วาทะน่าสนใจ ขงเบ้งปะทะปราชญ์กังตั๋ง ตอนสงครามลิ้น
"ข้าพเจ้าจะขออาสา เอาแต่เรือลำหนึ่งไปกับลิ้นข้าพเจ้าสามนิ้วเท่านี้ ไปยุให้ซุนกวนผิดกับโจโฉจงได้"
สามก๊ก ตอน สงครามลิ้น
เตียวเจียว : อาจารย์ขงเบ้งขงเบ้ง : อาจารย์เตียวเจียว มีอะไรก็เชิญ
เตียวเจียว : ตัวข้า เตียวเจียว บัณฑิตโง่งม ยินว่าเมื่อท่านยังอยู่โงลังกั๋ง เปรียบตัวเหมือนขวันต๋ง และงักเย ท่านพูดอย่างนี้ จริงหรือเปล่า
ขงเบ้ง : จริง นั่นเป็นเพียงการเปรียบเทียบง่ายๆ เท่านั้น แท้จริงแล้วยังเหนือกว่านั้น
เตียวเจียว : ยินว่า เล่าปี่ต้องไปถึงสามครั้ง ครั้นได้ท่านมา ก็เปรียบเหมือนปลาได้น้ำ จึงคิดการ จะครอบครองดินแดนเกงจิ๋ว แต่ว่า มาถึงบัดนี้ เกงจิ๋ว กลับตกเป็นของโจโฉ ไม่ทราบว่า ท่านอาจารย์ขงเบ้ง จะอธิบายยังไง
ขงเบ้ง : ในสายตาของข้า การยึดดินแดนเกงจิ๋ว ง่ายเหมือนพลิกมือ แต่ท่านเล่าปี่ ยึดมั่นคุณธรรม ไม่คิดแย่งเมืองของแซ่เดียวกัน จึงปฏิเสธ เล่าจ๋องเยาว์วัย หลงเชื่อคำสอพลอยอมจำนน โจโฉจึงยึดได้
ตอนนี้นายข้าอยู่ที่กังแฮ มีแผนล้ำลึก พวกปัญญาต่ำทราม คิดไม่ถึงหรอก
เตียวเจียว : วาจากับการกระทำของท่าน มันขัดแย้งกันเอง ท่านเปรียบตนเทียบกับนักปราชญ์ แต่ท่านขวันต๋ง ช่วยจ้าวชี่ฮ่วงกงให้เป็นใหญ่ งักเย ช่วยให้แคว้นเอี้ยนที่อ่อนแอ ตีแคว้นฉีได้ถึงเจ็ดสิบเมือง สองท่านนี้ เป็นถึงอัจฉริยะของโลกเลยทีเดียว แต่เล่าปี่ ก่อนที่จะได้ท่านมา ยังได้ครองบ้านครองเมือง เป็นใหญ่ไม่น้อย แต่ครั้นภายหลัง ท่านไปเป็นกุนซือช่วยเล่าปี่ แค่โจโฉมา ก็ต้องกระเซอะกระเซิง หนีกันมา ทิ้งซินเอี๋ย เสียห้วนเสีย ยับเยินหนีไปแฮเค้า ที่ซุกหัวนอน ก็แทบจะไม่มีเลย เห็นไหม หลังจากเล่าปี่ช่วงใช้ท่าน ทุกอย่าง กลับเลวลง หรือว่า ขวันต๋งและงักเย ท่านโง่อย่างนี้ ข้าเป็นคนโง่ พูดตรง ๆ หวังว่าท่าน คงจะไม่โกรธข้า
ขงเบ้ง : ความคิดของครุฑ กระจอก ย่อมไม่รู้ เมื่อครั้งที่ข้ายังทำนาที่หลงตง ทุกครั้งที่ได้เห็นคนไข้หนักเกือบจะตาย ข้าบอกให้ญาติเขา ป้อนน้ำข้าวจาง ๆ ให้ก่อน และกินยาขนานที่ไม่แรง รอจนกว่าอวัยวะ ปรับตัวดีขึ้น จึงให้กินเนื้อบำรุง แล้วค่อย ๆ ใช้ยาแรง โรคจึงหาย ไม่เช่นนั้น ไม่รอร่างกายปรับตัว แต่กลับใช้ยาขนานแรงไป หวังจะช่วยเหลือ แต่กลับก่อภัย พระเจ้าอาเล่าปี่ พ่ายแพ้โจโฉ มาจากอิหลำ มาอาศัยกับเล่าเปียว มีพลหนึ่งพัน ขุนพลก็มีเพียงสามคนเท่านั้น นี่ ก็เฉกเช่นเดียวกับคนป่วยใกล้ตาย
