ประวัติย่อ คารมและคำคม ชีซี (ตันฮก)
ประวัติย่อของชีซี (ตันฮก)
ชีซี (Xu Shu,徐庶) หรือตันฮก (Shan Fu,单福) ได้รับฉายาจากยาขอบว่าเป็น "ผู้เผ่นผงาดเหนือเมฆ" มีชื่อรองว่า เหวียนจื่อ เป็นชาวเมืองเองจิ๋ว มณฑลเหอหนาน เมื่อเยาว์วัยร่ำเรียนวิชากระบี่ เติบใหญ่ขึ้นมาได้ศึกษาศิลปศาสตร์ ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ จนชำนาญ โดยเป็นศิษย์ของสุมาเต็กโช ได้ร่วมสำนักเดียวกับขงเบ้ง และบังทอง เมื่อยามว่างมักจะถกเถียง หารือกับขงเบ้งเสมอ ๆ ต่อมาเมื่อเกิดกลียุค ชีซีได้ฆ่าขุนนางชั่วผู้หนึ่งตาย จึงหลบหนีมาและปลอมชื่อว่าตันฮกชีซี ปรารถนาจะหานายดีเพื่ออยู่ด้วย จึงไปหาเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว เจรจาแล้วพบว่า เป็นคนไม่ได้เรื่อง จึงไม่อยู่ด้วย ครั้นเมื่อ เล่าปี่หนีภัยชัวมอที่คิดร้ายจากเมืองเกงจิ๋วมา เล่าปี่ได้พบกับสุมาเต็กโช สุมาเต็กโชแนะนำให้เล่าปี่หาที่ปรึกษาที่ดี เพื่อที่จะได้ใช้งานได้ และแนะนำเล่าปี่ถึง 2 ปราชญ์ที่จะสยบแผ่นดินได้ว่า คือ ฮกหลง (มังกรซ่อน - ขงเบ้ง) ฮองซู (หงส์ดรุณ - บังทอง) ได้คนใดคนหนึ่งมาแผ่นดินก็จะสงบ เมื่อเล่าปี่ออกมา ได้พบกับชีซีที่แสร้งทำเป็นคนพเนจรร้องเพลงที่มีความหมายถึงตนเอง เล่าปี่จึงได้สนทนาด้วย ชีซีคิดลองใจเล่าปี่ โดยกล่าวว่า ม้าที่เล่าปี่ขี่นั้นชื่อ ม้าเต๊กเลา เป็นม้าอัปมงคล นำโชคร้ายสู่เจ้าของ ทางแก้ก็คือ เกลียดชังผู้ใด ก็ยกม้าตัวนี้ให้แก่ผู้นั้น ความโชคร้ายก็จะหมดไป เล่าปี่ตำหนิชีซี ชีซีจึงแจ้งว่า เป็นเพียงการลองใจ ชีซีจึงได้มาอยู่กับเล่าปี่
ต่อมา โจโฉส่งโจหยินยกทัพใหญ่มา โจหยินได้ใช้ค่ายกล "แปดประตู กุญแจทอง" ชีซีแนะให้จูล่งเข้าค่ายกลนี้ทางทิศอาคเนย์ผ่านไปยังทิศประจิม ค่ายกลนี้ก็แตกโดยง่ายดาย เมื่อโจหยินแตกทัพพ่ายไป ก็ได้ให้จูล่งและกวนอูยึดเมืองต่าง ๆ ไม่ให้โจหยินเข้าเมือง
โจโฉคิดสงสัยว่า ใครเป็นผู้ให้คำปรึกษาเล่าปี่ เทียหยก ที่ปรึกษาของโจโฉจึงกล่าวว่า บุคคลผู้นี้คือ ชีซี และออกอุบายเพื่อให้ชีซีมาอยู่กับโจโฉ โดยการปลอมลายมือแม่ของชีซีซึ่งอยู่ในฮูโต๋ ซึ่งเป็นเมืองของโจโฉ ว่าถูกจับกุมตัว ให้ชีซีรีบเข้ามาหา ชีซีมีเพียงตนกับแม่ตามลำพัง เมื่อรู้ข่าวจึงรีบรุดไปหาที่ฮูโต๋ เล่าปี่เศร้าโศกเสียใจมากต่อการจากไปของชีซี ชีซีเมื่อขี่ม้าจากไป ก็ชักม้ากลับมา เพื่อแนะนำที่ปรึกษาคนใหม่แก่เล่าปี่ คือ ขงเบ้ง ผู้เร้นกายอยู่ที่เชิงเขาโงลังกั๋ง และเมื่อชีซีจากไปก็ยังไปหาขงเบ้งเพื่อบอกกล่าวเรื่องนี้อีก
