สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 15
สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ตอนที่ 15
เนื้อหา
- โจโฉไปตีเมืองอ้วนเซีย
- เตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียอ่อนน้อมต่อโจโฉ
- โจโฉแตกทัพเพราะได้นางเจ๋าซือ
- โจโฉเกลี้ยกล่อมลิโป้
- อ้วนสุดตั้งตัวเป็นเจ้า
- อ้วนสุดไปรบแพ้ลิโป้
- โจโฉเกลี้ยกล่อมซุนเซ็ก
โจโฉจึงคิดว่า จะยกกองทัพไปรบเตียวสิ้ว ณ เมืองอ้วนเซีย แต่เกรงอยู่ว่า ลิโป้รู้จะยกกองทัพวกหลังมาตีเอาเมืองฮูโต๋ จึงปรึกษาแก่ซุนฮกว่า เตียวสิ้วจะมาตีเอาเมืองเรา ครั้นจะยกไปตีเตียวสิ้วก่อน ฝ่ายลิโป้รู้ก็จะยกกองทัพมาตีเมืองเรา เมื่อเปนกังวลอยู่ฉนี้จะคิดประการใด ซุนฮกจึงว่าลิโป้นั้นหาความคิดมิได้ เปนคนโลภกำเริบแต่จะเอายศถาศักดิ์ ขอให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งลิโป้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว แล้วให้เปนที่เปงตังจงกุ๋นแปลภาษาไทยว่าเจ้าพระยาปราบโจรฝ่ายตวันออก แล้วให้มีหนังสือของท่านนอกนั้นไปอีกฉบับหนึ่งว่า ให้ลิโป้กับเล่าปี่สมัคสมานกัน อย่าได้มีพยาบาทต่อกันสืบไป ถึงท่านจะยกไปรบเมืองอ้วนเสี้ยว ฝ่ายลิโป้นั้นก็จะมีใจภักดีต่อท่าน เห็นจะไม่ยกมารบเมืองฮูโต๋
โจโฉเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำซุนฮกว่า แล้วให้อ่องเจ๊กถือไปให้ลิโป้ แล้วโจโฉจึงให้จัดแจงทหารได้สิบห้าหมื่น ให้แฮหัวตุ้นกับอิกิ๋มเปนทัพหน้า แล้วแบ่งทหารออกเปนสามกอง ยกไปถึงแม่น้ำหยกซุย ก็ให้หยุดทัพตั้งค่ายอยู่เปนหลายวัน
ฝ่ายกาเซี่ยงรู้กิตติศัพท์ดังนั้นจึงว่าแก่เตียวสิ้วว่า โจโฉยกทหารมาครั้งนี้ประมาณยี่สิบหมื่น แล้วทหารเอกที่มีฝีมือเปนอันมาก เราจะออกรบด้วยบัดนี้เห็นจะเสียทีแก่โจโฉเปนมั่นคง จำเราจะออกไปเข้าเกลี้ยกล่อมด้วยโจโฉโดยดี จึงจะไม่เสียเมือง เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย จึงให้กาเซี่ยงออกไปหาโจโฉ ณ ค่าย จึงคำนับแล้วว่าบัดนี้เตียวสิ้วรู้ว่ามหาอุปราชยกกองทัพมา จึงให้ข้าพเจ้าออกมาอ้อนวอนจะขอเข้าเกลี้ยกล่อม อ่อนน้อมต่อท่านสืบไป
โจโฉได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า กาเซี่ยงคนนี้พูดจาคมสันเปนคนมีสติปัญญา จึงว่าบัดนี้เตียวสิ้วกับท่านยอมจะทำราชการด้วยเรา ๆ จะตั้งให้ท่านเปนที่ปรึกษา กาเซี่ยงจึงว่า ครั้งข้าพเจ้าทำราชการอยู่ด้วยลิฉุย ๆ ทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน ความร้ายก็พลอยมีอยู่แก่ข้าพเจ้า ด้วยข้าพเจ้ายังมิได้มีความชอบแก้โทษก่อน ซึ่งมหาอุปราชจะตั้งข้าพเจ้าเปนที่ปรึกษานั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่เตียวสิ้วนั้นได้มีคุณแก่ข้าพเจ้า เตียวสิ้วมิได้มีผู้ใดเปนที่ปรึกษา ข้าพเจ้าจะขออยู่ทำราชการด้วยเตียวสิ้ว ก็เหมือนอยู่ในมหาอุปราช โจโฉมิได้ตอบประการใด กาเซี่ยงก็ลาไปบอกความแก่เตียวสิ้วทุกประการ ครั้นเวลารุ่งเช้ากาเซี่ยงจึงพาเตียวสิ้วออกไปหาโจโฉ ณ ค่าย โจโฉเห็นเตียวสิ้วกาเซี่ยงออกมาหาก็มีความยินดี ปราสัยไต่ถามกิจการบ้านเมืองว่ายังปรกติอยู่หรือ เตียวสิ้วก็บอกว่า ราษฎรทั้งปวงเปนสุขอยู่ แล้วเตียวสิ้วก็เชิญโจโฉให้เข้าไปตั้งอยู่ในเมืองอ้วนเซีย โจโฉได้ยินดังนั้นก็มิได้มีความสงสัย จึงให้ทหารตั้งค่ายรายทางมาใกล้กำแพงเมือง แล้วโจโฉก็พาทหารซึ่งสนิธเข้าไปในเมืองอ้วนเซีย เตียวสิ้วจึงให้แต่งโต๊ะเชิญให้โจโฉกิน แล้วจัดแจงที่ให้โจโฉอยู่เปนหลายวัน
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งโจโฉเสพย์สุราเมา จึงเข้าไปในที่นอนแล้วถามคนสนิธว่า ในเมืองนี้มีหญิงรูปงามบ้างหรือ โจอั๋นบิ๋นผู้เปนหลานจึงบอกว่า เวลาเย็นวันนี้ข้าพเจ้าไปเที่ยวเล่นเห็นหญิงคนหนึ่งรูปงาม ข้าพเจ้าสืบถามได้เนื้อความว่า เปนภรรยาเตียวเจ้ผู้อาว์เตียวสิ้ว บัดนี้เตียวเจ้ตายแล้ว หญิงนั้นเปนม่ายอยู่