ซินเอี๋ยเล็กจ้อย เสบียงก็น้อย คูเมืองก็แคบ กำลังทหารน้อยเช่นนั้น ทั้งอยู่เมืองเล็กจ้อยอย่างนั้น ทหารไม่เคยฝึก เสบียงก็พอเลี้ยงได้ไม่กี่เดือน แต่ว่า เพลิงเผาพกบ๋อง น้ำท่วมแปะโห ทำให้ขุนพลใหญ่เช่นแฮหัวตุ้น และโจหยิน ขวัญหนีดีฝ่อ ข้าว่า ขวันต๋งงักเย ทำศึก ก็ไม่เกินนี้ ส่วนการแตกทัพตงหยง เพราะมีชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดงหลายสิบหมื่น ท่านเล่าปี่ไม่ยอมทิ้งชาวบ้าน ดังนั้น จึงเดินทางช้า ไม่เร่งไปยึดกังเหลง ไม่ทิ้งมวลชน นับเป็น ผู้ทรงคุณธรรม น้อยย่อมแพ้มาก แพ้ชนะ เป็นเรื่องธรรมดา ครั้งฮั่นโกโจ ก็แพ้ฮั่นอี๋หลายครั้ง แต่สุดท้าย ได้ครองแผ่นดิน นั่นมิใช่เพราะใช้กลยุทธของฮั่นสินรึ เรื่องชาติบ้านเมือง เรื่องราชวงศ์ ล้วนจำเป็นต้องอาศัยผู้ปราชญ์เปรื่อง จะมามัวอาศัย พวกที่คุยโวโอ้อวด พวกเล่นลิ้นโต้คารม หรือพวกสรรเสริญตัวเอง เหยียดหยามผู้อื่น พวกดีแต่นั่งโม้คุยโตว่าไม่มีใครเทียบ แต่ต่อเรื่องคับขัน กลับไร้แผนจะแก้ไข ถ้าหากว่า ใช้พวกนี้ โลกคงเยาะเย้ย
ยีหวน : โจโฉตั้งกองทัพร้อยหมื่น ประชิดคุกคามกังแฮอยู่ เรียนถามอาจารย์ขงเบ้ง ต่อเรื่องอนาคตของตัวเอง มีแผนอย่างไร
ขงเบ้ง : กองทัพโจโฉ เป็นเพียง พวกเชลยจากทัพอ้วนเสี้ยว และเล่าเปียว แม้มีร้อยหมื่น แต่ไม่น่ากลัว
ยีหวน : แตกทัพที่ตงหยง คุดคู้อยู่แฮเค้า แม้ที่ซุกหัว ยังแทบจะไม่มีอาศัย ทั้งที่มานี่ก็คงจะมาขอให้ช่วย แต่กลับว่าไม่กลัว นี่มันโกหกคำโตแล้ว
ขงเบ้ง : นี่คงเป็นยีหวน ยีตงฝานแน่ ท่านหัวร่อเร็วเกินไปแล้ว จริงอยู่ กองทัพพันของพระเจ้าอามีน้อยนิด ไม่อาจต้านทานโจรร้อยหมื่นได้ แต่กองทัพของเรา นายไพร่พร้อมใจกันต่อต้านศัตรู แม้จะผ่านการพ่ายแพ้ แต่ก็ยังห้าวหาญ แต่ฝ่ายกังตั๋ง กองทัพเข้มแข็ง ทั้งมีแม่น้ำขวางกั้น แต่กลับมี คนคิดเกลี้ยกล่อมเจ้านายไปยอมแพ้ ไม่อายผู้คนทั่วหล้า เทียบกันแล้ว ก็นับว่า พระเจ้าอา เป็นคนไม่กลัวโจโฉแท้จริง ครั้งก่อนท่านยีหวน เป็นข้าอองลองเจ้าเมืองห้วยแค ก็เคยยุนายยอมแพ้ซุนเซ็ก ไม่คิดว่ามาอยู่กังตั๋งแล้ว ยังยุให้นายยอมแพ้ สงสัยโรคเก่า คงจะกำเริบซะกระมัง
โปเจ๋า : นี่ ขงเบ้ง ท่านคิดจะเลียนแบบโซจิ๋น กับเตียวยี่ เที่ยวใช้ลิ้นมาเจรจายุแหย่ฝ่ายกังตั๋งอย่างนั้นหรืออย่างไร
