สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 36
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 36
เนื้อหา
- เล่าปี่ปรึกษากับขงเบ้งเรื่องจะต่อสู้โจโฉ
- โจโฉยกกองทัพใหญ่มาตีเมืองเกงจิ๋ว
- เล่าเปียวตาย เล่าจ๋องได้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋ว
- เล่าจ๋องขออ่อนน้อมต่อโจโฉ
- ขงเบ้งตีทัพหน้าโจโฉแตก
- โจโฉให้ชีซีมาเกลี้ยกล่อมเล่าปี่
- เล่าปี่อพยพจากเมืองอ้วนเซีย
- กวนอูไปบอกเล่ากี๋
ขงเบ้ง จึงว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมีชัยแก่แฮหัวตุ้นครั้งนี้ ท่านอย่าเพ่อยินดีก่อน เห็นว่าโจโฉจะยกกองทัพมาตอบแทนแก้แค้นท่านเปนมั่นคง เล่าปี่จึงถามว่า ถ้าฉนั้นท่านจะคิดประการใดเล่า ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งเข้าพเจ้าจะคิดอ่านต่อสู้โจโฉนั้นพอจะได้อยู่ แต่มาเห็นว่าเมืองซินเอี๋ยนี้คับแคบนัก จะคิดอ่านผ่อนปรนยาก บัดนี้เล่าเปียวก็ป่วยหนักอยู่ แต่ก่อนก็ได้อนุญาตว่าจะให้เมืองเกงจิ๋วแก่ท่าน ครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีอยู่แล้ว แม้ท่านยกไปเมืองเกงจิ๋ว ถึงมาทว่าโจโฉจะยกกองทัพมา ก็จะคิดอ่านผ่อนผันทำการรบพุ่งได้ถนัด เพราะเมืองเกงจิ๋วกว้างขวางเปนเมืองใหญ่
เล่าปี่จึงว่า ท่านว่าดังนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเล่าเปียวมีคุณแก่เรามาแต่ก่อนเปนอันมาก ครั้นจะยกไปบัดนี้ก็เหมือนไปชิงเมืองท่านอยู่ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้ใช่จะให้ท่านทำร้ายแก่เล่าเปียวนั้นหาไม่ อันเมืองเกงจิ๋วนั้นก็จะได้แก่ท่านเปนมั่นคงอยู่ แม้มิยกไปตามคำข้าพเจ้านานไปจะมีอันตราย เมื่อมีเหตุขึ้นแล้วท่านจึงจะรู้จักสำนึก เล่าปี่จึงว่า ถึงมาทว่าจะมีอันตรายประการใดก็ดี ตัวเราก็จะสู้ตาย ซึ่งจะทรยศต่อผู้มีคุณนั้นเราทำมิได้ ขงเบ้งจึงว่า ซึ่งท่านมิเต็มใจที่จะทำตามถ้อยคำข้าพเจ้าก็ตามอัธยาศัยเถิด จึงจะคิดอ่านผ่อนผันต่อไป
ฝ่ายแฮหัวตุ้นครั้นยกไปถึงเมืองฮูโต๋ ก็มัดตัวเข้าไปหาโจโฉโดยคำนับ ว่าบัดนี้โทษข้าพเจ้าถึงสิ้นชีวิตแล้ว ด้วยข้าพเจ้ามีความประมาทมิได้รู้เท่ากลขงเบ้ง จึงเสียทหารล้มตายเปนอันมาก เมื่อข้าพเจ้าจะไปนั้นก็ได้สัญญาไว้ว่า ถ้าไม่ได้ตัวเล่าปี่ขงเบ้งมาก็ให้ตัดสีสะข้าพเจ้าเสีย ซึ่งโทษข้าพเจ้าผิดตามแต่ท่านจะทำโทษ
โจโฉเห็นแฮหัวตุ้นทำโทษตัวเข้ามาดังนั้นก็มีความเอ็นดู จึงให้แก้มัดเสียแล้วว่า ซึ่งท่านไปทำการสงครามให้เสียทีแก่ข้าศึกมาฉนี้ โทษท่านก็ถึงตาย แต่ทว่าตัวท่านมีความชอบในการสงครามมาแต่ก่อนเปนอันมาก โทษนั้นเราจะยกไว้ครั้งหนึ่ง แล้วว่าธรรมดาชาติทหารทำการสงครามมาก็มีชนะแลแพ้ทุกคน แฮหัวตุ้นยินดีคำนับแล้วจึงว่า ข้าพเจ้ายกไปครั้งนี้อิกิ๋มแลลิเตียนก็ได้ตักเตือนให้สติอยู่ แต่ทว่าข้าพเจ้าทำการล่วงเกินดื้อดึงไป จึงเสียท่วงทีทั้งนี้เพราะประมาท
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ลิเตียนอิกิ๋มโดยความชอบแล้วจึง ว่า ทุกวันนี้เรามีความวิตกอยู่แต่เล่าปี่กับซุนกวนสองคนนี้ใหญ่หลวงนัก นอกกว่านั้นเรามิได้ปรารมเลย แลบัดนี้การศึกก็ได้กระทำติดพันกันเข้าแล้ว จะคิดกำจัดเล่าปี่แลซุนกวนเสียให้จงได้ แผ่นดินจึงจะราบคาบเปนสุขสืบไป โจโฉก็ให้เกณฑ์ทหารห้าสิบหมื่น ตั้งให้โจหยินโจหองคุมทหารสิบหมื่นเปนกองหนึ่ง ให้เตียวเลี้ยวเตียวคับคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสอง ให้แฮหัวตุ้นกับแฮหัวเอี๋ยนคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสาม ให้อิกิ๋มกับลิเตียนคุมทหารสิบหมื่นเปนกองสี่ ตั้งให้เคาทูคุมทหารสามพันเปนกองหน้าสำหรับสอดแนม แลโจโฉนั้นคุมทหารหกหมื่นเปนกองหลวง
ขณะเมื่อโจโฉเกณฑ์กองทัพจะยกไปครั้งนั้น พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติได้สิบสามปีแล้ว ถึงเดือนเก้าข้างขึ้นได้ฤกษ์ดี จะให้ยกกองทัพไป พอขงหยงเข้ามาว่า ซึ่งท่านจะยกกองทัพไปกำจัดเล่าปี่บัดนี้ เล่าปี่ก็เปนเชื้อสายของพระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่หาควรไม่ ฝ่ายซุนกวนเล่าก็ตั้งภูมิฐานลงได้เปนมั่นคง แล้วมีเมืองเอกขึ้นถึงหกหัวเมือง ทหารทั้งปวงก็พรักพร้อม แลทางจะไปนั้นก็กันดาร ซึ่งมหาอุปราชจะยกไปนั้น เกลือกมิได้ท่วงทีก็จะเสียทหารเปนอันมาก ขอท่านจงดำริห์ดูจงควรก่อน
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านมาห้ามเรามิให้ยกไปกำจัดเล่าปี่ ซุนกวนนั้นมิชอบ ด้วยคนสองคนนี้หาความกตัญญูไม่ แล้วก็ขับขงหยงเสีย ว่าท่านอย่าได้มาเจรจาดังนี้สืบไป ถ้ามิฟังเราจะตัดสีสะเสีย ขงหยงเห็นโจโฉโกรธขับดังนั้น ลุกออกมาพ้นแล้วจึงทอดใจใหญ่ว่า มหาอุปราชนี้เปนคนหาตั้งอยู่ในสัตย์ไม่ แม้จะขืนยกไปกระทำแก่ผู้มีสัตย์สุจริตน่าที่ก็จะเปนอันตรายไปเอง