โจโฉได้ฟังดังนั้นด้วยกำลังเมาสุราจะใคร่ได้ จึงใช้โจอั๋นบิ๋นกับทหารไปรับหญิงคนนั้นมาในเวลาพลบค่ำ โจโฉเห็นรูปร่างหญิงนั้นงามก็มีความยินดี จึงถามว่าเจ้าชื่อใด นางจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเจ๋าซือเปนภรรยาเตียวเจ้ผู้ตาย โจโฉจึงถามว่าเจ้ารู้จักเราหรือไม่ นางเจ๋าซือจึงบอกว่า ข้าพเจ้ามิได้รู้จักท่าน ได้ยินเขาเล่าลือว่าท่านเปนมหาอุปราช ซึ่งข้าพเจ้าได้มาพบท่านครั้งนี้ ก็เปนบุญของข้าพเจ้า โจโฉจึงว่าเพราะเราเห็นแก่เจ้า เราจึงยอมให้เตียวสิ้วมาเข้าเกลี้ยกล่อม หาไม่เราจะฆ่าเตียวสิ้วแลญาติพี่น้องเสียให้สิ้น นางเจ๋าซือจึงคำนับแล้วว่า ซึ่งมหาอุปราชยกโทษไว้นั้นคุณหาที่สุดมิได้ โจโฉจึงว่าเราจะเลี้ยงเจ้าเปนภรรยาแล้วจะพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ นางเจ๋าซือจึงว่าทั้งนี้ตามแต่ท่านจะเมตตา โจโฉก็พานางเจ๋าซือเข้าไปนอนอยู่ด้วยกันจนเวลาเช้า นางเจ๋าซือจึงว่าแก่โจโฉว่า ซึ่งจะอยู่ในเมืองนี้ ความครหานินทาก็จะมีเปนอันมาก ประการหนึ่งเตียวสิ้วรู้ก็จะมีความแหนงท่าน โจโฉจึงว่าเจ้าว่าทั้งนี้ก็ชอบอยู่ พรุ่งนี้จะพากันออกไปอยู่ ณ ค่ายนอกเมือง ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงพานางเจ๋าซือออกไป ณ ค่าย แล้วสั่งเตียนอุยให้อยู่รักษาประตูค่าย อย่าให้ผู้ใดนอกนั้นเข้าออกได้ ต่อเราสั่งจึงให้เข้ามา โจโฉหลงด้วยนางเจ๋าซือมิได้ออกว่าราชการ แล้วก็มิได้คิดที่จะยกกลับไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายเตียวสิ้วรู้ว่าโจโฉให้ไปรับเอานางเจ๋าซือ ซึ่งเปนอาว์สะใภ้ออกไปไว้เปนภรรยาก็น้อยใจนัก จึงหากาเซี่ยงเข้ามาบอกเนื้อความทั้งปวงแล้วว่า จะคิดประการใดจึงจะแก้แค้นโจโฉได้ กาเซี่ยงจึงว่าท่านอย่าเพ่อทำวุ่นวายก่อน งดให้โจโฉออกว่าราชการ ท่านจึงไปหาโจโฉบอกว่าทหารซึ่งเกลี้ยกล่อมได้ใหม่นั้นหลบหนีไปเปนอันมาก จะขอออกมาตั้งแซกอยู่หว่างค่ายท่าน ทหารทั้งปวงจะได้กลัวบุญท่านจึงจะไม่หนีได้ ถ้าโจโฉยอมแล้วเราจึงจะคิดการจับโจโฉได้โดยง่าย เตียวสิ้วเห็นชอบด้วย
ครั้นอยู่มาวันหนึ่งจึงไป ณ ค่ายโจโฉ พอโจโฉออกว่าราชการเตียวสิ้วจึงว่าแก่เตียนอุยผู้รักษาประตูว่า เราจะขอเข้าไปหาโจโฉ เตียนอุยก็ไปบอกแก่โจโฉ ๆ ว่าให้เข้ามาเถิด เตียนอุยก็พาเตียวสิ้วเข้าไป เตียวสิ้วคำนับแล้วว่าแก่โจโฉตามคำกาเซี่ยง ซึ่งคิดให้นั้นทุกประการ โจโฉจึงว่าท่านจะยกทหารออกมาตั้งอยู่ด้วยเราก็ตามเถิด เตียวสิ้วก็กลับมากะเกณฑ์ทหารออกไปตั้งอยู่ตามมุมค่ายโจโฉทั้งสี่ด้าน จึงปรึกษากับเฮาเฉียว่า ซึ่งเราจะคิดทำการจับโจโฉนั้น เกรงอยู่แต่เตียนอุยซึ่งรักษาประตูนั้นมีกำลังเปนอันมาก เราจะทำการมิได้สดวก
เฮาเฉียจึงว่าข้าพเจ้ามีกำลังแบกเหล็กได้ห้าร้อยชั่ง เดิรทางได้วันละเจ็ดพันเส้น ขอให้คิดอ่านเอาทวนสองเล่มซึ่งเตียนอุยถืออยู่นั้นมาเสียได้แล้ว ถึงเตียนอุยจะมีกำลังสักเท่าใดข้าพเจ้าก็จะสู้ได้ ขอให้ท่านเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ เสพย์สุราเมาแล้วกลับไปก็จะนอนหลับอยู่ ข้าพเจ้าจะปลอมเข้าไปลักเอาทวนสองเล่มมาให้ได้ ท่านจึงคิดทำการต่อไปอย่าได้กลัวเตียนอุยเลย
เตียวสิ้วจึงสั่งทหารทั้งสี่ค่ายให้ตระเตรียมอาวุธไว้จงพร้อม ในเวลากลางคืนวันนี้ให้ฟังสัญญา ถ้าได้ยินเสียงประทัดแล้วเมื่อใด จงยกเข้าปล้นค่ายจับตัวโจโฉให้จงได้ แล้วให้กาเซี่ยงไปเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ ณ ค่าย เตียนอุยก็มาเสพย์สุราเมานัก ครั้นเวลาพลบค่ำเตียนอุยก็ลาเตียวสิ้วกลับไปด้วยกำลังเมา เตียนอุยก็นอนหลับอยู่ในทัพริมประตูค่าย