ขงเบ้ง : ท่านโปเจ๋านึกว่า โซจิ๋น เตียวยี่ เป็นเพียงนักปาถกหรือ ท่านไม่รู้หรือว่า สองท่านนั้นเก่งกาจมาก โซจิ๋นเป็นเสิงเซียงหกก๊ก เตียวยี่เป็นเสิงเซียงก๊กจิ๋นสองยุค สองท่านนั้นมีความเก่งกล้าสามารถ อุ้มชูชาติบ้านเมือง สูงส่งกว่าไอ้พวกตาขาว ขี้ขลาด หลบเร้นหลีกภัย พวกท่าน ยังไม่ทันได้เห็นกองทัพโจโฉ เพียงได้ข่าว ก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เช่นนี้ ยังกล้าเหยียดหยามโซจิ๋น เตียวยี่อีกหรือ ท่านโปเจ๋า
ซีหอง : ขอถาม ท่านเห็นว่าโจโฉ เป็นคนยังไง
ขงเบ้ง : คือโจรราชสมบัติ ต้องถามทำไม
ซีหอง : ท่านพูดผิดแล้ว ราชวงศ์ฮั่นสิ้นอายุไปแล้ว ตอนนี้ โจโฉได้ครองแผ่นดินสองในสาม ผู้คนศรัทธา เล่าปี่ ฝืนชะตาฟ้าดิน เอาไข่ไปต่อยหิน ต้องแพ้แน่นอน
ขงเบ้ง : ซีหอง ทำไมพูดเหมือนคนไร้พ่อไร้เจ้า คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ต้องจงรักภักดีกตัญญู ตระกูลโจโฉเป็นอำมาตย์ กินเบี้ยหวัดหลวง แต่ลูกหลานไม่จงรัก กลับคิดคดเป็นกบฏ คิดเป็นโจรชิงราชสมบัติ ต่อทรราชย์ คนทั่วหล้า ควรร่วมกันปราบ ร่วมกันกำจัดมัน แต่พวกท่าน ซึ่งเป็นอำมาตย์ กลับเป็นกระบอกเสียงให้โจรชั่ว ทำตัวเหมือน เป็นคนไร้พ่อไร้เจ้า คนอย่างนี้ไม่คู่ควร อย่ามาพูดเลย
ลกเจ๊ก : แม้โจโฉจะอ้างโองการ บีบเจ้าเมือง แต่ก็เป็นสมุหนายก ส่วนเล่าปี่ อ้างเป็นเชื้อสายจงซานจิ้งอ๋อง แต่ไม่มีหลักฐาน ผู้คนก็ได้แต่รู้ว่า เล่าปี่นั้นทอเสื่อขาย จะแข่งกับโจโฉได้อย่างไร
ขงเบ้ง : ท่านนี้หรือ ที่ชื่อว่าลกเจ๊ก ตอนเป็นเด็ก ขโมยส้ม จากงานเลี้ยงของอ้วนสุด ... นั่งลงเถอะ ใจเย็น ๆ จงฟังข้าก่อน โจโฉ เป็นเชื้อสมุหนายก อำมาตย์ราชวงศ์ฮั่น แต่โจโฉ กลับแย่งยึดอำนาจ ข่มเหงฮ่องเต้ ไม่เพียงขบฏต่อเจ้า ยังขบฏสกุลด้วย ไม่เพียงเป็นขุนนางกังฉิน แต่ยังเป็นกังฉินในตระกูลด้วย ส่วนพระเจ้าอาเล่าปี่นั้นเล่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ตรวจพงศาวลี จึงเรียกว่า พระเจ้าอา จะว่าไม่มีหลักฐานได้อย่างไร ดูพระเจ้าฮั่นโกโจสิ ท่านตระกูลต่ำต้อย แต่ได้สร้างชาติ เรื่องทอเสื่อขายจะน่าอายหรือ ท่านคิดเหมือนเด็กอมมือ ไม่น่ามาพูดในที่นี้เลย
เหยียมจุ้น : ที่ท่านพูดมานั่น เอาสีข้างเข้าถู ไม่มีหลักการใด ๆ ทุกท่าน ไม่ต้องไปโต้เถียงด้วยหรอก ... ขอถามหน่อยว่าท่านได้เขียนคัมภีร์ เขียนเล่มใดไว้บ้าง
