"มุขเด็ดของโจโฉในยุทธการกัวต่อ" บทความการเมืองจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ในคอลัมน์การเมือง "บ้านเกิดเมืองนอน" ผลงานของคุณ "สิริอัญญา" ที่วิเคราะห์สถานการณ์ในสมรภูมิกัวต๋อ ซึ่งเป็นการรบกันระหว่าง โจโฉกับอ้วนเสี้ยว แล้วเปรียบเทียบกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังต้องการความใจกว้างของ "ผู้นำ" .....
เห็นว่าบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสามก๊ก เป็นประโยชน์ ให้แง่คิด และมุมมองในการบริหารองค์กร จึงขอบันทึกไว้และนำมาแบ่งปันให้ทราบโดยทั่วกัน
"การบริหารราชการแผ่นดินต้องเฉียบขาด ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องว่าไปตามถูก แต่ก็ต้องจำแนกแยกแยะให้ได้ด้วยว่า เรื่องใดอยู่เหนือพ้นออกไปจากความผิดถูก"
เห็นว่าบทความนี้เป็นบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสามก๊ก เป็นประโยชน์ ให้แง่คิด และมุมมองในการบริหารองค์กร จึงขอบันทึกไว้และนำมาแบ่งปันให้ทราบโดยทั่วกัน
มุขเด็ดของโจโฉในยุทธการกัวต่อ
ในประวัติการศึกสงครามของโจโฉในยุคสามก๊กนั้น ต้องถือว่าการทำสงครามกับอ้วนเสี้ยวที่กัวต่อใกล้แม่น้ำฮวงโห เป็นปมเงื่อนสำคัญในการสถาปนาอำนาจของโจโฉทั่วภาคเหนือของประเทศจีน
เพราะในยามนั้น อ้วนเสี้ยวเป็นขุนศึกภาคเหนือที่ใหญ่โตมากที่สุดในบรรดาหัวเมืองทั้งหลาย และความที่มีเชื้อสายขุนนางมาหลายชั่วอายุคน จึงทำให้คนทั้งหลายเข้าเป็นสมัครพรรคพวก สวามิภักดิ์กับอ้วนเสี้ยว จนทำให้กองทัพอ้วนเสี้ยวมีกำลังมากกว่ากองทัพโจโฉถึงสิบต่อหนึ่ง
ดังนั้นในตอนเริ่มต้นสงคราม เมื่อโจโฉประเมินกำลังศึกระหว่างสองทัพ บรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งหลายมีความเห็นว่า กองทัพอ้วนเสี้ยวเป็นต่อมาก อาจส่งผลให้กองทัพโจโฉปราชัยในที่สุด
คงมีแต่กุยแก กุนซือหนุ่มของกองทัพโจโฉเท่านั้นที่ประเมินกำลังศึกว่า โจโฉจะได้ชัยชนะ ทำให้การประเมินกำลังศึกของกุยแกในครั้งนั้นที่ตั้งต้นด้วยการประเมินว่า “ถึงแม้กองทัพของอ้วนเสี้ยวจะมีกำลังมากกว่ากองทัพของโจโฉ แต่โจโฉจะได้ชัยชนะด้วยเหตุสิบประการ”
ในที่สุดของสงคราม กองทัพของโจโฉก็ได้ชัยชนะต่อกองทัพของอ้วนเสี้ยวตามที่กุยแกได้ประเมินไว้ และชัยชนะในสงครามครั้งนี้ ทำให้โจโฉสามารถปราบปรามขุนศึกภาคเหนือราบคาบ และถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญที่เป็นรากฐานแห่งอำนาจของโจโฉ เพราะหลังจากสงครามครั้งนี้แล้ว ก็เหลือแต่ 5 เมืองใหญ่เท่านั้น คือ เมืองกังตั๋งของซุนกวน เมืองเกงจิ๋วของเล่าเปียว เมืองเสฉวนของเล่าเจี้ยง เมืองฮันต๋งของเตียวล่อ และเมืองเสเหลียงของม้าเท้ง หันซุย เท่านั้น
เพราะขณะนั้นกองทัพเล่าปี่ยังเป็นกองทัพเล็กๆ ที่ไปพึ่งพาอาศัยดินแดนของเล่าเปียว เชื้อพระวงศ์แซ่เล่าด้วยกันเท่านั้น
ในสงครามกัวต่อ ทั้งสองฝ่ายได้ใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีอย่างครบเครื่อง ครบครัน รูปแบบและแบบแผนในการทำสงครามแก่กันได้สร้างสรรค์คิดอ่านขึ้นมาใหม่เป็นอัน มาก ซึ่งหลายแบบวิธีถือได้ว่าเป็นต้นแบบของการสงครามในภายหลัง
ทว่าในท่ามกลางสงครามกัวต่อ หรือในการยุทธใหญ่ที่เรียกว่ายุทธการกัวต่อนั้น กองทัพโจโฉก็ใช่ว่าจะได้รับชัยชนะอย่างราบรื่น
ในขณะเริ่มต้นของสงครามเรื่อยมาจนกระทั่งถึงท่ามกลางสงคราม บรรดานายทหารจำนวนมากของกองทัพโจโฉ ที่เชื่อว่าโจโฉจะต้องแพ้สงครามในครั้งนี้และอาจส่งผลให้กองทัพอ้วนเสี้ยว ตามตีลงไปถึงเมืองฮูโต๋ จึงคิดนอกใจหวังเอาตัวรอดกันโดยทั่วไป
นายทหารกองทัพโจโฉจำนวนมากได้ติดต่อขอเข้าสวามิภักดิ์ต่อกองทัพอ้วนเสี้ยว และติดต่อขอฝากเนื้อฝากตัวกับบรรดาขุนนางและแม่ทัพนายกองของอ้วนเสี้ยว มีการติดต่อไปมากันไม่ขาดระยะ