เฮาเฉียจึงปลอมเข้าไปลักเอาทวนสองเล่มของเตียนอุยนั้นมาได้ ฝ่ายโจโฉกับนางเจ๋าซือเสพย์สุราอยู่ด้วยกัน พอได้ยินเสียงทหารอื้ออึง โจโฉจึงให้ทหารไปสืบดูกลับมาบอกว่า เตียวสิ้วเกณฑ์ทหารให้ตระเวนค่าย โจโฉมิได้มีความสงสัย ครั้นเวลาสองยามทหารจึงเข้ามาบอกโจโฉว่าเห็นเกวียนบันทุกหญ้าอยู่ข้างหลัง ค่ายนั้นเพลิงติดไหม้อยู่ โจโฉมิได้มีความสงสัยแล้วจึงว่าอย่าตกใจวุ่นวายไป ทหารทั้งปวงเอาหญ้ามาหุงอาหารแล้วมิได้ระวังให้เพลิงติดขึ้น จึงเร่งช่วยกันดับเสีย เมื่อโจโฉว่านั้นพอเห็นเพลิงติดสว่างขึ้นรอบค่าย ทั้งเสียงประทัดนั้นดังขึ้นทั้งสี่ด้าน เสียงทหารอื้ออึง โจโฉก็ตกใจจึงเรียกหาเตียนอุย ๆ ก็ตกใจตื่นขึ้นมิทันใส่เกราะ คว้าหาทวนสำหรับมือก็มิได้พบ ฝ่ายทหารเตียวสิ้วหักเข้ามาได้ถึงประตูค่าย เตียนอุยจึงวิ่งไปฉวยเอาดาบของทหารเลวฟันทหารเตียวสิ้วตายประมาณยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าคน ทหารทั้งปวงก็ถอยออกมารออยู่
ฝ่ายทหารเตียวสิ้วทั้งสองกองข้างหลังค่ายนั้น ก็หักเข้าไปได้เปนอันมาก เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงเตียนอุยต้องอาวุธบาดเจ็บทั่วกาย เตียนอุยนั้นมิได้ย่อท้อถือดาบฟันทหารเตียวสิ้วจนดาบนั้นหักไป จึงฉวยเอาศพข้างละมือป้องกันสู้รบ แล้วเอาศพนั้นฟาดถูกทหารเตียวสิ้วตายอีกเก้าคนสิบคน แลทหารเตียวสิ้วนั้นสู้เตียนอุยมิได้ ก็ถอยออกไปประมาณเก้าวาสิบวา แล้วเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไปถูกเตียนอุยเปนอันมาก เตียนอุยก็ยังยืนรบอยู่ ทหารกองหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างหลัง เอาทวนแทงถูกเตียนอุยเปนหลายเล่ม จนเตียนอุยรากโลหิตออกมา แล้วซวนไปยืนพิงประตูค่ายอยู่จนสิ้นใจตาย แลทหารเตียวสิ้วซึ่งอยู่ข้างนอกนั้นมิทันรู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างคนต่างกลัวฝีมือเตียนอุยก็มิได้เข้าไป
ในขณะเมื่อเตียนอุยยังรบสู้อยู่นั้น โจโฉจึงขึ้นม้าพาโจอั๋นบิ๋นกับทหารประมาณเก้าคนสิบคน หนีออกข้างหลังค่ายได้ ฝ่ายทหารโจโฉซึ่งอยู่ต่างค่ายนั้นแตกกระจัดกระจาย หนีข้ามแม่น้ำหยกซุยไปได้บ้าง เหล่าทหารเตียวสิ้วนั้นฆ่าฟันทหารโจโฉล้มตาย ครั้นรู้ว่าโจโฉหนีออกไปข้างหลังค่ายจึงชวนกันยกติดตามไป เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกโจอั๋นบิ๋นตกม้าตาย โจโฉนั้นถูกเกาทัณฑ์แห่งหนึ่ง ม้าซึ่งโจโฉขี่นั้นมีกำลังเปนอันมาก ถูกเกาทัณฑ์สามดอกมิได้ล้ม โจโฉขับม้าหนีไปถึงแม่น้ำหยกซุยแต่ผู้เดียว ทหารเตียวสิ้วจึงเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไปถูกจักษุม้าล้มลงตาย
พอโจงั่งผู้บุตรโจโฉมาพบโจโฉเข้า จึงเอาม้านั้นให้บิดาขี่ไป พอทหารเตียวสิ้วยิงเกาทัณฑ์มาถูกโจงั่งตายอยู่กับริมฝั่ง โจโฉหนีไปพบทหารซึ่งแตกมาเปนอันมากก็พากันรีบหนีไป
ฝ่ายแฮหัวตุ้นซึ่งแตกมาก่อนนั้น คุมทหารไปเที่ยวตีชิงทรัพย์สิ่งสินของอาณาประชาราษฎร ซึ่งอยู่บ้านนอกได้ไว้เปนอันมาก
ฝ่ายอิกิ๋มซึ่งแตกนั้นคุมทหารมาได้ รู้ว่าแฮหัวตุ้นกับทหารทั้งปวงไปตีชิงราษฎรชาวบ้านนอก อิกิ๋มมีใจเอนดูแก่ราษฎร จึงคุมทหารออกไปไล่ฆ่าฟันทหารแฮหัวตุ้นล้มตายแตกกระจัดกระจายไปเปนอันมาก
ครั้นทหารแฮหัวตุ้นมาพบโจโฉต่างคนต่างร้องไห้ แล้วบอกเนื้อความแก่โจโฉว่า อิกิ๋มกระทำหยาบช้าไล่ฆ่าฟันข้าพเจ้าทั้งปวงล้มตายบ้างแตกหนีมาได้บ้าง เห็นอิกิ๋มจะเปนขบถต่อท่านจึงทำการทั้งนี้ โจโฉตกใจยังมิทันจะว่าประการใด ฝ่ายแฮหัวตุ้นเคาทูลิเตียนงักจิ้นมาบอกเนื้อความว่า อิกิ๋มทำการทั้งนี้ เห็นจะเอาใจออกหากท่าน ขอให้ท่านตระเตรียมทหารไว้ให้พร้อม จะได้คิดการจับอิกิ๋ม โจโฉจึงสั่งให้จัดแจงทหารเตรียมไว้
ฝ่ายอิกิ๋มให้ตั้งค่ายอยู่หวังจะรับโจโฉ แล้วจะได้ป้องกันกองทัพเตียวสิ้ว ครั้นอิกิ๋มรู้ว่าทหารโจโฉแตกมาใกล้แล้ว จึงให้ทหารทั้งปวงถือเครื่องศัสตราวุธรักษาค่ายอยู่เปนมั่นคง ทหารอิกิ๋มรู้กิตติศัพท์ว่าแฮหัวตุ้นกับทหารทั้งปวงไปบอกแก่โจโฉกล่าวโทษอิ กิ๋มว่าเปนขบถต่อโจโฉ จึงเอาเนื้อความทั้งปวงบอกแก่อิกิ๋ม แล้วถามว่า เมื่อเขากล่าวโทษท่านอยู่ฉนี้ เปนไฉนจึงยังตั้งค่ายตระเตรียมทหารอยู่อีกเล่า ซึ่งท่านมิได้ไปหาโจโฉนั้น โจโฉก็จะเห็นสมร้ายด้วย
อิกิ๋มจึงตอบว่าซึ่งกล่าวโทษแก่เรานั้นเปนความริษยากัน ซึ่งเราตั้งค่ายไว้นี้ด้วยโจโฉหนีกองทัพเตียวสิ้วมาจะได้เข้าอาศรัย แล้วจะได้ต่อรบกับเตียวสิ้ว ข้อซึ่งผิดแลชอบนั้นจึงค่อยคิดต่อภายหลัง