ขณะนั้นคองสีซึ่งเปนอริกันกับขงหยงได้ยินว่าดังนั้น ก็เอาเนื้อความเข้ามาบอกแก่โจโฉว่า ขงหยงนี้เปนคนมิดี ลอบนินทาท่านภายหลัง แลครั้งเมื่อยีเอ๋งหยาบช้าต่อท่านนั้น ก็เพราะขงหยงยุยงให้ว่ากล่าว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เชื่อ มีความโกรธนัก จึงให้ทหารจับตัวขงหยงไปฆ่าเสีย คนใช้ขงหยงจึงวิ่งไปบอกแก่บุตรขงหยงทั้งสองคนว่า บัดนี้มหาอุปราชจังเอาบิดาท่านไปฆ่าเสียแล้ว เหตุใดท่านยังเล่นหมากรุกอยู่ หากลัวตายไม่หรือจึงไม่หนีเสีย บุตรขงหยงทั้งสองจึงตอบว่า ซึ่งท่านเอ็นดูแก่เรานี้คุณหาที่สุดมิได้ แต่ธรรมดานกทั้งปวงซึ่งตกฟองในรัง แม้ว่ารังทำลายแล้วฟองนั้นก็ตกแตก มิอาจสามารถจะตั้งอยู่ได้ แลบิดาเราถึงแก่ความตายบัดนี้ ตัวเราผู้เปนบุตรหรือจะหนีพ้น ว่าดังนั้นยังมิทันจะขาดคำ พอทหารโจโฉเข้ามาถึงก็ล้อมเรือนเข้าไปจับเอาบุตรภรรยาไป โจโฉจึงสั่งให้ฆ่าเสีย แล้วโจโฉให้เอาศพขงหยงไปประจานไว้ที่หนทางสามแพร่ง มิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่างสืบไป
ขณะนั้นชีสิบผู้เปนเพื่อนรักกันกับขงหยง รู้ว่ามหาอุปราชเอาศพไปประจานไว้ดังนั้น ก็ไปเยือนศพกอดไว้ร้องไห้รัก แล้วมีคนเอาเนื้อความไปบอกแก่โจโฉ ๆ ก็โกรธ จึงสั่งทหารจะให้จับเอาตัวชีสิบไปฆ่าเสีย ซุนฮกจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เอาตัวชีสิบไปฆ่าเสียนั้นไม่ควร ด้วยชีสิบคนนี้เปนชอบกันกับขงหยงก็จริง แต่ทว่าจะได้รู้เห็นเปนใจด้วยนั้นหามิได้ แต่เดิมก็ได้ว่ากล่าวขงหยงว่า เปนคนหยาบช้า กล้าหาญ หาอัธยาศัยมิได้ นายไปภัยจะมีมาถึงตัว ชีสิบว่าดังนั้นข้าพเจ้าทราบมาแต่ก่อน ซึ่งมาร้องไห้รักขงหยงนั้น ก็เพราะคิดว่าได้เปนมิตรกันมา โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธจึงให้ชีสิบเอาศพขงหยงไปฝังเสีย ครั้นโจโฉฆ่าขงหยงเสียดังนั้นแล้ว ก็แต่งให้ซุนฮกอยู่รักษาเมืองฮูโต๋ แล้วยกกองทัพห้าสิบหมื่นจะไปตีเอาเมืองซินเอี๋ย พอเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋วป่วยหนักลงอีกครั้งหนึ่ง จึงให้หาเล่าปี่ไปหวังจะสั่งเสียฝากการทั้งปวง เล่าปี่กวนอูเตียวหุยก็พากันไปหาเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว
เล่าเปียวเห็นเล่าปี่มาดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าตัวเราทุกวันนี้เปนไม้ใกล้ฝั่ง นับวันอยู่แต่จะตาย ซึ่งหาท่านมาบัดนี้หวังจะฝากเมืองเกงจิ๋วแก่ท่าน ด้วยว่าบุตรเรานี้สติปัญญาก็อ่อนนัก แม้ว่าหาบุญเราไม่ จะรักษาบ้านเมืองสืบไปเห็นจะขัดสน ตัวท่านเปนผู้ใหญ่มีสติปัญญา จงช่วยรักษาบ้านเมืองไว้อย่าให้เปนอันตรายไปแก่ผู้อื่นเลย
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นคำนับแล้วก็ร้องไห้ จึงว่าตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้ มีความสุจริตต่อท่านด้วยกตัญญูมิได้คิดสิ่งไร ถึงว่าท่านจะหาบุญไม่ก็ดี ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงบุตรท่านทั้งสองสืบไป แลเมื่อเล่าเปียวพูดจาสั่งเสียกันกับเล่าปี่มิทันจะขาดคำ พอม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า กองทัพโจโฉยกมา เล่าปี่ก็ลาพากวนอูเตียวหุยกลับมาเมืองซินเอี๋ย
ฝ่ายเล่าเปียวได้ยินข่าวศึกมาดังนั้นก็ตกใจป่วยหนักลง แลเมื่อเล่าเปียวเจรจาสั่งเสียกับเล่าปี่นั้น นางชัวฮูหยินภรรยาเล่าเปียวได้ยินดังนั้นก็น้อยใจโกรธ ว่าเล่าเปียวนี้รักเล่าปี่มาก จะยกบ้านเมืองมอบให้ หามีความเอ็นดูแก่บุตรของตัวไม่ จึงให้ชัวมอกับเตียวอุนสองคนผู้เปนที่ไว้ใจ ให้รักษาประตูกำชับตรวจตรามิให้ผู้ใดแปลกปลอมได้
ฝ่ายเล่ากี๋ผู้บุตรเล่าเปียวซึ่งไปกินเมืองกังแฮนั้น รู้ข่าวไปว่าบิดาป่วยหนักก็รีบมาเยือน ครั้นมาถึงประตู ชัวมอเตียวอุ๋นจึงห้ามเล่ากี๋ว่า ตัวท่านนี้บิดาให้ไปอยู่รักษาเมืองกังแฮ มิได้ให้หามา แลท่านทิ้งเมืองเสียฉนี้ แม้ซุนกวนรู้จะยกกองทัพจู่มาตีเอาเมืองกังแฮนั้นจะมิเสียหรือ อนึ่งบิดาท่านป่วยหนักอยู่ ซึ่งท่านจะเข้าไปบัดนี้ก็เห็นว่าบิดาท่านจะโกรธว่าทิ้งเมืองเสีย โรคนั้นก็จะกำเริบขึ้น เหลือกำลังก็จะถึงแก่ความตาย เหมือนท่านเอายาพิษมาเจือเข้าอีก เล่ากี๋ได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้รักอยู่แต่นอกประตู จะเข้าไปเยี่ยมบิดามิได้แล้วก็ขึ้นม้ากลับไปเมืองกังแฮ