เมื่อไปถึงฮูโต๋ และได้พบแม่ เมื่อรู้ความจริงว่าเป็นเพียงอุบาย แม่ของชีซีตำหนิลูกชายอย่างหนักว่า ท่องโลกมาก็มาก ไฉนจึงโง่นัก ด้วยแม่ของชีซีใจรักความเป็นธรรม รังเกียจพฤติกรรมของโจโฉยิ่งนัก ต่อมาไม่นาน นางก็ผูกคอตาย ชีซีเศร้าเสียใจมากและตั้งปณิธานไว้ว่า จะไม่ให้คำปรึกษาแก่โจโฉเป็นอันขาด
สุมาเต็กโช เมื่อรู้ว่าชีซีมาอยู่กับเล่าปี่ จึงมาหา เมื่อรู้ว่าชีซีไปหาแม่ จึงกล่าวว่า นี่เป็นเพียงอุบาย และกล่าวว่า "ถ้าชีซีไม่ไปนี่สิ แม่เขาถึงไม่ตาย แต่ถ้าไปแม่เขาต้องตายแน่ๆ" เพราะโจโฉจะไม่กล้าทำอันตรายแม่ของชีซีเป็นอันขาด และกล่าวว่า ชีซีแม้จะได้นายดีแต่ก็ยังไม่ถึงเวลา
ต่อมา ชีซีได้พบกับเล่าปี่อีก เมื่อโจโฉให้มาเกลี้ยกล่อมเล่าปี่แพ้ยอมแก่โจโฉ เมื่อโจโฉยกทัพลงใต้หมายบุกยึดเกงจิ๋ว ชีซีไม่ยอมเกลี้ยกล่อม ซ้ำยังบอกแผนการของโจโฉให้แก่ฝ่ายเล่าปี่อีก ในคราวศึกเซ็กเพ็ก ชีซีเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้ว่า แผนห่วงโซ่สัมพันธ์ ของบังทอง เป็นแผนการเผาทัพเรือของโจโฉ ชีซีไปพบกับบังทองพร้อมแย้มกรายว่า ตนรู้อุบายของบังทอง แต่เกรงว่าอาจจะเอาชีวิตไม่รอดจากเพลิงไหม้ครั้งนี้ ขอให้บังทองให้คำแนะนำด้วย บังทองจึงแนะนำให้ชีซีปล่อยข่าวว่า ม้าเท้งแห่งเสเหลียงเป็นกบฏ โจโฉก็จะห่วงหน้าพะวงหลัง ท่านก็ขอเสนอตัวกลับไปรักษาเมืองฮูโต๋ แค่นี้ก็จะปลอดภัยแล้ว ชีซีก็ได้ปฏิบัติตามนี้ ซึ่งบทบาทในสามก๊กของชีซีก็มีเพียงเท่านี้
คำคม ชีซี (ตันฮก)
- “ซึ่งจะเอาความคิดแลปัญญาข้าพเจ้า ไปเปรียบนั้นไกลกันนัก ตัวข้าพเจ้าอุปมาเหมือนหนึ่งกา จะมาเปรียบพญาหงส์นั้นไม่ควร อนึ่งม้าอาชามีกำลังอันน้อย หรือจะมาเปรียบพญาราชสีห์ได้ อันคนคนนี้มีปัญญาลึกซึ้งกว้างขวางนัก อาจสามารถที่จะหยั่งรู้การในแผ่นดินแลอากาศ เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว ซึ่งจะหาผู้ใดเปรียบเสมอถึงสองนั้นมิได้”