ฝ่ายกองทัพเตียวสิ้วยกมาสกัดหน้าเปนสองด้าน พอพบค่ายอิกิ๋มซึ่งตั้งอยู่ อิกิ๋มก็คุมทหารขับม้ารำทวนออกไปรบด้วยเตียวสิ้วเปนสามารถ เตียวสิ้วเห็นจะต้านทานอิกิ๋มมิได้ ก็พาทหารถอยไปทางแม่น้ำหยกซุย อิกิ๋มก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันทหารเตียวสิ้วไปจนถึงโจโฉ ทหารโจโฉเห็นก็ชวนกันเข้าฟันทหารเตียวสิ้ว แตกกระจัดกระจายล้มตายเปนอันมาก เตียวสิ้วกับทหารซึ่งเหลือตายนั้นก็หนีไปหาเล่าเปียว ณ เมืองเกงจิ๋ว โจโฉก็มิได้ติดตาม แล้วตรวจตราซ่องสุมทหารทั้งปวงอยู่
อิกิ๋มจึงไปหาโจโฉบอกเนื้อความว่า ทหารแฮหัวตุ้นคบกันไปตีชิงเอาทรัพย์สิ่งของอาณาประชาราษฎร ข้าพเจ้าเห็นไม่ชอบจึงฆ่าทหารเสียเปนหลายคน โจโฉจึงถามว่า เรากับตัวต่างคนต่างแตกมา เปนไฉนตัวจึงมิได้หาเราให้พบก่อน ตัวไปตั้งค่ายอยู่กลางทางนั้นปราถนาสิ่งใด
อิกิ๋มจึงบอกแก่โจโฉตามที่คิดไว้ หวังจะป้องกันข้าศึกอันยกตามท่านมา ข้าพเจ้าจึงได้รบกับเตียวสิ้วจนแตกไป ซึ่งข้าพเจ้ามิได้เที่ยวหาท่านให้พบนั้น โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงสรรเสริญว่า ซึ่งท่านคิดทำทั้งนี้ไว้จึงได้ชัยชนะคืน อันความคิดทั้งนี้ถึงทหารแต่ก่อนก็มิได้เสมอท่าน แล้วให้เครื่องทองแก่อิกิ๋มสำรับหนึ่งเปนบำเหน็จ ตั้งให้อิกิ๋มเปนเอกสิ้วเดงเฮา แปลภาษาไทยว่าพระยาอายุมาก แลแฮหัวตุ้นซึ่งมิได้กำชับทหาร ละให้ทำร้ายแก่ราษฎรนั้นให้คาดโทษไว้
โจโฉจึงให้แต่งโต๊ะรินสุราเซ่นเตียนอุย แล้วจึงว่าแก่ทหารว่า ถึงบุตรกับหลานเราตาย ก็มิได้เสียดายเท่าเตียนอุยเลย แล้วก็ร้องไห้รักเตียนอุย ทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็มีใจรักโจโฉเปนอันมาก ต่างคนต่างร้องไห้ด้วย ครั้นโจโฉค่อยคลายทุกข์โศกแล้ว จึงให้จัดแจงทหารแล้วก็ยกกลับไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายอ่องเจ๊กซึ่งโจโฉใช้ให้ถือหนังสือไปให้ลิโป้ เมื่ออ่องเจ๊กมาถึงเมืองชีจิ๋วนั้น ลิโป้รู้ก็ออกมารับ จึงเชิญเข้าไปในเมือง อ่องเจ๊กจึงเอาหนังสือรับสั่งให้ ลิโป้รับเอามาอ่านดู ในหนังสือรับสั่งเปนใจความว่า ให้ลิโป้เปนแปงต๋องจงกุ๋น แปลภาษาไทยว่าเปนขุนนางผู้ใหญ่สำหรับปราบโจรฝ่ายตวันออก แลในหนังสือโจโฉฉบับหนึ่งนั้นว่า ให้ลิโป้สมัคสมานกับเล่าปี่ อย่าให้มีพยาบาทกันสืบไป แลอ่องเจ๊กนั้นบอกแก่ลิโป้ว่า ทุกวันนี้มหาอุปราชมีความเมตตาท่านอยู่เปนอันมาก จึงกราบทูลเสนอความชอบ ให้ท่านเปนขุนนางผู้ใหญ่ ลิโป้ได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี
ขณะนั้นพอทหารลิโป้เข้ามาบอกแก่ลิโป้ว่า บัดนี้อ้วนสุดให้ทหารมาหาท่าน ลิโป้ก็ให้หาตัวเข้ามาแล้วถามว่า อ้วนสุดใช้มาด้วยเหตุสิ่งใด ฝ่ายทหารจึงบอกว่า อ้วนสุดให้ข้าพเจ้ามาบอกว่า อ้วนสุดให้จัดแจงการซึ่งจะตั้งตัวเปนเจ้าแผ่นดิน แล้วจะตั้งบุตรนั้นเปนตงก๋ง แปลภาษาไทยว่าเปนที่ฝ่ายหน้า ให้ท่านเร่งส่งบุตรหญิงของท่านไป จะได้แต่งให้อยู่ด้วยกันทีเดียว
ลิโป้ได้ฟังดังนั้นจึงด่าอ้วนสุดว่า มันคิดการหยาบช้าเปนขบถต่อแผ่นดิน จึงให้เอาตัวทหารอ้วนสุดไปฆ่าเสีย แล้วให้เอาตัวหันอิ้นซึ่งจำไว้นั้นมาลงพืดเหล็กไว้ให้มั่น ลิโป้จึงให้แต่งหนังสือให้ตันเต๋ง คุมเอาตัวหันอิ้นขึ้นไปให้โจโฉ
โจโฉจึงเอาหนังสือมาอ่านดูเปนใจความว่า ข้าพเจ้าลิโป้คำนับมา ด้วยมหาอุปราชได้เมตตาข้าพเจ้า แล้วช่วยกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้ข้าพเจ้าได้เปนเจ้าเมืองชีจิ๋ว ข้าพเจ้าจะได้ทำราชการสืบไป โจโฉแจ้งในหนังสือแลเนื้อความนั้นแล้วจึงคิดว่า ครั้งนี้ลิโป้กับอ้วนสุดมีความขัดเคืองกัน เห็นขาดจากเกี่ยวดองกันแล้วจึงทำการทั้งนี้ โจโฉจึงให้ทหารเอาตัวหันอิ้นไปฆ่าเสีย
ตันเต๋งจึงกระซิบโจโฉว่า อันลิโป้นี้เปนคนหยาบช้า เหมือนหนึ่งสัตว์เดียรัจฉาน มีแต่กำลังหาปัญญามิได้ ซึ่งมหาอุปราชจะเลี้ยงลิโป้เปนใหญ่นั้น นานไปก็จะกลับเปนศัตรูท่าน
