนอันมาก
ขณะนั้นมีหนังสือซุนกวนมาถึงจิวยี่เปนใจความว่า ซุนกวนให้ลกซุนคุมทหารเปนกองหน้า ตัวซุนกวนนั้นเปนกองหลวง จะยกหนุนไปทางตำบลอุยเต้ ฝ่ายจิวยี่แจ้งในหนังสือซุนกวนดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้ทหารเอาประทัดขึ้นคอยอยู่บนยอดเขาลำปินสาน ถ้าเห็นเวลาพลบคํ่าลงจึงจุดประทัดขึ้นเปนสำคัญ กองทัพเรือจะได้ยกพร้อมกัน
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งตั้งอยู่ ณ ค่ายแฮเค้า ครั้นลมสลาตันมีก็ตั้งใจคอยจูล่งซึ่งไปรับขงเบ้ง ขณะนั้นพอเล่ากี๋ยกกองทัพเรือมาถึงจึงขึ้นไปหาเล่าปี่ ๆ จึงบอกว่า เราให้จูล่งไปรับขงเบ้งก็ยังไม่กลับมา จะเปนประการใดก็ยังไม่แจ้ง เล่ากี๋ยังมิได้ว่าประการใดพอจูล่งพาขงเบ้งมาถึง เล่าปี่ก็มีความยินดี จึงถามว่าท่านไปทำการสิ่งใดบ้าง ขงเบ้งจึงว่า จะบอกนั้นยังมิได้ก่อนจะช้าการไป แล้วถามเล่าปี่ว่าการซึ่งข้าพเจ้าสั่งไว้นั้น ได้จัดแจงพร้อมแล้วหรือ เล่าปี่จึงบอกว่าการทั้งนั้นจัดไว้ท่าพร้อมอยู่แล้ว ขงเบ้งจึงให้จูล่งคุมทหารสามพันยกข้ามแม่นํ้ารีบลัดไปซุ่มอยู่ใกล้ตำบลฮัว หลิม เวลาสามยามวันนี้กองทัพโจโฉจะแตกไปทางนั้น ท่านจงคุมทหารออกโจมตีเข้าตัดกลางทัพ ถึงทหารโจโฉจะไม่เสียสิ้นก็จะตายลงบ้างสักกึ่งหนึ่ง ก็คงจะได้ม้าแลอาวุธเปนอันมาก จูล่งจึงว่า ตำบลฮัวหลิมนั้นเปนสองทางอยู่ ทางหนึ่งจะไปเมืองลำกุ๋น ทางหนึ่งจะไปเมืองเกงจิ๋ว ข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าโจโฉจะไปทางใด ขงเบ้งจึงว่า ทางเมืองลำกุ๋นนั้นใกล้ข้างกองทัพจิวยี่ ทหารจิวยี่คงจะติดตาม เห็นโจโฉจะแตกไปทางเมืองเกงจิ๋ว ท่านจงไปคอยอยู่ทางนั้นเถิด แล้วให้เตียวหุยคุมทหารสามพันยกไปซุ่มอยู่ ณ เนินเขาปากทางตำบลโฮโลก๊ก เวลาพรุ่งนี้ฝนจะตก ครั้นฝนเหือดโจโฉมาถึงตำบลนั้น จะหยุดอยู่ให้ทหารหุงเข้ากิน แต่พอท่านเห็นควันเพลิงก็ให้เร่งทหารออกโจมตีเอาอย่าให้ทันหุงเข้าสุก ถึงมาทว่าจับโจโฉไม่ได้ ท่านก็จะมีความชอบ ด้วยได้ฆ่าฟันทหารโจโฉเสีย จูล่งกับเตียวหุยรับคำขงเบ้งแล้วยกทหารแยกกันไป
ขงเบ้งจึงให้บิต๊กบิฮองเล่าฮองคุมเรือรบไปเที่ยวอยู่ตามชายทเล คอยจับทหารโจโฉซึ่งหนีลงมา แล้วให้เล่ากี๋คุมเรือรบไปตั้งอยู่ตำบลฮูเชียงซึ่งเปนที่สำคัญ แม้เห็นโจโฉแตกมาทางนั้นเห็นพอที่จะจับได้ก็ให้จับไว้ อนึ่งท่านจะได้ป้องกันเมืองกังแฮด้วย เล่ากี๋กับนายทหารทั้งสามนั้นก็รับคำขงเบ้งแล้วคุมเรือรบแยกกันไป ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ให้ท่านคุมทหารไปคอยดูอยู่ ณ เนินเขา ว่าเวลาคํ่าวันนี้จิวยี่จะทำการได้สำเร็จหรือไม่