ฝ่ายเล่าเปียวป่วยหนักลง ตั้งใจคอยหาเล่ากี๋ผู้บุตรมิได้เห็นมา ครั้นถึงเดือนสิบขึ้นสามค่ำ โรคนั้นกำเริบหนักไป ร้องขึ้นได้คำเดียวก็ถึงแก่ความตาย นางชัวฮูหยินเห็นว่าเล่าเปียวถึงแก่ความตายแล้ว จึงให้หาชัวมอเตียวอุนเข้ามาคิดอ่านกัน เขียนเปนอักษรของเล่าเปียวให้ไว้ฉบับหนึ่งใจความว่า แม้เราหาบุญไม่แล้วก็ให้เล่าจ๋องรักษาแผ่นดินเมืองเกงจิ๋วสืบไปเถิด นางชัวฮูหยินจึงให้หาขุนนางเข้ามาพร้อมกัน แล้วเอาหนังสือซึ่งปลอมเขียนไว้นั้นออกมาให้ขุนนางทั้งปวงดู จึงตั้งเล่าจ๋องขึ้นเปนเจ้าเมืองแทนบิดา แล้วจัดแจงแต่งการศพเล่าเปียวตามประเพณี
ขณะนั้นเล่าจ๋องอายุได้สิบสี่ปี มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า บิดาเราหาบุญไม่แล้ว เล่าปี่ผู้อาว์เราแลเล่ากี๋ผู้พี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งท่านทั้งปวงจะตั้งเราเปนใหญ่นั้นไม่ควร ถ้าแลเล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจจะยกกองทัพมาทำอันตรายเรา ท่านทั้งปวงจะคิดอ่านประการใด ลีกุ๋ยซึ่งเปนขุนนางฝ่ายพลเรือนจึงว่า ท่านว่านี้ชอบนักต้องด้วยประเพณีโบราณสืบมา ขอให้ท่านแต่งหนังสือไปเชิญเล่ากี๋ผู้พี่มาเปนเจ้าเมืองเกงจิ๋ว แล้วให้เชิญเล่าปี่มาช่วยคิดอ่านกิจการทั้งปวง จะได้ป้องกันซุนกวนแลโจโฉสืบไป
ชัวมอได้ยินดังนั้นจึงตวาดลีกุ๋ยว่า เล่าเปียวจะตายก็เขียนหนังสือให้ไว้เปนสำคัญ เราท่านทั้งปวงก็เปนผู้ใหญ่ช่วยกันคิดอ่านทำนุบำรุงอยู่ แลซึ่งจะให้มีหนังสือไปเชิญเล่ากี๋เล่าปี่มานั้น คนทั้งสองนี้จะมีสติปัญญาความคิดมาเปนประการใด ลีกุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็ขัดใจ จึงด่าชัวมอว่า มึงเปนคนหาสติปัญญามิได้ ไม่กระทำตามขนบธรรมเนียมแต่ก่อน จัดแจงเอาเองตามอำเภอใจฉนี้ มึงจะทำให้แผ่นดินเมืองเกงจิ๋วแลหัวเมืองทั้งเก้านี้เปนอันตรายฉิบหาย แลตกอยู่ในเงื้อมือผู้อื่นเปนมั่นคง แค้นใจด้วยท่านผู้มีวาสนาซึ่งตายไปนั้น มิมาหักฅอเอามึงไปเสียเลย ชัวมอได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้เอาตัวลีกุ๋ยไปฆ่าเสีย ลีกุ๋ยก็ด่าชัวมอมิได้ขาดคำ จนทหารลงดาบขาดใจตาย
เมื่อชัวมอตั้งเล่าจ๋องขึ้นเปนใหญ่แทนเล่าเปียว แล้วจัดแจงสมัคพรรคพวกซึ่งเปนแซ่เดียวกันนั้น ให้คุมทหารรักษาด่านทางหัวเมืองเกงจิ๋วทั้งปวง แล้วให้เตียนยีกับเล่าเสี้ยน ซึ่งเปนขุนนางผู้ใหญ่อยู่รักษาเมืองเกงจิ๋ว ชัวมอก็พานางชัวฮูหยินกับเล่าจ๋อง แลขุนนางทั้งปวงไปตั้งอยู่ ณ เมืองซงหยง หวังจะได้ต่อสู้กับเล่าปี่เล่ากี๋
ขณะนั้นม้าใช้เอาเนื้อความมาบอกว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพหลวงออกจากเมืองฮูโต๋จะผ่านมาทางเมืองนี้ เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษาชัวมอกับเกงอวดแลที่ปรึกษาทั้งปวงว่า บัดนี้โจโฉยกทัพมาท่านทั้งปวงจะคิดอ่านป้องกันประการใด ฮูสวนจึงว่า นี่หากว่าโจโฉยกทัพมา ท่านจึงรู้จักสำนึกตัวกลัวอันตราย ถึงมาทว่าโจโฉไม่ยกมา ดีร้ายเล่าปี่กับเล่ากี๋ก็จะยกมาเปนมั่นคง เพราะท่านทำการเลมิดแต่ตามอำเภอใจ มิได้บอกให้เล่าปี่กับเล่ากี๋รู้ด้วย แม้เล่าปี่เล่ากี๋มีความน้อยใจ ก็จะยกกองทัพมาตีกระหนาบเข้า เห็นท่านจะได้ความเดือดร้อน กลอุบายของข้าพเจ้ามีอยู่ประการหนึ่ง แม้ท่านกระทำตามชาวเมืองทั้งปวงก็จะไม่มีอันตราย ทั้งตัวท่านก็จะได้ครองเมืองเปนสุขสืบไป
เล่าจ๋องจึงถามว่า กลอุบายของท่านจะทำประการใด ฮูสวนจึงว่าขอให้ท่านยกเมืองเกงจิ๋วกับทั้งเก้าหัวเมืองนี้ให้แก่โจโฉ เห็นโจโฉจะมีความยินดี ก็จะชุบเลี้ยงให้ได้ความสุข เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดฮูสวนว่า บิดาเราถึงแก่ความตาย บัดนี้เราได้ครองเมืองยังมิทันใด แลท่านมาคิดอ่านจะให้เราเอาเมืองไปให้แก่โจโฉนั้นเพราะเหตุสิ่งใด เกงอวดจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่า อันฮูสวนว่านี้ชอบนัก เพราะเกิดมาเปนคนจำจะรู้จักที่หนักที่เบาจึงควร แลทุกวันนี้โจโฉได้เปนมหาอุปราชมีน้ำใจกำเริบ จะทำการสิ่งใดก็ถือเอารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้เปนประมาณ เที่ยวปราบปรามได้บ้านเมืองเปนอันมาก บัดนี้ท่านก็พึ่งตั้งตัวขึ้นเปนใหญ่ แต่การภายในพี่น้องของท่านก็ยังไม่ปรกติกัน ซึ่งจะคิดอ่านทำศึกภายนอกนั้นเห็นไม่ควร แม้โจโฉยกมาถึงแล้ว อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะกลัว แลชวนกันหนีไปเข้าด้วยโจโฉสิ้น เห็นท่านจะสู้ไม่ได้
เล่าจ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า ซึ่งท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว แต่ว่าบิดาเรามอบเมืองไว้ยังมิทันไร จะยกให้ผู้อื่นเสียนั้น ก็เหมือนหนึ่งเรารักษาทรัพย์มรฎกของบิดามิได้ จะมิเปนที่คระหานินทาติเตียนแก่เราหรือ อองซันซึ่งเปนที่ปรึกษาจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่า อันฮูสวนกับเกงอวดว่านั้นชอบนัก เหตุใดท่านจึงไม่ทำตาม ท่านประมาณใจท่านเห็นจะสู้โจโฉได้อยู่หรือ บัดนี้โจโฉก็มีที่ปรึกษาแลทหารมีฝีมือเปนอันมาก แต่ลิโป้กับอ้วนเสี้ยวอ้วนสุดซึ่งมีสติปัญญาแลกำลัง โจโฉยังรบพุ่งทำอันตรายกำจัดเสียได้ แล้วมีใจกำเริบขึ้นเปนอันมาก บัดนี้โจโฉยกมากำจัดหัวเมืองฝ่ายใต้ ซึ่งท่านจะคิดอ่านสู้รบมิได้อ่อนน้อมต่อโจโฉนั้น นานไปท่านจึงจะรู้จักสำนึก เพราะท่านมิได้ฟังคำคนทั้งปวง เล่าจ๋องจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวเตือนสตินี้ก็ชอบนัก แต่เราจะขอเอาเนื้อความนี้ไปปรึกษามารดาเสียก่อน
