วาทะคำคมของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีต้นฉบับมาจาก "โจโฉ" ตัวละครเอกจากวรรณกรรมสามก๊ก
“กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาดหน่อยหนึ่งด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิด ผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด”เมื่อวันที่ 3 ม.ค.56 ที่ผ่านมาผมได้ดูรายการข่าวรายการหนึ่ง รายงานข่าวเรื่อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในความผิดฐานร่วมกันประกอบกิจการค้าขาย (ต่อสัญญาบีทีเอส) อันเป็นสาธารณูปโภคโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84 และมาตรา 86 แห่งประกาศคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 58) ดูไปแล้วก็งง ๆ ตามประสาคนมีความรู้น้อย ไม่เจนจัดสันทัดด้านกฎหมาย แต่คิดว่ารายการนี้เป็นเกมการเมือง 100% เพราะอยู่ในช่วงเตรียมการเลือกตั้ง ผู้ว่า กทม.
ผมไม่ใช่คนกรุงเทพ ไม่เคยเลือกตั้งผู้ว่า กทม. แต่ก็เห็นใจ มรว.สุขุมพันธุ์ ที่ต้องมาเจอกับปัญหาศึกภายนอกทันที ต่อจากศึกภายในที่ต้องแย่งชิงเป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งนี้ในข่าวท่านได้เอ่ยวาทะคำคมไว้ว่า “ผมเชื่อมั่นในกระบวนการของกฎหมาย แต่ไม่เชื่อมั่นในคน” พร้อมกับเตรียมฟ้องกลับเพื่อขอความเป็นธรรม ... ก็ประมาณว่าฟ้องกันไปฟ้องกันมา ตามประสาเกมการเมือง สู้กันด้วยตัวอักษรและการตีความ
เรื่องการเมืองก็ปล่อยให้เขาว่ากันไป แต่เรื่องสามก๊กเราต้องมาว่ากันต่อ เพราะในข่าวท่านผู้ว่า นั้นมีประโยคสำคัญ ประโยคหนึ่งที่ผมพอจะจับใจความได้ มากกว่าวาทะ “ผมเชื่อมั่นในกระบวนการของกฎหมาย แต่ไม่เชื่อมั่นในคน” ของท่านเสียอีก ซึ่งท่านผู้ว่า ฯ ได้พูดเป็นเชิงตัดพ้อเกมการเมืองของการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่า
“ทำไมฝ่ายโน้นจึงกลัวผมถึงขนาดนั้น ผมก็มีตาสองดวง มีจมูกหนึ่งจมูก มีปากหนึ่งปากเหมือนคนอื่น”
ประโยคข้างต้นนี้สิครับที่เด็ดสุด เพราะเป็นคำพูดหนึ่งของตัวละครสำคัญในสามก๊ก ผมได้ยินแล้วถึงกับหูผึ่ง หาดูตามเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ ก็ไม่มีสำนักไหนลงข่าวคำพูดนี้ เพราะมุ่งสนใจในวาทะกฎหมายกับคนเสียมากกว่า
วาทะคำคมนี้ ต้นฉบับแต่เดิมนั้นเป็นของ "โจโฉ" ตัวละครเอกจากวรรณกรรมสามก๊ก โดยโจโฉได้กล่าววาทะนี้ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ตอนที่ 48 "ม้าเฉียวหันซุย เสียกลโจโฉ"
ในตอนนั้นโจโฉกับม้าเฉียวรบกันอยู่นานจนย่างเข้าฤดูหนาว โจโฉจึงใช้กลลวงขอหย่าศึก โดยจะลอบตีตลบหลังเมื่อทัพม้าเฉียวยกกลับไป แต่ม้าเฉียวระแวงอยู่ จึงเตือนให้หันซุยจัดทัพหน้า และตนเองจัดเป็นทัพหลังคอยหนุน หากโจโฉคิดไม่ซื่อ พอรุ่งเช้ากองทัพโจโฉยกออกมาจากค่ายทำทีเป็นเลิกทัพ ทหารของม้าเฉียวหันซุยอยากเห็นโจโฉ ต่างคนต่างเบียดเสียดกันออกมาหน้าค่าย ร้องบอกกันอื้ออึงว่าอยากมาดูโจโฉ โจโฉได้เห็นดังนั้นจึงขับม้าขึ้นไปหน้าทหารแล้วร้องว่า
“กูมีจักษุสองข้าง มีปากอันเดียวกับจมูกอันหนึ่งเหมือนทั้งปวง ใช่จะมีปากสองข้างแลจักษุสี่ก็หาไม่ แต่ว่าประหลาดหน่อยหนึ่งด้วยมีอำนาจมาก คนที่มีปัญญาแลความคิด ผู้ใดจะมาดูก็มาเถิด”
ทหารไทยมุง ได้ยินดังนั้นก็ตกใจยืนดูตัวแข็งอยู่ โจโฉจึงขับม้าเข้าไปใกล้ แล้วให้ทหารเข้าไปเชิญหันซุยออกมาสนทนากันสักหน่อย ตามประสาคนเคยรู้จักกัน พอหันซุยออกมาก็ชวนพูดจาอยู่นาน จนทำให้ม้าเฉียว ซึ่งเป็นคนหนุ่ม ใจเร็วขี้ระแวง เกิดความสงสัยและผิดใจกับหันซุยคิดว่าหันซุยจะไปเข้ากับโจโฉ สุดท้ายม้าเฉียวกับหันซุยก็แตกกัน ม้าเฉียวตัดแขนหันซุนขาด แล้วตีฝ่ากองทัพโจโฉหนีรอดไป
ส่วนวาทะของโจโฉที่กล่าวต่อหน้าทหารไทยมุงนั้น ในหนังสือสามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของ C. H. Brewitt-Taylor ตอนที่ 59 ได้กล่าวถึงคำพูดของโจโฉไว้คล้ายคลึงกัน ว่า
"Do any of you soldiers want to see Cao Cao? Here I am quite alone. I have not four eyes nor a couple of mouths, but I am very knowing."