กวนอูเห็นขงเบ้งใช้คนทั้งปวงไปดังนั้นก็คิดน้อยใจว่า ขงเบ้งมิได้กะเกณฑ์ตัวให้ไปทำการแห่งใด จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวข้าพเจ้านี้มาอยู่กับเล่าปี่ช้านานแล้ว แม้เล่าปี่จะทำการสิ่งใดก็ย่อมใช้สอยข้าพเจ้าให้อาสาไปทำการก่อนทุกแห่ง ครั้งนี้ท่านแคลงข้าพเจ้าสิ่งใดหรือจึงไม่ใช้ไปทำการเหมือนคนทั้งปวง ขงเบ้งจึงตอบว่า ยังมีที่สำคัญอยู่แห่งหนึ่ง ครั้นจะให้ท่านไปก็มีความสงสัยอยู่ กวนอูจึงถามว่าท่านสงสัยด้วยเหตุอันใด ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเราแคลงท่านนั้นด้วยเหตุว่าแต่ก่อนท่านได้ไปอยู่กับโจโฉ ๆ ก็ได้เอนดูทำนุบำรุงท่าน อันน้ำใจท่านมีความสัตย์รู้จักคุณคน เวลาวันนี้โจโฉจะแตกไปทางฮัวหยง ครั้นเราจะให้ไปท่านจะคิดถึงคุณโจโฉอยู่ จะไม่ฆ่าโจโฉเสีย กวนอูจึงตอบว่า อันสติปัญญาของท่านนี้ลึกซึ้งหลักแหลมนัก ซึ่งโจโฉเลี้ยงดูนั้นข้าพเจ้าก็ได้อาสาฆ่างันเหลียงบุนทิวแทนคุณโจโฉแล้ว แม้จะให้ข้าพเจ้าไปครั้งนี้ ถ้าพบโจโฉแล้วข้าพเจ้ามิได้ตัดสีสะโจโฉมาให้ท่าน ก็ให้ท่านตัดสีสะข้าพเจ้าแทนเถิด แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ว่า ถ้าโจโฉจะไม่หนีไปทางฮัวหยงอันเปนทางลัด ฝ่ายท่านจะว่าประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า แม้ท่านยกไปไม่พบโจโฉทางนั้นก็ให้เร่งกลับมาเถิด เราจะตัดสีสะเรานี้ให้แทนโจโฉ แล้วสั่งกวนอูให้คุมทหารห้าร้อยไปตั้งสกัดอยู่ทางฮัวหยง ด้วยที่นั้นเปนสองทางร่วมกันจะไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ทางใหญ่อ้อมไกลกว่าทางลัดถึงห้าร้อยเส้น อันทางลัดนั้นเร็วแต่เดิรยากด้วยเปนซอกเขา ท่านจงให้ทหารขนเอาฟืนแลฟางมากองสุมเพลิงไว้ปากทางลัด โจโฉเห็นแสงเพลิงก็จะหนีไปทางลัดด้วยเปนทางตรง
กวนอูจึงถามว่า โจโฉจะหนีความตายเหตุใดท่านจึงกลับว่าโจโฉจะเข้ามาตามแสงเพลิงเล่า ขงเบ้งจึงตอบว่า โจโฉนั้นมีความคิดชำนาญในการล่อลวง ครั้นเห็นแสงเพลิงก็จะคิดว่าจิวยี่แกล้งทำกลให้ไปกองเพลิงไว้ แต่งกองทัพไปซุ่มสกัดอยู่ปากทางใหญ่ โจโฉก็คงจะไปทางกองเพลิง ท่านจงจับฆ่าเสียตัดเอาสีสะมา กวนอูรับคำขงเบ้งแล้วก็พากวนเป๋งจิวฉองกับทหารห้าร้อยรีบไป
ขณะเมื่อกวนอูไปแล้วเล่าปี่จึงว่าแก่ขงเบ้งว่า ตัวท่านก็รู้น้ำใจกวนอูอยู่ว่าเปนคนกตัญญูต่อผู้มีคุณ เมื่อท่านใช้กวนอูไปครั้งนี้ ถึงมาทว่าจะพบโจโฉเข้ากวนอูก็จะไม่ทำอันตราย เพราะคิดถึงคุ ณ เขาอยู่ แลการทั้งปวงซึ่งท่านคิดไว้ก็จะมิเสียไปหรือ ขงเบ้งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าดูดาวสำหรับมหาอุปราชก็ยังรุ่งเรืองสุกใสอยู่ เพราะชาตาโจโฉยังไม่ขาดข้าพเจ้าจึงแกล้งให้กวนอูไปทำการครั้งนี้ หวังจะให้แทนคุณโจโฉเสียให้เสร็จกัน สืบไปภายหน้ากวนอูจะได้ทำการกับโจโฉถนัด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี สรรเสริญสติปัญญาขงเบ้งว่าท่านคิดสมควรนัก ขงเบ้งจึงให้ซุนเขียนกับกันหยงอยู่รักษาค่ายแฮเค้า แล้วพาเล่าปี่ลงเรือไปคอยดูกองทัพโจโฉณปากนํ้าฮวนเค้า
[๑] อยู่ในเรื่องเลียดก๊ก
กรุณาแสดงความคิดเห็น