- “ท่านจะไปทัพครั้งนี้ อย่าประมาทดูเบาแก่เล่าปี่ ด้วยเล่าปี่ได้ขงเบ้งมาไว้เป็นที่ปรึกษา อุปมาเหมือนเสืออันคะนองอยู่ในป่าใหญ่ ท่านเร่งระวังตัวจงดี”
- “อันความคิดของข้าพเจ้านี้ อุปมาเหมือนหนึ่งหิ่งห้อย อันสติปัญญาขงเบ้งดังหนึ่งรัศมีพระจันทร์”
- “ถ้าข้าพเจ้าจะอยู่กับท่าน ไม่กลับไปหาโจโฉ บัดนี้ก็จะเป็นที่ครหานินทาแก่คนทั้งปวง ว่าหาความสัตย์มิได้ อนึ่งศพมารดานั้นก็ตกอยู่ ณ เมืองฮูโต๋ จำจะต้องกลับไป”
- “แม้เล่าปี่จะมาเชิญท่าน ท่านอย่าได้บิดพลิ้ว จงไปช่วยเล่าปี่คิดอ่านปราบปราม แผ่นดินให้ราบคาบเป็นสุขด้วย อย่าให้เสียทีซึ่งได้เรียนความรู้นั้นไว้เลย”
- “ข้าพเจ้าจะบอกเนื้อความแก่ท่าน ก็ยังมิทันที่จะเจรจาเลย ด้วยจะจากกันกับท่าน หัวใจข้าพเจ้าประดุจคั่วข้าวตอก เพราะความทุกข์มิทันคิด บัดนี้พอรำลึกได้ข้าพเจ้าจึงกลับมา หวังจะบอกเนื้อความแก่ท่าน”
- “ท่านทั้งหลายอยู่ทำราชการไปภายหลัง จงอุตส่าห์ตั้งใจจงรักภักดีโดยสุจริต แม้สำเร็จการที่คิดสมเหมือนความปรารถนา ก็จะได้ตั้งตัวเป็นที่พำนักแก่คนทั้งปวง อย่าดูเยี่ยงอย่างเรา ซึ่งทำราชการมิได้ตลอด”
- “ท่านจะมาเสียใจละความเพียรนั้นหาควรไม่ ถึงว่าตัวข้าพเจ้าจะไปจากท่าน ใช่จะสิ้นผู้มีสติปัญญานั้นหาไม่ จงอุตส่าห์สืบเสาะหาผู้มีปัญญาก็จะได้อยู่”
- “ข้าพเจ้ารู้ว่าโจโฉจับมารดาไปทำโทษจำจองไว้ฉะนี้ หัวใจข้าพเจ้าร้อนดุจเพลิงสุมอยู่ในอก ถึงมาตรว่าท่านจะเอาของอันโอชารสมาให้กิน ก็มิลงคอเลย”
- “ตัวท่านเสียดายชาวเมืองกังตั๋งจะเป็นอันตราย จึงมาคิดการทั้งนี้ อันทหารโจโฉถึงแปดสิบสามหมื่นนั้น ท่านหามีใจเอ็นดูว่าจะถึงแก่ความตายไม่หรือ”
- “ข้าพเจ้านี้เป็นคนมีกรรมตามมาทัน ทำให้พลัดพรากกันที่กลางคัน เหตุด้วยมารดาเป็นข้อใหญ่ ถึงมาตรว่า โจโฉจะได้ข้าพเจ้าไปไว้ก็ดี ข้าพเจ้าจะขอสาบานไว้ต่อท่านว่า ซึ่งจะทำการไปเบื้องหน้า ข้าพเจ้าจะไม่คิดกลอุบายสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้โจโฉทำร้ายแก่ท่านเลย”
- “ตัวท่านนี้องอาจนัก กลัวว่าเพลิงนั้นจะเผาทหารโจโฉไม่สิ้นหรือ จึงแกล้งคิดอ่านเป็นกลอุบายมาลวงโจโฉ ให้ผูกร้อยเรือรบเข้าไว้ฉะนี้ หวังจะให้เผาทหารแลเรือรบเสียให้สิ้นทีเดียวหรือ ซึ่งตามคิดท่านนี้จะลวงได้ก็แต่โจโฉ อันตัวเรานี้รู้เท่าอยู่”
กรุณาแสดงความคิดเห็น