ขณะนั้นพอนางชัวฮูหยินเดิรออกมาแต่ข้างในได้ยินจึงว่าแก่เล่าจ๋องว่าท่าน ทั้งสามปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันแล้วจึงว่ากล่าวทั้งนี้ เจ้าจะกลับเอาเนื้อความมาปรึกษาแม่ไยเล่า เจ้าจงประพฤติตามที่ชอบนั้นเถิด เล่าจ๋องฟังมารดาว่าดังนั้นก็ยินดี จึงเขียนเปนหนังสืออ่อนน้อมขอเข้าเกลี้ยกล่อมอยู่ด้วยโจโฉฉบับหนึ่งเสร็จ แล้ว ก็ใช้ให้ซงต๋งถือไปถึงโจโฉ พอพบโจโฉยกกองทัพมาถึงแดนเมืองอ้วนเสีย ซงต๋งจึงเอาหนังสือนั้นเข้าไปให้โจโฉ ๆ แจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้บำเหน็จรางวัลแก่ซงต๋งตามสมควรแล้วสั่งว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่เล่าจ๋องเถิดว่า ซึ่งมีหนังสือมาทั้งนี้เราก็ขอบใจอยู่แล้ว แต่ให้เล่าจ๋องออกมาคำนับเราตามประเพณี เราจะช่วยทำนุบำรุงให้เปนสุขสืบไป ซงต๋งได้ฟังดังนั้นก็ลาโจโฉมา ครั้นถึงแม่น้ำจะข้ามก็พอพบพวกกวนอูเข้า กวนอูก็จับตัวซงต๋งได้จึงถามว่า ราชการในเมืองเกงจิ๋วนั้นเปนประการใดบ้าง ซงต๋งก็อิดเอื้อนอยู่มิได้บอกโดยจริง ครั้นกวนอูซักไซ้ไต่ถามเห็นว่าจะอำเนื้อความไว้มิได้ก็บอกโดยจริงว่า บัดนี้เล่าเปียวก็ถึงแก่ความตายแล้ว แลบ้านเมืองทั้งปวงนั้นนางชัวฮูหยินกับชัวมอคิดอ่านกันกบเล่าจ๋องเอาไปยกให้ กับโจโฉสิ้น กวนอูได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงพาเอาตัวซงต๋งมาเมืองซินเอี๋ย แล้วแจ้งเนื้อความแก่เล่าปี่ตามถ้อยคำซงต๋งทุกประการ
เล่าปี่แจ้งว่าเล่าเปียวถึงแก่ความตายแล้วดังนั้น ก็ร้องไห้รักจนสลบไป ครั้นเล่าปี่ฟื้นสมประดีขึ้น เตียวหุยจึงว่าท่านจะมาโทมนัสอยู่ดังนี้หาควรไม่ ขอให้เอาซงต๋งไปตัดสีสะเสียจึงจะชอบ แล้วจึงยกทหารไปตีเมืองซงหยง ฆ่าเล่าจ๋องแลชัวมอเสียได้แล้วก็จะได้ทำการสงครามไปหน้าเดียว เล่าปี่จึงห้ามว่า ตัวท่านเปนเด็กจะรู้ไปกว่าผู้ใหญ่นั้นไม่ชอบ จงสงบปากอยู่ก่อน อันการงานทั้งปวงนั้นเราก็ตรึกตรองแล้ว เล่าปี่จึงถามซงต๋งว่า ตัวท่านก็มีสติปัญญาอยู่ เมื่อคนทั้งปวงคิดมิชอบฉนี้ เหตุใดมิเอาเนื้อความมาแจ้งแก่เราให้รู้ ครั้นจะฆ่าท่านเสียบัดนี้กระบี่เราก็จะติดโลหิตเสียเปล่า ท่านจงเร่งกลับไปเมืองซงหยงเถิด แล้วจงบอกว่าเราจับได้ปล่อยเสีย ซงต๋งมีความยินดีคำนับเล่าปี่แล้วก็ลาไป
ขณะนั้นนายประตูจึงเข้ามาบอกแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้เล่ากี๋ใช้อีเจี้ยมาคำนับท่าน เล่าปี่รู้ดังนั้นก็มีความยินดี คิดถึงคุณอีเจี้ยซึ่งได้บอกเหตุผลแต่ก่อนมานั้น ก็ออกไปรับถึงนอกประตูแล้วนำเข้ามาข้างใน อีเจี้ยคำนับเล่าปี่แล้วจึงบอกว่า บัดนี้เล่ากี๋ใช้ข้าพเจ้ามาแจ้งเนื้อความแก่ท่าน ด้วยเล่าเปียวบิดานั้นถึงแก่ความตายแล้ว นางชัวฮูหยินกับชัวมอคิดอ่านกันปิดเนื้อความเสีย มิได้บอกมาถึงท่านแลเล่ากี๋ให้รู้ ยกเล่าจ๋องให้เปนใหญ่ขึ้นแต่อำเภอใจ ทำให้ผิดขนบธรรมเนียมแต่ก่อน บัดนี้เล่าจ๋องก็ยกมาอยู่เมืองซงหยงแล้ว ขอให้ท่านยกทหารไปบัญจบกันกับเล่ากี๋ตีเอาเมืองเกงจิ๋วให้จงได้ เล่าปี่แจ้งดังนั้นจึงว่าแก่อีเจี้ยว่าเนื้อความทั้งนี้ท่านรู้แต่ว่าเล่า จ๋ององค์อาจตั้งตัวขึ้นเปนใหญ่ ซึ่งชัวมอกับนางชัวฮูหยินคิดอ่านกันยกเอาหัวเมืองทั้งเก้าไปให้แก่โจโฉเสีย นั้นหารู้ไม่ อีเจี้ยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงว่าเนื้อความทั้งนี้เหตุไฉนท่านจึงรู้ เล่าปี่จึงบอกว่า กวนอูจับซงต๋งได้เอามาไต่ถามบอกเนื้อความทั้งนี้ เราจึงรู้อีเจี้ยจึงว่า ถ้าฉนั้นก็เห็นได้ทีชอบกลอยู่แล้ว ขอให้ท่านยกทหารไปบอกว่าจะมาคำนับศพเล่าเปียวตามประเพณี ลวงให้เล่าจ๋องออกมารับจึงจับตัวฆ่าเสียก็จะได้เมืองโดยง่าย
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันอีเจี้ยว่ากล่าวทั้งนี้ก็เห็นชอบกลอยู่ ขอท่านจงกระทำตามเถิด เล่าปี่ได้ฟังขงเบ้งว่าดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่าเล่าเปียวผู้พี่เราเมื่อป่วยหนักอยู่นั้นก็ได้หาไปว่ากล่าวฝากฝังลูก เต้าทั้งปวง แลบัดนี้เล่าเปียวหาบุญไม่แล้ว เราจะกลับทำร้ายแก่บุตรชิงเอาเมืองนั้นดูมิควร แม้ชีวิตยังมิตายก็จะดูหน้าคนมิเต็มตา ขงเบ้งจึงว่า บัดนี้โจโฉก็ยกกองทัพมาถึงแดนเมืองอ้วนเสียแล้ว แลท่านมาคิดการรีรออยู่มิไปตีเอาเมืองซงหยงนั้น ท่านจะคิดอ่านป้องกันประการใดเล่า เล่าปี่จึงว่า ถ้าเช่นนั้นเราก็จะยกหนีไปหลบอยู่เมืองอ้วนเสีย แลเมื่อเล่าปี่เจรจาอยู่กับขงเบ้งนั้นพอม้าใช้เข้ามาบอกว่า โจโฉยกมาถึงตำบลทุ่งพกบ๋องแล้ว เล่าปี่แจ้งดังนั้นก็เร่งให้อีเจี้ยกลับไปเมืองกังแฮ ขงเบ้งนั้นพอม้าใช้เข้ามาบอกว่าโจโฉยกมา เล่าปี่กับขงเบ้งก็จัดแจงตระเตรียมทหารทั้งปวงซึ่งจะต่อสู้รบพุ่งด้วยโจโฉ
ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า อันโจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้เปนธุระข้าพเจ้า ท่านอย่าปรารมภ์เลย แลครั้งเมื่อแฮหัวตุ้นยกมานั้น แต่คบเพลิงอันเดียวเรายังเผาทหารทั้งปวงเสียเอาชัยชนะได้ อันโจโฉมาครั้งนี้ดีร้ายจะต้องเข้าในกลข้าพเจ้าสักสิ่งหนึ่งเปนมั่นคง แต่ทว่าเราจะตั้งอยู่ในเมืองซินเอี๋ยนี้ไม่ได้ ขอท่านให้ไปประกาศป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรแลหญิงชายคนเถ้าแก่ทั้งปวงว่า บัดนี้กองทัพโจโฉยกมาจะทำอันตราย เราจะอยู่ในที่นี้มิได้ จะต้องไปอยู่เมืองอ้วนเสีย ถ้าผู้ใดจะไปด้วยเราก็ให้ตระเตรียมตัวไว้จงพร้อม แม้เรายกไปเมื่อใดก็จะได้ไปด้วยกัน ถ้าผู้ใดมิไปจะอยู่ในเมืองซินเอี๋ยนี้ แม้เกิดภัยอันตรายไปภายหน้าก็อย่าได้นินทาว่าเราทิ้งเสียหนีเอาแต่ตัวรอด เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงใช้ให้คนไปป่าวร้องแก่อาณาประชาราษฎรชาวเมืองทั้งปวง แลเกณฑ์ให้บิต๊กเปนคนสำหรับส่งครอบครัวทหารทั้งปวงยกไปเมืองอ้วนเสีย
ขงเบ้งจึงแต่งให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่งยกไปอยู่ต้นน้ำคลองแปะโห ให้เอากระสอบใส่ทรายลงทอดทำนบ ปิดน้ำทดไว้ให้ข้างปลายน้ำนั้นตื้น แล้วสั่งว่า ถ้าทหารโจโฉแตกมาลงข้ามแม่น้ำได้ยินเสียงอื้ออึงแล้ว จงเปิดทำนบเสียให้น้ำบ่าลงไปทหารก็จะจมน้ำตาย จึงคุมทหารยกตามลำน้ำตีกระทบลงมา แล้วให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่งยกไปซุ่มอยู่ ณ ตำบลพักเหลงข้างใต้น้ำแล้วสั่ง ว่า ถ้าเห็นทหารโจโฉยกข้ามฟากมาก็ให้ตีกระทบขึ้นไปหากวนอู จึงแต่งให้จูล่งคุมทหารสามพันแยกกันเปนสามกอง สั่งให้เอาดินประสิวสุพรรณถัน สาดขึ้นไว้บนหลังคาเรือนอาณาประชาราษฎรซึ่งร้างเสียเปนอันมาก แล้วยกทหารออกซุ่มอยู่นอกเมืองข้างทิศเหนือทิศใต้ทิศตวันตกเปนสามกอง แลลูกเกาทัณฑ์นั้นให้ผูกชุดเพลิงทุกดอก ถ้าเห็นทหารโจโฉเข้าเมืองในเวลากลางคืนพร้อมแล้ว จึงให้ทหารจุดชุดยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในเมืองให้เพลิงติดขึ้น แล้วให้โห่ร้องอยู่แต่นอกเมือง ทหารโจโฉก็จะแตกไปข้ามแม่น้ำแปะโหสมคเนเรา แล้วท่านจงรีบยกไปบัญจบช่วยเตียวหุย จึงเกณฑ์ให้บิฮองกับเล่าฮองสองนายคุมทหารคนละพันให้ถือธงแดงกองหนึ่ง ถือธงเขียวกองหนึ่งยกไปซุ่มอยู่ตำบลทุ่งฉบวยโผนอกเมืองซินเอี๋ยทางประมาณสาม ร้อยเส้น สั่งว่าถ้าเห็นกองทัพโจโฉยกมาก็ให้กองซ้ายยกข้ามมาฝ่ายขวา ให้กองขวายกข้ามมาข้างซ้าย เปลี่ยนกันให้สับสนอยู่ กองทัพโจโฉมิรู้ก็จะสำคัญว่าคนเรามาก ก็จะรออยู่มิอาจเข้าเมืองแต่เวลายังวัน จะให้ทหารเข้าเมืองต่อกลางคืน ถ้าจะมิทำไว้ฉนี้ทหารโจโฉเข้าเมืองได้แต่กลางวันแล้ว การที่เราคิดทำก็จะไม่สำเร็จ ถ้าเวลาค่ำท่านจงถอยเสีย ถ้าเห็นเพลิงติดขึ้นในเมืองแล้ว ท่านจงช่วยจูล่งโห่ร้องสำทับเข้าไป แม้กองทัพโจโฉแตกไปแล้ว ท่านจงคุมทหารรีบไปบัญจบด้วยกวนอู ณ แม่น้ำแปะโห
ครั้นขงเบ้งจัดแจงให้ทหารยกไปแล้ว ก็พาเล่าปี่ออกจากเมืองขึ้นยังเนินเขาสูงแห่งหนึ่งคอยลอบดูทหารทั้งปวง ฝ่ายเคาทูซึ่งมาในกองทัพโจโฉ คุมทหารสามพันยกมาเปนกองสอดแนมนั้น ครั้นถึงทุ่งฉบวยโผแลเห็นกองทัพบิฮองเล่าฮองตั้งอยู่ดังนั้น ก็ขับทหารรุกขึ้นไปจะเข้ารบ บิฮองเล่าฮองเห็นเคาทูขับทหารขึ้นมา ก็ให้ทหารเปลี่ยนกองซ้ายเปนขวา ๆ เปนซ้ายสันสนกันอยู่ เคาทูเห็นดังนั้นก็ห้ามทหารทั้งปวงไว้ว่าเราจะรีบเข้ารบบัดนี้ยังไม่ได้ เกลือกขงเบ้งจะทำกลอุบายซุ่มทหารไว้หลายกอง เคาทูก็รีบมาบอกโจหยินโจหอง โจหยินจึงว่า อันขงเบ้งทำทั้งนี้เปนกลล่อลวงดอก ท่านมิรู้ก็ตกใจ จะกลัวอะไรรีบขึ้นไปเถิด เราจะยกทหารหนุนตามไป