โจโฉจึงว่าเราแจ้งอยู่แล้ว จำเราจะคิดอ่านกำจัดลิโป้เสีย ตัวท่านสองคนพ่อลูกอยู่ในเมืองชีจิ๋วก็แจ้งความคิดลิโป้อยู่สิ้น เมื่อเราจะยกไปเมืองชีจิ๋วนั้น ถ้าขัดสนสิ่งใดท่านจงช่วยคิดอ่านด้วย ตันเต๋งจึงรับว่าแม้นมหาอุปราชจะยกไปเมื่อใด ตัวข้าพเจ้ากับบิดาจะคิดอ่านเปนไส้ศึกอยู่ในเมือง
โจโฉจึงตั้งตันเต๋งเปนเจ้าเมืองกองเหลงซึ่งขึ้นแก่เมืองชีจิ๋ว แล้วให้มีตรารับสั่งพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปเมืองชีจิ๋ว เติมส่วยให้แก่ตันกุ๋ยผู้เปนบิดาตันเต๋งเปนอันมาก ตันเต๋งก็คำนับลาโจโฉ ๆ จึงยุดมือตันเต๋งไว้ แล้วว่าการซึ่งคิดไว้ครั้งนี้ เราปลงใจไว้แก่ท่าน ๆ จงคิดอ่านกระทำการให้สำเร็จจงได้ ตันเต๋งก็รับคำโจโฉแล้วก็คำนับลากลับไปหาลิโป้ ณ เมืองชีจิ๋ว
ลิโป้จึงถามตันเต๋งว่า ท่านไปหาโจโฉ ๆ ว่าประการใดบ้าง ตันเต๋งจึงเอาตราตั้งสำหรับตัว กับตราซึ่งพระราชทานส่วยของบิดานั้นให้ลิโป้ดู ลิโป้เห็นดังนั้นก็โกรธ ว่าเราใช้ตัวไปด้วยการของเรา เหตุไฉนตัวจึงคิดอ่านให้ได้ดีแต่ตัวสองคนพ่อลูก เดิมเราจะยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด ตันกุ๋ยบิดาของตัวมาห้ามการเราเสีย แกล้งลวงให้เราไปเข้าด้วยโจโฉ บัดนี้เราใช้ตัวไปก็มิได้การแต่สักสิ่งหนึ่ง กล้วก็ชักกระบี่ออกจะฆ่าตันเต๋งเสีย
ตันเต๋งเห็นดังนั้นก็ทำเปนหัวเราะ แล้วว่าท่านฟังเนื้อความยังไม่สิ้นเปนไฉนท่านจึงด่วนโกรธดังนี้ ลิโป้จึงถามว่ายังมีเนื้อความสิ่งใดบ้าง ตันเต๋งจึงว่า เมื่อข้าพเจ้าไปหาโจโฉนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ว่าแก่โจโฉว่า จะเลี้ยงท่านนั้นจำจะให้เปนใหญ่ให้ถึงขนาด อุปมาเหมือนเลี้ยงเสือ ถ้าได้กินอิ่มก็จะเปนปรกติ ถ้ามิอิ่มก็จะเบียดเบียฬสัตว์ทั้งปวงเปนอาหาร
ฝ่ายโจโฉได้ยินข้าพเจ้าว่าดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าซึ่งจะเลี้ยงท่านก็ให้เต็มกองเหมือนข้าพเจ้านั้นไม่ได้ ทุกวันนี้หากท่านยังขัดสนจึงอ่อนน้อมต่อ ถ้าท่านมีกำลังขึ้นแล้วก็เอาใจออกหากโจโฉ อุปมาเหมือนเหยี่ยวซึ่งอยากอาหาร คอยแสวงหาลูกไก่อันพลัดแม่ ได้ทีแล้วก็ฉาบลงเอา ถ้าเห็นยังมิได้ทีก็ค่อยทำความเพียรคอยอยู่กว่าจะได้ลูกไก่ ข้าพเจ้าจึงถามว่าซึ่งอุปมาว่าเหยี่ยวนั้นคือตัวลิโป้ อันลูกไก่นั้นคือผู้ใดเล่า โจโฉจึงบอกว่า ลูกไก่นั้นคืออ้วนสุดเจ้าเมืองลำหยง ซุนเซ็กเจ้าเมืองกังตั๋ง อ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว เล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว เล่าเจี๋ยงเจ้าเมืองเสฉวน เตียวฬ่อเจ้าเมืองฮันต๋ง ลิโป้ได้ยินดังนั้นดีใจสำคัญว่าจริงจึงวางกระบี่เสีย แล้วจึงว่าโจโฉนั้นมีสติปัญญาประมาณใจเราถูกทุกประการ
ฝ่ายอ้วนสุดตั้งแต่ได้ตราหยกของซุนเซ็กไว้ ก็คิดแต่จะตั้งตัวเปนเจ้า แล้วปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราได้ยินคำโบราณเล่าสืบๆ มาครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจแต่ยังมิได้ราชสมบัตินั้น เปนคนอนาถาอุปมาดังว่าอยู่ในท้องทะเล อุตสาหทำความเพียรมาเปนอันมากค่อยตั้งตัวได้ จึงได้ราชสมบัติทรงพระนามชื่อพระเจ้าฮั่นโกโจ พระราชวงศ์ได้เสวยราชย์ต่อๆ มาได้ถึงสี่ร้อยปี จนถึงพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้งนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ราชสมบัติ เกิดอันตรายจลาจลต่างๆ เห็นราชสมบัติก็ร่วงโรยจวนจะสูญอยู่แล้ว ตัวเราก็เปนเชื้อขุนนางมาแต่ก่อน ราษฎรรักเราเปนอันมาก เราจำจะตั้งตัวขึ้นเปนเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
เอียมเซียงที่ปรึกษาจึงห้ามว่า เมื่อครั้งพระเจ้าติวอ๋องได้ราชสมบัติอยู่ในเมืองหลวง เบียดเบียฬให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน ขณะนั้นจิ๋วบุนอ๋องซึ่งเปนขุนนางอยู่ ณ เมืองกิสันรู้การสงคราม หัวเมืองทั้งปวงอยู่ในอำนาจจิ๋วบุนอ๋องนั้นถึงสองส่วน อยู่ในอำนาจพระเจ้าติวอ๋องนั้นส่วนเดียว แลจิ๋วบุนอ๋องนั้นก็มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน มิได้ตั้งตัวเปนเจ้า บัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ยังมีพระชมน์อยู่ แล้วก็มิได้ทำอันตรายแก่ราษฎร ซึ่งท่านจะตั้งตัวเปนเจ้านั้นข้าพเจ้าเห็นไม่ควร