สรุปว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ฯ ท่านได้ใช้คำพูดของโจโฉ ในการแถลงข่าวตอบโต้ DSI ซึ่งการที่ท่านจะเอ่ยวาทะคำคมในลักษณะนี้ได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แสดงว่าท่านต้องเป็นนักอ่านหนังสือ และเป็นนักสามก๊กตัวยงแน่นอน
งานนี้ก็ไม่รู้ว่าท่านจะมีแผนการ รองรับข้อกล่าวหาอย่างไร จะทำแบบโจโฉที่ยุให้ฝ่ายตรงข้ามแตกคอกันเองหรือไม่ ? คนอ่านสามก๊ก ต้องคอยติดตามชม เพราะการเมืองไทย ก็คือสามก๊กดี ๆ นี่เอง
เรื่องเล่าเช้านี้ 03 มกราคม 2556 (22) - YouTube
คลิปข่าว DSI ฟ้องร้อง ผู้ว่า กทม. ส่วนวาทะเด็ดของท่านผู้ว่าอยู่ประมาณนาที่ที่ 5
การเมืองมันซับซ้อน ซ่อนเงื่อน จนไม่กล้าติดตาม เพราะกลัวความจริง
ตอบลบล่าสุด ท่านผู้ว่าประกาศลาออกในวันพรุ่งนี้แล้ว.. ไม่รู้ว่าท่านจะมาไม้ไหน
ลบจะเหมือนโจโฉแกล้งประกาศหย่าศึก ถอยทัพหรือเปล่า... อีก 2 เดือนรู้ผลครับ
ผมว่าท่านเหมือน อ้วนสุด มากกว่า อิอิ ไม่คอยชอบคนนี้เท่าไร
ตอบลบผมว่าท่านคืออาเต๋าดีๆ นี่เองครับเพราะท่านเอ๋อจิงๆ
ตอบลบคงเป็นที่บุคลิกลักษณะของท่านนะครับ ข้อเสียคือไม่น่าเคารพยำเกรง แต่ข้อดีก็ทำให้ท่านดูเป็นคนน่ารัก ตรงไปตรงมา
ลบส่วนที่แตกต่างก็คือท่านเป็นคนจริงจังและมีความตั้งใจทำงานสูง ผลการเลือกตั้งและการเป็นผู้ว่าได้ถึงสองสมัยคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ
ได้ผู้ว่าสองสมัยผมว่าไม่ได้บังเอฺญจิงๆแหละครับเพราะ โกงมาตั้ง 4000000คะแนน ดูจาผลการเลืกตั้งทุกครั้ง ที่ 1ไม่เคยถึงล้าน ที่2ได้ ราวๆ 8แสน
ลบแต่รอบนี้หม่อมท่านได้ไปซะ1.2m เบอร์9 ได้ไป 1 ล้านกว่า ซึ่งมากกว่าเดิม400000 ระยะเวลา4ปี กทม.มีคนเพิ่้มขึ้น 4แสน เลยเหรอ และพี่แถวบ้านผมไปเลือกตั้ง แกบอกว่ามีคนมาเซ็นชื่อของแกก่อนแล้ว แต่กรรมการให้ลงชื่ออีกรอบแล้วให้กาบัตรเลือกตั้งอีกที ส่อแววแล้วละคับแบบนี้
ผมตรวจสอบแล้ว
ลบจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ปี56 มี 4.2 ล้านคน ขณะที่ปี52 มี 4.1 ล้านคนครับ จึงมีคนเพิ่มขึ้นเพียง หนึ่งแสนเท่านั้น
ส่วนเรื่องถูกผิด ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการตรวจสอบอยู่ เราไปตัดสินแทนคณะกรรมการตรวจสอบไม่ได้หรอกครับ
เรื่องการเมืองมากด้วยเล่ห์กล ชาวบ้านแบบเราๆ ตามเขาไม่ทันหรอกครับ ผมว่าผู้สมัครทุกฝักทุกฝ่ายเขาก็คงทราบลับลมคมในกันดี
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ คนธรรมดาไม่อาจมองเห็น
โกงได้ยังไงครับ ไครเป็นรัฐบาลฝ่ายไหนกันแน่ที่โกง ฝ่ายค้านมันจะมีอำนาจอะไรไปโกงครับ ฝ่ายรัฐบาลตั้งเจ้าหน้าที่หมดนะครับ คิดดูดีๆนะครับ
ลบ“ทำไมฝ่ายโน้นจึงกลัวผมถึงขนาดนั้น ผมก็มีตาสองดวง มีจมูกหนึ่งจมูก มีปากหนึ่งปากเหมือนคนอื่น”
ตอบลบคำนี้ทำให้นึกถึงตอนที่บังเต๊กไปรบกับกวนอูมากกว่าครับ ตอนที่ บังเต๊กขอเป็นทัพหน้าให้โจโฉ บังเต๊กบอกว่า กวนอูมีมือข้าก็มีมือ กวนอูมีดาบข้าก็มีดาบ ไหนเลยจะต้องกลัวกวนอู
กฎไม่ผิด คนต่างหากที่ผิด คงมีแต่ประเทศไทย ที่กฎตัดสินไปตามผู้มีอำนาจ
ตอบลบ