ฝ่ายเคาทูก็รีบยกทหารขึ้นมาถึงชายทุ่ง พอเวลาใกล้จะพลบค่ำก็เห็นกองทัพยกหนีเข้าป่าสิ้น เคาทูจัดแจงทหารจะให้เข้าค้น พอได้ยินเสียงคนอื้ออึงอยู่บนเขาจึงแหงนขึ้นไปดู เห็นเล่าปี่แลขงเบ้งกั้นสัปทนนั่งเสพย์สุราอยู่ด้วยกัน เคาทูก็โกรธขับทหารจะขึ้นไปจับเอาตัวขงเบ้ง ๆ ก็ให้ทหารทั้งปวงกลิ้งก้อนศิลาลงมา ถูกทหารเคาทูตายป่วยเปนอันมาก ขึ้นไปมิได้ก็ถอยลงมา แล้วได้ยินเสียงคนอื้ออึงอยู่ข้างหลังเขา เคาทูจะยกทหารอ้อมไปรบ พอโจหยินยกหนุนมาทันจึงห้ามว่า เวลาวันนี้ค่ำมืดแล้วอย่าเพ่อเข้ารบเลย เราจะยกเข้าไปเอาเมืองซินเอี๋ยยับยั้งทหารสงบไว้ให้สบายก่อน ห้ามดังนั้นแล้วก็พาเคาทูยกรีบเข้าไปถึงเชิงกำแพงเมืองซินเอี๋ย เห็นประตูเปิดอยู่ทั้งสี่ด้าน มิได้เห็นผู้คนสักคนหนึ่ง โจหยินมีความยินดีก็ยกเข้าไปในเมือง โจหองจึงว่าแก่โจหยินว่า ครั้งนี้เห็นว่าขงเบ้งกับเล่าปี่คับแคบตัวเข้าแล้วจึงทิ้งเมืองเสีย พาครอบครัวอบยพหนีไปสิ้น เราจะยับยั้งทหารอยู่ให้สบายสักคืนหนึ่ง เวลารุ่งเช้าจึงจะยกตามไปล้อมจับเอาขงเบ้งเล่าปี่ให้ขงได้ โจหยินกับโจหองก็ชวนกันเข้าอยู่ในตึกเล่าปี่ ทหารทั้งปวงก็เรี่ยรายกันเข้าอาศรัยอยู่ทุกเรือน ต่างคนต่างเหนื่อยมาก็หลับไปสิ้น
ครั้นเวลาประมาณสามยาม เกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก จูล่งเห็นได้ทีก็ให้ทหารจุดชุดผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมือง คนนั่งยามเห็นแสงเพลิงติดขึ้นก็วิ่งเข้าไปบอกแก่โจหยินว่า บัดนี้เกิดเพลิงขึ้นแห่งหนึ่ง โจหยินได้ฟังดังนั้นจึงว่า อันเพลิงเกิดขึ้นทั้งนี้เพราะทหารทั้งปวงหุงต้มกินประมาทไฟจึงติดขึ้น ท่านอย่าตกใจวุ่นวายไปเลย จงเร่งไปช่วยกันดับเสียเถิด แลเมื่อโจหยินว่าดังนั้นยังมิทันจะขาดคำ เพลิงก็ติดขึ้นพร้อมกันสิ้นทั้งสามด้าน แสงสว่างดังหนึ่งกลางวัน
โจหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ เรียกทหารทั้งปวงมาพร้อมกัน แล้วโจหยินโจหองก็ขึ้นม้ารีบหนีเพลิงออกไปโดยประตูทิศตวันออก แลเมื่อขณะโจหยินหนีเพลิงออกไปนั้น ทหารทั้งปวงยัดเยียดเบียดเสียดรีบจะออกไปตาม เหยียบกันล้มตายแลลำบากเปนอันมาก จูล่งก็ให้ทหารโห่ร้องสำทับดังหนึ่งจะไล่ตามฆ่าฟันไป ทหารโจหยินก็ตื่นแตกไปมิได้สงบ บิฮองเล่าฮองซึ่งยกไปซุ่มอยู่เห็นได้ทีดังนั้น ก็ขับทหารฝ่าเข้าสกัดตีฆ่าฟันทหารโจหยินเสียเปนอันมาก ทหารโจหยินก็ซ้ำตื่นแตกระส่ำระสายไป ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษก็มาถึงแม่น้ำแปะโห ทหารทั้งปวงก็ลงข้ามแม่น้ำจะไปฟากข้างโน้น เสียงอื้ออึงเอิกเกริกเปนอลหม่าน
ฝ่ายกวนอูคุมทหารซุ่มอยู่ต้นน้ำ ก็ให้ทหารพังทำนบเสียให้น้ำบ่าหักลงมา ทหารโจหยินจะหนีน้ำขึ้นฝั่งมิทันก็จมน้ำตายเปนอันมาก กวนอูก็คุมทหารไล่โจมฟันลงมา โจหยินเห็นดังนั้นก็ตกใจ พาทหารซึ่งขึ้นจากฝั่งได้รีบหนีไปถึงตำบลทุ่งพกบ๋อง เตียวหุยก็ยกทหารออกสกัดตีกระทบขึ้นมาร้องว่า ทีนี้พวกโจรจะตายสิ้นแล้ว โจหยินโจหองเคาทูเห็นเตียวหุยคุมทหารออกมาดังนั้นก็ตกใจเปนกำลังมิเปนอันที่ จะต่อสู้ ก็พาทหารทั้งปวงรีบหนี เตียวหุยก็คุมทหารไล่ติดตามไป พบเล่าปี่แลขงเบ้งก็พากันกับมายังแม่น้ำแปะโห ขงเบ้งก็ให้บิต๊กเร่งข้ามส่งทหารทั้งปวงจากแม่น้ำแปะโหรีบไปเมืองอ้วนเสีย เสร็จแล้ว จึงให้เผาเรือแพทั้งนั้นเสีย
ฝ่ายโจหยินรวมทหารซึ่งแตกตื่นที่เหลือตายมานั้นได้แล้ว ก็ยกกลับไปตั้งอยู่เมืองซินเอี๋ย จึงใช้ให้โจหองไปแจ้งแก่โจโฉ ๆ โกรธให้ยกทหารรีบมา ครั้นถึงเมืองซินเอี๋ยแล้วก็ให้ทหารขนดินทำทำนบถมแม่น้ำแปะโหเสีย แล้วก็จัดทหารเปนแปดกอง จะให้ยกไปตามเล่าปี่ หวังจะเหยียบเมืองอ้วนเสียเสียให้ได้
เล่าหัวที่ปรึกษาจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งมหาอุปราชยกมาจะปราบปรามหัวเมืองฝ่ายใต้ครั้งนี้ ควรจะผ่อนเอาใจอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้มีความยินดีเปนที่รักใคร่ก่อน การที่เล่าปี่ทิ้งเมืองเสียพาอาณาประชาราษฎรไปอยู่เมืองอ้วนเสียด้วยนั้น ถ้าท่านจะด่วนยกไปโดยกำลังโกรธบัดนี้ก็จะได้อยู่ แต่อาณาประชาราษฎรทั้งสองเมืองจะได้ความเดือดร้อนฉิบหายล้มตายเสียเพราะเล่า ปี่เปนอันมาก ขอให้ท่านยับยั้งกองทัพไว้ก่อน จงใช้ให้คนไปว่ากล่าวเอาเนื้อเอาใจเล่าปี่ให้มาสมัคสมานด้วยจะดีกว่า ถึงมาทว่าเล่าปี่มิมาก็ดี อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จะเลื่อมใสเห็นว่าท่านมีใจเอ็นดูแก่ชาวเมืองเปนอัน มาก ถ้าเล่าปี่มานบนอบแก่เราแล้ว หัวเมืองเกงจิ๋วทั้งนั้นก็จะได้โดยง่าย ไม่พักต้องรบพุ่งให้ลำบากแก่ทหารทั้งปวง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงถามว่า ถ้าฉนั้นเราจะใช้ให้ผู้ใดไปเจรจาด้วยดี เล่าหัวจึงว่า อันจะใช้ให้ผู้อื่นไปว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมเล่าปี่นั้นเห็นไม่ได้ เห็นแต่ชีซีผู้เดียว แลชีซีนี้แต่ก่อนเปนคนรักใคร่ชอบอัธยาศัยกับเล่าปี่เปนที่ไว้ใจกัน ขอท่านใช้ให้ชีซีไปว่ากล่าวทั้งนี้เห็นจะได้การ โจโฉจึงว่าท่านคิดทั้งนี้ชอบอยู่ แต่ว่าชีซีนั้นเปนคนชอบใจกันกับเล่าปี่ ถ้าใช้ไปแล้วชีซีจะมิกลับมาหาเรา ๆ ก็จะมิเสียเนื้อความไปหรือ เล่าหัวจึงว่า อันชีซีนี้เปนคนมีความสัตย์มั่นคงนัก ซึ่งท่านใช้ไปแล้วจะมิกลับมาหานั้นก็กลัวคนเขาจะคระหานินทาอยู่ ท่านอย่าสงสัยเลย จงใช้ให้ชีซีไปเถิด เห็นจะกลับมาเปนมั่นคง