อ้วนสุดได้ยินจึงว่า ตราสำหรับกษัตริย์อยู่ในเงื้อมมือกู เหมือนหนึ่งเทวดามาเษกให้กูเปนเจ้า แม้ใครไม่ยอมจะให้ตัดสีสะเสีย คนทั้งปวงก็นิ่งอยู่ อ้วนสุดจึงให้จัดแจงบ้านเมืองแล้ว ตั้งตัวขึ้นเปนเจ้าชื่อต๋องซือ คำไทยว่าเปนเชื้อพระเจ้างีซุ่นมาแต่ก่อน
ครั้นอยู่มาอ้วนสุดรู้ว่าลิโป้คิดกลับกลาย จับตัวหันอิ้นจำส่งขึ้นไปให้โจโฉ แล้วฆ่าทหารซึ่งอ้วนสุดใช้ให้ไปเตือนนั้นเสีย อ้วนสุดโกรธจะยกไปรบลิโป้ จึงให้เตียวหุนเปนแม่ทัพคุมทหารยี่สิบหมื่น ให้เกียวเสงกับตันกี๋เปนกองหน้า ให้ตันหลันเปนกองขวา ลุยป๊กเปนกองซ้าย ให้เอียวฮองกับหันเซียมเปนกองหลัง ยกไปตีเมืองชีจิ๋ว แล้วให้มีหนังสือไปถึงกิมเซี่ยง ณ เมืองยวนจิ๋ว ซึ่งเปนเมืองขึ้นแก่อ้วนสุดว่า ให้กิมเซี่ยงจัดสเบียงอาหารให้แก่กองทัพซึ่งยกไปตีเมืองชีจิ๋วอย่าให้ขัดสน ถ้ากองทัพขัดสนด้วยสเบียงเราจะตัดสีสะกิมเซี่ยงเสีย แล้วแต่งให้กิเหลงเปนทัพหนุนยกตามไปอีก แล้วยังมิไว้ใจจึงให้โลหองเลียงก๋องงักจิวยกตามไปตรวจตรากองทัพทั้งปวง ให้เร่งรัดเข้าทำการให้พร้อม แล้วอ้วนสุดจึงคุมทหารสามหมื่นยกไปต่อภายหลัง
ฝ่ายเตียวหุนครั้นไปจะใกล้ถึงเมืองชีจิ๋ว จึงเกณฑ์กันแยกออกเปนเจ็ดกอง ให้เกียวเสงไปตีเมืองเสียวพ่าย ให้ตันกี๋ไปตีเมืองกินโต๋ ให้ลุยป๊กไปตีเมืองลองเอี๋ย ให้ตันหลันไปตีเมืองเกียดเซ็ก ให้หันเซียมไปตีเมืองแห้ฝือ ให้เอียวฮองไปตีเมืองจุนสัว ตัวเตียวหุนนั้นไปตีเมืองชีจิ๋ว แล้วก็แยกกันออกทั้งเจ็ดทาง เดิรทางวันละห้าร้อยเส้น
ฝ่ายลิโป้รู้จึงให้หาตันก๋งตันกุ๋ยตันเต๋ง กับนายทหารทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้อ้วนสุดยกทัพมาใหญ่หลวงนัก แล้วก็แยกกันไปตีเมืองขึ้นเราทุกหัวเมือง เราจะคิดประการใด ตันก๋งจึงว่าเกิดเหตุใหญ่ทั้งนี้ก็เพราะตันกุ๋ยตันเต๋งสองคนพ่อลูก ห้ามมิให้ท่านยกลูกสาวให้แก่บุตรอ้วนสุด แล้วคิดอ่านขึ้นไปหาโจโฉ ๆ จึงให้ตั้งตันเต๋งเปนขุนนาง ขอให้ท่านจับตัวตันกุ๋ยกับตันเต๋งตัดสีสะส่งให้อ้วนสุด แล้วแจ้งเนื้อความทั้งปวงให้อ้วนสุดสิ้นสงสัย เห็นอ้วนสุดก็จะเลิกทัพไป ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้เอาตัวตันกุ๋ยตันเต๋งไปฆ่าเสีย
ตันเต๋งได้ยินก็หัวเราะ แล้วจึงว่าแก่ลิโป้ว่า ท่านนี้แต่แรกข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีปัญญา มาบัดนี้เห็นความคิดท่านนั้นอ่อนนัก จะกลัวอันใดกับกองทัพอ้วนสุดเจ็ดกองเท่านี้ อุปมาเหมือนหญ้าเจ็ดกำอันใกล้ปากโค ถ้าจะคิดทำการ เห็นกองทัพอ้วนสุดนั้นจะไม่พอความคิดเสียอีก ลิโป้จึงตอบว่า ถ้าท่านรับอาสาจะสู้กับอ้วนสุดได้ เราก็จะยกโทษเสียทั้งสองคนพ่อลูก
ตันกุ๋ยจึงว่าแม้ท่านฟังคำข้าพเจ้า ๆ จะประกันเมืองชีจิ๋วไว้มิให้มีอันตรายเลย ลิโป้จึงถามว่า ความคิดของท่านจะทำประการใด ตันกุ๋ยจึงว่าทหารอ้วนสุดมากก็จริง แต่เปนคนสำส่อนไม่ชำนาญในสงคราม แล้วอ้วนสุดก็ไม่สู้ไว้ใจ ทหารในเมืองเราแต่ล้วนไว้ใจได้ แม้ยกออกไปรบกับอ้วนสุด เห็นทหารข้างเราจะมีชัยชนะ แลความคิดของข้าพเจ้าที่จะรักษาเมืองชีจิ๋ว แลจะต่อสู้กับอ้วนสุดนั้นก็ยังมีอยู่ ลิโป้จึงถามว่ากลอุบายของท่านคิดไว้ประการใด
ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองสองคนนี้ เดิมทำราชการอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ ครั้นโจโฉกระทำเบียดเบียฬมิได้มีที่อาศรัยจึงหนีมาพึ่งอยู่ด้วยอ้วนสุด ๆ ก็มิได้เลี้ยงดูให้ถึงขนาด ข้าพเจ้าเห็นว่าหันเซียมกับเอียวฮองจะมิเปนใจทำราชการด้วยอ้วนสุด ขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงหันเซียมเอียวฮองว่า เมื่อท่านกับอ้วนสุดจะออกรบกันนั้น ให้หันเซียมเอียวฮองคิดอ่านเปนไส้ศึกขึ้น แล้วให้ท่านมีหนังสือไปถึงเล่าปี่ ให้เล่าปี่กวนอูเตียวหุยยกทหารมาช่วยตีกระหนาบหลังอ้วนสุด เห็นอ้วนสุดก็จะเสียแก่เรา