ขงเบ้ง : ข้าไม่ใช่หนอนตำรา นักวิชาการ ที่ท่องคัมภีร์เอามาพูด พวกลอกตำรา จำแต่คำพูดจากคัมภีร์ จะมาสร้างบ้านสร้างเมืองไม่ได้หรอก นับแต่โบราณ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนคัมภีร์ อิอิ๋นเสิงเซียงแห่งราชวงศ์ซาง ตอนแรก ก็เป็นเพียงทาสติดที่นาเท่านั้น เจียงไท่กง ผู้บุกเบิกราชวงศ์จิว เป็นเพียงคนตกปลา ส่วนปราชญ์รุ่นหลังเช่น เตียวเหลียง ตันเป๋งนั้น เก่งกล้าสามารถมากขนาดไหน ก็ไม่เห็นว่าท่านต้องเขียนคัมภีร์อะไรเลย น่าเสียดายที่พวกบัณฑิต อ้าปากปิดปาก อ้างแต่คัมภีร์ ทั้งวันวุ่นวายกับหมึกพู่กัน ข้าเห็นว่าพวกนี้ น่ากลัวทำได้เพียงเล่นขายของ อยู่กับกระดาษเท่านั้น
เทียตก : ฟังคำพูดของท่าน รู้สึกว่าคุยโวโอ้อวด ไม่มี ความรู้ที่แท้จริง บัณฑิตหยูจะเยาะเย้ยเอา
ขงเบ้ง : เมื่อท่านอ้างถึงปราชญ์หยู คงรู้ว่า มีหยูของผู้ดี และหยูของคนถ่อย หยูของผู้ดี จงรักภักดี ยุติธรรม เกลียดความเลว จึงยิ่งใหญ่อยู่ในโลกได้ และยืนยงคงอยู่นิรันดร์ ส่วนหยูคนถ่อยนั้น ต่างออกไป คือมั่วแต่หมึกพู่กัน ประดิษฐ์ประดอยเรื่องเล็ก ตอนหนุ่มเขียนกวี ตอนแก่ก็เขียนคัมภีร์ เขียนได้ทุกอย่าง แต่ในอกกลับว่าง ไร้ยุทธศาสตร์ จงดูหยางสงเป็นตัวอย่าง เชี่ยวชาญคัมภีร์ เขียนบทกวีมีชื่อเสียงมาก แต่เมื่ออองมังล้มราชวงศ์ เขากลับไม่อับอาย ขายตัวรับใช้ สุดท้ายต้องพบจุดจบ โดยการกระโดดหอตาย ...นี่คือหยูของคนถ่อย แม้จะเขียนกวีได้ดี แต่มีอะไรน่าเอาเป็นแบบอย่าง ข้ารู้ว่า พี่เป็นปราชญ์ใหญ่ฝ่ายหยู ข้าก็เคยอ่านตำราวิเคราะห์อี้จิงของท่านพี่ แต่ทว่า ขอให้ท่านเป็นหยูผู้ดี จงรักภักดี
อย่าเอาแบบอย่างหยางสง ใช้หยูของคนถ่อย ต้องถูกก่นด่าไปชั่วนิจนิรันดร
---------------------
นี่ถือว่าเป็นอีกตอนหนึ่ง ที่เป็น "SHOTเด็ด" สำคัญอีกตอนหนึ่งเลยก็ว่าได้นะครับ เห็นมั้ยละครับ ว่าถ้าเรามีกลยุทธ์ในการต่อสู้ เราแทบจะไม่ต้องใช้กำลังหรือใช้อาวุธแม้แต่ใดๆ เราใช้แค่ " ลิ้น " ของเราเท่านั้นเอง
หากใครมีอะไรโต้แย้ง หรือมีความรู้ใหม่ ก็บอกได้เลยนะครับ
ขอคาราวะ !!!
GFsamkok
_________________
หมายเหตุ
บทความนี้เรียบเรียงโดย คุณ GFsamkok ที่ส่งเข้ามาร่วมแบ่งปันให้กับเพื่อน ๆ ผู้รักในวิชาสามก๊กทุกคน ....สามก๊กวิทยา จึงขอขอบพระคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
กรุณาแสดงความคิดเห็น