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็ให้หาชีซีเข้ามาแล้วจึงว่า บัดนี้เรามีความน้อยใจเล่าปี่นัก คิดจะยกทหารไปเหยียบเมืองอ้วนเสียเสีย แต่มาคิดเอ็นดูแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะพลอยได้ความเดือดร้อนล้มตายเสีย ด้วยเปล่า ๆ ทุกวันนี้เราก็รู้ว่าตัวท่านกับเล่าปี่เปนคนชอบพอกัน จะให้ท่านไปเจรจาว่ากล่าวเล่าปี่ให้มาอ่อนน้อมแก่เราโดยดี อย่าให้มีความเดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรเลย ตัวเราก็มิเอาโทษแก่เล่าปี่ จะทำนุบำรุงตั้งแต่งให้ตามความปราถนา ครั้นจะใช้ให้ผู้อื่นไปเล่าก็จะเสียการไป เห็นแต่ท่านผู้เดียวเปนคนสัตย์ซื่อนัก จงไปว่ากล่าวแก่เล่าปี่ตามถ้อยคำของเรา ชีซีรับคำโจโฉแล้วก็ลาไปเมืองอ้วนเสีย
ขณะนั้นเล่าปี่ขงเบ้งรู้ว่าชีซีมาก็มีความยินดี จึงออกมารับเข้าไปแล้วก็พูดจาปราไสไต่ถามความทุกข์ยากซึ่งพลัดพรากกันตาม ประเพณี แล้วชีซีจึงบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาบัดนี้ ด้วยโจโฉใช้มาเกลี้ยกล่อมเอาเนื้อเอาใจท่านให้ท่านไปอ่อนน้อมต่อ ครั้นข้าพเจ้าจะมิมาเล่าก็มิได้ แต่ที่ความจริงนั้นโจโฉทำทั้งนี้ ปราถนาจะโอบอ้อมเอาใจอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้รักดอก อันจะตรงต่อท่านนั้นหามิได้ บัดนี้โจโฉคิดการใหญ่หลวงอยู่ เกณฑ์ทหารให้ถมแม่น้ำแปะโหเสีย แล้วแต่งทหารยกแยกไว้เปนแปดกองจะมากำจัดท่านเสียให้ได้ อันเมืองอ้วนเสียนี้ก็เปนเมืองน้อย เห็นจะรับกองทัพโจโฉมิได้ จงคิดอ่านผ่อนผันแก้ไขเถิด เล่าปี่จึงว่า ซึ่งท่านบอกเล่าตื้นลึกหนักเบาทั้งนี้ก็ขอบใจนัก ตัวท่านกับข้าพเจ้าก็จากกันไปช้านานแล้ว แลท่านกลับมาบัดนี้เปนบุญนักหนา จงอยู่กับข้าพเจ้าเถิดอย่าไปเลย ชีซีจึงว่า ถ้าข้าพเจ้าจะอยู่กับท่านไม่กลับไปหาโจโฉบัดนี้ ก็จะเปนที่คระหานินทาแก่คนทั้งปวงว่าหาความสัตย์มิได้ อนึ่งศพมารดานั้นก็ตกอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ จำจะต้องกลับไป ซึ่งท่านจะกระทำการกับโจโฉสืบไปนั้นขงเบ้งก็มาอยู่ด้วยแล้ว แลจะปรารมภ์ไปไย การสิ่งใดก็จะสำเร็จดังความปราถนาสิ้น ชีซีว่าเท่านั้นก็ลากลับมาบอกแก่โจโฉว่า ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวโน้มน้าวเล่าปี่โดยสุภาพแล้ว บัดนี้เล่าปี่มิยอมที่จะมาอ่อนน้อมต่อท่าน โจโฉได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงให้ยกกองทัพรีบไป จะเหยียบเมืองอ้วนเสียให้ได้
ฝ่ายเล่าปี่จึงถามขงเบ้งว่า อันโจโฉยกมาครั้งนี้เราจะคิดกลอุบายแก้ไขประการใด ขงเบ้งจึงว่า อันเราจะตั้งรับกองทัพโจโฉในเมืองอ้วนเสียนี้มิได้ จำจะทิ้งเมืองอ้วนเสียแล้ว ไปตั้งเอาเมืองซงหยงเปนที่มั่นจึงจะได้ เล่าปี่จึงว่า ซึ่งจะทิ้งเมืองอ้วนเสียแล้ว จะไปอยู่เมืองซงหยงนั้นก็ชอบอยู่ แต่ทว่าเราก็มีความวิตกด้วยอาณาประชาราษฎรทั้งปวง เสียแรงเขาติดตามมาด้วยแลจะทิ้งเขาเสีย หนีไปเอาแต่ตัวรอดนั้นก็เอ็นดูแก่เขานัก ขงเบ้งจึงว่า ถ้าดังนั้นจงให้คนไปประกาศว่า บัดนี้โจโฉยกมาจะทำอันตรายแก่เรา ๆ เห็นเหลือกำลังนัก จะตั้งรับอยู่ที่นี่มิได้ เราจะผ่อนผันไปอยู่เมืองซงหยง ถ้าผู้ใดจะไปกับเราก็ไป ถ้าสมัคอยู่มิไปก็ตามอัธยาศัยเถิด เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ให้กวนอูไปจัดแจงเรือสำหรับจะข้ามไปเมืองซงหยง แล้วก็ให้ซุนเขียนกับกันหยงไปประกาศแก่คนทั้งปวงตามคำขงเบ้ง
ขณะนั้นชาวเมืองทั้งปวงจึงว่า อันข้าพเจ้าจะอยู่ในเมืองอ้วนเสียนั้นสู้ตายมิขออยู่ ถ้าเล่าปี่ไปแห่งใดก็จะขอตามไปด้วย ชาวเมืองทั้งปวงต่างคนต่างก็ทิ้งที่อยู่เสีย อพยพกันร้องไห้ตามเล่าปี่ไปสิ้น ครั้นเล่าปี่ลงเรือข้ามไปถึงกลางน้ำ แลดูอาณาประชาราษฎรร้องไห้อื้ออึงไปทั้งสองฟากน้ำก็คิดสงสารจึงร้องไห้ แล้วว่าคนทั้งหลายนี้พากันมาได้ความลำบากพลัดพรากที่กินที่อยู่ทั้งนี้ก็ เพราะเราผู้เดียว เราจะอยู่ไปไยให้คนทั้งปวงได้รับความเวทนาด้วย เล่าปี่ว่าเท่านั้นแล้วก็ลุกขึ้นจะโจนน้ำตาย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนต่างวิ่งเข้าห้ามยุดตัวเล่าปี่ไว้ แล้วพากันร้องไห้รักเล่าปี่สิ้นทุกคน
ครั้นเล่าปี่ข้ามไปถึงฝั่งแล้วก็ยังมิไป ยับยั้งหยุดอยู่คอยท่าอาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้พร้อมกัน เร่งให้กวนอูเอาเรือรีบข้ามไปรับมาให้สิ้น ครั้นอาณาประชาราษฎรทั้งปวงพร้อมมูลแล้ว เล่าปี่ก็พาหญิงชายทั้งนั้นยกไปเมืองซงหยงจะเข้าเมืองมิได้ เล่าปี่จึงขี่ม้าเลียบไปตามเชิงกำแพงเมืองแล้วร้องว่า เล่าจ๋องหลานเราอย่ามีความสงสัยเลย เรายกมานี้ใช่จะทำร้ายเจ้านั้นหาไม่ เรามาบัดนี้ด้วยกรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงดอก เล่าจ๋องจงเร่งเปิดประตูเมืองให้เราเข้าไปเถิด ฝ่ายชัวมอกับเตียวอุ๋นเห็นเล่าปี่เลียบเข้ามาร้องว่าดังนั้น ก็ขึ้นบนหอรบให้ทหารทั้งปวงเอาเกาทัณฑ์ยิงกระหน่ำออกไป
