เล่าปี่ พี่ใหญ่ของกวนอู เตียวหุย เป็นบุคคลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และความเมตตา เชื้อพระวงศ์ตกอับ ผู้ที่เคยทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทอเสื่อ สานรองเท้าขาย แต่ด้วยอุดมการณ์ความรักชาติ หวังกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น จึงอาสาจับดาบขึ้นขี่ม้าปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ทำการจนถึงขนาด แต่ก็ยังตกอับอยู่หลายสิบปี
เล่าปี่ พี่ใหญ่ของกวนอู เตียวหุย เป็นบุคคลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม และความเมตตา เชื้อพระวงศ์ตกอับ ผู้ที่เคยทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทอเสื่อ สานรองเท้าขาย แต่ด้วยอุดมการณ์ความรักชาติ หวังกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น จึงอาสาจับดาบขึ้นขี่ม้าปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ทำการจนถึงขนาด แต่กระนั้นก็ยังตกอับอยู่เป็นอีกหลายสิบปี
ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เราอ่านแล้วจะชื่นชมนิยมเล่าปี่ จะด้วยว่าเป็นฝ่ายพระเอก หรืออะไรก็ตามแต่ ยามรุ่งเรืองก็ยกยอจนสูงส่ง ยามตกต่ำก็บรรยายให้สุดแสนรันทด สลดหดหู่ จนน่าสงสาร และด้วยความเว่อร์ ที่แต่งเสริมเติมแต่งเข้าไปจนเลยเถิดนี่เอง เล่าปี่ พระเอกของเราจึงมีโรคประจำตัวโรคหนึ่ง คือ “ริดสีดวงทวารหนัก” !?
ความในตอนนี้อยู่ในหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) “ตอนที่ 31 เล่าเปียวปรึกษาเล่าปี่เรื่องทายาท” ซึ่งในตอนนี้เล่าเปียวได้สอบถามเล่าปี่ว่าควรจะตั้งใครเป็นเจ้าเมืองแทนตนระหว่างเล่ากี๋บุตรคนโตที่เกิดกับภรรยาคนก่อน และเล่าจ๋องบุตรคนรองที่เกิดกับนางชัวฮูหยิน ซึ่งญาติพี่น้องคุมกำลังทหารในเมืองเกงจิ๋วอยู่เกือบทั้งหมด เล่าปี่จึงแนะนำให้ตัดทอนกำลังญาติฝ่ายชัวฮูหยินเสียก่อน แล้วจึงควรตั้งให้เล่ากี๋เป็นเจ้าเมือง ตามแบบแผนและประเพณีที่ปฏิบัติกันมา แต่แล้วเล่าปี่ก็สังหรณ์ใจว่า นางชัวฮูหยินกำลังแอบฟังอยู่ จึงแกล้งขอออกไปข้างนอก แล้วกลับมาร้องไห้ พอเล่าเปียวถามว่าร้องไห้ด้วยเหตุใด ก็ตอบว่า
“ข้าพเจ้าขี่ม้าครั้งใด ที่นั่งก็แตกเป็นโลหิตไหลออกทุกทีได้รักษาก็หายไป บัดนี้ข้าพเจ้าขี่ม้าชอกช้ำมานานที่นั่งก็แตกออกไปอีก ข้าพเจ้าเห็นว่าอายุจะสั้นเสียแล้ว จะไม่ได้อยู่ทำนุบำรุงแผ่นดินสืบไป ข้าพเจ้าจึงร้องไห้เพราะเหตุฉะนี้”
นางชัวฮูหยินแอบฟังเล่าปี่กับเล่าเปียวปรึกษากัน |
อาการที่เล่าปี่ แจ้งมานี้ เมื่อวิเคราะห์ด้วยเหตุและผลแล้ว การขี่ม้าสำหรับมือใหม่อาจจะทำให้ก้นแตกและมีเลือดออกได้ ซึ่งคนที่เล่นกีฬาขี่ม้า หรือกีฬาอื่น ๆ ที่ต้องนั่งเล่นอย่างกีฬาพายเรือ ก็น่าจะทราบกันดี เพราะผิวหนังที่ก้นนั้น เป็นส่วนที่บอบบางถลอกและเป็นแผลง่าย แต่อาการที่เล่าปี่พูดมานั้น ไม่น่าจะใช่แผลแตกจากการขี่ม้า เนื่องจากเล่าปี่ขี่ม้ามาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ไม่น่าจะเป็นแผลแบบนี้อีก และตามอาการที่เล่ามา ก็มีลักษณะเป็นโรคเรื้อรัง ถึงขั้นต้องรักษาอยู่หลายครั้ง รวมทั้งการที่ต้องลุกออกไปข้างนอก แล้วกลับมาทำทีเป็นว่าเจ็บปวดนั้น ก็ดูสมเหตุผลว่า เป็นอาการของโรค ไม่ใช่เป็นอาการที่เกิดจากแผล
อาการที่เล่าปี่อธิบายมานี้ น่าจะเป็นอาการของโรค “ริดสีดวงทวารหนัก” แน่นอน แต่ทั้งนี้เราจะเชื่อเป็นจริงเป็นจังไปไม่ได้ว่าเล่าปี่เป็นโรคนี้จริง ๆ เพราะในหนังสือก็บอกชัดอยู่แล้วว่า เล่าปี่แกล้งพูดแกล้งทำ เพื่อให้เล่าเปียวและชัวฮูหยินที่แอบฟังอยู่นึกสงสาร
และนอกจากนี้ ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) แต่งเสริมเติมแต่งให้เล่าปี่มากเกินไป ก็เนื่องจากว่า เมื่อเปรียบเทียบกับ สามก๊กฉบับภาษาอังกฤษของ C. H. Brewitt-Taylor กลับพบว่าสิ่งที่เล่าปี่พูดกับเล่าเปียวนั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย คือ
"In the past I was always in the saddle, and I was slender and lithe. Now it is so long since I rode that I am getting stout, and the days and months are slipping by---wasted. I shall have old age on me in no time, and I have accomplished nothing. So I am sad."
แปลเป็นไทยประมาณว่า "แต่ก่อนนั้น ข้าพเจ้ามีรูปร่างปราดเปรียวสมส่วน ขี่ม้าทำศึกไม่เคยขาด มาถึงบัดนี้ร่างกายอวบอ้วนโรยรา วันเดือนปีล่วงผ่านเลยไปอย่างสูญเปล่า อีกไม่นานข้าพเจ้าก็จะถึงวัยชราภาพ โดยยังการสิ่งใดได้สำเร็จไม่ ข้าพเจ้าจึงร้องไห้เพราะเหตุฉะนี้”
เรื่อง “เล่าปี่เป็นริดสีดวง!?” จึงต้องจบลงแบบที่ว่า ทำไมพระยาพระคลัง(หน) จึงแต่งให้เล่าปี่เป็นโรคนี้ ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้น ผมยังไม่ได้เทียบกับสามก๊กฉบับภาษาจีน หากใครรู้ภาษาจีนและสงสัยเคลือบแคลงในตัวเล่าปี่ ก็เชิญสืบค้นมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ
กรุณาแสดงความคิดเห็น