ลิโป้เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือให้ตันเต๋งลอบไปหาหันเซียมเอียวฮอง ซึ่งไปตีเมืองแห้ฝือเมืองจุนสัว แล้วแต่งให้ทหารถือหนังสือขึ้นไปเมืองฮูโต๋ แจ้งเนื้อความแก่โจโฉฉบับหนึ่ง ไปถึงเล่าปี่ ณ เมืองอิจิ๋วฉบับหนึ่ง ครั้นตันเต๋งได้หนังสือแล้วกับทหารสามคนไปเมืองแห้ฝือก่อน
พอหันเซียมยกมาถึงเมืองแห้ฝือ ตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ตันเต๋งก็เข้าไปหาหันเซียมในค่าย หันเซียมจึงถามตันเต๋งว่า ท่านเปนพวกของลิโป้ เหตุไฉนจึงมาหาเรา ตันเต๋งหัวเราะแล้วจึงตอบว่า เราเปนข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ ทำไมท่านจึงเรียกเราว่าเปนพวกลิโป้ ตัวเรากับท่านก็เหมือนกัน ตัวท่านก็เปนข้าทำราชการอยู่ในพระเจ้าเหี้ยนเต้ เมื่อครั้งพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระทุกข์ที่ด่านกวนต๋ง ท่านก็ได้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ ท่านก็ยังมีความชอบอยู่ เหมือนนกมีรังแล้ว บัดนี้ท่านทิ้งรังเสียมาอยู่ด้วยอ้วนสุดซึ่งเปนคนขบถ เราเห็นอ้วนสุดนั้นก็มิไว้ใจท่าน นานไปท่านจะได้ความเดือดร้อน ถ้าท่านคิดทำการเสียก่อน จึงจะพ้นเงื้อมมืออ้วนสุด
หันเซียมได้ยินตันเต๋งว่าก็คิดถึงความหลังก็ทอดใจใหญ่ แล้วจึงว่าทุกวันนี้เราก็คิดอยู่ แต่ได้ถลำมาอยู่ด้วยอ้วนสุดแล้ว ไม่รู้ที่จะทำประการใด ท่านช่วยเราคิดอ่านด้วย ตันเต๋งจึงเอาหนังสือของลิโป้นั้นให้หันเซียมดู หันเซียมแจ้งในหนังสือนั้นแล้ว จึงรับว่าอย่าวิตกเลย เราจะไปคิดอ่านกับเอียวฮอง ท่านจงเอาเนื้อความไปบอกแก่ลิโป้เถิดว่าเรารับธุระแล้ว เมื่อลิโป้จะยกออกรบกับอ้วนสุดนั้น ถ้าเห็นเพลิงลุกขึ้นด้านใด ก็ให้ลิโป้เข้าตีด้านนั้น เราจะช่วยทำการให้สำเร็จ ตันเต๋งมีความยินดีนัก กระทำคำนับลาหันเซียม มาบอกเนื้อความแก่ลิโป้
ลิโป้จึงจัดทหารหมื่นเศษ แยกออกเปนสี่กอง ให้โกซุ่นคุมทหารยกไปเมืองเสียวพ่าย รบกับเกียวเสงกองหนึ่ง ให้ตันเต๋งยกไปเมืองกินโต๋ รบกับตันกี๋กองหนึ่ง ให้เตียวเลี้ยวยกไปเมืองลองเอี๋ย รบกับลุยป๊กกองหนึ่ง ให้ซงเหียนงุยซกยกไปเมืองเกียดเซ็ก รบกับตันหลันกองหนึ่ง ตัวลิโป้จึงจัดแจงทหารที่มีฝีมือ ยกออกตั้งค่ายอยู่นอกเมืองทางไกลสามร้อยเส้น ครั้นเตียวหุนยกมาถึงค่ายลิโป้ จึงให้ทหารเข้าไปเรียกลิโป้ชวนออกมารบ
ฝ่ายลิโป้คิดเกรงว่า กองทัพซึ่งเกณฑ์ไปรั้งไว้ทั้งสี่หัวเมืองนั้นก็จะยังมิถึง กลัวทหารเตียวหุนจะยกมาช่วยกัน แล้วก็ยังมิได้เห็นสำคัญซึ่งหันเซียมเอียวฮองสัญญา ลิโป้จึงให้เลื่อนทัพมาตั้งอยู่ใกล้เมืองทางสามร้อยเส้น เตียวหุนก็ยกตามมาตั้งค่ายประชิดลิโป้อยู่
ฝ่ายหันเซียมรับคำตันเต๋งแล้ว จึงไปปรึกษากับเอียวฮอง แล้วก็ชวนกันกลับมาหาเตียวหุน ณ ค่าย ครั้งเวลาสองยามหันเซียมเอียวฮองจึงให้ทหารเอาเพลิงเผาค่ายขึ้น ลิโป้เห็นสำคัญดังนั้น ก็ยกเข้าปล้นค่ายเตียวหุนแตก ทหารล้มตายเปนอันมาก เตียวหุนก็ขึ้นม้าฝ่าทหารหนีออกจากค่าย ลิโป้ก็ยกทหารไล่ตามเตียวหุนไป พอกิเหลงซึ่งเปนทัพหนุนเตียวหุนนั้นยกมาทัน ก็ขับม้าเข้ารบกับลิโป้ ยังมิทันแพ้ชนะกัน พอหันเซียมเอียวฮองยกตามทัน จึงรบกระหนาบกิเหลงเข้า กิเหลงก็ควบม้าหนี ลิโป้จึงยกทหารตามไป ถึงเชิงเขาแห่งหนึ่งที่กองทัพอ้วนสุดตั้งอยู่
ลิโป้แลเข้าไปในค่าย เห็นปักธงมังกรธงหงส์ เปนเครื่องสำหรับทัพกษัตริย์ แล้วเห็นอ้วนสุดใส่เสื้อพื้นทองถือกระบี่สองมือ ยืนขี่ม้ากั้นสัปทนทองอยู่ในค่าย ลิโป้จึงควบม้าขึ้นไปบนเนินเขาหน้าค่าย อ้วนสุดเอากระบี่ชี้ออกมาแล้วร้องด่าว่า ตัวมึงเปนคนชาติต่ำ มาบังอาจคิดขบถจะสู้กันกับกูผู้เปนเจ้าดังนี้เห็นมิควร
ลิโป้ขัดใจนัก จึงขับม้ารำทวนเข้าไปจะรบกับอ้วนสุด ๆ จึงให้โลหองออกสู้กับลิโป้รบกันได้สามเพลง ลิโป้เอาทวนแทงถูกโลหอง ๆ ก็ควบม้าหนีเข้าค่าย ลิโป้จึงขับทหารไล่ฆ่าฟันเข้าไปในค่าย อ้วนสุดมิทันจะรับรองก็แตกหนีออกจากค่าย ลิโป้เก็บเอาสิ่งของในค่ายได้เปนอันมาก แล้วก็ยกตามอ้วนสุดไป
