เมื่อวันที่ 25 ส.ค.55 ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ "รัฐบาล ยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เนื่องในโอกาสทำงานครบ 1 ปี โดยเมื่อพิธีกรถามว่า 1 ปีที่ผ่านมา ท้อบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่า “ไม่เชิงว่าท้อแต่อาจจะเหนื่อยมากกว่า เพราะบางครั้งงานเยอะ และอยากให้เห็นสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องน้ำ แต่ก็ทำงานเต็มที่เพราะพี่น้องประชาชนก็คาดหวัง”
เมื่อวันที่ 25 ส.ค.55 ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ "รัฐบาล ยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เนื่องในโอกาสทำงานครบ 1 ปี โดยเมื่อพิธีกรถามว่า 1 ปีที่ผ่านมา ท้อบ้างหรือไม่ นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่า “ไม่เชิงว่าท้อแต่อาจจะเหนื่อยมากกว่า เพราะบางครั้งงานเยอะ และอยากให้เห็นสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เรื่องน้ำ แต่ก็ทำงานเต็มที่เพราะพี่น้องประชาชนก็คาดหวัง”
คำตอบของท่านนายกฯ สมกับเป็นคำตอบตามวิสัยของผู้นำ เพราะโดยปรกติแล้วไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายหรือย่ำแย่เพียงใด ผู้นำจะต้องเข้มแข็ง และแสดงออกให้เห็นถึงความมั่นใจในการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อดำรงไว้ซึ่งความคาดหวังและความปรารถนาของผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชน ... นายกหญิงคนนี้ จึงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาหรือไร้ฝีมือตามฝ่ายตรงข้ามพยายามยัดเยียดให้ ผมคิดว่าเธอมีความเป็นผู้นำอยู่ในตัวค่อนข้างสูงทีเดียว ดังที่ปรากฎว่าเธอสามารถนำรัฐบาลอยู่รอดได้ตลอดปีที่ผ่านมา และได้รับการยกย่องให้ติดอันดับที่ 30 สตรีทรงอิทธิพลของโลก ของนิตยสารฟอร์บส์
ขงเบ้งเป็นผู้นำระดับแนวหน้าคนหนึ่งของเรื่องสามก๊ก มีทั้งความรอบรู้ เฉลียวฉลาด หนักแน่นมั่นคง มีความอดทนและพยายามสูง มีหลายเหตุการณ์ที่ ขงเบ้งแสดงความเหนื่อยออกมา แต่ขงเบ้งก็ไม่เคยท้อ ดังเช่นในเหตุการณ์ ชงเบ้งใช้กลเมืองร้างตีขิมลวงสุมาอี้ที่เมืองเสเสีย
หลังจากคนรู้มากอย่างม้าเจ๊ก ทำให้เสียเกเต๋ง จุดยุทธศาสตร์สำคัญ สุมาอี้จึงยกทัพไล่ติดตามมาถึงตัวเมืองเสเสีย ซึ่งขณะนั้นขงเบ้งเหลือกำลังทหารเพียง 2,500 คนเท่านั้น ไม่อาจคิดต้านทานกำลังทัพของสุมาอี้ได้ ขงเบ้งขึ้นไปบนกำแพงเมืองเห็นทหารสุมาอี้ยกมาดังคลื่นในมหาสมุทร