ครั้นถึงช่วงปลายของสงคราม เมื่อกองทัพโจโฉได้ชัยชนะต่อกองทัพอ้วนเสี้ยวแล้ว โจโฉซึ่งได้ระแคะระคายการนอกใจของนายทหารจำนวนมาก จึงสั่งให้ตรวจค้นทุกค่ายทหาร และยึดหลักฐานการติดต่อโต้ตอบระหว่างนายทหารนอกใจกับกองทัพอ้วนเสี้ยว
เมื่อโจโฉเห็นหลักฐานการติดต่อและรู้ว่ามีนายทหารนอกใจเป็นจำนวนมากกว่าที่ คาดหมายก็ตกใจ คำนึงว่าหากจะลงโทษลงทัณฑ์นายทหารเหล่านั้นตามอาญาสิทธิ์ กองทัพที่เล็กอยู่แล้วและยังบอบช้ำจากสงครามที่หนักหน่วงรุนแรงระยะยาวนาน ก็จะยิ่งอ่อนแอลง ถึงแม้ได้ชัยชนะ ความอ่อนแอนั้นจะไม่สามารถสู้รบปรบมือกับบรรดาเมืองทั้ง 5 ที่ยังเป็นปรปักษ์ต่อกันได้
โจโฉจึงคิดอ่านหาทางออกที่จะบำรุงน้ำใจทหารนอกใจเหล่านั้นไว้เป็นกำลังสืบไป ดังนั้นจึงสั่งให้จัดประชุมกองทัพ เรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหมดมาประชุมที่หน้าค่ายบัญชาการ และให้นำบรรดาหลักฐานทั้งหลายที่ยึดได้ไปรวมกองไว้ด้านหน้า สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้แก่บรรดานายทหารนอกใจ ด้วยเกรงอาญาศึกที่โจโฉมีความเฉียบขาด และโทษฐานเอาใจออกห่างในยามศึกเช่นนั้น ก็คือประหารสถานเดียว ต่างคนจึงหวาดหวั่นว่า หัวจะหลุดออกจากบ่า ณ เวลาใด
เมื่อคนทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว โจโฉจึงลุกขึ้นประกาศต่อบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายว่า การศึกครั้งนี้กองทัพของเราเป็นรองกองทัพอ้วนเสี้ยวมากถึงสิบเท่า ใครๆ ก็ต้องเห็นว่าเราจะต้องพ่ายแพ้แก่กองทัพอ้วนเสี้ยว ดังนั้นเป็นวิสัยโลกที่คนทั้งหลายย่อมรักตัวกลัวตายหมายเอาชีวิตรอด จึงพากันติดต่อเอาตัวรอดออกตัวกับอ้วนเสี้ยว
โจโฉกล่าวต่อไปว่า หากมาดแม้นเรามิได้เป็นสมุหนายกและเป็นผู้บัญชาการทัพ เราก็คงต้องทำเช่นเดียวกันกับพวกท่าน ดังนั้นจึงไม่อาจถือเป็นความผิดได้ และควรที่จะเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นจึงไม่เอาผิด ไม่เอาโทษแก่ใคร และขอให้ร่วมใจสมานฉันท์เพื่อร่วมกันทำนุบำรุงฮ่องเต้ให้ทรงไว้ซึ่งพระบรมเด ชานุภาพสืบไป
เสียงเปล่ง ทรงพระเจริญ เพื่อน้อมถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ดังกึกก้อง เสียงเปล่ง เสิงเสี้ยง หรือท่านสมุหนายกจงเจริญ ดังกึกก้อง เสียงเปล่ง พวกเราจะขอจงรักภักดีต่อเสิงเสี้ยง จะเคียงบ่าเคียงไหล่สู้รบอย่างไม่คิดชีวิต ดังกึกก้อง
ปฏิบัติการดังกล่าวของโจโฉไม่ได้คร่าชีวิตนายทหารเลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับเป็นปฏิบัติการที่สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิให้กับโจโฉมากกว่าการ เอาชนะในสงครามครั้งนี้เสียอีก และเพราะปฏิบัติการครั้งนี้กองทัพโจโฉจึงเติบใหญ่เข้มแข็งและครองน้ำใจกำลัง พลจนสามารถครองแผ่นดินบำรุงพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้อย่างแข็งแกร่งตลอดอายุของโจโฉ
ในบางเรื่อง บางกรณี การบริหารราชการแผ่นดินต้องเฉียบขาด ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ถูกก็ต้องว่าไปตามถูก แต่ก็ต้องจำแนกแยกแยะให้ได้ด้วยว่า เรื่องใดอยู่เหนือพ้นออกไปจากความผิดถูก ดังเช่นกรณีบทเรียนของโจโฉนี้ก็อาจจะเหมาะสมกับสถานการณ์บ้านเมืองใน ปัจจุบัน
บ้านเมืองจะมั่นคงได้เพราะกำลังทหาร สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะมั่นคงได้ก็ด้วยแสนยานุภาพทางทหาร และความสามัคคีของประชาชน ดังนี้แล
เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
สามก๊ก Three Kingdoms (2010) ตอน 27
เหตุการณ์ช่วงที่โจโฉรบกับอ้วนเสี้ยวในสมรภูมิกัวต๋อ จากละครโทรทัศน์สามก๊ก ปี 2010
กรุณาแสดงความคิดเห็น