ขณะนั้นอุยเอี๋ยนเปนชาวเมืองงีหยง สูงหกศอกหน้าแดงดังสีลูกพุดซาสุก อยู่ในเมืองนั้น เห็นชัวมอแลเตียวอุ๋นทำดังนั้น ก็คุมพวกเพื่อนประมาณร้อยหนึ่งมาที่ประตูเมือง ร้องด่าชัวมอกับเตียวอุ๋นว่า มึงนี้อ้ายศัตรูขายเจ้า มาทำทั้งนี้ควรแล้วหรือ เล่าปี่นี้เปนคนโอบอ้อมอารีต่ออาณาประชาราษฎรทั้งปวง มาบัดนี้หวังจะสงเคราะห์แก่คนทั้งหลาย อนึ่งผู้ตายก็ฝากกิจการบ้านเมืองไว้แก่เล่าปี่ เหตุใดจึงมิให้เข้ามา ว่าดังนั้นแล้วก็เอาง้าวไล่ฟันทหารซึ่งอยู่รักษาประตูล้มตายแตกตื่นไป จึงเผยประตูเมืองออกไปรับเล่าปี่ ร้องว่าเชิญท่านพาอาณาประชาราษฎรเข้ามาในเมืองเถิด จงช่วยกำจัดอ้ายศัตรูขายเจ้าเสีย
เล่าปี่ได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาอาณาประชาราษฎรแลทหารทั้งปวงเข้าไป พอพบบุนเพ่งคุมทหารมาเห็นอุยเอี๋ยนเปิดประตูรับเล่าปี่ดังนั้นก็ด่าว่า มึงนี้เปนแต่ทหารเลว หามีใครนับถือชื่อเสียงไม่ เหตุใดจึงบังอาจเปิดประตูรับเล่าปี่ให้เข้ามา มึงจะให้บ้านเมืองเปนจลาจลหรือ อุยเอี๋ยนได้ยินบุนเพ่งว่าดังนั้นก็โกรธ จึงขับม้าเข้ารบกันเปนสามารถ แลทหารทั้งสองฝ่ายก็เข้าต่อสู้กันเปนตลุมบอนอุตลุดขึ้น
เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงว่า เรามาบัดนี้ก็ตั้งใจจะอนุเคราะห์อาณาประชาราษฎรให้มีความสุขพร้อมมูลกัน แต่เรายังมิทันจะเข้าไปถึงในเมืองสิมาเกิดรบพุ่งกันขึ้นกลับทำให้อาณาประชา ราษฎรได้ความเดือดร้อนถึงเพียงนี้แล้ว ถ้าเราเข้าไปในเมืองจะมิได้ความเดือดร้อนยิ่งกว่านี้หรือ ซึ่งเราตั้งใจจะให้เปนประโยชน์นั้นก็สูญเสียเปล่า แม้จะเข้าไปบัดนี้ก็เหมือนมาทำให้อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนอีก เราไม่เข้าไปแล้ว ขงเบ้งจึงว่า ถ้าดังนั้นเมืองกังเหลงก็เปนแว่นแคว้นเมืองเกงจิ๋ว ขอให้ท่านยกไปอยู่เถิด เห็นพอจะป้องกันรักษาตัวได้ เล่าปี่เห็นชอบด้วยจึงพาทหารแลอาณาประชาราษฎรทั้งปวงยกไปเมืองกังเหลง
ฝ่ายชาวเมืองซงหยงเห็นเห็นเกิดจลาจลขึ้นดังนั้น ก็พากันอพยพครอบครัวยกไปตามเล่าปี่เปนอันมาก อุยเอี๋ยนกับบุนเพ่งรบกันตั้งแต่เช้าไปจนเที่ยง ทหารทั้งปวงล้มตายทั้งสองฝ่ายเปนอันมาก อุยเอี๋ยนจะสู้บุนเพ่งมิได้ก็ชักม้าหนีออกมานอกเมืองจะมาหาเล่าปี่มิได้พบ แล้วหนีไปอยู่ด้วยฮันเหียนเจ้าเมืองเตียงสา ฝ่ายเล่าปี่ยกครอบครัวอพยพไปครั้งนั้นคนประมาณห้าหมื่น ครั้นมาถึงหน้ากุฏิ์ศพเล่าเปียว จึงให้พักผู้คนทั้งปวงไว้ เล่าปี่ก็ลงจากม้าเข้าไปคำนับศพเล่าเปียว แล้วร้องไห้ว่าท่านผู้เปนพี่ได้สั่งเสียแก่ข้าพเจ้าไว้แต่ก่อน ให้ข้าพเจ้าทำนุบำรุงเล่าจ๋องผู้บุตรนั้นข้าพเจ้าได้รับคำท่าน แลบัดนี้ข้าพเจ้าก็ทำมิตลอด โทษมีแก่ข้าพเจ้าเปนอันมาก ขอท่านจงอดโทษข้าพเจ้าเหมือนท่านได้กรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงช่วยคุ้ม เกรงรักษาให้มีความสุขสืบไปเถิด
แลเมื่อเล่าปี่เข้าไปคำนับร้องไห้รักเล่าเปียวอยู่นั้น พอม้าใช้มาบอกว่า บัดนี้โจโฉยกกองทัพล่วงมาถึงเมืองอ้วนเสีย จัดแจงเรือจะข้ามทหารตามมาอยู่แล้ว ทหารทั้งปวงได้ยินม้าใช้มาบอกดังนั้นก็ว่าแก่เล่าปี่ว่า ท่านมามัวเปนห่วงอยู่ด้วยครอบครัวทั้งปวงมิใคร่จะรีบไป เดิรทางแต่วันละน้อยคอยท่าอาณาประชาราษฎรอยู่ฉนี้เห็นจะหนีมิพ้น ถ้าโจโฉตามทันจะมิเสียท่วงทีหรือ ขอท่านทิ้งครอบครัวทั้งปวงเสีย รีบหนีขึ้นไปข้างหน้าให้ถึงเมืองกังเหลงก่อน ด้วยเองกังเหลงเปนที่สำคัญจะป้องกันอันตรายต่อสู้โจโฉได้ เล่าปี่ร้องไห้พลางจึงตอบว่า ประเพณีผู้มีปัญญาปราถนาจะคิดทำการใหญ่หลวงนั้น ก็ย่อมจะปกป้องอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเปนเค้ามูลจึงจะสำเร็จประโยชน์ แลบัดนี้อาณาประชาราษฎรทั้งปวงมีความเอ็นดูเรา สู้ติดตามมาได้ลำบาก อันจะทิ้งเสียนั้นเราทิ้งไม่ได้ อาณาประชาราษฎรทั้งปวงได้ยินเล่าปี่ว่าดังนั้นก็ร้องไห้ ยิ่งมีความรักเปนอันมาก ขงเบ้งจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า บัดนี้โจโฉก็ยกติดตามมาใกล้จะทันอยู่แล้ว ขอท่านให้กวนอูรีบไปบอกแก่เล่ากี๋ ณ เมืองกังแฮ ให้ยกทัพเรือมาบัญจบ ณ เมืองกังเหลงจะได้ช่วยกัน เล่าปี่ก็เห็นด้วย จึงให้กวนอูกับซุนเขียนถือหนังสือไป ณ เมืองกังแฮให้ยกทัพเรือมาช่วย แล้วให้จูล่งคุมครอบครัวทั้งปวง แลเตียวหุยนั้นคุมทหารลงไปเปนกองหลังสำหรับป้องกัน เล่าปี่ก็เดิรเคร่าครอบครัวมา เดิรทางแต่วันละร้อยเส้น
กรุณาแสดงความคิดเห็น