ขงเบ้งหวาดวิตกแต่กัดฟัน สั่งการให้ทหารเก็บธงทิวบนกำแพงเมืองออก และห้ามผู้ใดส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวใด ๆ แล้วให้เปิดประตูเมืองออกทั้งสี่ด้าน ให้ทหารแต่งตัวเป็นชาวบ้านกวาดถนนและทำความสะอาดประตูเมือง ส่วนขงเบ้งแต่งตัวเป็นเต้าหยิน ขึ้นไปนั่งดีดขิมบนกำแพงเมือง จุดธูปหอมกลิ่นตลบอบอวล มีเด็กน้อยสอง 2 คนคอยปรนนิบัติ
สุมาอี้ได้รับรายงานจากทหาร จึงรีบขี่ม้านำหน้าออกมาดู เห็นประตูเมืองเปิดกว้าง พร้อมกับมีชาวบ้านคอยทำความสะอาด ดูเป็นการต้อนรับ แต่ภายในเมืองทั้งเมืองกลับเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงเพลงขิมของขงเบ้งเป็นจังหวะ ฟังแล้วชวนสับสน ข้างกายขงเบ้งก็มีเด็กรับใช้ คนหนึ่งถือดาบ คนหนึ่งถือแส้จามรี สุมาอี้พลางคิดในใจว่า กองทัพเรายกมาถึงเพียงนี้ ขงเบ้งกลับไม่มีความประหวั่นพรั่นพรึง นั่งตีขิมกระหยิ่มยิ้มย่อง ชะรอยจะเป็นอุบาย ลวงให้เราเข้าตี แล้วซุ่มทหารลอบโจมตีเรา ว่าแล้วจึงสั่งให้ยกทัพกลับ โดยไม่ฟังคำทัดทานของ สุมาเจียว ผู้บุตร
เมื่อสุมาอี้ยกทัพกลับไปหมดแล้ว ขงเบ้งจึงเฉลยให้ทหารฟังว่า สุมาอี้กับเราทำศึกกันมา สุมาอี้รู้ดีว่าข้าพเจ้าเป็นคนรอบคอบ ไม่เคยทำการสุ่มเสี่ยงแบบนี้มาก่อน จึงถูกข้าพเจ้าซ้อนกล เพราะความคุ้นเคยในสติปัญญาซึ่งกันและกัน
ขงเบ้งเหนื่อยแสนสาหัสในการรับมือสุมาอี้ แต่ก็ไม่ย่อท้อ ฝืนเสี่ยงทำอุบายเอาตัวและไพร่พลรอดพ้นไปได้ ... ย้อนกลับมาดูนายกหญิงเหล็กของเรา ท่านเหนื่อยแต่ไม่ท้อนั่นคือสิ่งดี และพวกเราต้องเอาใจช่วย รวมทั้งภาวนา ขอให้เธอนำพาประเทศไทยที่เรารักให้เจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างภาคภูมิต่อไปครับ
แถมเพลงเพราะ ๆ ให้ 1 เพลง เป็นเพลงสามก๊กที่หาฟังยากชื่อว่าเพลง “รำวงขงเบ้งตีขิม” ขับร้องโดยคุณสุเทพ วงศ์กำแหง และคุณ สอาด นิลอร่าม ครับ
เพลง รำวงขงเบ้งตีขิม
คำร้อง ทำนอง ไสล ไกรเลิศ
ขับร้อง สุเทพ วงศ์กำแหง ร้องคู่ สอาด นิลอร่าม
*(กลองศึกดังทั้งม้าล่อ ก้องมา คนเหลือจะคณา ยกมาย่ำยี หมายตีจะเหยียบมณฑล
เลยถอยพากันร่น เพียงหลงกลขงเบ้งตีขิม ยิ้มเย้ายวน)
สุมาอี้ยกพลโยธีมิทันนิ่งนอน จะราญรอนกับขงเบ้งเก่งคำนวณ
หวังจะตีเสเสียให้แปรปรวน คนห้าหมื่นจับทวนเข้าประชิดติดพารา *
ฝ่ายไพร่พลขงเบ้งทุกคนลุกลนต่างกลัว หวาดระรัวด้วยฝ่ายตัวด้อยหนักหนา
ขงเบ้งทำกลลวงเหล่าปัจจา ทำประหนึ่งโยธามากหนักหนากว่าไพรี *
แกล้งตีขิมยิ้มทำยวนยั่วมิกลัวปัจจา เปิดพารานั่งมองดูอยู่ไม่หนี
ใช้อุบายคำนวณเหล่าไพรี สุมาอี้ฉงนสั่งไพร่พลกลับพารา *
เห็นด้วย มีเหุตผล ขอคาราวะ
ตอบลบ