ฝ่ายอ้วนสุดขับม้าไปไกลค่ายประมาณสามสิบเส้น พบกองทัพกวนอูซึ่งเล่าปี่ใช้ให้ยกมาช่วยลิโป้ กวนอูจึงร้องด่าอ้วนสุดว่า อ้ายขบถมึงตั้งตัวเปนเจ้า แล้วมึงจะหนีไปไหน อ้วนสุดโกรธจะเข้ารบกับกวนอู พอได้ยินเสียงทหารลิโป้โห่กระชั้นหลังมา อ้วนสุดก็ควบม้าไปเมืองลำหยง ลิโป้กวนอูหันเซียมเอียวฮองก็ชวนกันกลับมาช่วยทหารซึ่งให้ยกไปทั้งสี่หัว เมืองนั้น
ฝ่ายเกียวเสง ตันกี๋ ลุยป๊ก ตันหลัน ซึ่งเตียวหุนให้ไปตีหัวเมืองทั้งปวงนั้น ครั้นรู้ว่าทัพหลวงแตกแล้ว ก็ยกกลับไปเมืองลำหยง
ลิโป้กวนอูหันเซียมเอียวฮองก็พากันเข้าไปเมืองชีจิ๋ว ลิโป้จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงทหารทั้งปวง แล้วก็แจกเงินทองเสื้อผ้าแก่ทหารกวนอูหันเซียมเอียวฮองเปนอันมาก ครั้นเวลาเช้ากวนอูก็ลาลิโป้กลับไปเมืองอิจิ๋ว ลิโป้จึงคิดว่าจะตั้งหันเซียมให้ไปรักษาเมืองกินโต๋ ให้เอียวฮองไปรักษาเมืองลองเอี๋ย ลิโป้จึงทำเปนปรึกษาทหารทั้งปวงว่า หันเซียมเอียวฮองมีความชอบต่อเรา เราจะเลี้ยงไว้ในเมืองชีจิ๋วนี้หรือ ๆ จะให้ไปอยู่รักษาเมืองอันใด
ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองนี้ เดิมตั้งซ่องสุมพรรคพวกอยู่ตำบลซัวตั๋งฝ่ายตวันออก ขอท่านแต่งให้หันเซียมเอียวฮองไปอยู่เมืองกินโต๋เมืองลองเอี๋ย สมัคพรรคพวกของหันเซียมเอียวฮองรู้ก็จะพากันเข้ามาอยู่กับหันเซียมเอียวฮอง บ้านเมืองก็จะบริบูรณ์ขึ้น ลิโป้จึงให้หันเซียมเอียวฮองไปรักษาเมืองตามคำตันกุ๋ยว่า แล้วสั่งเอียวฮองหันเซียมให้คิดอ่านเกลี้ยกล่อมผู้คนไว้ให้มั่งคั่ง แม้นเราจะมีธุระสิ่งใดจะให้หนังสือไปถึงท่าน หันเซียมเอียวฮองก็ลาไปรักษาเมืองตามลิโป้สั่ง ที่ปรึกษาแลทหารทั้งปวงต่างคนก็ลาลิโป้ไปบ้าน
ฝ่ายตันเต๋งกลับมาบ้านแล้วจึงว่าแก่บิดาว่า หันเซียมเอียวฮองสองคนนี้ถ้าอยู่ในเมืองชีจิ๋ว เมื่อเราจะทำการกับลิโป้จะได้อาศรัยเปนกำลัง เหตุไฉนบิดาจึงปรึกษาให้ไปอยู่เมืองอื่น ตันกุ๋ยจึงว่าหันเซียมเอียวฮองนี้ เปนคนไม่ยั่งยืนจะไว้ใจมิได้ แม้อยู่ในเมืองชีจิ๋วนานไปลิโป้เลี้ยงดูถึงขนาด หันเซียมเอียวฮองก็จะเปนใจด้วยลิโป้ เห็นเราจะทำการมิสดวก ตันเต๋งเห็นชอบด้วย จึงว่าความคิดของบิดานี้ดีนัก ข้าพเจ้าคิดมิถึง แล้วตันเต๋งก็ลาตันกุ๋ยมาที่อยู่
ฝ่ายอ้วนสุดเสียทหารแลสิ่งของแก่ลิโป้เปนอันมาก ก็คิดแค้นอยู่มิได้ขาด จึงให้ทหารถือหนังสือไปหาซุนเซ็ก ณ เมืองกังตั๋ง ขอทหารยกมาช่วยแก้แค้นลิโป้ ซุนเซ็กได้ยินดังนั้นก็ด่าว่าอ้วนสุดว่า ฉ้อเอาตราหยกของกูไว้ แล้วคิดขบถตั้งตัวเปนเจ้า กูคิดจะทำร้ายมันอีกบัดนี้กลับมาขอกองทัพอีกเล่า แล้วตอบไปแก่ทหารอ้วนสุดว่า ซึ่งนายมึงให้มาขอกองทัพนั้นกูมิได้ให้ กูจะยกทหารไปตีเมืองลำหยงแก้แค้นของกูอีก
ผู้ถือหนังสือก็ลาซุนเซ็กกลับมาบอกเนื้อความแก่อ้วนสุด ๆ จึงด่าซุนเซ็กว่า อ้ายเด็กน้ำนมยังมิทันพ้นปาก มันจองหองเจรจาว่าจะรบกับกู กูจะไปตีเมืองกังตั๋งจับตัวอ้ายซุนเซ็กให้จงได้ ว่าแล้วอ้วนสุดก็สั่งให้เตรียมทหาร
เอียวไต้เจียงที่ปรึกษาจึงว่าแก่อ้วนสุดว่า เรายกไปตีเมืองชีจิ๋วพึ่งกลับมาถึง ทหารทั้งปวงยังอิดโรยอยู่ แลท่านจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้น ซุนเซ็กก็มีฝีมือ ทหารก็เข้มแขง เห็นจะเสียทีแก่เขา อ้วนสุดเห็นชอบด้วย ก็ให้งดกองทัพไว้
ฝ่ายซุนเซ็กครั้นคนถือหนังสือกลับไปแล้ว คิดเกรงว่าอ้วนสุดจะยกทัพมา จึงเกณฑ์ทหารตั้งค่ายคอยรับอยู่ปากคลองเมืองกังตั๋ง พอโจโฉให้หนังสือมาถึงซุนเซ็กเปนใจความว่า ตั้งให้ซุนเซ็กเปนเจ้าเมืองห้อยเขแล้วให้ยกไปตีอ้วนสุด ณ เมืองลำหยง ซุนเซ็กมีความยินดีจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราจะยกกองทัพไปตีเมืองลำหยง
เตียวเจียวจึงว่า เมืองลำหยงนั้นเข้าปลาอาหารก็บริบูรณ์ ผู้คนก็มั่งคั่งท่านอย่าเพ่อดูหมิ่น ขอให้ท่านมีหนังสือไปถึงโจโฉ ให้โจโฉยกกองทัพมาตีด้านหน้า เราจึงยกไปตีกระหนาบหลัง เห็นอ้วนสุดจะเสียแก่เราเปนมั่นคง ซุนเซ็กเห็นชอบด้วย จึงให้ทหารถือหนังสือขึ้นไปเมืองฮูโต๋ตามคำเตียวเจียวว่า
กรุณาแสดงความคิดเห็น